Group Blog
 
<<
มีนาคม 2563
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 มีนาคม 2563
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 25) โดย มานัส


บทที่ 25
 
บรรยากาศในยามรุ่งอรุณเงียบสงบและเย็นสบาย เคล้าแสงแดดที่ทออ่อนๆ ทอดลงพร้อมลมที่พัดเพียงแผ่วราวกระซิบ ไม่ต่างจากเสียงกระซิบของใครบางคนเมื่อคืนที่ผ่านมา จนหญิงสาวที่กำลังเดินลงมาจากข้างบนเผลอยิ้ม
 
“อาหารเช้าจัดที่ระเบียงค่ะ”
 
มณิกานต์กล่าวขอบใจกับสาวใช้ที่ยืนรออยู่ตรงบันได แล้วสาวเท้าออกมายังระเบียงด้านนอก เห็นแล้วรอยยิ้มสดใสจากดวงหน้าคมคายของคนที่นั่งอยู่ก่อน
 
“ตื่นแล้วเหรอ” เขาจัดแจงวางโทรศัพท์มือถือที่กำลังอ่านข้อความอยู่ ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ
 
“คุณตื่นเช้าจัง” หญิงสาวคิดคำพูดได้เท่านี้เอง
 
“ผมเป็นคนที่ตื่นเช้าเสมอ เห็นคุณหลับสบายเลยไม่กล้าปลุก” อ้อมแขนโอบหลวมๆ ที่เอวของอีกฝ่าย พาเดินมายังโต๊ะที่จัดไว้ “และผมก็ไม่อยากจะนอนอยู่เฉยๆ ด้วย กลัวมนต์สะกด”
 
น้ำเสียงกับแววตามีความหมายนัก จนหญิงสาวต้องแสร้งทำเสียงกระแอมในลำคอแล้วเสมองไปรอบๆ
 
“ป้าโฉมล่ะ” มณิกานต์ถามเมื่อนั่งลงที่โต๊ะแล้ว

“ไปที่เรือนคุณยาย แต่พอตื่นขึ้นมาก็ถามถึงแต่ป้าโฉม ไม่ถามถึงผมบ้างเลย” รอยยิ้มของเขานุ่มนวลไม่ต่างจากดวงตาคมที่มองมา
 
“ก็เห็นอยู่นี่ไง จะถามทำไม”
 
“งั้นเวลาไม่เห็นผม คุณก็ต้องถามถึงผม คิดถึงผมใช่มั๊ย”
 
“หิวจัง มีอะไรกินบ้างเนี่ย” มณิกานต์เปลี่ยนเรื่องถาม
 
“ช่างเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเก่งนะเนี่ย ไม่ยอมตอบคำถามด้วย” เขางำงัมบ่นพลางจัดแจงรินน้ำให้อย่างเอาใจ
 
“ฉันขอ take the 5th ค่ะ[1]
 
ดวงตาคมแฝงด้วยรอยยิ้มมองมองมาอย่างรู้ทัน “ผมยอมแพ้แระ เช้านี้มีข้าวต้มปลา แต่ถ้าจะเอาขนมปังไส้กรอกและแฮม หรือคุณอยากกินอะไรอย่างอื่นไหม”
 
“ข้าวต้มก็พอค่ะ”
 
ยังไม่ทันสิ้นเสียงใสแจ๋วบอก ชิษณุก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน แค่เพียงอึดใจเดียวก็กลับออกมาพร้อมเด็กสาวสองคนที่ยกถาดพร้อมอาหารและน้ำดื่มมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะถอยกลับเข้าไปข้างในอย่างรู้หน้าที่
 
“คุณยังไม่ได้กินอะไรเหรอ”
 
“ก็รอคุณไง” เขาคนข้าวต้มในชามที่ส่งกลิ่นหอม แล้วตักซดโดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม “อาหารเช้ามื้อแรกของเรา”
 
อาจเป็นคำพูดหรือน้ำเสียงของเขา หรือท่าทางนั่น มันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้ดวงตาหวานส่องประกายเหลือบมองประสานกับเขา
 
หวานนักหวาน…ช่างหวานหนอแม่ตาหวาน
 
“ห้ามมองใครด้วยสายตาแบบนี้นะ เก็บไว้ให้ผมเพียงคนเดียวก็พอ” เสียงเบาทว่าจริงจังพร้อมสายตาคมที่บ่งบอกความรู้สึกชัดเจน
 
หากพลันความสงบเคล้าความอ่านละมุนถูกทำลายด้วยเสียงดังเอะอะจากหน้าบ้าน เสียงโหวกเหวกนั้นคุ้นหู เพราะมันฝังเข้าไปในความจงเกลียดจงชังของเขา ชิษณุลุกขึ้นทันที แล้วสั่ง
 
“คุณรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมมา”
 
การก้าวของเขาฉับ เร็ว ด้วยความร้อน จากชานหลังบ้านเข้ามาข้างในแล้วออกยืนหน้าบ้านพักหลังงาม พบว่าเทวัญกำลังถูกลูกน้องของนทีสองคนช่วยกันรั้งตัวอยู่ โดยมีนทีดันตัวผู้บุกรุกให้ถลาออกไป
 
“ไอ้ณุ มึงทำเกินไปแล้ว” เสียงแผดดังลั่น พลางชี้มาทางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
 
“บ้าอะไรตั้งแต่เช้าวะเทวัญ” สีหน้ายังคงเรียบเช่นน้ำเสียงที่เป็นปรกติ
 
“มึงได้หุ้นในบริษัทไปแล้ว ยังจะกันไม่ให้กูเข้าไปนั่งบริหาร”
ความรู้สึกเจ็บใจนั้นพอๆ กับความโกรธแค้น  เพราะเมื่อครู่นี้คุณหญิงกรองแก้วย้ำปฏิเสธอย่างชัดเจนกับการเข้าไปบริหารงานของเขาในธุรกิจต่างๆ ของกงสี
 
‘ตอนนี้นายณุเขาก็ดูแลให้อยู่ ดูมานานแล้ว และก็ทำได้ดีเสียด้วย จะให้ยายเข้าไปโยกย้ายอะไรก็เกรงใจเขา เราเองเถอะทำไมไม่ลองทำข้างนอกหาประสบการณ์ก่อน’
 
‘แต่ผมอยากช่วยคุณยาย’ เขาอ้อนวอนสารพัด รู้ดีว่าทำข้างนอกก็เป็นแค่ลูกน้อง  สู้ผงาดขึ้นมาบริหาร บัญชาการเลยไม่ดีกว่าหรือ
 
‘ยายสัญญากับณุเขาไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเรื่องบริหารงานของเขาในกงสีด้วย’
 
เพียงคำตอบสุดท้ายอย่างไร้เยื่อใยก็เป็นที่รู้กันว่าใครกันแน่ที่ ‘กัน’ ท่าทุกอย่าง ไม่เปิดทางให้เขาได้ขยับ ไม่เว้นที่ให้เขายืนอย่างสง่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเทวัญจึงไม่รอช้าที่จะมาที่นี่ทันที
 
   
“อย่าคิดนะว่ามึงยิ่งใหญ่คับฟ้า” เสียงนั้นดังลั่นอย่างเคียดแค้น
 
“ก็ไม่เคยคิดอย่างนั้น เพราะความจริงที่เห็นก็ชัดเจนว่า…” ชิษณุเดินเข้าไปใกล้คนที่ถูกล๊อคตัว แววตาเย้ยหยันจ้องอีกฝ่าย เสียงลดเบา “อะไร…เป็นอะไร ใคร…เป็นใคร จะผ่านมากี่ปีนายก็กระจอก โง่ หลงตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีอะไรควรให้หลง  หยุดคิดอยากจะได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของนายเถอะ เพราะนายไม่มีวันได้มันมา น้ำหน้าอย่างนายไม่มีวันเทียบฉันติด”
 
“กูไม่ยอมแพ้มึง และจะไม่มีวันแพ้มึงแน่ๆ” เทวัญใช้แรงทั้งหมดที่มีปัดตัวออกจากการยึด ชักปืนกระบอกเล็กที่เหน็บแอบไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว จ่อที่ศีรษะของชิษณุ ว่องไวไม่ต่างกับที่นทีและพรรคพวกชักปืนจ่อที่เขาเช่นกัน “พวกมึงยิงเลยซิ ยิงกูเลย แล้วดูว่านายของมึงจะรอดจากไอ้ปืนที่กูกำลังจ่อกระบาลมันอยู่มั๊ย”
 
“วางปืนลงเถอะคุณเทวัญ” ความเยือกเย็นของนทีนั้นไม่แพ้ผู้ที่เป็นนาย
 
“ยิงฉันแล้วนายคิดหรือว่าจะรอด” ชิษณุไม่มีทีท่ากลัวหรือตกใจ “อย่างดีก็ตาย หากโชคร้ายนายก็เข้าคุก”
 
“มึงไม่ต้องพูดไอ้ณุ!” มือนั้นสั่น ดวงตาแดงก่ำมองคนตรงหน้า
 
“แค่อยากเตือนสตินาย ไม่ให้ทำสิ่งที่ผิด แล้วนายจะต้องเสียใจ”
 
“ทำไมกูต้องเสียใจ มึงคิดว่ามึงสำคัญจนกูต้องเสียใจหากกูยิงกระบาลมึงเหรอ!”
 
เสียงตวาดทำให้หญิงสาวที่เดินมาถึงหน้าบ้านพลันชะงักด้วยความตกใจ
 
“ณุ!”
 
หากชิษณุเพียงแค่รับรู้ถึงเสียงห่วงใยแกมร้าวราญนั่น ดวงตาของเขายังคงประสานกับศัตรูคู่อาฆาต
 
“นายไม่เสียใจหากฉันตายนั่นแน่นอน แต่นายจะเสียใจที่นายไม่มีโอกาสใช้ความสามารถเอาชนะฉัน”
 
“กูยังจะชนะมึงได้อีกเหรอ” เสียงหัวเราะนั้นขมขื่นไม่แพ้ดวงตา “มึงกันกูออกทุกทาง กันกูออกจากงานทุกอย่าง! เอาของที่กูควรได้ไป มึงทำลายชีวิตกู”
 
“ฉันทำเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน”
 
“ผลประโยชน์ของมึงน่ะซิ”
 
“นายถามตัวเองดีๆ ว่าด้วยคุณวุฒิที่มี นายพร้อมจะเข้ามาบริหารงานแล้วหรือยัง ”
 
“มึงไม่ต้องอ้าง!” เพราะมุ่งเป้าเพียงคนที่อยู่ปลายปืนของเขา เทวัญจึงไม่เห็นกลุ่มคนจากด้านหลังที่ปรี่เข้ามา “มึงคิดว่ามึงแน่ใช่มั๊ย ตอนนี้ชีวิตมึงอยู่ในมือกู เหมือนครั้งนั้นที่กูเคยเอาเลือดหัวมึงออกมาล้างตีน”
 
“เทวัญ! นั่นจะทำอะไร”
 
เสียงกรีดถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจของคุณหญิงกรองแก้วประสานกับเสียงลูกสาวคนโตที่ตกใจไม่แพ้กันเลย  
 
“บ้าไปแล้วเหรอ”
 
สันดานบ้าระห่ำของหลานชายสามีนั้นย่อมเป็นที่รู้กันดี แต่ตอนนี้ แม้แต่สินีเองก็ยังตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
 
“บ้า! ใช่ผมบ้า…บ้าเพราะมันไม่ยุติธรรม” อาการคร่ำครวญราวสัตว์ร้ายที่เจ็บปวด
 
“ตอนนี้นายกุมชะตาชีวิตของตัวนายเอง เพียงแค่ลั่นไกปืนนายสามารถเอาทั้งชีวิตของฉันไปได้ พร้อมๆ กับชีวิตของนายด้วย” ปืนอีกสองสามกระบอกยังคงจ่ออยู่ที่เทวัญ “มันคุ้มแล้วเหรอที่จะทำอย่างนี้”
 
 

แดดยามเช้าสาดส่องความร้อนเมื่อดวงอาทิตย์ทยานสูงขึ้นตามช่วงเวลา ภาพตรงหน้าที่โฉมฉายเห็นทำเอากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เรี่ยวแรงของหญิงชรา…อ่อนล้า ไม่สามารถแม้แต่จะถอนสะอื้น
 
ช่างไม่ต่างอะไรกับการที่มีคนใจร้ายเอาปืนมาเล็งที่หัวใจของเธอเลย
 
มือเย็นเฉียบเกาะแขนของมณิกานต์ยึดไว้แน่น ผู้หญิงทั้งสองจำทนรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
 
“คิดให้ดีนะ…เทวัญ คิดให้รอบคอบ เพราะมันไม่ใช่แค่อนาคตของนายเท่านั้น หากแต่หมายถึงชีวิตของนายด้วย” ชิษณุอ่านออกว่าอีกฝ่ายลังเล เพราะคนอย่างเทวัญรักตัวเองมากกว่าอื่นใด รักความสบายอย่างยิ่งยวด “อย่าลืมว่า เมื่อลั่นไกแล้ว นายมีทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น ถ้าไม่นอนในโลงกับฉัน นายก็ต้องนอนในคุก”
 
“ไอ้ณุ!” เสียงนั้นของคนที่รู้ว่าหมดทางสู้ “กูจะไม่มีวันแพ้มึง มึงคอยดู”
 
ทว่าตอนนี้เขาแพ้อีกแล้ว
 
มือที่กำปืนไว้แน่นลดลงช้าๆ พร้อมกับนทีเข้าไปยึดปืนกระบอกนั้น และให้ลูกน้องล๊อคตัวอีกฝ่ายไว้
 
เว้นแต่สินีที่ยืนนิ่ง คนอื่นๆ รีบปรี่เข้ามาหาชิษณุด้วยความเป็นห่วง
 
“คุณยายกับคุณน้าเข้าไปข้างในก่อนนะครับ ป้าโฉมด้วย” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ประคองผู้เป็นยายไปที่เรือนพัก ทว่าเขาไม่ได้ตามเข้าไปด้วย แววตาคู่นั้นเหลือบไปยังมณิกานต์ที่มองเขาอย่างเป็นห่วง “ฝากดูแลทุกคนด้วย เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
 
“ค่ะ” มณิกานต์พยักหน้า ตังยังสั่นด้วยความตกใจ หากไม่วายหันมามองเขาอย่างเป็นห่วงก่อนเดินเข้าไปข้างใน
 
“คุณป้าอยู่ก่อน”
 
คำสั่งเด็ดขาดทำให้สินีชะงักหยุดกึกอยู่กับที่ และเมื่อชิษณุพยักหน้า หนึ่งในชายฉกรรจ์ก็เดินมาประกบ
 
บรรยากาศที่ควรร่มรื่นกลับตึงเครียด ความเยือกเย็นของชิษณุนั้นน่ากลัวไม่แพ้ดวงตาที่ปรากฎความเหี้ยมและเด็ดขาด
 
เพียงแต่การก้าวไปหาเทวัญ…ใจเย็น ราวจิ้งจอกเตรียมตระคุบเหยื่อ
 
“นายมันทั้งโง่ทั้งบ้าไปแล้ว เพราะมีแต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นที่จะทำอย่างนี้ ไม่มีใครคนไหนที่เอาปืนจ่อหัวฉันแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้ โดยเฉพาะไอ้คนที่มันเคยกระทืบจนฉันเกือบตาย  สำหรับนาย ฉันไม่ให้นายตายหรอก มันง่ายไป จำไว้นะเทวัญ ชั่วชีวิตนี้นายจะไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้ นายจะต้องตายทั้งเป็นด้วยความรู้สึกว่านายไม่มีวันชนะฉันได้เลย!”
 
“ไอ้ณุ! ไอ้…” คำสบถหวีดร้องดังไม่หยุด
 
“เอาตัวมันออกไปจากที่นี่ทันที” ชิษณุสั่งคนของเขา “ไอ้คนระยำคนนี้และครอบครัวของมัน ไม่ว่าใครก็ให้ถือว่าเป็นบุคคลต้องห้าม ถ้าพบว่าเข้ามาอยู่ในอาณาเขตบริเวณที่ผม คุณรพีพร หรือคุณหญิงกรองแก้วเป็นเจ้าของหรือมีส่วนควบคุมดูแลให้ถือว่าเป็นการบุกรุก จัดการได้ทันทีตามเห็นสมควร!”
 
“แกคิดว่าแกใหญ่หรือไงไอ้ณุ แกไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้” สินีรวบรวมความโกรธแค้นทั้งหมดแผดเสียงถาม
 
“ผมมีสิทธิ์ในอะไรหลายอย่างที่คุณป้าคิดไม่ถึง” แววตาที่หันมามองนั้นเย็นชาไม่ต่างจากน้ำเสียง “คุณป้า คุณลุง และไอ้ขยะเปียกชิ้นนี้…” เขาชี้ไปยังคนที่ถูกล็อคตัว มีเวลาครึ่งชั่วโมง เก็บของ และออกไปจากที่นี่”
 
“ที่นี่บ้านแม่ฉัน ฉันจะอยู่ที่นี่”
 
“ผมไม่ได้ห้ามถ้าคุณป้าจะอยู่ต่อ แต่ว่าคุณป้ายังจะสู้หน้าคุณยายได้อีกหรือครับ” เขาย้อนถาม “ที่สำคัญ ผมไม่รับรองความปลอดภัยของคุณป้า”
 
“ไอ้สารเลว…แกมันอสรพิษร้าย”
 
“เราก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก เพราะไอ้ความเลวพวกนี้ผมก็เรียนรู้จากช่วงที่ผมอยู่ใต้ความปกครองของคุณป้า แต่ผมเชื่อว่าความเลวของผมในตอนนี้ยังไม่แม้เศษเสี้ยวกับสิ่งที่ผมเคยได้รับจากการกระทำของครอบครัวคุณป้าเลย” รอยยิ้มที่จรดมุมปากฉาบความเลือดเย็นน่ากลัว “เอาตัวออกไป!”
 
ชิษณุทิ้งคำสั่ง แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนพัก ไม่สนใจเสียงกรีดโหยหวนของสินีและเทวัญที่ประสานกันอย่างน่าสมเพช
 
และเมื่อเขาก้าวกลับเข้ามาในเรือนพัก ดวงหน้าที่แฝงความแข็งกระด้างเลือดเย็นก็พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ประทับด้วยรอยยิ้มละมุน
 
“เป็นอย่างไรบ้างณุ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก” น้าสาวปรี่เข้ามาอย่างเป็นห่วง
 
“ผมไม่เป็นไรครับ” เขาลูบเบาๆ บนมือของรพีพร
 
สายตาของชิษณุมองไปยังทุกคนที่อยู่ในห้อง หยุดเพียงอึดใจเดียวที่สตรีผมยาวใบหน้าอ่อนหวานที่ยืนอยู่ข้างโฉมฉาย แล้วจึงหันมาทางผู้เป็นยาย
 
“ผมให้พวกคุณป้ากลับไปสงบสติอารมณ์ที่กรุงเทพฯ” ชายหนุ่มแจ้งในสิ่งที่เขามั่นใจว่าเป็นคำถามของผู้เป็นยาย “เพื่อความสบายใจของทุกคน”
 
“โถ…ทำไมเขาโกรธแค้นคุณณุนัก ทำร้ายคุณณุตั้งแต่เมื่อก่อนโน้นจนเดี๋ยวนี้” โฉมฉายมองผู้เป็นนาย “ต้องให้ถึงตายหรืออย่างไรถึงจะพอ ถึงจะหยุดกันเสียที”
 
“ช่างเถอะครับ เรื่องมันผ่านมาแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ คงได้แต่เพียงป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก” ร่างสูงเข้ามาคุกเข่าหน้าคุณหญิงกรองแก้ว มือใหญ่กุมมือหญิงชรา “ผมต้องขอโทษที่ต้องให้คุณยายมาเจอเรื่องแบบนี้”
 
“ไม่ใช่ความผิดของเรานี่”
 
“ผมอาจจะบีบพวกเขามากเกินไปมังครับ”
 
“ถึงเจ้าไม่ทำ เขาก็ต้องทำเจ้าอยู่ดีใช่ไหม” สายตามองผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา
 
“ผมจะไม่ให้พวกเขาทำร้ายผมได้อีกเลย”
 
“ดี…และก็อย่าให้ความอาฆาตแค้นทำร้ายตัวเจ้าเองด้วย”
 
“คุณยายอย่าห่วงเลย” ว่าแล้วเขาจึงลุกขึ้น สายตากวาดมองหามณิกานต์ เมื่อไม่พบเขาจึงมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
 
หน้ากากก็ยังต้องสวมใส่ พร้อมกับการแสดงที่ยังคงต้องมีต่อไป
 
 

นาฬิกาที่ข้อมือบ่งบอกว่าเลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ถือว่า...ปรกติ เพราะบางทีเป็นชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ และชนินทร์ใจเย็นและมีเวลาพอที่จะรอ รอ... จนกระทั่งเสียงใสร้องทักเขาจึงเงยหน้ายิ้ม
 
“ทำไมเสร็จเร็วจัง” คุณหมอหนุ่มลุกยืน
 
“ไม่ดีเหรอ พี่นินทร์จะได้ไม่ต้องรอนานไง” อรทัยยิ้มประจบ “ช่วงนี้นายไม่อยู่ และก็ไม่มีงานอะไรด่วนก็เลยเลิกเร็วผิดปรกติ นี่พี่นินทร์นัดโรงพิมพ์ไว้กี่โมงคะ”
 
“บ่ายสามจ้ะ มีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องรีบหรอก” ชายหนุ่มเดินนำหน้าออกไป
 
“ตัวอย่างของบัตรเชิญที่เขาส่งมาให้ดูก็ไม่เลวนะคะ เข้าใจออกแบบ…น่ารักเชียว” อรทัยหันไปยิ้มประจบเมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์
 
หากยังไม่ทันกดเรียกลิฟต์เพื่อจะลงไปข้างล่าง ประตูลิฟต์อีกตัวก็เปิดออก
 
“พี่นินทร์ อร…” ใบหน้าของพริมาเคร่งและเครียด ไม่ลังเลที่จะรีบถามให้รู้ในสิ่งที่ต้องการ ความสนใจของเธออยู่ที่บุรุษผู้นั้น มิได้อยู่กับใครคนอื่นคนไหนทั้งสิ้น  “ณุอยู่มั๊ย”
 
“นายไม่ได้เข้าออฟฟิศค่ะ”
 
“ไปไหน ทำไมพริมติดต่อเขาไม่ได้เลย วันก่อนเห็นที่โรงแรม รีบขึ้นรถไปกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้” เสียงแข็งแสดงความไม่พอใจชัดเจน “อรรู้ไหมว่าเป็นใคร?”
 
เพราะมัวแต่มองหน้าของหญิงสาวอีกคน พริมาจึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชนินทร์ ที่เสกดเรียกลิฟต์
 
เพราะเขาย่อมรู้ว่า…ใคร
 
“ไม่ทราบค่ะ” อรทัยไม่ได้โกหก
 
“หรือว่าณุกลับไปที่บ้านสวนบ้านไร่อะไรโน่น” คราวนี้พริมาหันมาถามคนที่ยืนเงียบ
 
“ผมไม่ทราบครับ ผมก็ไม่ได้เจอคุณณุเลย”
 
“ไม่มีใครรู้อะไรเลยเหรอ!” เสียงกรีดอย่างขัดใจ
 
หากหนุ่มสาวสองคนที่รอลิฟต์ได้แต่นิ่งเงียบ
 
จนกระทั่งมาถึงรถที่จอดอยู่ข้างล่าง การถอนหายใจของอรทัยจึงดังยาวคล้ายโล่งอก
 
“เพราะพี่ณุแท้ๆ เราต้องโกหกกันใหญ่ แต่อรก็ไม่มากเท่าพี่นินทร์นะ” หญิงสาวหันมายิ้มให้กับคนรัก “ว่าแต่ผู้หญิงที่คุณพริมเห็นนั่นใครนะ เพราะวันนั้นพอประชุมเสร็จอรก็รีบออกมาเลย ไม่รู้ว่าพี่ณุแอบนัดสาวไว้ด้วย…พี่ณุเขามีแผนอะไรของเขาหรือเปล่าน๊า”
 
สีหน้าของชนินทร์ยังคงนิ่ง อรทัยไม่รู้เรื่องของมณิกานต์นอกจากตามที่เขาบอกว่าเป็นญาติที่มาขอพักชั่วคราวเพื่อหลบหนีปัญหาส่วนตัว
 
อรทัยไม่สงสัย มีแต่ชิษณุที่สงสัยและ…รู้
 
 
แม้แสงไฟจะส่องสว่างตลอดทางเดินลงไปชั้นล่างสุดของเรือนพัก หากเพราะไม่เคยชินกับสถานที่ หญิงชราก็ยังคงก้าวลงด้วยความระมัดระวัง จนลงมาถึงบริเวณห้องกว้างที่เปิดประตูเลื่อนบานใหญ่รับลมเย็นให้พัดแผ่วเข้ามา
 
การขยับก้าวเข้ามาของโฉมฉายทำให้ร่างระหงที่ยืนกอดอกมองไปข้างนอกยังความมืดที่ปรายด้วยแสงระยิบบางตา หันมา
 
“ยังไม่นอนหรือคะ” รอยยิ้มอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความเอ็นดู
 
“มนต์ยังไม่ง่วงค่ะป้า ถ้าไม่ติดว่ามันดึกแล้วมนต์คงขอออกไปเดินเล่นข้างนอก  อากาศสดชื่นเย็นสบายจัง มนต์ช๊อบชอบค่ะ”
 
“เหมือนคุณณุเลย รายนั้นชอบอากาศเย็น ถ้าร้อนเป็นต้องหงุดหงิดทุ๊กที”
 
“แต่มนต์ไม่ขี้หงุดหงิดเหมือนคุณณุของป้าโฉมหรอกค่ะ” หญิงสาวเข้ามาเกาะแขนของหญิงชรา รอยยิ้มของคนช่างประจบน่าเอ็นดูยิ่งนัก
 
“ป้าเชื่อค่ะ ถ้าเปรียบหนูมนต์เป็นดั่งลมนะป้าว่าหนูมนต์ก็เหมือนลมเย็นที่พัดเอาความสบายใจมาให้คุณณุมากกว่า คุณหญิงกับคุณพรยังบอกเลยว่าขึ้นมาเชียงใหม่หนนี้ดูคุณณุอารมณ์ดีเป็นพิเศษ คงรู้กันล่ะมังว่าเพราะใคร”
 
ทำไมผู้ที่ผ่านชีวิตมานานมากกว่าเจ็ดทศวรรษจะดูไม่ออกถึงความรู้สึกของหญิงสาวและผู้เป็นนาย
 
ตั้งแต่ประสบการณ์อันเลวร้ายของชีวิตสอนให้เข้มแข็งและเลือดเย็น ชิษณุก็ไม่เคย…อ่อนให้ใครเช่นนี้
 
“คุณหญิงท่านเป็นอย่างไรบ้างคะ” มณิกานต์ใคร่รู้ในเรื่องที่เป็นห่วง
 
สงครามภายในที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน น่าจะบันทอนจิตใจของคนที่เป็นแม่และเป็นยาย
 
‘ผมคงต้องไปค้างที่เรือนใหญ่ เป็นห่วงคุณยาย คุณมนต์กับป้าโฉมอยู่ที่นี่นะครับ’ ชิษณุได้บอกเอาไว้ในตอนหัวค่ำของวันเดียวกันโน้น
 
และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ทุกเช้าในสองวันที่ผ่านมาที่เธอตื่น ก็จะพบว่าเขานั่งรอที่โต๊ะกินข้าวนอกชานของเรือนนี้ ดั่งเช่นเมื่อเช้าวันนั้น
 
‘ผมกินข้าวกับคุณยายไปบ้างแล้ว แต่เก็บท้องไว้เพื่อมานั่งกินข้าวเช้ากับคุณ’
 
หลัวจากนั้น เขาก็จะพาเธอไปหาคุณหญิงกรองแก้วและคุณรพีพร ก่อนจะหายออกไปข้างนอก กลับมาอีกทีตอนเที่ยง
 
‘ดูซิ…พาเขามาเที่ยว แต่ยายยังไม่เห็นว่าเราจะพาเขาไปไหนเลย มัวแต่ผลัดกันมาอยู่กับยาย’
 
‘คราวนี้พาเที่ยวภายในไร่ของคุณยายก่อนไงครับ คราวหน้าค่อยขยับขยายไปข้างนอก พาไปหมดเที่ยวนี้ แล้วผมจะเอาอะไรล่อให้มากับผมอีกล่ะครับ’ รอยยิ้มของเขาช่างสดใส
 
เป็นรอยยิ้มที่คนในครอบครัวมิได้เห็นมาหลายสิบปี
 

 
“คุณณุบอกว่าคุณหญิงท่านค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” เสียงของโฉมฉายดึงความคิดของหญิงสาวไม่ให้ล่องลอยไปถึงใครบางคน “สงสารท่านค่ะ ลูกหลานก็มีแต่ทำให้ท่านช้ำใจ”
 
“ณุ…”
 
คราวนี้ผู้เป็นแม่บ้านถอนหายใจ ยอมรับ…คุณณุก็มีส่วนด้วย
 
“คุณหญิงท่านเก่งและแกร่ง ชีวิตท่านต่อสู้มามาก เห็นมาเยอะ”
 
“แต่ให้แกร่งยังไงเมื่อเห็นลูกหลานต้องฆ่าแกงกัน…ท่านก็คง…” 
 
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณ…คุณสินีน่ะเจ้ายศเจ้าอย่างมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และก็ไม่ได้ชอบน้องเขย…” นั่นคือความจริงที่เธอและคนเก่าแก่ทุกคนรู้มานาน “คุณพ่อของคุณณุเป็นลูกพ่อค้าจีนธรรมดา เลยลามรังเกียจหลานชายด้วย ทั้งหมดมันเริ่มมาก่อนที่ลูกชายคุณสินีจะเสีย”
 
“หรือณุเป็นคนทำให้…” นั่นเป็นสิ่งที่ค้างคาใจของมณิกานต์
 
“ใครๆ เขาก็รู้ว่าที่จริงแล้วลูกชายคุณสินีน่ะทำตัวเอง” ดวงหน้าของหญิงชรานั้นเศร้านัก “ซ้ำยังเกือบทำให้คุณณุเกือบจมน้ำไปด้วย ตอนนั้นคุณณุอายุแค่หกขวบ ลูกชายของคุณสินีโตแล้ว แก่กว่าคุณนินทร์ปีเดียว ถ้าจะหาคนที่ผิด มันก็ผิดกันทุกคนที่เกี่ยวข้องล่ะค่ะ คุณณุผิดตรงที่อยากนั่งเรือเล่นในเวลานั้น คุณนินทร์ผิดที่อาสาพายให้น้อง ป้าผิดที่ไม่ได้เฝ้าดูแล”
 
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ภาพเด็กชายสามคนบนเรือกลางแม่น้ำนั้นยังคงแจ่มชัด ลูกชายของเฉลิมละสินียืนเด่นที่หัวเรือ ส่วนชิษณุนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีชนินทร์เป็นนายท้าย
 
โฉมฉายจำได้ว่าเธอตะโกนร้องให้เด็กชายตัวโตที่อยู่หัวเรือนั่งลงและอยู่นิ่งด้วยเกรงอันตรายจากตัวเรือที่โคลงไปมา และกระแสน้ำเชี่ยวกราด…หากก็ไม่เป็นผล
 
จะด้วยความคึกคะนอง ดื้อรั้นหรืออะไรก็ตามแต่ คนที่ยืนแล้วโยกตัวบนเรือเล็กไม่ฟังคำทัดทานจากผู้ใด
 
แรงโยกผสมผสานกับกระแสน้ำ กระเพื่อมฮือโถมด้วยคลื่นจากเรือหางยาวที่แล่นผ่านอย่างเร็ว ทำให้สิ่งที่ทุกคนกลัวนั้นเป็นจริง
 
ฉับพลันเรือลำน้อยพลิกคว่ำกลบร่างของเด็กชายทั้งสามจมหายไปในน้ำ โฉมฉายจำได้ว่าเธอกรีดร้องสุดเสียง  หัวใจแทบจะขาดเป็นเสี่ยงๆ ความชุลมุนที่เกิดขึ้น ทำให้หลายภาพความทรงจำจางไป แต่หญิงชราจำภาพเมื่อชนินทร์อุ้มร่างที่ไร้สติของเด็กชายตัวเล็กที่สุดขึ้นมาจากน้ำ
 
ความห่วงใยของทุกคนในที่เกิดเหตุนั้นจดจ่ออยู่ที่เด็กชายตัวเล็ก  ไม่ทันนึกว่าเด็กชายอีกคนหนึ่งไม่ได้ตามขึ้นมาบนฝั่งด้วย
 
สายเสียแล้ว ช้าไปเสียแล้ว
 
เพราะเด็กชายคนตัวโตทิ้งไว้เพียงร่างที่ไร้ลมหายใจเท่านั้นเอง
 
“คนเราผิดพลาดกันได้นะคะ มีใครบ้างไม่เคยพลาด พลั้ง เผลอ และสิ่งที่เกิดนั้น ก็ไม่มีใครอยากให้เกิด” เสียงของมณิกานต์ดึงผู้เป็นแม่บ้านกลับมาจากห้วงความทรงจำอันปวดร้าวในอดีต “ถึงอาฆาตแค้นไปก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้นี่คะ”
 
แขนเล็กละมุนโอบเอวของหญิงชรา ดวงตาอ่อนโยนของเธอทำให้ใบหน้าเศร้าของโฉมฉายปรากฏรอยยิ้มจางๆ
 
“ถ้าทุกฝ่ายคิดได้อย่างหนูมนต์ ก็คงไม่ต้องเป็นอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้หรอกค่ะ”
 
“ทำไมไม่มีใครคิดเหมือนเราหนอ” การถอนหายใจนั้นยาว “บางที…บางคนอาจจะมีความสุขกว่านี้ก็ได้ค่ะ”
 
“อดีตแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้าต่อจากนี้ไป ป้าเห็นคุณณุมีความสุขป้าก็ดีใจแล้วค่ะ”
 
“มนต์ก็เช่นกันค่ะ” คำยืนยันนั้นเช่นหัวใจของเธอที่ต้องการเช่นนั้น
 
 
[1] Fifth Amendment ของรัฐธรรมนูประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้กำหนดไว้ซึ่งหนึ่งในข้ออนุญาตให้ผู้ต้องสงสัยในคดีสามารถที่จะปฏิเสธไม่เป็นพยานเพื่อให้ปากคำที่เป็นผลลบต่อตนเองในชั้นศาล :  “No person shall be…compelled in any criminal case to be a witness against himself…”

 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
ReadAWrite : manas.readawrite.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 


 


Create Date : 08 มีนาคม 2563
Last Update : 8 มีนาคม 2563 22:43:40 น. 0 comments
Counter : 622 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.