Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
17 ตุลาคม 2562
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 8) โดย มานัส


บทที่ 8
 
และเมื่อเข้ามาในห้องรับแขกอีกสิบนาทีต่อมา หญิงสาวก็พบว่าชิษณุนั่งลอยหน้าลอยตารออยู่แล้ว ตรงหน้าเขาบนโต๊ะเตี้ยทำจากไม้มะค่าสีเข้มมีนิตยสารและหนังสือวางกองโต
 
“ทำไมช้าจัง” เขาเงยหน้าขึ้นถาม
 
“ไปเก็บผ้า” ดวงหน้านั้นดูเหนื่อย แต่ก็ปรากฏรอยยิ้มที่เป็นมิตรกว่าทุกครั้ง
 
“อย่าบอกนะว่าคุณซักผ้าเอง ปรกติพี่นินทร์ส่งซักนี่”
 
“ซักแค่บางตัวเท่านั้นแหละ” มณิกานต์นั่งลงบนเก้าอี้ไม้อีกตัว ก่อนอุทานเมื่อนึกได้ “โอ้…ขอโทษ ลืมเอาน้ำมาให้”
 
ว่าแล้วเธอพลันลุกหายเข้าไปในครัวเพียงครู่ เดินออกมาพร้อมแก้วน้ำเย็นที่ถูกยื่นให้แขกของบ้าน
 
“ขอบคุณครับ” เขารับแก้วน้ำมาดื่มรวดเดียวจนหมด “ชื่นใจจริงๆ เป็นครั้งแรกนะที่คุณยอมเสิร์ฟน้ำให้ผม”
 
“เดี๋ยวคุณจะหาว่าฉันไม่มีมารยาทอีก ว่าแต่มีธุระอะไร”
 
“วันนั้นตอนไปกินข้าวเย็นที่บ้านผม เห็นคุณบ่นว่าไม่มีหนังสืออ่าน เพราะหนังสือของพี่นินทร์เน้นวิชาการ ผมก็เลยหานิตยสารมาให้คุณอ่านแก้เซ็ง เป็นประเภทแนวผู้หญิงๆ ไม่รู้ว่าถูกใจพออ่านได้ไหม เพิ่งวางแผงเลยนะ”
 
มณิกานต์เอื้อมมือหยิบนิตยสารที่วางอยู่มาพลิกดู นัยน์ตาเป็นประกายรอยยิ้ม…ไอ้เล่มที่เธอชอบอ่านซะด้วย 
 
“แล้วก็มีหนังสือที่ผมเคยเห็นคุณหยิบขึ้นมาเปิดดู วันนั้นจะบอกให้คุณยืมมาอ่านแล้วเชียวแต่ดันลืม”
 
“คุณน่ารักจังเลย”
 
คำชมพร้อมดวงตาระยิบ ทำให้อีกฝ่ายยิ้มเมื่อบอก
 
“งั้นก็รักเลยซิ”
 
น้ำเสียงของชิษณุเป็นปรกติ ดูไม่ออกเลยว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายกระพริบตาถี่ ส่ายหน้าก่อนตอบ
 
“ฉันรักคนยาก” มณิกานต์อยากจะบอกด้วยซ้ำว่า เธอยังไม่อยากรักใครในตอนนี้
 
คนที่เคยรักด้วยหัวใจ แล้วเจ็บแสนสาหัส ย่อมเข็ดขยาด จำฝังใจแม้จะผ่านมาหลายเดือน  
 
“ต่างจากผม ผมรักคนง่าย”
 
“จริงเหรอ” ดวงตามีแววไตร่ตรองปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง “แต่อย่างคุณคงมีสาวๆ ติดตรึม”
 
“เขามาติดผม ไม่ได้หมายความว่าผมต้องไปรักไปชอบเขานี่”
 
“ไหนว่ารักง่ายไงล่ะ” เธอฉลาดพอที่จะจับผิดคำพูดเขา
 
“ขึ้นอยู่ว่ารัก…ใคร” สีหน้าแย้มยิ้มซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้อย่างมิดชิด
 
เขาต่างจากคนอื่นที่เวลาโดนจับผิดในคำพูดแล้วมักจะแก้ตัว แต่ชิษณุกลับยิ้มเฉย ไม่ใส่ใจ ราวว่าทุกอย่าง…จงใจสื่อ จนอีกฝ่ายยากที่จะรู้…จริงหรือเท็จ
 
“ในความรักแล้ว ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายรู้สึกและทุ่มเทให้มากกว่า ผู้ชายส่วนใหญ่มักเห็นความรักมาหลังอย่างอื่นเสมอ” น้ำเสียงเรียบไม่ปกปิดแววเศร้า แม้หญิงสาวจะพยายามกลบความรู้สึก “และอย่างคุณก็ไม่น่าจะเป็นประเภทรักคนง่ายอย่างปากพูดเลย”
 
หากชิษณุเพียงยิ้ม
 
ยิ้มที่ กลบ ทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ดวงหน้ายังคงแจ่มใส ไม่ต่างจากดวงตาที่ยิ้มพราว
 
“ออกไปกินข้าวกลางวันกันดีกว่า”
 
“เรื่องอะไรจะต้องไปกับคุณ” มณิกานต์มองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
 
“ป้าโฉมให้มาอัญเชิญคุณไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน แกชอบทำอาหารและทำอร่อยเสียด้วย วันก่อนคุณเล่นชมไม่ขาดปาก แกก็เลยดีใจ”
 
ทว่าคนถูกเชิญลังเล เพราะ…อะไรบางอย่างกำลังเตือนว่าควรอยู่ห่างเขาเอาไว้
 
…ไม่น่าไว้ใจ
 
“เมนูเด็ดเยอะหน่า เห็นว่าวันนี้มีน้ำพริกหนำเลียบด้วย เคยกินไหม ป้าโฉมทำอร่อยสุดๆ ทั้งเผ็ดทั้งเค็มสะใจจริงๆ กินกับไข่เจียวร้อนๆ นะเลิศอย่าบอกใคร”
 
“ไม่เป็นไร ไม่อยากรบกวนพวกคุณ”
 
“ไม่รบกวนอะไรเลย แล้วนี่คุณจะอยู่บ้านทำอะไร ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปาก “เอ…หรือว่าคุณกลัวผม”
 
“ทำไมต้องกลัวยะ” หญิงสาวสวนกลับ ดวงตาเขม็งเอาเรื่อง
 
“ก็ไม่รู้ซิ ท่าทางคุณมันบอก แหม…ผมนี่ไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียวเหรอ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนัก จนอีกฝ่ายอยากจะตอบว่า…ใช่! “ไปเถอะนะ ถือว่าออกไปเที่ยวก็แล้วกัน ผมไม่ดุ ไม่กัด ไม่หาเรื่องคุณแน่ สัญญา เอ้า!”
 
มือแข็งแรงคว้าข้อมือเล็ก กำแน่น จนเธอร้อง
 
“อูย…เจ็บ”
 
และยังไม่ทันที่หญิงสาวจะโวยวายอะไรต่อก็มีเสียงเรียกจากหน้าบ้าน จนเธอต้องถอนหายใจพึมพำ “มาอีกแล้ว”
 
“ใคร?”
“คนแถวนี้ แขกไม่พึงประสงค์เหมือนคุณ” แววเบื่อหน่ายรำคาญปรากฏบนใบหน้านวล “แวะมาทุกวัน เอาโน่นเอานี่มาให้ เมื่อวานก็เอาแกงอะไรก็ไม่รู้มาให้ วันนี้จะอะไรอีกก็ไม่รู้”
 
เสียงตะโกนเรียกจากนอกรั้วไม่มีทีที่ว่าจะสงบลงง่ายๆ จนชิษณุเย้า
 
“มาขายขนมจีบมั้ง เอาอย่างนี้ คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมจะไปจัดการปัญหานอกบ้านให้…นะ” คำหลังถูกลากอ่อน…เกือบหวาน ราวอ้อนวอน “ถ้าไปกับผม ผมรับรองว่าเขาจะไม่มากวนคุณอีก แต่ถ้าไม่งั้น คุณก็รับมือเอาเองก็แล้วกัน”
 
มณิกานต์ชั่งใจเพียงครู่ จึงตัดสินใจยอมทำตามข้อเสนอ
 
ออกไปข้างนอกก็ดีเหมือนกัน เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และท่าทางเขาก็ไม่เป็นเช่นที่เธอเคยคิดไว้นัก ไม่ได้น่ากลัวหรือน่าหวาดหวั่น
 
วันนี้ชิษณุไม่มีแววตาแข็งกระด้างภายใต้หน้ากากสังคมเหมือนที่เธอเคยเห็นที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มณิกานต์เตือนตัวเองเบาๆ
 
ระวังตัวไว้ย่อมดีที่สุด
 
 
 
เสียงโทรศัพท์ทำให้หญิงสาวที่กำลังเครียดอยู่กับเอกสารงานตรงหน้าต้องวางปากกาลง แล้วเอื้อมมือรับสาย อารมณ์โกรธเดือดระอุเมื่อรู้ว่าใครโทรฯ เข้ามา
 
“แป้ง…นี่…” คนที่ติดต่อมาบอกตะขลุกตะขลักไม่มั่นใจ “เขตต์นะ”
 
“ไอ้คนเฮงซวย ไอ้ทุเรศมักมากโทรฯ มาทำไม!” หญิงสาวตวาดเสียงดัง จนเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หันมอง “อุตส่าห์ไม่รับสายตอนที่โทรฯ เข้ามือถือ นี่ยังโทรฯ มากวนถึงที่ทำงานอีก”
 
“ผมพยายามติดต่อมนต์ แต่ติดต่อไม่ได้เลย”
 
คนที่ฟังทำเสียงในลำคอ รำคาญ หากยอมรับในใจว่าแม้แต่เพื่อนสนิทเช่นเธอก็ติดต่อมณิกานต์ไม่ได้เหมือนกัน
 
“มนต์ไม่อยากรับสายแกน่ะซิ ขนาดฉันยังขยาดเสนียดและความจัญไรจากแกเลย”
 
“ผมอยากจะขอโทษ ศลิษาก็เหมือนกัน เราทั้งสองผิดไป”
 
“ความรู้สึกที่มันเสียไปแล้วมันยากที่จะเรียกคืน พวกฉันคบกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่เพราะความมักง่าย ความมักมาก ไม่รู้จักพอ ความเลวระยำาของพวกแกทำให้เพื่อนๆ แตกกัน”
 
คิดอย่างไร ปิยะรัตน์ก็พูดอย่างนั้น และความคิดของเธอเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม
 
ความเป็นเพื่อนระหว่างเธอกับศลิษาสิ้นสุดลงตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามติดต่อมาอย่างไร แต่ก็ยากแสนยากที่จะให้อภัย
 
เพื่อน…ย่อมไม่ทำร้ายเพื่อนอย่างสาหัสสากรรจ์เช่นนี้
 
“เลิกยุ่งกับมนต์” ปิยะรัตน์เตือน เสียงแข็งเย็นชา “ที่พวกแกทำกันไว้ก็สาหัสพอแล้ว ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน สัตว์โลกทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด…”
 
เธอจัดแจงท่องตามบทสวดจนจบแล้ววางสาย ไม่สนเสียงเรียกจากเขตต์
 
ในตอนนี้เธอกังวลถึงเพื่อนรักเท่านั้น…มนต์เป็นอย่างไรบ้าง
 
 
 
โฉมฉายมองหญิงสาวที่กำลังรวบช้อนส้อมหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ  แววตาอ่อนโยนนั้นเปี่ยมด้วยความเอ็นดูระคนชอบใจ
 
“อิ่มแปล้เลยค่ะคุณป้า วันนี้มนต์กินเยอะมากๆ ก็มันอร่อยไปซะทุกอย่าง” ผมยาวที่ถูกรวบไปข้างหลังขับใบหน้านวลละเอียดอ่อนที่มีรอยยิ้มสดใสให้ดูเด่นขึ้น
 
“ยังมีของว่างอีกนะคะ วันนี้เป็นบัวลอยมะพร้าวอ่อนค่ะ”
 
“โอย…ไม่ไหวแล้วค่ะ” มณิกานต์ส่ายหน้า
 
ทว่าอีกคนที่กำลังใช้ผักบุ้งลวกจิ้มกับน้ำพริกหนำเลี้ยบยกมือขึ้น “ไหวครับ  ของอร่อยๆ จะพลาดได้ไง”
 
“คุณณุก็ทานได้หมดนั่นแหละค่ะ”
 
“เพราะป้าทำอะไรก็อร่อยนี่ครับ เนี่ยถ้าคุณโฉมฉายไปเป็นแม่ครัวใหญ่ให้ที่โรงแรมนะ รับรองห้องอาหารของผมรับรางวัลกันไม่หวาดไม่ไหวแน่ ลูกค้าคงแย่งกันจองทุกวัน”
 
“ปากหวานอีกแล้วนะคะ” หญิงชรารู้ทัน “อย่างนี้ซิสาวๆ ถึงติดกันเกรียว”
 
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีซิครับ แต่หนุ่มบ้านนอกอย่างผมใครเขาจะมาสนใจ”
 
“คุณณุเรื่องมากและเลือกมากเองนี่คะ เลือกไปเลือกมา ดูซิจะสี่สิบอีกไม่กี่ปีแล้ว ยังไม่ยอมลงเอยกับใครสักคน”
 
“ผมกำลังรอคนที่จะมาเป็นเนื้อคู่ครับ”
 
“น่าสงสารคนมีกรรมคนนั้นจัง” มณิกานต์อดไม่ได้ที่จะเสริมอย่างสนุก ดวงหน้าฉายรอยยิ้มกระจ่าง
 
…ยัยพริกนั่นก็น่าสงสารอยู่หรอก ก็อีตาชิษณุเล่นโฉบไปมากับแม่พวกดารานางแบบนี่…
 
“คุณณุน่ะหายใจเข้าออกเป็นงานไปหมด จะมีเวลาให้ใครได้” โฉมฉายค่อน “นี่ขนาดบอกว่าจะหลบงานมาพักอยู่บ้าน ก็ยังขยันหางานมาทำ”
 
“แค่พี่นทีจะมาคุยธุระเดี๋ยวเดียวเอง ไม่ได้เอางานมาให้ผมสักหน่อย ผมยังไม่กลับกรุงเทพฯ หรอกครับ กะจะอยู่ให้คนแถวนี้ชื่นใจไปหลายวัน”
 
ชิษณุรวบช้อนส้อม ทำให้ผู้เป็นแม่บ้านขอตัว เพื่อไปเตรียมของหวาน
 
“แต่จริงๆ นะ ผมอยากให้คนมีกรรมคนนั้นนั่งอยู่แถวๆ นี้จัง” รอยยิ้มฉาบเสน่ห์ชวนมองแบบนี้ทำให้หลายคนใจอ่อนมานักต่อนักแล้ว  
 
“คงไม่ง่ายขนาดนั้น โลกนี้ยังมีความยุติธรรมเหลืออยู่บ้าง” หญิงสาวเท้าแขนบนโต๊ะมองเขา ดวงตาออกแววเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน
 
“มันไม่ยุติธรรมสำหรับผมน่ะซิ”
 
แววตาระยิบจนคนมองไม่แน่ใจว่าเขาเคยพูดแบบนี้ด้วยรอยยิ้มและแววตาเช่นนี้กับใครมาแล้วกี่คนบ้าง
 
มิน่ายัยพริกลูกท่านรัฐมนตรีถึงหลงนักหลงหนา
 
“ยุติธรรมของคุณ ใช่ว่าจะยุติธรรมสำหรับคนอื่น คุณมีความสุข ก็ใช่ว่าคนอื่นเขาจะสุขไปด้วย”
 
“คุณนี่…แอบมาเรียนบทเทศนากับป้าโฉมตั้งแต่เมื่อไหร่” คนโดนเทศน์หัวเราะขบขัน
 
“ฉันแค่พูดความจริง ผู้หญิงที่รักคุณต้องเป็นคนโชคร้ายที่สุดในโลก”
 
“ก็…อาจเป็นเช่นนั้น” ชิษณุลอบถอนหายใจ หากใบหน้ายังคงยิ้มพราวเมื่อคิด
 
ในชีวิตของเขามีคนที่โชคร้ายผ่านเข้ามากี่คนแล้วหนอ
 
ความคิดนั้นสะดุดเมื่อบุรุษตัวล่ำผิวคล้ำผมสั้นเกรียนเดินเข้ามาอย่างเร็วแล้วยืนนิ่ง ราวรอคำสั่ง
 
“รีบมาล่ะซิท่า นายเราก็จริงๆ บทจะเร่งก็ต้องให้ทันใจ ให้ได้ดั่งใจ” โฉมฉายค่อนเมื่อเดินตามหลังเข้ามา “กินอะไรมาหรือยังจ๊ะ”
 
“เรียบร้อยครับ” นทีตอบสั้นๆ ยืนนิ่งเช่นเดิม
 
ทว่าคนถามย่อมรู้ ต่อให้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าหรือให้เป็นตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็ตาม คนที่ถูกถามก็ต้องตอบว่า ‘เรียบร้อยแล้ว’
 
“ผมขอคุยธุระกับพี่นทีก่อน รบกวนป้าดูแลคุณมนต์ด้วย” ชิษณุสั่งกับแม่บ้าน แล้วหันมาทางหญิงสาวที่เป็นแขก “ผมขอตัวสักครู่ คงไม่นาน…ตามสบายนะครับ”
 
และเมื่อผู้เป็นนายลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เดินออกไปยังห้องทำงาน นทีจึงก้าวตามไปเงียบๆ โดยไม่วายชำเลืองมาทางหญิงสาวผู้เป็นแขกของบ้าน
 
ประตูไม้หนาของห้องทำงานถูกปิดอย่างแผ่วเบา คล้ายๆ กับการสนทนาที่เริ่มขึ้นในห้อง
 
 
 
พรรณไม้นานาชนิดนั้นล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และถูกจัดวางเหมาะสมกลมกลืนกับบรรยกาศในสวนท่ามกลางหญ้าสดเขียวขจี และแมกไม้ที่ให้ความร่มรื่น...สบายตา คำอธิบายจากโฉมฉายทำให้คนที่มาเยือนเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศ
 
ศาลาไม้ทรงไทยกลางสวน ให้ความร่มเย็นในยามบ่ายที่ร้อนระอุ น้ำใบเตยสีเขียวผสมน้ำแข็งเชิญชวนให้ดื่มนั้นถูกวางรออยู่แล้ว ความเย็นของน้ำที่หวานพอดีทำให้รู้สึกสดชื่น  ชื่นคอ และชื่นใจโดยเฉพาะเมื่อกลิ่นกรุ่นหอมบางๆ ของพรรณไม้ที่รายรอบโชยมาอย่างสบายๆ
 
“ดูแล้วสบายตาไปหมด” หญิงสาวที่ไม่เพียงสบายตา แต่ยังสบายใจ สายตาที่กวาดสายตาไปรอบๆ เผยแววชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “คุณป้าขยันปลูกจังนะคะ”
 
“ไม่ใช่ป้าหรอกค่ะ แต่เป็นคุณณุ เธอชอบ จัดการเองเสียส่วนใหญ่ ปลูกอะไรตรงไหน วางหินที่ไหน ต้นนี้ควรอยู่มุมไหน ป้าก็แค่ช่วยออกความเห็นบ้างเท่านั้น”
 
“คุณณุเนี่ยนะคะ ไม่น่าเชื่อ” มณิกานต์ไม่คลายความพิศวง
 
ถ้าบอกว่าชอบอยู่กับเหล่า ‘ดอกไม้’ ในเมืองกรุงฯ ยังน่าเชื่อถือมากกว่า
 
“เชื่อเถอะค่ะ คุณณุเธอชอบการเกษตร ถึงไม่รู้ลึกเท่าคุณพ่อคุณแม่ แต่ก็พอรู้บ้าง สามารถสอนคนแถวนี้ได้ หาคนมาแนะนำ เอาเครื่องมือมาให้ใช้ ผลผลิตของชาวไร่ชาวสวนที่นี่ดีกว่าแต่ก่อน ต้นทุนก็ลดลง เพราะได้คุณณุแหละค่ะ”
 
“มิน่า คนที่นี่ถึงรักคุณณุของคุณป้า”
 
“เพราะคุณณุ…ดี ดีกับทุกคนค่ะ อะไรช่วยได้ก็ช่วย ทำให้ได้ก็ทำ ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ทวงบุญคุณ” น้ำเสียงบอกถึงความภูมิใจและชื่นชมเป็นล้นพ้น
 
เพียงแต่โฉมฉายไม่ได้บอกหรอกว่า…คุณณุไม่ทวงบุญคุณ แต่จะตามชำระหนี้ความแค้น
 
ความสงบของสวน ความสวยงามของดอกไม้และต้นไม้ ช่วยให้คนที่ร้อนด้วยแรงอาฆาต ‘เย็น’ ลงเพียงครู่เวลามาเยือนเท่านั้น
 
เย็น…อาจจะเป็นเยือกเย็น
 
ใจเย็น
 
หรือไม่ก็…เลือดเย็น
 
หรือบางที ความ…เย็น อาจคล้ายเสียงใสแจ้วที่กำลังอ่านบทกลอน
มะลิลาขาวพวงดูสวยสม                     ขอดอมดมชมนาดฝากกลิ่นหอม
แซมกล้วยไม้ลดาวัลย์ขวัญพะยอม      กลิ่นขจรล้อมอยู่บึงหมู่บัว    
ปลูกต้นโมกรื่นรมย์มองชมชื่น            พุทธชาดดากดื่นอยู่ริมรั้ว
เชยชวนชมชูช่อก่ออยู่ใกล้ตัว             ลำดวลอวลกลิ่นแก้วให้แล้วเย็นฯ
 
บทกลอนสั้นๆ สลักบนแผ่นไม้วางกลางช่องมุมด้านบนของศาลา
 
“แหม…แต่ดมกลิ่นหอมของชมนาดเพียงอย่างเดียว ต้นอื่นก็น้อยใจแย่ซิคะ” มณิกานต์หัวเราะเสียงใส “อย่างนี้น่าจะแต่งให้ยาวอีกหน่อยนะคะ พูดถึงพรรณไม้ทุกต้นก็จะดี” สายตาของเธอยังคงจับแน่นกับแผ่นบทกลอนบนไม้สลักนั่น
 
“ก็คนแต่งเขาไม่มีเวลานี่คะ” โฉมฉายส่ายหน้า “วันทั้งวันหายใจเข้าออกเป็นงาน บางทีมานั่งที่นี่ก็ยังหอบงานมาทำ”
 
และถึงจะประหลาดใจกับคำบอกนั่น แต่คนฟังก็เพียงพยักหน้ารับรู้
 
…ไม่น่าเชื่อว่าอีตาชิษณุจะมีอารมณ์ศิลปินกับเขาด้วย ถ้ายัยแป้งรู้ก็คงไม่แคล้วเคลิ้มจัด กรี๊ดกร๊าดเป็นแน่แท้…
 
มณิกานต์เผลอคิด และคิดหลายอย่าง การคุยกับโฉมฉายอีกครู่ใหญ่ก็ยังไม่ทำให้เธอหยุดคิด จะมาหยุดก็ตอนเสียงของผู้เป็นแม่บ้านทัก
 
“แน๊…คุณณุมาพอดี” ว่าแล้วโฉมฉายจึงหันไปทางชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง “บอกว่าไม่นาน นี่…ไม่นานของคุณณุก็เกือบจะสี่โมงเย็นแล้วนะคะ”
 
“ขอโทษ มัวแต่คุยงานนานไปหน่อย เลยทำให้ต้องรอ” ถ้าไม่มีรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้า เสียงนั้นน่าจะฟังดูกระด้าง กระด้างพอๆ กับที่ชิษณุหันไปทางแขกของบ้านแล้วถาม “จะกลับหรือยัง”
 
“อะไรกัน คุณณุไม่ชวนหนูมนต์อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันล่ะคะ” โฉมฉายร้องถาม
 
“เกรงใจ”
 
คำบอกราบเรียบไม่ต่างจากดวงหน้าของเขาที่เรียบเฉย จนมณิกานต์นึกเคือง รับรู้ว่าเขาไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะให้เธออยู่
 
แววตาของเขานิ่งเฉย…แปลก
 
รอยยิ้มนั่นก็เหมือนหน้ากาก มิใช่รอยยิ้มที่เธอเห็นจนชินตาก่อนหน้านี้
 
ชิษณุที่เพิ่งออกมาจากห้องทำงาน ช่างแตกต่างกับคนที่หายเข้าไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน…เขาไม่เต็มใจให้เราอยู่!
 
และเธอก็ไม่อยากจะอยู่นักหรอกไอ้ซ่องโจรเนี่ย!
 
“มนต์กลับไปรอพี่หมอที่บ้านดีกว่าค่ะ” เธอบอกกับโฉมฉาย แต่ก็ไม่วายชำเลืองไปทาง…เขา
 
“กว่าคุณนินทร์จะกลับ หนูมนต์มิหิวแย่เหรอ อยู่กินข้าวที่นี่นะคะ เดี๋ยวป้าโทรฯ เชิญคุณนินทร์มากินข้าวเย็นด้วยกัน”
 
“แต่…”
 
“นะคะ…หนูมนต์บอกว่าชอบบรรยากาศสวน นี่ยิ่งตอนเย็นยิ่งร่มรื่น ดอกโมก ดอกแก้ว อีกทั้งลำดวนจะแข่งกันส่งกลิ่นหอมเชียว” โฉมฉายชักชวนแล้วหันไปทางชายหนุ่ม “คุณณุดูแลหนูมนต์ด้วยนะคะ ป้าขอตัวไปเตรียมกับข้าวเย็นนี้ก่อน”
 
มณิกานต์มองตามหญิงชราที่เดินออกไป แล้วจึงหันมาทางคนที่เข้ามานั่งเอนพิงหลังในศาลากลางสวนอย่างสบาย
 
ถึงจะนั่งใกล้กันแค่เอื้อม แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าความคิดของเขานั้นล่องลอยไปไกลนัก
 
เขาคุยเรื่องงานกับลูกน้องคนสนิทนานหลายชั่วโมง และแม้ตอนนี้ก็ยังคิดแต่เรื่องงาน
 
งานมันสำคัญมากขนาดนี้เชียวหรือ
 
“บรรยากาศออกสบาย ยังจะทำหน้าเครียดอีก” เธอทักด้วยเสียงสนุกหลังเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นนิ่งไปนาน “คิดมากแก่เร็วนะ”
 
“ผมต้องคิดมาก…” เขานิ่งไปดุจหาคำพูด แววตาทอดมองอย่างตริตรอง “เพราะผมคิดถึงคุณ”
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 
 

 


Create Date : 17 ตุลาคม 2562
Last Update : 17 ตุลาคม 2562 19:20:30 น. 0 comments
Counter : 556 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.