Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
2 ตุลาคม 2562
 
All Blogs
 

คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 5) โดย มานัส


บทที่ 5
 
ถ้าจะถามว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน หญิงสาวยังไม่สามารถตอบได้ รถสปอร์ตวิ่งอยู่หลายชั่วโมงบนถนนในเมืองแล้วทยานสู่เส้นทางหลวงออกต่างจังหวัด จนสัญญาณของรถเตือนว่าน้ำมันใกล้จะหมด เธอจึงหักเลี้ยวเข้าปั๊ม
 
มณิกานต์เลือกที่จะตรงเข้าไปจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อ  แล้วพลันซบหน้าลงกับพวงมาลัยรถอย่างคนสิ้นหวัง…หมดแรง
 
กลับบ้าน…ก็มีแต่เรื่องทุกข์
 
พ่อ…ทำให้ทุกข์
 
แม่…ไม่อยู่เพื่อปลอบให้คลายทุกข์
 
หรือว่าเธอจะไม่มีที่ไปจริงๆ
 
หญิงสาวตัดสินใจก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าสะพายที่ถือติดมือมา แล้วตรงเข้าไปในห้องน้ำของสถานที่
 
ดวงตาที่จ้องกลับจากในกระจกหยาบนั้นบวมจัดดูอิดโรย มณิกานต์จัดแจงล้างหน้า สายน้ำเย็นพอช่วยคลายความอ่อนล้าได้บ้าง แต่ไม่สามารถลบเหตุการณ์ชีวิตที่อยากลืมได้
 
ภายในเวลาไม่กี่วัน เธอถูกคนที่รักที่สุดสองคนทำร้ายจิตใจอย่างไร้ความปราณี
 
หญิงสาวกัดริมฝีปากเบาๆ เสียงสะอื้นถูกสะกดไว้ แว่นตาดำกันแดดหยิบมาสวมปิดบังความอ่อนแอ มณิกานต์ไม่ชอบเลย…สายตาที่มองอย่างระคนสงสัยกับทุกย่างก้าวที่อ่อนแรง แม้เมื่อเธอเดินมาข้างในศูนย์อาหารขนาดเล็กของปั๊มน้ำมันแห่งนี้แล้ว
 
ร่างกายที่อยู่ได้ด้วยน้ำเปล่าและน้ำใจจากเพื่อสนิทมาหลายวัน บังคับให้เธอเลือกแกงจืด ด้วยหวังว่าจะช่วยให้ลื่นคอบ้าง หากพอเอาเข้าจริงหญิงสาวกลับไม่สามารถกลืนได้ลง คงมีเพียงน้ำเปล่าขวดย่อมที่ให้ความชุ่มฉ่ำในเวลานี้
 
จนเมื่ออารมณ์แห่งความเสียใจเริ่มก่อตัวอีกครั้ง ร่างระหงซูบเซียวจึงเดินอย่างอ่อนล้าไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ ดวงตาใต้แว่นดำมองไปรอบๆ พร้อมอาการเจ็บแปลบที่สะท้านในหัวใจ หากแล้วรถโดยสารประจำทางคันสีขาวฟ้าที่กำลังเติมน้ำมันอยู่นั้นทำให้หญิงสาวต้องเพ่งมอง ข้างรถนั้นบอกเส้นทางการวิ่งระหว่างจังหวัด…
 
บางที…มันอาจเป็นที่ให้เธอหนีเหตุการณ์ปวดร้าวที่เผชิญอยู่
 
และไร้การลังเลใดๆ ทั้งสิ้น มณิกานต์เดินไปยังรถทัวร์คันนั้น พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา…หาเจอแล้วคนที่จะเป็นที่พึ่งของเธอในตอนนี้
 
 
ห้าวันแล้วที่พริมาไม่ได้คุยกับเขาเลย ผู้ชายคนนั้นจะรู้บ้างไหมว่าเธอเสียใจแค่ไหน เขาจะเข้าใจไหมว่าเพราะความน้อยใจทำให้เธอพูดแบบนั้นไป ชิษณุเจ้าทิฐิ ถ้าเขาเกลียดแล้ว ก็คือเกลียดเลย และถ้าเขาเกลียดจนไม่ยอมให้อภัย…เธอควรทำอย่างไร
 
ความกลัวที่จะเสียเขาไปทำให้พริมาตัดสินใจมาคอยที่ล๊อบบี้ของโรงแรมในตอนค่ำ
 
“คุณชิษณุยังไม่กลับครับ” คำรายงานจากผู้รักษาความปลอดภัยในสูทและเน็คไทสีเข้มเป็นไปทันทีอย่างรู้หน้าที่
 
“จะขึ้นไปรอข้างบน” น้ำเสียงแข็งบอก รออีกฝ่ายกดปุ่มเรียกลิฟต์ตัวพิเศษให้เช่นเคย 
 
ข้างบน…มีที่รับรองเป็นสัดส่วนสำหรับแขกพิเศษ
 
น้อยคนนักที่จะมีอภิสิทธิ์ได้ขึ้นมา และพริมาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น เธอรอจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมคนร่างสูงก้าวที่ออกมา ดวงหน้าของเขาไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ
 
“เข้าไปข้างในแล้วค่อยคุย” ชิษณุเบือนหน้า ไม่มองอีกฝ่ายที่พยายามยิ้มประจบ
 
เขากดรหัสเพื่อเข้าไปข้างใน แล้วเปิดไฟจนสว่างไป ก่อนเดินเข้าไปในห้องทำงาน จัดแจงวางกระเป๋าหนังสีดำไว้บนโต๊ะ
 
เสื้อนอกสีเข้มถูกถอดออกวางพาดกับที่แขวนอย่างเรียบร้อย เน็คไทที่สวมถูกปลดออกและวางทาบบนเสื้อนั่นอีกที
 
ความเงียบของเขาทำอีกฝ่าย…หนักใจ
 
“หายโกรธพริมหรือยัง” เสียงหวานทอดประจบ เธอสวมกอดเขาจากด้านหลัง “พริมผิดไปแล้ว ณุยกโทษให้พริมนะ หลายวันมานี่พริมไม่มีความสุขเลย กลัวว่าณุจะโกรธ จะเกลียดพริม ณุจะด่าจะว่ายังไงก็ได้แต่อย่าเย็นชากับพริมเลย”
 
ชิษณุยังคงนิ่งราวชั่งใจก่อนจะหันไป ดวงตาแข็งกร้าวอ่อนลงเล็กน้อย อ้อมแขนสวมกอดร่างบอบบางไว้หลวมๆ
 
“ผมเองก็เสียใจที่มีเวลาให้พริมน้อยไป” น้ำเสียงทอดลง หากไม่อ่อนหวาน “ผมก็พยายามให้เวลากับพริมเท่าที่ผมจะทำได้ แต่พริมต้องเข้าใจนะว่างานของผมสำคัญมากแค่ไหน”
 
“พริมรู้ พริมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ณุลำบากใจอีก พริมขอโทษ” ทั้งคำพูดและรอยยิ้มของเธอนั้นมาจากห้วงหัวใจ
 
ริมฝีปากนุ่มเผยอรับจูบละมุนจากเขา
 
ในเวลานี้รอยสัมผัสของพริมาบ่งบอกถึงไฟที่อยู่ในตัวเธอ ชิษณุรู้ดีว่าหัวใจของหญิงสาวอยู่ในกำมือของเขา  เหมือนร่างกายเธอที่เป็นเช่นนั้นมาหลายปี จากเด็กสาวที่เคยอยู่ในวงล้อมของพ่อแม่และพี่ๆ ที่ต่างรุมเอาใจสารพัด เมื่อมาอยู่ลำพังคนเดียวในต่างแดน พริมาจึงยึดเขาเป็นที่พึ่ง เป็นทั้งเพื่อน พี่ และคนรัก
 
แต่ความรักของพริมาไม่อาจเปลี่ยนเขาได้  
 
ไม่สามารถคว้ารักจากเขาได้
 
เพราะชิษณุ…เกือบรักแต่ไม่รัก
 
เพราะ ‘ภาระหน้าที่’
 
เพราะความแค้นนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งไหนจะมาเสมอเหมือน
 
ที่เขาปรนเปรอพริมาหรือผู้หญิงอื่นมันก็แค่...ฉาก บท ที่ปดแสดง  
 
และแม้เมื่อ บท ในคืนนี้จบแล้ว แต่เขาก็ยังกอดประคองร่างบางนั้นอยู่แนบชิด ราวสนิทเสน่หา
 
“ผมไปธุระที่ญี่ปุ่นมา มีขนมมาฝากพริมด้วย” ชิษณุทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าอีกฝ่ายรั้งร่างเขาไว้
 
“ณุน่ารักที่สุด” พริมาหอมแก้มเขาอย่างเอาใจ ซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง
 
ชิษณุกอดร่างนั้นไว้ ทว่าความคิดกลับอยู่ที่…งาน
 
การเจรจาซื้อเครื่องจักรตัวใหม่จากญี่ปุ่นสำหรับโรงงานผลิตผลไม้และน้ำผลไม้กระป๋องนั้นสำเร็จด้วยดี ไม่ต่างจากแผนงานต่างๆ ที่วางไว้
 
“ช่วงนี้เหนื่อย อยากหาเวลาพัก” น้ำเสียงทอดลงนุ่มนวล “ถ้าพริมว่าง เสาร์อาทิตย์นี้เราไปหัวหินกันไหมครับ”
 
“จริงๆ นะ” พริมาแทบไม่อยากเชื่อ นานทีปีหนที่เขาจะชวนเธอเที่ยว
 
“ผมเคยพูดเล่นเหรอ เสร็จงานที่ญี่ปุ่นแล้วก็โล่งใจ เลยอยากหาโอกาสพัก เพราะอาทิตย์หน้าผมต้องขึ้นไปดูโรงงานน้ำตาล” เขาลูบใบหน้าที่มองมาด้วยความรักเสมอ “ว่าแต่พริมมีนัดกับใครหรือเปล่า”
 
“ไม่มี” เธอตอบทันที เพราะต่อให้มีก็ยกเลิกได้
 
ความสำคัญของชิษณุนั้นมีมากกว่าพวกผู้ชายที่เธอคบแก้เบื่อ
 
รอยจูบเบาๆ ของเขาที่ประทับบนดวงตาสวยนั้นบ่งบอกว่าเขารู้ซึ้งถึงความรู้สึกของเธอ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาสามารถตอบแทนให้ได้นั้นมีเพียงเท่านี้
 
เพราะถ้าจะรัก ก็ต้องรักทั้งหัวใจ ไม่เช่นนั้น…อย่ารักเสียเลยดีกว่า 
 
 
ดิลกยืนนิ่งมองรถยุโรปสีแดงอย่างเงียบๆ
 
เป็นเวลาเดือนกว่าแล้วที่ลูกสาวคนเดียวของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
 
เมื่ออาทิตย์ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าพบรถยนต์คันนี้ในปั๊มน้ำมัน รอบรถมีร่องรอยการงัดแงะ ทั้งล้อแม็กซ์และอุปกรณ์ราคาแพงในรถโดนขโมยไป หากที่สำคัญที่สุดที่ทำให้หัวใจคนเป็นพ่อแทบสลายคือความมืดมนของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของลูก
 
‘เพราะไอ้ความบ้าตัณหาของคุณทำให้ลูกต้องเสียใจ จะไปเสพสุขที่ไหนก็ไม่ไป ต้องหิ้วกันกลับมานอนกกในบ้าน สะใจแล้วล่ะซิที่ลูกไม่อยู่เป็นก้าง’ มณีรัตน์อดีตภรรยาของเขาบินด่วนกลับมาจากเมืองนอก ตวาดใส่หน้าเขาอย่างขมขื่นพร้อมคำบริภาษอีกหลายคำ
 
ดิลกจ้างนักสืบ แต่ก็ไร้วี่แววใดๆ แม้แต่การสอบถามบรรดาเพื่อนสนิทของบุตรสาว ก็ไม่สามารถให้เบาะแสเพิ่มเติม นอกจากความจริงที่เขารับรู้ด้วยความโกรธ
 
มณิกานต์เสียใจเพราะเขตต์!
 
ถ้าไม่มีเรื่องไอ้ผู้ชายคนนั้นมาก่อน ลูกสาวของเขาคงไม่เสียใจถึงขนาดนี้
 
เมื่อรู้อย่างนั้นเขาจึงสั่งยกเลิกงานที่ทางบริษัทจ้างบริษัทของเขตต์ มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสะใจ พอใจ และใจเย็นลงบ้างในเวลานี้
 
ไม่สนว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อ…อดีตว่าที่ลูกเขย
 
“มีปัญหาอะไรกับลูกคุณดิลกวะ” ผู้เป็นเจ้านายตะโกนถามเขตต์อย่างหัวเสีย “แกรู้ไหมว่าเราไม่ได้เลยสักงานที่ไปบิด[1] กับบริษัทที่คุณดิลกถือหุ้นและนั่งเป็นกรรมการอยู่ นี่คุณดิลกยกเลิกการเซ็นสัญญาจ้างงานทุกอย่าง”
 
“อะไรนะ” เขตต์ตกใจ รายได้ของบริษัทที่จะแปลงเป็นโบนัสปลายปีของเขาในฐานะที่ปรึกษากฎหมายสูญสลายหายไป “แล้วเขาไม่ให้เหตุผลเหรอ”
 
โครงการเหล่านี้หากรวมกับงานที่เคยไปเสนอทำนั้น มูลค่าว่าจ้างก็เป็นเลขหลายสิบล้านบาท
 
“เหตุผล เหตุผลอะไร?” ผู้เป็นนายจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง “เขาบอกว่าไม่แน่ใจในจรรยาบรรณคนของบริษัทเรา ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพในการทำงาน”
 
ทว่าเขตต์ย่อมรู้ เพราะมณิกานต์!
 
ตอนนี้…สูญเสียแล้วทุกอย่าง เพราะความนึกสนุกชั่ววูบกับศลิษา
 
มาถึงตอนนี้ ถ้าระหว่างเขากับมณิกานต์ต้อง…จบ
 
เวลาที่เขาทุ่มเทคบกับเธอก็สูญเปล่า
 
‘พ่อของมนต์โคตรรวย เจ้าของบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ เงินถุงเงินถัง แถมมรดกเก่าของแม่อีกเพียบ’
 
เขตต์จำได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งเคยชี้ให้ดูนักเรียนไทยน้องใหม่ ร่างระหงอรชร ใบหน้าสวยอ่อนโยนมีเสน่ห์ชวนมอง
 
‘จะจีบติดเหรอวะ หนุ่มๆ ติดกันเกรียว บางรายขับข้ามรัฐมา ชียังไม่สนใจเลย’
 
ถึงจะถูกเตือนแต่เขามั่นใจว่า จะต้องเป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้นไห้ได้  และใช้เวลาไม่นาน ก็สำเร็จดั่งที่ต้องการ
 
“ผมเลิกกลับลูกสาวเขา” เสียงของเขตต์ในเวลานี้ลดลงต่ำ สารภาพในความไม่จริงเสียทีเดียว “เขาคงโกรธเลยเอาเรื่องส่วนตัวมาตัดสินเรื่องงาน”
 
“แกบอกเลิก?”
 
“ก็ทำนองนั้น” เรื่องนี้เขาพูดได้ไม่เต็มปาก
 
“เลิกกันตอนไหนไม่เลิก ดันมาเลิกตอนนี้” ผู้เป็นนายถอนหายใจ เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวนั้นตัดกันไม่ขาด “น่าจะรออีกซักสี่ห้าเดือน นี่เสียเวลาไปฟรีๆ เงินก็ได้แค่เศษเงิน  ได้ยินว่าคุณดิลกรักลูกสาวมาก เพิ่งเห็นก็ตอนนี้”
 
เขตต์ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าคำว่าขอโทษจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเขาก็พร้อมที่จะทำ…ต่อให้ต้องคุกเข่าเพื่อให้มณิกานต์ยกโทษ เขาก็ยอม
 
งาน เงิน ทรัพย์สมบัติ ผู้หญิงที่พร้อมเช่นนี้มิใช่หายได้ง่ายๆ
 
 
แสงอาทิตย์ยามเย็นยังคงทอแสง หากไม่แรงกล้าเช่นก่อนหน้านี้ แสงอ่อนร่ำไรทำให้สบายตา สบายใจ  ใจ…ไม่ร้อนรุ่มอย่างที่ควรเป็น
 
ร่างสูงนั่งเหยียดขากับพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ริมยอดเนินที่มองเห็นต้นข้าวชูสบัดช่อ เขียวขจีไปสุดลูกตา ลมที่พัดโชยมาเป็นระยะทำให้ใบของเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่รอบตัวเขาไหวปลิวโบกตามแรง
 
ดวงหน้าที่เคยฝืนยิ้มเพราะหน้ากากสังคมแย้มออก สดใสด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย   ดวงตาที่เคยแฝงความเย็นชาเพราะแรงอาฆาตแค้น กลับปรากฎแววอ่อนโยน ล้วนเป็นสิ่งที่ใครคนอื่นไม่มีโอกาสเห็นบ่อยนัก
 
อีกนานกว่าชิษณุจะลุกขึ้น เดินกลับมายังรถโฟร์วิลส์คันใหญ่
 
“ไม่ได้กลับมาเสียนาน…นานเกินไป”
 
รถยนต์คันงามเคลื่อนออกช้าๆ ดวงตาของคนขับมองสองข้างทาง ความทรงจำทำให้รอยยิ้มละมุนคงฉายอ่อนๆ
 
ทว่าบางความคิด…ทำให้ดวงตาของเขาฉาบแววแข็งกระด้าง ริมฝีปากเม้มตึง
เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน                   ค่ำลงแล้วจะนอนที่รังไหน
นอนไหนก็นอนได้                                สุมทุมพุ่มไม้ที่เคยนอน
ลมพัดมาอ่อนอ่อน                                 เจ้าก็ร่อนไปตามลมเอย
ดอกเอ๋ย…                                     เจ้าดอกขจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อน                                ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย[2]
 
‘สงสารนกขมิ้นนะป้าโฉม มันไม่ได้กลับบ้านซะที’ ในวัยเด็กเขาเคยปรารถกับพี่เลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง
 
และเมื่อถึงคราวที่เด็กชายต้องโผผินบินจรเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ  คำพูดของเขาก็จะต่อด้วย
 
‘เหมือนผมเลย เร่ร่อนหลงทางไปทั่ว’
 
‘โถพ่อคุณ เร่ร่อนเสียที่ไหน โรงเรียนประจำที่โน่นมีที่พักมีเพื่อน แล้วยังมีคุณป้าอยู่เมืองใกล้ๆ อีกแน่ะ’
 
‘แล้วจะได้กลับบ้านมั้ย’ ชีวิตของเด็กในวัยสิบขวบผูกพันกับบ้าน และคนในบ้าน
 
‘กลับซิคะ พอปิดเทอมคุณณุก็ได้กลับบ้าน พอเรียนจบแล้วก็กลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ มาอยู่บ้านเรานี่แหละค่ะ’
 
 
เพราะพื้นที่สองข้างทางเป็นสวนเกษตรกรรม ถนนแคบในอำเภอเล็กๆ จึงมีทั้งรถกระบะและรถเครื่องการเกษตรใช้ถนนเป็นประจำ ทำให้ถนนลาดยางเกิดเป็นหลุม และกลายมาเป็นบ่อที่มีน้ำขังจากฝนที่ตกลงหนักเมื่อตอนเที่ยงวัน
 
รถโฟร์วิลส์สีเข้มพยายามหักหลบหลุมเล็กหลุมใหญ่ ที่มีให้ผจญเป็นระยะ ไม่ต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ทั้งวิ่งผ่านและสวนมา ต่างพยายามหลบหลุมหลบบ่อเช่นกัน บ้างก็พ้น บ้างก็ตกลงไปในหลุมเล็กๆ จนน้ำโคลนสาดกระเซ็น แม้แต่จักรยานคันเก่าที่สวนมายังต้องวิ่งริมไหล่ทาง ราวหลบทั้งหลุมกลางถนนและรถที่วิ่งไปมา
 
ถนนที่ทั้งเล็กทั้งแคบประจวบกับที่มีรถกระบะคันใหญ่สวนมาด้วยความเร็วแล้วหักเบียดจนเกือบชิดเพื่อหลบหลุมใหญ่ที่อยู่อีกด้าน ทำให้คนที่ประคองรถโฟร์วิลส์อย่างใจเย็นเผลอหักหลบเข้าซ้าย
 
การหักหลบอย่างกระทันหันทำจักรยานคันนั้นถลาล้มลงไปริมทาง
 
ล้ม…ยังดี
 
เพราะถ้าชน…คงสาหัส
 
“ไอ้บ้า! ถือว่าเป็นรถใหญ่หรือไง นึกจะเบี้ยวซ้ายเบี้ยวขวาก็ขับตามใจ” คนที่ล้มลงไปจนหัวเข่าถลอกตะโกนบริภาษอย่างหัวเสีย “ใหญ่นักหรือไง นี่ถนนหลวงนะ ไม่ใช่ถนนส่วนตัว”
 
“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนขับรถโฟร์วิลส์คันใหญ่ที่รีบลงมานั้นไม่ถือสาอาการเกี้ยวกราดของอีกฝ่าย
 
“ล้มไปอย่างนี้มันก็ต้องเจ็บน่ะซิ” อีกฝ่ายสวนทันควัน “มาลองบ้างไหม ถามมาได้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ตามีให้ดู ก็ดูซะบ้าง ไม่เห็นหรือไงว่าล้มคลุกอยู่กับพื้นเนี่ย ขับรถประสาอะไร ซื้อใบขับขี่มาเหรอ คิดจะฆ่าแกงกันเลยหรือไง” คนที่ตวาดใส่เสียงดัง พยุงตัวลุกขึ้นรู้สึกเจ็บนิดหน่อยตรงข้อศอกและหัวเข่า “แล้วนี่ไม่มีมารยาท ไม่คิดจะขอโทษ…”
 
เสียงใสแจ้วพลันหยุดเมื่อเห็นว่าคู่กรณีคือใคร
 
ถึงเขาจะสวมแว่นตากันแดด และอยู่ในชุดลำลองการเกงยีนส์เสื้อยีดสีเข้มธรรมดา แต่เธอก็จำได้!
 
“นี่พักหายใจก่อนโวยวายต่อใช่ไหม” ชิษณุยิ้มขบขัน “แต่พูดได้แจ้วๆ แบบนี้ก็คงไม่เป็นไรมากหรอก ไกลยมบาล”
 
ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ ดวงหน้าของหญิงสาวใต้หมวกสีครีมใบเก่า ยังคงประกายโกรธจัด ทว่าเธอกลับก้มหน้าลงต่ำ ไม่มองเขา   
 
“เล่นพ่นใส่ซะอย่างนี้ใครเขาจะไปพูดอะไรได้ทัน ผมกำลังจะขอโทษอยู่พอดี แต่ไม่มีโอกาสแทรก แล้วคุณล่ะทำไมไม่วิ่งด้านซ้าย กลับมาวิ่งด้านนี้ของถนน”
 
“ข้างทางฟากโน้นมันลาดลงไปลึก ขืนขับด้านนั้นแล้วเจอคนขับแย่ๆ อย่างคุณมาเฉี่ยว ฉันมิต้องเจ็บตัวไปมากกว่านี้เหรอ จะมาหาว่าฉันขับรถผิดทางเองงั้นซิ” พลันดวงตาคู่นั้นปราดมองเอาเรื่อง
 
หากชิษณุเพียงหันเดินไปยกรถจักรยานคันเก่าขึ้น จัดแจงเก็บข้าวของที่หล่นกระจายจากตระกร้าหน้ารถ
 
ดูจากผงซักฟอกขนาดกะทัดรัด และของใช้ภายในบ้านอีกสามสี่อย่าง ก็พอเดาได้ว่าเจ้าหล่อนคงไปซื้อจากร้านขายของชำเล็กๆ ที่อยู่บนถนนใหญ่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร
 
และเมื่อรวบรวมของทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกครบแล้ว เขาจึงวางมันในตระกร้าหน้าจักรยานคันเก่า
 
“กลับไหวหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามคนที่กำลังมองเขาอย่างพิจารณา
 
“ไหว” คำตอบห้วน เป็นสิ่งที่คนฟังไม่เคยได้ยินจากใครมานานมากแล้ว
 
“บ้านอยู่ไหน” ใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตร ทว่าคนถูกถามกลับมองเขาอย่างระแวง จนชิษณุต้องย้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ถามว่าบ้านอยู่ไหน ไกลมั๊ย”
 
“เรื่องอะไรต้องบอก” มณิกานต์ขึ้นนั่งบนจักรยาน ปัดขาตั้ง
 
“ที่ถามน่ะเผื่อว่าจะได้ไปส่ง เห็นว่าคงจะเจ็บทีเดียว ล้มไปอย่างนั้น”
 
“ไปเองได้” คนพูดทิ้งคำไว้แค่นั้น แล้วปั่นรถจักรยานออกตัวไปช้าๆ
 
ปล่อยให้คนที่ยืนอยู่ริมถนนมองตาม จนจักรยานคันเก่าห่างออกไปไกลจนลับตา
 
 
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที รถโฟร์วิลส์คันงามก็เลี้ยวเข้ามาภายในบริเวณอาณาเขตกว้างที่ล้อมรอบด้วยรั้วสูง
 
ที่นี่…บ้าน!
 
บ้านที่เคยมีแต่ความสุขสมบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม
 
บ้านที่เขาเคยสู้สุดลมหายใจ เพื่อปกป้อง รักษา มิให้ใครช่วงชิง
 
เขาเสียทุกอย่างได้ แต่บ้าน…ต้องอยู่
 
เพราะที่บ้าน…ยังมีหลายชีวิตที่ต้องพักพิงอาศัย มีความทรงจำของความผูกพัน
 
บ้าน…ประกอบด้วยที่ดินหลายสิบไร่ แบ่งพื้นที่ใช้สอยได้ลงตัว ทั้งไร่ผลไม้ขนาดย่อม และส่วนที่แบ่งเป็นสวนสวยรายล้อมบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน
 
สวนกว้างร่มรื่นด้วยพรรณไม้ใหญ่น้อยนานาชนิด ถูกจัดอย่างสวยงาม คู่ไปกับพื้นหญ้าเขียวขจีที่ได้รับการดูแลอย่างดีไม่ต่างกัน  
 
ชิษณุจอดรถหน้าทางเข้าบ้าน พอก้าวลงแล้วจึงหันไปสั่งกับชายชุดซาฟารีสีเข้มที่ก้าวออกมารออย่างรู้หน้าที่ 
 
“ยังไม่ต้องเอารถไปเก็บ” ว่าแล้วเขาก็เดินผิวปากเข้าไปข้างใน ส่งเสียงตะโกนเรียก “ป้าโฉม…ป้าโฉมครับ”
 
เสียงสดใส แววตาอ่อนโยน ไร้ความเย็นชาเช่นที่คนกรุงเทพมักเคยชิน
 
บ้าน…ทำให้เขาเป็น…คนที่มีหัวใจบ้าง
 
เป็นคนที่คิดถึง…หัวใจของคนอื่นบ้าง
 
ร่างสูงเดินมาถึงครัวใหญ่ทันสมัยที่เชื่อมกับตัวบ้าน แสงธรรมชาติในตอนกลางวันส่องผ่านหน้าต่างและประตูหลังครัวที่เปิดกว้างรับอากาศแสนสบาย เสียงสั่งงานทำให้ชายหนุ่มหยุดหน้าประตู อมยิ้ม มองภาพตรงหน้าที่มีกลุ่มผู้หญิงสามคนกำลังวุ่นกับการเตรียมอาหาร
 
“ทำอะไรครับเย็นนี้” เขาโพล่หน้าเข้าไปถาม สูดกลิ่นเนื้อย่างหอมฟุ้ง
 
“แกงขี้เหล็กหมูย่าง ปลาทับทิมทรงเครื่อง แล้วก็แตงกวาผัดไข่ คุณณุหิวแล้วหรือคะ” หญิงวัยเลยกลางคนร่างท้วมนิดๆ ยิ้มให้ชายหนุ่มที่กำลังกอดอกมองมา
 
“ยังครับ แต่ว่ากลิ่นหมูย่างของป้าโฉมนี่หอมจัง ยังพอมีเหลือไหม ผมขอแยกไว้กินกับน้ำจิ้มแจ่ว เรียกน้ำย่อยสักครึ่งจานนะครับ”
 
“ได้ซิคะ” โฉมฉายจัดแจงตระเตรียมตามที่ผู้เป็นนายขอ “ว่าแต่วันนี้คุณณุได้เจอคุณหมอหรือเปล่าคะ”
 
“ไม่ครับ สงสัยเข้าเวร โทรฯ เข้ามือถือก็ไม่ติด”
 
“แล้วเจอคนอื่นไหมคะ” ผู้สูงวัยกว่าดูจะเน้นคำว่า คนอื่น เป็นพิเศษ
 
“ใคร?” คิ้วเข้มขมวดด้วยความฉงน “ไม่เห็นใครนะครับ บ้านก็ปิดเงียบ” ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องกินข้าว นั่งประจำที่ โดยมีแม่บ้านอาวุโสตามหลังมาพร้อมจานหมูย่างที่ส่งกลิ่มตลบอบอวน “อรมาเหรอครับ”
 
“คุณณุต้องถามคุณนินทร์เองค่ะ ป้าก็ไม่รู้หรอก”
 
การบอกไม่เต็มคำ คนฟังรับรู้ถึงความผิดปรกติแต่ไม่ได้ซักไซ้
 
“พรุ่งนี้จะแวะไปหาพี่นินทร์อีกทีก่อนกลับกรุงเทพฯ”
 
“อะไรกันคะ! จะรีบกลับไปไหนกัน มาบ้านยังไม่ทันให้ป้าได้ชื่นใจเลย นี่กลับไปหาสาวที่ไหนล่ะคะ”
 
“ไม่มีสาวที่ไหนทั้งนั้นล่ะครับ มีแต่งาน ผมน่ะคิดถึงป้าโฉมจะตาย อยากอยู่บ้าน กินอาหารอร่อยๆ ที่ป้าโฉมของผมทำ”
 
“ก็ทำไมไม่หยุดเสียทีล่ะคะ เดือนๆ หนึ่งกลับมาแค่ครั้งสองครั้ง มาทีก็ค้างแค่คืนสองคืน” โฉมฉายถอนหายใจ มองชายหนุ่มที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก “พักบ้างเถอะค่ะ กี่ปีแล้วที่คุณณุต้องเหนื่อย หาความสุขให้ตัวเองบ้าง อะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อย วางได้ก็วางเถอะค่ะ”
 
“ผมไม่สามารถมีความสุขได้ หัวใจของผมปล่อยวางไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้แก้แค้น” เสียงนั้นแข็งขึ้นเพียงนิด เพราะความขุ่นมัวในใจที่เกาะมานานแสนนาน “ป้าก็รู้นี่ครับว่าสิ่งใดที่เป็นของผมอย่างชอบธรรม แต่ถูกคนอื่นฉกฉวยขโมยไป ผมในฐานะเจ้าของมีสิทธ์ที่จะทวงคืน”
 
“มันนานมาแล้ว…”
 
“ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็จะเอาคืน แต่ป้าไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานที่เราจะชนะแล้ว และจะไม่มีใครทำร้ายเราได้อีก”
 
ป้ากลัวแต่คุณจะทำร้ายตัวเองซิคะ…หญิงชราได้แต่บอกอยู่ในใจเท่านั้น
 
ความชิงชังที่ฝังในหัวใจ
 
ความโกรธ ความเกลียด มีแต่จะทำร้ายคนที่ยึดมันไว้
 
โฉมฉายมองชายหนุ่มที่เธอเลี้ยงดูมากับมือ รู้ดีว่าคนอย่างชิษณุไม่ว่าใครก็เปลี่ยนใจเขายาก เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่วันนี้…ก็วันหน้า
 
“ค่ะ ป้าจะรอวันนั้น ถ้ามันจะทำให้คุณณุของป้ามีความสุขเสียที”
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ

ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====

 
[1] Bid : ในกรณีนี้หมายถึงการเสนอตนเพื่อที่จะรับงาน
[2] “นกขมิ้น” ประพันธ์ท่อนโดยนายมนตรี ตราโมท



 




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2562
0 comments
Last Update : 2 ตุลาคม 2562 19:19:58 น.
Counter : 629 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.