Group Blog
 
<<
มีนาคม 2563
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
26 มีนาคม 2563
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 26) โดย มานัส

บทที่ 26
 
“เรียบร้อยครับ ข้อมูลที่คุณคฑาต้องการ”
 
สีหน้าของอธิปเมื่อรายงานผู้ชายวัยกลางคนนั้นปราศจากอาการเหน็ดเหนื่อยของการวิ่งวนตามไซท์งานหลายโครงการ
 
“ขอบคุณ” ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานที่เกลื่อนไปด้วยเอกสารและแบบงานก่อสร้าง รับแฟ้มใหญ่จากอีกฝ่ายมาเปิดดู “คุณทำได้ละเอียดมาก”
 
ชายหนุ่มที่ยืนหลังอีกฟากโต๊ะได้แต่ยิ้มกว้างตามนิสัยของคนอารมณ์ดี
 
จะไม่ให้ละเอียดได้อย่างไรเล่า เขาใช้เวลาหลายวัน คนหลายคนในการหาข้อมูลการก่อสร้าง และตรวจกำลังการทำงานของตนเองและคู่แข่งหลายราย 
 
ครั้งนี้ไม่ยากเหมือนตอนทำรายงานนี้ครั้งแรก…เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว
 
จะเอาไปทำไมวะ ซ้ำซาก…เสียงบ่นของลูกน้องไม่ต่างจากที่เขาบ่นกับตัวเอง
 
“แล้วงานล่าสุดที่เราเพิ่งประมูลไปเป็นอย่างไรบ้าง” คฑาเงยหน้าขึ้นมาถาม
 
“ทางโน้นยังไม่ได้ตอบกลับมาครับ แต่ผมลองสืบดูแล้ว คู่แข่งเจ้าอื่นไม่น่ากลัว  เว้นแต่ของคุณดิลกที่อาจจะตัดราคาเราได้” ประโยคหลังแฝงความไม่มั่นใจ เพราะการประมูลครั้งนี้เป็นการแข่งทางราคา ใครเสนอต่ำกว่ากัน ใครยอมเฉือนเข้าเนื้อตัวเอง…ย่อมมีโอกาสชนะ
 
“เสือเฒ่าคงมีไม้เด็ด” ด้วยประสบการณ์ขบเขี้ยวกันมาหลายปี คฑาย่อมรู้ และยังรู้ว่า… “ดูเหมือนคุณไม่ค่อยอยากรับงานนี้เท่าไร”
 
“ผมกลัวว่าค่าเหนื่อยจะไม่คุ้มครับ” ชายหนุ่มแสร้งหัวเราะ
 
เพราะว่าเขาเป็นผู้ควบคุมโครงการ อธิปจึงรู้ว่างานที่บริษัทรับมาช่วงหลังนั้นมีกำไรพออยู่ตัว ไม่หวือหวาให้ผลตอบแทนเม็ดงามเหมือนงานก่อนๆ
 
ก็คงเพราะแผน เพราะเกมอะไรสักอย่างที่ทำให้…ไอ้ณุมันแพ้ไม่ได้!
 
ทว่าผู้เป็นหัวหน้าไม่ตอบรับอะไรกับความเห็นของลูกน้อง เขายิ้มเพียงเล็กน้อย และทันทีที่อธิปเดินออกไป คฑาจึงยกสายโทรศัพท์
 
“คุณณุ…ผมได้ข้อมูลเรียบร้อยแล้วครับ เท่าที่ดูผมคิดว่าเรามีโอกาสชนะคุณดิลกได้อีกครั้งแน่ๆ” ด้วยประสบการณ์เขามั่นใจว่าไม่พลาดแน่นอน
 
“คราวนี้คงกระอักเจียนตาย…” เสียงเรียบจากปลายสายบอกเช่นนั้น
 
เพียงแต่ว่าเมื่อวางสายแล้วคนที่อยู่ปลายสายกลับนั่งนิ่ง ใช้มือข้างหนึ่งคลึงเบาๆ ตรงขมับ ที่บีบอย่างเจ็บปวดเพราะความคิดร้อยแปดที่แล่นเข้ามา
 
…ไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับเสียแล้ว
 
 
เหมือนเช่นทุกเช้า เมื่อมาถึงอาคารที่ตั้งของสำนักงานแล้ว พริมาจะต้องลงมานั่งจิบกาแฟที่ร้านชั้นล่าง  บางครั้งกับเพื่อนร่วมงานคนหรือสองคน แต่เช้านี้มีเพียงเธอที่นั่งลำพังคนเดียว
 
เพราะความเคยชิน หญิงสาวจจจึงหยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขที่คุ้นเคย และต้องถอนหายใจเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากทางโน้น นั่นทำให้เธอคิดและพลอยคิดถึงเขามากขึ้นในทุกวินาที ทว่าความคิดทั้งหมดก็พลันมลายหายไป
 
“คุณชอบดื่มเอสเปรซโซ่เหมือนผมเลย จะต่างก็ที่ขนาดเท่านั้นเอง ของผมต้องแก้วใหญ่เท่านั้น” อธิปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ไม่ใส่ใจในอาการตกใจของอีกฝ่าย “ไงครับ โทรฯ หาเขาไม่ติดหรือไง เดี๋ยว…” เขาคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้เมื่อเธอลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป “จะมาส่งข่าวเรื่องสุดที่รักของคุณ ผมเพิ่งเจอเขาไม่กี่วันนี่เอง”
 
“เรื่องของคุณ มาบอกทำไม” หญิงสาวสะบัดมือออก
 
“คุณน่าจะอยากรู้ เพราะเหมือนว่าคุณจะติดต่อหาเขาไม่ได้นะ ก็แน่แหละคนมันกำลังมีความสุข” เทวัญยักไหล่ “มีสาวสวยอยู่เคียงข้างดื่มด่ำบรรยากาศบนดอย…ไอ้ณุมันเป็นคนที่น่าอิจฉามากๆ”
 
 “แค่นี้ใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นกระแทก ไม่แตกต่างจากกริยากระด้างเลย
 
“ผมหวังดีกับคุณ ไม่อยากให้คุณถูกมันหลอกใช้ หลงรักมันมาตั้งนาน แต่มีไหมที่มันเคยให้เวลา ให้ความสำคัญกับคุณ”
 
“เขามีเวลาให้ฉันมากกว่าที่คุณคิด เพียงแต่เราสองคนต่างมีงานการที่ต้องทำ ไม่เหมือนคุณ ว่างจนมีเวลามายุให้คนเขาแตกกัน…” พริมายิ้มเยาะด้วยสายตาที่มองอีกฝ่ายอย่างหมิ่นๆ “อ้อ…เรื่องผู้หญิงคนนั้น  ฉันเคยเห็นแล้วล่ะที่โรงแรม ก็ไม่มีอะไรนี่ ณุเป็นคนมีเสน่ห์ รูปหล่อ เก่งมีความสามารถ จะมีสาวๆ มาติดก็ไม่แปลก ไม่ใช่…ประเภทไม่มีใครเขาเอาแล้วมาเรียกร้องความสนใจเช่นคุณ”
 
พริมากระแทกเสียงทิ้งท้าย เดินตัวตรงออกมา
 
ถึงจะรังเกียจผู้ชายคนนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ให้คำตอบแก่เธอได้ว่าชิษณุหายไปไหนและอยู่กับใคร พลอยจุดฉนวนไฟคำถามที่แผดเผาหัวใจของเธอ…ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครและมีความสำคัญมากแค่ไหน
 
 
เสียงผิวปากยังคงดังก้องเมื่อชายหนุ่มก้าวขึ้นรถยนต์คันเก่า ทว่าห้วงความคิดของอธิปยังคงจดจ่ออยู่ที่ผู้หญิงคนนั้น
 
…พริมา!
 
ความเป็นลูกสาวนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งเพราะฐานธุรกิจของครอบครัวทำให้พริมาเป็นตัวช่วยสำคัญของชิษณุ และสำคัญมากพอที่จะดันธุรกิจก่อสร้างของชิษณุให้เติบโตอย่างรวดเร็ว มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย
 
“ไอ้ณุมันมีอะไรดี” ฉับพลันเสียงผิวปากนั้นหยุดทันที “ทำไมกูถึงสู้มันไม่ได้”
 
ผ่านมากี่ปี…เขาจะสู้ชิษณุไม่ได้สักครั้งเชียวหรือ
 
ไอ้ณุ…มีทุกอย่าง เหนือกว่าไปทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทางด้านครอบครัวหรือทรัพย์สิน และแม้กระทั่งความรักจากคนรอบข้าง
 
เสียงชมจากครูและรางวัลนักเรียนดีเด่นที่อีกฝ่ายได้รับเมื่อต้องมาอยู่ร่วมโรงเรียนรัฐบาลเดียวกันในต่างประเทศเหมือนเป็นการจุดประกายความเกลียดชังให้เพิ่มมากขึ้น
 
‘แล้วไง…มันก็ประจบเขาไปทั่วแหละว้า พวกอีช่างอาสา…อีช่างเลีย’ เทวัญเคยประกาศ ‘มีแต่พวกโง่เห็นผิดถึงไปหลงมัน’
 
และคนที่หลงผิดเหล่านั้นพร้อมใจกันช่วยให้ชิษณุผ่านภาคเรียนไปได้ด้วยคะแนนที่สูงถึงแม้ว่าเจ้าตัวต้องเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเดือน
 
‘น่าจะเอามันให้เละกว่านี้ ให้พิการไปเลย’ เทวัญมักนึกเสียดายในโอกาส
 
โอกาสหลายอย่าง แม้กระทั่งเรื่อง…หัวใจ
 
ไอ้ณุ…โดดเด่นในโรงเรียน เป็นที่รักใคร่ของบรรดาครูและเพื่อนๆ เป็นสุดที่รักของ…ผู้หญิงคนนั้น!  
 
สาวน้อยผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาโตคล้ายพระจันทร์วันเพ็ญส่องประกายแจ่มจรัสที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเธอมอง…มัน!
 
โจแอน…นักวอลเล่ย์บอลหญิงดาวโรงเรียนที่หลายคนใฝ่ปอง หากสายตาและหัวใจของเธอนั้นมีเพียง ‘มัน’ คนเดียว
 
‘เธอเทียบไม่ได้กับณุหรอก เขาเก่งและเป็นคนดี ฉันรักเขา’
 
รถที่เบรคกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ทำให้คันที่ขับตามมาบีบแตรไล่หลัง หากเทวัญไม่สนใจ อารมณ์ร้อนลุ่มฉุดให้รถยนต์คันเก่าออกตัวอย่างเร็วอีกครั้งด้วยความเร็วเท่ากับรถเก่าๆ คันหนึ่งจะทำได้ ต่างจากเมื่อนานมาแล้วที่เขาเคยมีเงินให้ถลุงอย่างสบายมือ
 
รถสปอร์ตคันงามที่ใช้เงินของ…มัน ซื้อมาทำให้เขามีเพื่อน มีพรรคพวก
 
หลายคนให้ความสนใจในตัวเขา ในรถ และในทรัพย์สินเงินทอง
 
ทว่าการ…มี ในทุกสิ่งกลับไม่สามารถทำให้โจแอนหันมามองเขา เธอพอใจกับการขับรถคันเก่าๆ ของเธอ เพื่อคอยรับส่ง ‘มัน’ ทุกคราวที่เธอสามารถทำได้
 
เธอใช้เวลาอยู่กับ มัน
 
รอ มัน ในทุกลมหายใจ แม้เมื่อเขาได้ตัวเธอมาด้วยเล่ห์
 
เทวัญมีความสุขกับความรู้สึกสะใจในสีหน้าขาวซีดของชิษณุเมื่อ มัน เห็นโจแอนออกมาจากห้องนอนของเขา
 
‘กูได้ของรักของมึงมาแล้ว สุดยอดว่ะ’ เขาเยาะเย้ยสะใจ ‘หวังว่าบทรักของโจแอนจะเด็ดแบบนี้ตอนอยู่กับมึงนะ’
 
และความสะใจเพิ่มทวีคูณในทุกครั้งที่เห็น มัน ผิดหวังและเจ็บปวด ยิ่งชิษณุเจ็บปวดใจ แล้วโดนกระหน่ำกระทืบจากเขาและพรรคพวก เทวัญก็ยิ่งสะใจ
 
‘น่าจะเอามันให้ตาย คุณป้าจะได้ได้ทุกอย่างของมัน’
 
เพียงแต่ชิษณุไม่ตาย แค่สาหัส…
 
หากเขาซิ ในที่สุดแล้วก็สาหัสเช่นกัน
 
จากที่เคยคิดว่าโจแอนลุ่มหลงกับเงินและทรัพย์สินที่เขาประเคนให้ แต่เทวัญกลับคิดผิด เพราะผู้หญิงคนนั้นกลับทรยศหักหลังเขาได้
 
เธอใช้แผนเสนอตัวเองมาช่วยเขา เพียงเพื่อหลอกให้เขาติดกับดัก 
 
เพียงเพื่อแก้แค้นให้…มัน ผู้ชายที่เธอรัก!
 
‘ฉันยินดีที่จะให้การในชั้นศาลเพื่อผลประโยชน์ของคุณ อย่างน้อยบางทีณุอาจไม่อยู่ไกลเกินไปสำหรับฉันก็ได้’
 
ดูเถอะ…แม้แต่เหตุผลที่จะมาเป็นพยานในชั้นศาลเพื่อช่วยฝ่ายป้าสะใภ้ของเขา ก็เพื่อที่เธอจะได้อยู่กับ ‘มัน’
 
ชิษณุกล้าฟ้องร้องผู้เป็นป้าเรื่องการโกงทรัพย์สินจากมรดก ขึ้นสู้ในชั้นศาลด้วยหลักฐานที่มัดแน่น พร้อมพยานหลายปาก
 
ฝั่งเขาและป้าสะใภ้มีโจแอนเป็นพยานเพียงคนเดียวที่มิใช่คนในครอบครัว
 
หากโจแอนหักหลังเขา
 
เธอกลับคำในชั้นศาลท่ามกลางความประหลาดใจของทุกฝ่าย
 
‘คนขี้โกงพวกนี้โลภมากไม่มีที่สิ้นสุด กล้าทำร้ายคนเพื่อแย่งชิงของๆ คนอื่นมาเป็นของตน ฉันจะไม่ยอมให้พวกเขาลอยนวล’ เธอผู้นั้นประกาศกลางศาล ‘พวกเขาแบล๊คเมล์ฉัน เพื่อให้ฉันมาให้การเท็จ แต่ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือให้พวกเขาทำร้ายคนดี’
 
แต่ที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เธอกระซิบเย้ยเขา ‘นอกจากหลักฐานเสียงเรื่องการยักยอกเงินที่คุณเคยโม้ให้ฟัง ฉันยังมีหลักฐานเสียงของเธอที่สารภาพว่าเธอทำร้ายณุ’
 
หลักฐานที่เขาสารภาพอย่างย่ามใจ เล่าอย่างหมดเปลือกคราที่เธออิงแอบออเซาะอยู่ในอ้อมกอด
 
โจแอนพลาดที่หลงกลในเล่ห์กลที่เขาสร้างเพื่อให้…มันเข้าใจเธอผิด
 
แต่เขาพลาดที่วางใจและเชื่อใจผู้หญิงที่รักผู้ชายอีกคนอย่างสุดหัวใจ
 
‘ฉันรู้ว่าณุเขาจะไม่กลับมาหาฉันอีกแล้ว แต่ฉันอยากให้เขามีความสุขในทางเดินชีวิตของเขา’ เธอผู้นั้นยอมรับ และขอรับความเจ็บปวดในความจริง ‘ฉันไม่อยากให้เขาต้องเจ็บอีกแล้ว’
 
โจแอนยอมทั้งๆ ที่รู้ว่าได้สูญเสียผู้เป็นที่รักไปตลอดกาลตั้งแต่ตอนที่ชิษณุเห็นเธอเดินออกมาจากห้องของเทวัญ
 
ชิษณุได้ใจของผู้หญิงคนนั้นมา หัวใจที่เขาไม่มีวันได้ครอบครอง!
 
น้ำตาที่เขาคิดว่าไม่เคยมีกลับไหลช้าๆ เทวัญเคยร้องไห้ด้วยหรือ…
 
เวลาล่วงเลยมานาน แต่ในเวลานี้เขาขับมาถึงที่ไหนก็ยากที่จะรู้ ชายหนุ่มรู้สึกแต่ความแค้นที่สุมในอก เป็นความอาฆาตแค้นที่เขาไม่พยายามปิด เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือกดเรียบเบอร์ที่จัดเก็บไว้ในเครื่อง
 
“ผมมีสองเรื่องที่ต้องคุย” เขาบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะทัก
 
“ผมยินดีรับใช้เสมอ”
 
“น่าแปลกที่คุณยังยินดีที่จะรับใช้คนที่ไม่เหลืออะไรอย่างผม คนที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีทรัพย์สมบัติ” เสียงหัวเราะเค้นออกมาด้วยความคับแค้นใจ
 
“ไม่แปลกเลย เพราะวันหนึ่ง คุณจะต้องมีหลายอย่างที่ทั้งผมและคุณต้องการ”
 
“ใช่ซิ เราต่างมีผลประโยชน์ที่คาดหวัง และสิ่งที่ผมให้คุณช่วยวันนี้ก็เพื่อที่ผมจะมีในสิ่งที่เราต้องการ เรื่องแรก ผมต้องการรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่กับเจ้านายของคุณที่เชียงใหม่เป็นใคร”
 
“คุณสนใจ?”
 
“มากที่สุดเชียวล่ะ”
 
คนที่เป็น หนอน เงียบไปครู่ก่อนสารภาพ “ผมก็ไม่รู้อะไรมากนัก ไม่มีใครแนะนำอะไร เท่าที่รู้ก็แค่ว่าเป็นญาติของคุณชนินทร์”
 
“ทำไมช่างรู้น้อยเสียจริง ไม่สมกับที่เป็นหูเป็นตา เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของไอ้จิ้งจอกตัวนั้นเลย”
 
“คนที่ทำงานให้คุณณุไม่มีใครรู้เรื่องทุกอย่างทั้งหมด ทุกคนต่างรู้ในหน้าที่ของตน ส่วนผมยังดีที่อาจรู้มากกว่าคนอื่นหน่อย…”
 
“เพราะไอ้ณุมันชะล่าใจเกินไปที่เชื่อใจคุณ”
 
“ทุกคนชะล่าใจกันได้ มันเป็นจุดอ่อนของคนที่ร้ายแรงพอๆ กับความมั่นใจในตัวเองเกินไป คุณว่าเรื่องที่สองของคุณมาดีกว่า”
 
“เรื่องนี้ก็คงไม่พ้นการหาผู้ที่กล้าพอที่จะจัดการเจ้านายของคุณไปให้พ้นทาง”
 
“คุณจะเอาจริง?”
 
“ผมพูดจริงทำจริง หรือว่าคุณกลัว” เทวัญย้อนด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้านายของคุณมันมีศัตรูเยอะ เหยียบหัวเหยียบตีนคนอื่นมามาก รวมทั้งเหยียบหัวลูกน้องตัวเองด้วย”
 
“นั่นซินะ…แล้วผมจะกลัวทำไมที่จะช่วยคุณ” แล้วเสียงนั้นก็เงียบไปคล้ายเจ้าตัวกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง “ถ้าคุณจะเอาจริง ผมพอหาคนที่ไว้ใจได้ลงมือ แต่เงินต้องถึง เพราะความเสี่ยงสูงมาก หากผิดพลาดขึ้นมา ทั้งคนลงมือและผมเองก็อาจไม่รอด คุณณุไม่ปล่อยพวกเราแน่”
 
“ผมยินดีจ่าย…” เทวัญยืนยัน ไร้ความลังเล “บอกมาเลยว่าเท่าไหร่”
 
“คุณใจถึงดี”
 
“ผมถึงกล้าเอาปืนจ่อหัวเจ้านายคุณ”
 
“นั่นจะทำให้คุณถูกเพ่ง” คนเป็นหนอนย่อมกังวล
 
“ศัตรูของมันเยอะ อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้”
 
“หวังว่าทุกคนจะคิดอย่างนั้น” เสียงถอนหายใจนั้นเบา “แล้วผมจะบอกคุณอีกทีพร้อมนัดหมายส่งเงิน”
 
“ได้ ผมจะรอฟัง”
 
เทวัญหัวเราะดังอย่างพอใจ ในตอนนี้เขารู้เพียงแต่ว่าต้องชนะคนที่เคยอยู่เหนือเขามาทุกทาง
 
ต่อไปนี้เขาจะไม่แพ้อีกต่อไปแล้ว
 
 
กลิ่นหอมโชยกระทบจมูกทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องเดินไปนั่งที่ประจำของเขาที่โต๊ะกินข้าว ดวงหน้าคมปรากฏรอยยิ้มสดใส และใสสว่างยิ่งขึ้นเมื่อสบตากับหญิงสาวที่นั่งเท้าคางชำเลืองมองด้วยรอยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยจากอีกด้านของโต๊ะ
 
 “ข้าวอบสัปปะรดค่ะ” คนที่เป็นหัวแรงใหญ่ในการทำอาหารกลางวันมื้อนี้จัดแจงเปิดฝาของลูกสัปปะรดที่ใช้เป็นภาชนะ “สูตรคุณน้าของคุณเลยนะ ส่วนของหวานวันนี้ก็แครอทเค้กที่คุณชอบ นั่นก็เจ้าของสูตรคนเดียวกัน ฉันทำเองเชียวน๊า”
 
“แบบนี้ต้องอร่อยแน่ๆ กลิ่นหอมน่ากินซะด้วย” รอยยิ้มของชิษณุในตอนนี้ ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ขังตัวเองในห้องทำงานทั้งเช้า และเพิ่งก้าวออกมาเมื่อครู่
 
จะมีแวว…ดุ…เช่นเดิมก็เมื่อสายตาเข้มมองเลยไปยังสาวใช้สองคนที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ถัดไป
 
“ไปดูช่วยในครัว”
 
คำสั่งลงหนักทำให้แม่สาวทั้งสองรีบแจ้นไฟแลบออกไปทันที มณิกานต์ยิ้มอย่างขบขัน สายตามองคนที่ทำหน้าดุ
 
มองจนกระทั่งดวงหน้านั้น…อ่อนโยนอีกครั้ง
 
“งานเยอะเหรอวันนี้” มณิกานต์นั่งเท้าคางมองเขา “ดูเครียดจัง”
 
“นิดหน่อยครับ แต่เห็นหน้ามลพิษของผม ก็หายเหนื่อยแล้ว” เสียงทอดละมุน ลงท้ายในทุกคำอย่างละไม มือตักข้าวผัดตรงหน้าเข้าปาก
 
หากพอได้ลิ้มรสอาหารแล้ว เขาก็ยิ้มกว้าง…รู้แล้วว่าแม่สองคนนั่นกระซิบกันเรื่องอะไร
 
“ใช้ได้มั๊ย” เจ้าหล่อนอุตส่าห์ถาม แถมทำหน้าตาตั้งใจรอคำตอบ
 
“ครับ ดี” คำทุกคำช่างยากเย็นนัก
 
แต่เมื่อคนทำได้ชิมของตัวเองเท่านั้นแหละ “อูยยย เค็มจัง ตายจริง…สงสัยกระแทกน้ำปลามากไปนิด”
 
“ไม่ตายหรอกคุ๊ณ“ เขายังกินต่อหน้าตาเฉย หากในใจคิดอยู่หรอก…ไม่นิดแน่ๆ เนื้อเปรี้ยวอมหวานของสัปปะรดไม่สามารถช่วยพยุงรสชาตของจานนี้ได้เลยจริงๆ “นี่ก็อร่อยดีแล้ว” ถึงจะบอกเช่นนั้นแต่ชิษณุก็เอื้อมไปหยิบน้ำมาจิบหนึ่งอึก
 
“ไม่ค่อยจริงใจเลยนะ เราน่ะ” ดวงตาสวยมองค้อน
 
“กลายเป็นผมไม่จริงใจไปอีกแน่ะ”
 
“ถ้าคุณว่าอร่อย…” ใบหน้านั้นเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กันเลย “ต่อไปทุกมื้อฉันก็จะทำกับข้าวทุกจานให้รสมันออกมาเป็นอย่างนี้ จะได้ถูกปากคุณไงล่ะ ดีมั๊ย”
 
“แต่ถ้าคุณปรับเปลี่ยนให้มันคล้ายๆ ที่คุณน้าหรือป้าโฉมทำก็จะดีนะครับ ผมจะขอบคุณมากๆ เลย” คนพูดยังคงเคี้ยวไม่หยุดปาก “สำหรับครั้งแรกในการทำข้าวอบสัปปะรด ผมว่าคุณทำใช้ได้ทีเดียว แต่ต่อไปก็อาจจะต้องมีพลิกแพลงบ้าง ปรับบ้าง”
 
อย่างน้อยเขาก็พอเลี้ยวคดแก้ต่างไปได้จนรอดตัว ทำให้มณิกานต์ยิ้มมองคนที่ยังคงกินต่อไปหน้าตาเฉย
 
จากคนที่ทำอาหารไม่เป็น ทำไม่อร่อย จนแม้แต่เขตต์ก็เคยบ่ายเบี่ยงที่จะชิม และหญิงสาวเองก็ไม่ได้พิศมัยการเข้าครัวนักหรอก จะมาลองจริงจังก็เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ขยับจากเป็นลูกมือโฉมฉาย จนกล้าที่จะลองทำเองสักจานสองจาน
 
บางมื้อ เช่นมื้อกลางวันวันนี้ เธอขอ ‘ลงมือทำเอง’ โดยมีโฉมฉายช่วยชี้แนะ
 
กับข้าวที่ถูกแบ่งไว้ในครัวจะเหลือเยอะ ผิดกับอาหารที่ตั้งบนโต๊ะกินข้าวใหญ่ เตรยมไว้ให้เขา นั่น…ทุกมื้อ แทบจะหมดเกลี้ยงหากมีใครบอกว่า…คุณมนต์ทำค่ะ
 
รสชาต…จะออกมาเป็นอย่างไร แต่ชิษณุก็ไม่เคยบ่นสักคำ
 
สีหน้าตอนเคี้ยวตุ้ยๆ ก็มิผิดเพี้ยนจากที่ลิ้มรสกับข้าวที่โฉมฉายหรือระพีพรทำ
 
“คุณกินหมดจนได้” ส่วนในจานของเธอยังไม่ลดได้ค่อนครึ่งเลย “ฉันไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี”
 
“ต้องดีใจซิ” รอยยิ้มฉาบความละมุนที่น้อยคนนักจะได้เห็น
 
“ถ้าเป็นโรคไตอย่าโทษกันนะ”
 
“เป็นก็เป็น ผมไม่กลัวหรอก กลัวจะไม่ได้กินสิ่งที่มนต์สะกดอุตส่าห์ทำให้มากกว่า” คนปากหวานก็หยอดคำหวานเช่นเคย “แล้วไหนแครอทเค้กล่ะครับ”
 
“ยังจะกินอีกเหรอ” หญิงสาวชักไม่แน่ใจ อาหารคาวก็เค็มไป แล้วของหวานจะหวานแค่ไหนหว่า
 
“อ้าว ทำไมล่ะ เอามาชิมดูจะได้รู้ว่ารสมันเป็นยังไง ครั้งต่อไปหากต้องปรับปรุงก็จะได้รู้ว่าต้องเพิ่มต้องลดตรงไหน” 
 
จนกระทั่งคนทำหน้าที่เป็นแม่ครัวใหญ่สำหรับมื้อนี้เดินออกไปแล้ว ชิษณุก็รีบซดน้ำที่อยู่ในแก้วจนหมดแล้วเติมใหม่อย่างเร็ว หากรอยยิ้มยังไม่จางจากดวงหน้าคมคาย จนกระทั่งผู้ชายผิวคล้ำตัดผมสั้นเกรียนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
 
“มีอะไร” ดวงหน้าเคร่งเป็นปรกติเช่นเคย
 
“คุณพริมามาครับ”
 
นั่นทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปนิดเดียว “ตอนนี้อยู่ไหน”
 
“กำลังขับขึ้นมาครับ”
 
การรายงานนั่นทำให้คนเป็นนายขบกรามแน่น ยังไม่พร้อมสำหรับการบุกของพริมาในครั้งนี้
 
ชิษณุลุกขึ้น เดินหายออกไปอย่างเร็ว ทำให้คนที่กำลังยกจานขนมเข้ามาอย่างกระตือรือร้นเห็นเพียงโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า
 
 
 
จะผ่านมากี่ปี ร่างสูงของเขาก็ประทับในดวงตาและหัวใจของเธอเสมอ บ่ายวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับวันก่อนๆ พริมาเห็นว่าเขายืนกอดอกรอเธอ ณ ทางเข้าบ้านหลังงาม
 
ดูจากสีหน้านิ่งเฉยและริมฝีปากที่เม้มสนิทนั่น การมาครั้งนี้ของเธอไม่ทำให้เขายินดีแม้แต่น้อย นั่นทำให้หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้เขาอย่างเอาใจ
 
“ขับมาเองเลยเหรอ เหนื่อยไหม” คำถามราวห่วงใย หากน้ำเสียงราบเรียบปราศจากความรู้สึกใดๆ “พริมน่าจะบอก ผมจะได้ให้คนไปรับ”
 
“ถ้าบอกณุก็คงเอาสาวๆ ของณุไปซ่อนก่อนน่ะซิ” พริมาบอกอย่างที่ใจคิด
 
การมาเงียบๆ ของเธอก็เพื่อจะเห็นความเป็นไปอย่างแท้จริง มิใช่เห็นเพียงฉากที่เขาจัดเตรียมไว้เท่านั้น
 
“เอากระเป๋าของฉันไปเก็บข้างบนด้วย” หญิงสาวหันไปสั่งกับคนของเขา
 
“จะค้างเหรอ” แววตาของชิษณุเปลี่ยนไปนิดเดียว
 
“พริมคิดถึงณุ เห็นว่าณุยุ่งกับงานที่นี่ พริมก็เลยลางานมาสามวันเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนณุไง และพริมไม่ได้ขึ้นมาที่นี่ตั้งนาน…”
 
“ผมไม่ได้ให้เขาเตรียมห้องไว้” เสียงเรียบสวนขึ้น
 
“เตรียมทำไมกัน” หญิงสาวสวมกอดรอบคอเขา หอมแก้มทั้งสองข้างอย่างเอาใจ “พริมก็นอนกับณุอยู่แล้ว”
 
“ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ” เสียงนั้นห้วน
 
“ไม่เห็นเป็นไร พริมไม่แคร์ ว่าแต่ณุกลัวอะไร” รอยยิ้มนั่นแฝงความรู้สึกบางอย่าง “นี่จะบ่ายโมงแล้ว พริมยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย มีอะไรกินบ้างคะวันนี้”
 
“ก็ทั่วๆ ไป” เขาเดินตามพริมาเข้าไปในบ้าน “พริมอยากกินอะไรล่ะ”
 
หากพริมาไม่ตอบคำถามนั่น เธอหันกลับมาคล้องแขนเขาพาเดินเข้าไปยังห้องกินข้าว หากแล้วร้างบางของหญิงสาวพลันชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงที่กำลังนั่งเล็มเค้กอย่างเอร็ดอร่อย
 
“แครอทเค้กเนี่ยรสชาติกำลังดีเลยล่ะ…ไม่ได้โม้นะ” คนที่นั่งก้มหน้ากับเค้กในจานบอกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “ถือว่าเป็นการแก้มือจากข้าวอบสัปปะรดก็แล้วกัน“
 
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมณิกานต์ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่า ใคร ยืนเคียงข้างชิษณุ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอรีบวางช้อนของหวานแล้วลุกขึ้นทันที
 
“คนนี้ใช่ไหม ญาติของพี่นินทร์” ลองถามอย่างนี้แสดงว่าพริมาต้องสืบมาแล้ว จึง ต้อง มาดูถึงที่
 
“ครับ”
 
“มิน่าดูคุ้นเคยกับณุจัง” พริมาไม่มองหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้าง ดวงตาของเธอกวาดมองหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าอย่างพิจารณา แล้วจึงจูงมือชิษณุเดินไปนั่งที่โต๊ะ
 
“ณุให้ป้าโฉมทำอะไรอร่อยๆ ให้พริมหน่อยซิ”
 
“ป้าโฉมไม่ค่อยสบายครับ วันนี้เลยให้นอนพัก”
 
“ที่เรือนโน้นใช่ไหม”
 
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ แล้วบอกกับสาวใช้ที่กำลังรินน้ำให้พริมา “บอกให้เขาทำผัดมักโรนีให้คุณพริมด้วย”
 
“แหมณุนี่น่ารักจัง สั่งของโปรดพริม” รอยยิ้มประจบของพริมาเป็นสิ่งที่เธอมีให้เขาอยู่เสมอ  
 
หากชิษณุได้แต่เพียงชำเลืองไปทางหญิงสาวอีกคน ทว่าไม่เห็นเธอยืนอยู่อีกด้านของโต๊ะอาหารเสียแล้ว
 
“ตามสบายนะพริม ผมขอตัวก่อน มีงานต้องจัดการ”
 
ความคิดของพริมาแล่นวนอย่างรวดเร็ว ต่างจากความนิ่งเฉยของเธอ หญิงสาวไม่ทักท้วง ไม่พูดสักคำเมื่อชิษณุเดินออกไปจากห้องกินข้าว
 
ร่างบางก้าวช้าๆ นั่งลงบนเก้าอี้ที่เมื่อครู่…ผู้หญิงคนนั้น นั่งอยู่ราวเป็นเจ้าของบ้าน บนโต๊ะเหลือเพียงแก้วน้ำของ คนนั้น เท่านั้น พริมานั่งนิ่ง สายตาจับที่แก้วน้ำด้วยความคิด…ท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
 
 
ประตูห้องถูกเปิดออกทันทีที่เสียงเคาะดังขึ้น ราวว่าคนข้างใน…รอ
 
มณิกานต์เดินเข้าไปโดยไม่หันหลังมองร่างสูงที่ปิดประตูอย่างแผ่วเบา แม้แต่การถาม เธอก็ไม่ได้มองเขา
 
“ให้เด็กไปตามฉันมา มีธุระอะไร”
 
“อยากคุยด้วย ไม่ต้องมีธุระได้มั๊ย” หางเสียงทอดอ่อนโยน
 
“ก็ว่ามา”
 
“มนต์จ๋า” อ้อมแขนของชิษณุสวมกอดร่างเล็กจากด้านหลัง จมูกของเขาสัมผัสเบาๆ ที่คอระหงไล้ลงจรดแก้มนวล “ไม่ว่าคนอื่นจะมองผมยังไง แต่เมื่อผมรักใครแล้วผมรักจริง รักยิ่งและรักนาน” เสียงนั้นกระซิบข้างหู
 
“นี่คุณกำลังสารภาพรักกับฉันเหรอคุณชิษณุ” น้ำเสียงค่อนลงหนัก
 
…เขายังไม่ตัดยัยพริก!
 
“มนต์จ๋า” หางเสียงลากยาวออดอ้อน “ผมเคยบอกแล้วว่าอามีบางสิ่งที่มีบางสิ่งที่ด้วยหน้าที่ผมต้องฝืนใจทำ แต่ว่าผมไม่เคยต้องการจะทำให้คุณเสียใจเลย”
 
“เสียใจ? ก็ไม่ได้เสียใจอะไรนี่” คนพูดหันสวมกอดโน้มคอเขาลงมา “คุณคิดมากไปหรือเปล่า”
 
“ให้ผมคิดมากเพียงคนเดียวก็พอ คุณอย่าคิดมากก็แล้วกัน ปัญหาของผมมันมีมานานแล้ว ให้เวลาผมหน่อยนะแล้วผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”  อ้อมแขนของเขาเขารัดร่างเล็กแน่นขึ้น “เย็นนี้เราคงไปที่ยอดเนินนั่นไม่ได้เอาไว้วันหลังนะ”
 
“ฉันเข้าใจ” มณิกานต์ยอมรับว่าเธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ…เข้าใจ
 
การปรากฏตัวของ ‘ยัยพริก’ ทำให้แผนการที่จะไปปูเสื่อนั่งเล่นบนยอดเนินที่เขาเคยพาเธอไปประจำนั้นเป็นต้องล้มเลิก
 
‘ตอนเด็กๆ ผมชอบมาที่นี่ ตอนนั้นมาเพราะความสนุก แต่ตอนนี้มาเพื่อพัก…ให้สบายใจ’
 
ดวงหน้าผ่อนคลายเคล้ารอยยิ้มอ่อนโยนบ่งบอกถึงความสุข มือที่กุมมือพาเธอเดินไปเคียงคู่กันสื่อถึงความมั่นคง
 
เพียงแต่ว่าวันนี้…ไม่มีเช่นนั้นเสียแล้ว
 
“เย็นนี้ผมคงไปส่งไม่ได้ เดี๋ยวผมให้พี่นินทร์มารับนะครับ”
 
มณิกานต์เงยหน้าส่งยิ้มแจ่มใสที่เธอฝืนออกมาอย่างยากเย็น
 
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
 
แม้คำพูดจะเปล่งออกมาเช่นนั้น แต่เจ้าตัวรู้ว่าความเป็นจริงมันกำลังกรีดลงไปในห้วงความคิด 
 
เธอย่อมรู้…เรื่องของเขากับ ‘ยัยพริก’
 
‘คู่นี้…ควงกัน ออน แอนด์ อ็อฟ คือต่างคนต่างไปมีใครแล้วก็ไม่วายกลับมาตายรังเดิม’
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
ReadAWrite : manas.readawrite.com
 




 


Create Date : 26 มีนาคม 2563
Last Update : 26 มีนาคม 2563 21:06:18 น. 0 comments
Counter : 611 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.