Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
8 ตุลาคม 2562
 
All Blogs
 

คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 6) โดย มานัส

 
บทที่ 6

เสียงแตรรถที่ดังก้อง ทำให้คนในบ้านต้องวิ่งเหยาะแหยะกระโผลกกะเผลออกมา
 
ขาที่มีรอยฟกช้ำเป็นจั้มๆ และแผลถลอกจากอุบัติเหตุเมื่อวานหยุดชะงักเมื่อเห็นรถโฟร์วิลส์จอดหลังประตูรั้วเหล็กโปร่ง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าแรง
 
“มาหาใคร” มณิกานต์เท้าเอวถาม ดวงตาเป็นประกายไม่พอใจแกมเอาเรื่อง
 
“อ้าว! คุณเองเหรอ มาทำอะไรที่นี่” เสียงไม่ปกปิดความประหลาดใจนั้นชัดเจนจากคนที่โผล่หน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลง
 
“แล้วคุณมาทำอะไร” อีกฝ่ายย้อน “บีบแตรดังลั่น ไม่เกรงใจชาวบ้าน”
 
“ที่ต้องกดแตรเพราะบ้านนี้ไม่มีสัญญาณเรียกหน้าบ้าน และจะให้ผมตะโกนเรียกคนในบ้านจากตรงนี้ก็เกรงว่าจะไม่ได้ยินกัน” เขาอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ส่วนคำถามว่าผมมาทำไม…ที่แน่ๆ ไม่ได้มาหาคุณหรอก ผมมาหาเจ้าของบ้าน”
 
“เพื่อ…”
 
“มาเยี่ยมพี่นินทร์” เขามองไปที่โรงจอดรถว่างเปล่า ก่อนจะกวาดตามองร่างในกางเกงขาก๊วยสีดำและเสื้อยืดหลวมๆ “อย่าบอกนะว่าคุณอยู่ที่นี่”
 
“แล้วจะทำไม”
 
“ก็ไม่ทำไม…” ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจ “นี่พี่นินทร์ยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอ เมื่อกี้คุยกัน เห็นบอกว่าออกไปซื้อของและกำลังกลับ”
 
“ยัง” คำบอกสั้น “มีอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวบอกพี่หมอเอง”
 
“พี่หมอ?” สีหน้ามีรอยขบขัน ชนินทร์เป็นหมอมานานแต่ก็ไม่เห็นเคยมีใครเรียกแบบนี้ “เปิดประตูให้ผมเข้าไปรอข้างในได้ไหม”
 
“ไม่ได้ เจ้าของบ้านไม่อยู่ ฉันไม่กล้าเปิดให้คนแปลกหน้าเข้ามาหรอก” สีหน้าของหญิงสาวปรกตินัก รอยถลอกที่ข้อศอกและยังหัวเข่าเตือนให้รู้ถึงความเจ็บนิดๆ  “ใครจะรู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ฉันไม่ได้รู้จักมักจี่กับคุณด้วยนี่”
 
สำหรับมณิกานต์แล้วการห่างจากคนของสังคมกรุงเทพได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี เธอไม่พร้อมที่จะกลับไปสู่ความวุ่นวาย การใช้ชีวิตอยู่ในชนบทแบบนี้แม้ไม่สะดวกสบาย แต่ก็ให้ความรู้สึกสุขและสงบ ใช้เวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็เริ่มคุ้นเคย แต่อุบัติเหตุเมื่อวานก็เกือบทำลายโลกอันสงบของเธอก็ว่าได้
 
หญิงสาวทั้งตกใจและเป็นกังวลในแวบแรก ใครจะคิดว่าจะเจอคนอย่างเขาที่นี่ เธอหวาดวิตก กลัวว่าเขาจะจำได้ถึงแม้จะเคยพบกันแค่เพียงผ่านตาก็ตามที
 
“ผมไม่ใช่คนแปลกหน้า ผมเป็นน้องของพี่นินทร์” ชิษณุแจ้งเมื่อลงมายืนกอดอกมองอีกฝ่ายบ้าง “คุณแหละเป็นใคร เพราะผมก็ไม่รู้จักคุณเหมือนกัน”
 
คำบอกนั่นทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกระแวง เพราะชนินทร์ไม่เคยบอกว่ามีน้องชาย แล้วเป็นใครก็ไม่เป็น ดันต้องมาเป็นอีตาชิษณุที่กำลังมองเธอผ่านประตูรั้ว เพียงแต่ว่าดวงตาคมคู่นั้นที่มองมา ไร้เค้าความเยือกเย็นเหมือนที่เธอเคยเห็นที่กรุงเทพ
 
“พี่หมอไม่มีน้อง” มณิกานต์ทำเสียงแข็ง ก่อนจะรัว “อีแบบนี้ใครๆ ก็อ้างได้ทั้งนั้นแหละ ฉันจะเชื่อคุณได้แค่ไหน แล้วจะรู้ได้ไงว่าคุณเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ เพราะไม่ใช่คนแถวนี้น่ะซิ ฉันถึงต้องไม่เชื่อคุณไว้ก่อน”
 
ทว่าเสียงรถยนต์คันเก่าที่กำลังแล่นเข้าจอดหลังรถของผู้มาเยือน ทำให้เสียงแจ้วๆ ต้องพลันหยุดลง
 
“พักหายใจเหรอ” คนที่อยู่นอกรั้วกลั้วหัวเราะ
 
“เกะกะ ขวางหน้าบ้านคนอื่นอยู่ได้” เสียงขุ่นกอปรนัยน์ตาวาววับแสดงความไม่พอใจแจ่มชัด
 
“คุณณุ! มาถึงนานแล้วเหรอครับ ทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ” คุณหมอหนุ่มที่ลงจากรถ ถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ก่อนหันไปทางคนที่อยู่อีกฟากรั้ว  “รบกวนเปิดประตูให้ด้วยครับคุณมนต์”
 
“ก็มัวแต่เถียงกับองครักษ์พิทักษ์บ้านของพี่นินทร์นี่แหละ ไม่ยอมให้ผมเข้าไป” เขาฟ้องหน้าตาเฉย น้ำเสียงหาเรื่องเต็มที่ มองมือเล็กที่จัดแจงปลดกลอนประตูรั้ว “ดุยิ่งกว่าบางแก้วซะอีก”
 
“นี่! เรื่องอะไรเอาฉันไปเปรียบกับหมา” เสียงสวนขึ้นทันควัน แววตาเอาเรื่อง
 
ทว่าอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน เขาขับรถเข้ามาในบริเวณบ้านอย่างใจเย็น และแม้แต่ท่วงท่าที่เดินเข้าไปภายในบ้านไม้เก่าหลังเล็กทาสีแดงก็ยังบอกถึงความนิ่งสบายๆ  ต่างจากดวงหน้าที่ยิ้มพรายแกมเจ้าเล่ห์อย่างมั่นใจในชัยชนะของตนเอง
 
ความรู้สึกไม่พอใจผู้มาเยือนนั้นเพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นว่าชนินทร์รีบเปิดไฟและเครื่องปรับอากาศในห้องรับแขกเพื่อต้อนรับ ก่อนคุณหมอผู้เป็นเจ้าของบ้านจะยกน้ำเย็นมาบริการเขา
 
มณิกานต์กอดอกมองเหตุการณ์จากมุมเล็กๆ ของบ้าน ไม่ปิดบังสายตาไม่ไว้ใจแม้เมื่อเขามองกลับมาด้วยรอยยิ้มพราว รับแก้วน้ำจากชนินทร์มาจิบอึกใหญ่ก่อนเปรย
 
“เห็นเขาลือกันเรื่องพี่นินทร์มีคนมาอยู่ด้วย”
 
เมื่อมีการเกริ่นเช่นนั้น ชนินทร์จึงแนะนำอย่างตะคุตะขัด “คุณมนต์…นี่คุณชิษณุนะครับ คุณณุครับ…คุณมนต์ เธอเป็น…เป็นญาติทางคุณแม่ของผมครับ”
 
คุณหมอหนุ่มไม่สบตาคมของผู้อ่อนเยาว์กว่า เขารู้สึกไม่สบายใจที่ต้องโกหกเช่นนั้น โดยเฉพาะกับคนฉลาดแถมขี้ระแวงอย่างชิษณุ
 
“อ๋อ…ญาติทางคุณป้า” การพยักหน้าคล้อยตามไม่มีเคล้าปักใจเชื่อ
 
“ครับ” ชนินทร์คอแห้ง หนักใจยิ่งกว่าตอนที่บอกให้อรทัยผู้เป็นคู่หมั้นของเขาให้รู้เรื่องว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่ด้วย
 
ผู้หญิงที่ต้องการที่หลบหนีปัญหาและความเสียใจ
 
อรทัยไม่ระแวง แต่ก็ไม่วายระวัง ซักถามเสียจนแน่ใจ
 
ทว่าชิษณุระแวงและระวัง ด้วยนิสัยและเพราะเขาเป็นเจ้านายของอรทัย
 
เป็นเจ้านายที่พร้อมปกป้องลูกน้องเสียด้วย
 
“งั้นที่เขาว่าพี่นินทร์มีสาวมาอยู่ด้วยก็…คนนี้นี่เอง” แววตาคมฉลาดชำเลืองมองเป้าแห่งการสนทนา “แล้วทำไมมาอยู่กับพี่นินทร์ล่ะ ญาติคนอื่นๆ ไม่มีเหรอ”
 
“เรื่องของฉัน ธุระไม่ใช่ จะรู้ไปทำไม”
 
“แค่อยากรู้เหตุผลว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงมาอยู่บ้านของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น   ไม่มีบ้านให้อยู่เหรอ” ดวงตาวาววับไม่ปิดบังความขบขัน ทำให้อีกฝ่ายนิ่ง
 
“เออ คุณมนต์มีเหตุจำเป็นนิดหน่อย หวังว่าคุณณุคงไม่ว่าอะไร”
 
ชิษณุมองหญิงสาวที่เมินหน้าไปทางอื่น เห็นแล้วริมฝีปากแดงที่มักตอบโต้เขาอย่างฉะฉาน บัดนี้ขบเม้มไม่พอใจ
 
“ผมไม่มีสิทธิ์ว่าพี่นินทร์หรอก และผมมั่นใจว่าพี่นินทร์ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ” เสียงนั้นเรียบนัก ไม่ต่างจากคำสั่งในประโยคต่อมา “ถ้าอาทิตย์หน้าพี่นินทร์ว่าง รบกวนให้เข้าไปหาผมที่กรุงเทพฯ นะครับ”
 
สิ้นสุดคำสั่ง ทั้งสองหนุ่มก็ยังคงคุยอีกครู่ จนชิษณุลากลับโดยผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินไปส่งถึงที่รถ
 
“ทำไมพี่หมอเกรงใจอีตานี่จัง” มณิกานต์ตั้งข้อสังเกตเมื่อชนินทร์กลับเข้ามาในบ้าน
 
“คุณมนต์ก็ดูจะไม่ชอบคุณณุเอาซะเลย” เขาตั้งข้อสังเกตเช่นกัน เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย
 
“ก็อีตานี่ไงที่ทำให้มนต์ต้องกระเผลกอยู่เนี่ย” เจ้าตัวลูบหัวเข่าที่ยังระบม
 
และยังมีที่ข้อศอกอีก แล้วยังรอยฟกช้ำ…
 
“คุณณุเนี่ยนะ ปรกติเขาระวังนะครับ” คุณหมอย่อมรู้ว่าชิษณุเป็นคนที่ระวังและรอบคอบมาก “สงสัยคงสุดวิสัย”
 
“พี่หมอเข้าข้างน้องชาย” มณิกานต์ค่อน ถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่เขาเป็นน้องของพี่หมอจริงๆ เหรอ”
 
“คุณพ่อของผมเคยทำงานให้คุณพ่อของคุณณุมาก่อน และผมก็รักคุณณุเหมือนน้องชายคนหนึ่ง”
 
“ก็ว่ายังงั้น อีตานั่นนิสัยใจคอก็ต่างกับพี่หมอราวฟ้ากับเหว”
 
“เหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ จะมีกี่คนแถวนี้ที่กล้าเปิดเวทีวิจารณ์ชิษณุตรงๆ
 
ความรัก ความเกรงใจ หรืออาจเพราะความเกรงกลัว ล้วนปิดปากคนได้สนิทนัก
 
“พี่หมอเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่หมอนั่นเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ จะเปิดก็ไม่เปิด ซ่อนอะไรไว้ก็ไม่รู้ ดูเล่ห์เหลี่ยมจัดจ้าน มนต์เคยเห็นเขาอยู่สองสามครั้งที่กรุงเทพฯ แถมเจอทีไรก็ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่เพื่อนๆ ของมนต์กรี๊ดเขา ไม่รู้เครซี่อะไรนัก…ยัยแป้งน่ะตัวดี เห็นบอกว่าเขาเก่งนักเก่งหนา แต่ดูแล้ว มนต์ว่าไม่ได้เรื่อง” หญิงสาวสาธยายได้เป็นฉากๆ “เหมือนลูกหลานไฮโซเศรษฐีทั่วไป แค่สานต่อสิ่งที่พ่อแม่เนรมิตขึ้นมาให้เท่านั้น”
 
“กว่าจะมีวันนี้คุณณุต้องลำบากมามาก สู้เลือดตาแทบกระเด็น” และเหมือนนึกขึ้นได้ ชนินทร์จึงหยุด ก่อนบอก “บางอย่างมองจากภายนอกไม่ได้หรอกครับ คนในสังคมมีใครบ้างที่จะไม่สวมหน้ากาก”    
 
“ก็จริง” เพราะมณิกานต์ได้เจอมาเองกับตัว คนที่เธอไว้ใจที่สุดกลับทำให้เธอเจ็บช้ำที่สุด “แม้แต่คนที่เรารักและไว้ใจยังใส่หน้ากากหลอกเราได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น”
 
ทว่ามันหมดเวลามานั่งเสียน้ำตาแล้ว ใช้เวลบวกกับบรรยากาศสงบของความเรียบง่ายในต่างจังหวัด ก็ทำให้หญิงสาวสามารถทบทวนและเข้าใจอะไรได้หลายอย่าง
 
ความรักของเธอกับเขตต์มันไม่ควรยั่งยืนมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่า…นี่กระมังที่ว่าความรักทำให้คนตาบอด โชคดีที่เธอเผชิญความเจ็บปวดในครั้งนี้ ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินจนถอนตัว ถอนใจไม่ทัน
 
แผลสดก็ย่อมมีสะเก็ดเป็นธรรมดา อีกไม่นานมันก็จะจางไป ไม่มีรอยแม้แต่แผลเป็น…ตาสว่างเป็นอย่างนี้นี่เอง
 
 
เสียงเพลงที่เปิดคลอกล่อมหญิงสาวที่ซุกกายแนบเขาจนหลับ แต่ชิษณุยังไม่อาจข่มตาลงได้ คิ้วเข้มขมวดนิ่วเข้าหากัน แววตายังคงแรงกล้าแม้ในความมืด
 
ใจที่ไม่สงบก็ยากที่จะบังคับความคิดให้สงบได้ เขาอยากเพื่อปรึกษาเดวิดเรื่อง…งาน แต่เพราะพริมาที่เบียดกายอยู่ข้างๆ ทำให้คนที่มีนิสัยระแวงระวัง ไม่ไว้ใจที่จะคุยเรื่องสำคัญในเวลานี้
 
“คิดเรื่องงานอีกแล้วใช่มั๊ย” หญิงสาวขยับตัวถามเมื่อเขาถอนหายใจ
 
“พริมนอนต่อเถอะ” เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม
 
“ก็ณุยังไม่หลับ แล้วพริมจะหลับลงได้ยังไง” เธอแหงนมองเขาในความมืดสลัว “นานๆ จะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ณุหยุดคิดเรื่องงานบ้างไม่ได้เหรอ”
 
“ไม่ได้” ชิษณุถอนหายใจ ลูบแขนเธอเบาๆ “มีหลายเรื่องที่ต้องคิด งานของผมสำคัญ เพราะถ้างานมันล้มเหลว หลายๆ คนก็จะล้มกับผมด้วย”
 
“พริมไม่อยากเห็นณุเครียด พริมอยากเห็นณุยิ้มบ้างเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน” พริมาพลิกตัวก้มลงมองอีกฝ่าย ไล่นิ้วบนขอบคางของดวงหน้าคมที่เธอหลงรักนักหนา
 
“แต่พริมก็เห็นผมเป็นแบบนี้จนชินแล้วนี่”
 
“ความเคยชินนี่น่ากลัว…ดูซิ คิ้วขมวดติดกันจนแกะไม่ออก” เธอลูบบนคิ้วของเขา “มีอะไรที่พริมพอจะช่วยได้มั๊ย”
 
หากชายหนุ่มส่ายหน้า “อย่าเลย ที่ผ่านมาก็มากแล้ว เรื่องแค่นี้ต้องมีทางออก”
 
“อย่างน้อยเล่าให้พริมฟัง เผื่อพริมจะได้ช่วยคิด ตกลงมันเรื่องอะไรที่ทำให้ณุคิดไม่ตก”
 
ชิษณุลูบแก้มของหญิงสาว แล้วจึงเริ่มเรื่อง…ราวว่ากำลังเล่านิทานก่อนนอนมากกว่าที่จะสาวถึงปัญหาสำคัญในเรื่องงานที่กำลังเผชิญ
 
บางทีเรื่องที่เดวิดจะได้ยินจากเขาอาจเป็นเรื่องดี
 
อิทธิพลของครอบครัวพริมาทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมืองนั้นมากพอที่จะช่วยให้เขาชนะเกมนี้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ลงทุนน้อยแต่ผลตอบแทนสูง
 
‘นายคบกับผู้หญิงคนนั้นเพราะอะไร…’ เดวิดเคยถาม ‘ผลประโยชน์?’
 
‘ใช่…แต่ไม่ใช่ทั้งหมด’ การลังเลในคำตอบ จะมีก็ต่อหน้าเพื่อนสนิทเท่านั้น
 
‘รักเหรอ’
 
คำสรุปสั้นๆ ทำให้ชิษณุหัวเราะ ‘ไม่ใช่แน่นอน…อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ เพราะเราจำได้ว่าความรักที่เคยมีต่อโจแอนมันไม่ใช่แบบนี้’
 
อย่างน้อยเขาก็เคย…รัก ทว่าความรักที่ลงเอยด้วยการหักหลังย่อมขมขื่น
 
ให้รักแค่ไหนก็ต้องตัดใจ
 
ให้ลองประสานอย่างไรก็ไม่ติด
 
ต่อให้กลับใจ พยายามไถ่ถอนความผิด…ก็ยังผิดไปจนตาย
 
การโดนคนรักทรยศ ทำให้เขาไม่มีหัวใจให้ความรักอีกเลย
 
 
ใบหน้าของหญิงสาวขมึงตึง ไม่พอใจเมื่อเห็นรถโฟร์วิลส์เข้ามาจอดหน้าประตูรั้ว เสียงแตรดังยาว หากคนที่กำลังนั่งเล่นที่โต๊ะม้านั่งหินอ่อนหน้าบ้านไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นเปิดประตู จนชายหนุ่มเจ้าของรถต้องเดินลงมา
 
“เปิดประตูให้ด้วยครับ” เขาตะโกน
 
“พี่หมอไม่อยู่” คนข้างในของฟากรั้วตะโกนตอบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง
 
“ผมไม่ได้มาหาพี่นินทร์ ผมมาหาคุณ”
 
คราวนี้มณิกานต์หันควับ ลุกเดินไปที่ประตูรั้วอย่างเสียไม่ได้ แววตาฉายความสงสัยระคนไม่ไว้วางใจ
 
เขาหายหน้าไปหลายวันจนเธอนึกดีใจเมื่อชนินทร์บอกว่า
 
‘คุณณุเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว’
 
แต่ตอนนี้…มาทำไม!
 
“มาหาฉันเรื่องอะไร”
 
“เปิดประตูก่อน ยืนตะโกนคุยกันไปมามันดีซะที่ไหน” ชิษณุเดินกลับไปที่รถ กดแตรรถอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ขยับตัวจากจุดที่ยืนอยู่
 
เสียงแตรที่กดค้างดังก้องรบกวนทั่วทุกส่วนประสาทของคนที่ยืนประชันอยู่อีกด้านของรั้ว  มณิกานต์จนใจ จำยอมเปิดประตูรั้วเพื่อให้รถใหญ่เข้ามา
 
“มีอะไรก็ว่ามา” หญิงสาวกอดอก ท่าทางเอาเรื่อง มองคนที่ลงจากรถ
 
“ลืมคืนให้เมื่ออาทิตย์ก่อนโน้น” เขายื่นถุงที่ใส่แบตเตอร์รี่ให้อีกฝ่ายซึ่งรับไปอย่างงุนงง “คุณทำตกไว้ตอนที่รถจักรยานล้มน่ะ ผมเก็บให้ไม่หมด พอดีเห็นมันหลังจากที่คุณไปแล้ว หวังว่าก่อนหน้านี้ยังไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องใช้มัน”
 
“ขอบใจ…แต่ซื้อมาใหม่แล้ว” แม้บอกเช่นนั้นแต่เธอก็ยังรับถุงใบนั้นมา
 
“เก็บสี่ก้อนนี้ไว้ใช้ทีหลังก็ได้ กว่าจะหมดอายุอีกตั้งนาน” ชายหนุ่มหันซ้ายขวา  “แล้วนี่จะไม่เชิญผมนั่งเลยเหรอ”
 
“จะนั่งทำไม หมดธุระแล้วนี่” ดวงหน้านั้นคล้ายจริงใจ แต่นัยน์ตาระยับเป็นประกายบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าหล่อนแกล้งทำ
 
“ขอพักหายใจเดี๋ยว” ว่าแล้วร่างสูงในกางเกงยีนส์ก็เดินเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจเสียงร้องจากด้านหลัง
 
“นี่…จะไปไหน!”
 
“บริการตัวเองเพราะเห็นจะพึ่งเจ้าถิ่นไม่ได้”
 
และเมื่อเข้ามาในครัวที่อยู่ด้านหลังของบ้านแล้ว ชิษณุจึงจัดแจงรินน้ำ ดื่มอย่างรวดเร็วด้วยความกระหาย ก่อนจะถือแก้ว เดินกลับมายังห้องรับแขก
 
หน้าต่างบานไม้เปิดออกหมดทุกบาน รับอากาศสดชื่น ทำให้ภายในบ้านไม้ไม่ร้อนอับ ผู้มาเยือนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้รับแขกอย่างสบายอารมณ์ ไม่รอการเชื้อเชิญ
 
บ้านหลังนี้เขาคุ้นเคยตั้งแต่จำความได้ และจำได้ว่าบ้านหลังนี้ก็เคยมีครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา ชนินทร์จะต่างจากเขาก็ตรงการพลัดพรากจากผู้เป็นพ่อแม่นั้นสิ้นไปตามวาระเวลาของธรรมชาติและชีวิตที่ไม่มีใครห้ามได้
 
แต่พ่อและแม่ของเขา…
 
‘ณุ’ เขาจำได้ตอนที่น้าสาวโทรฯ ไปที่โรงเรียนประจำในต่างแดน ‘พ่อแม่เรา…รถคว่ำ’
 
วันนั้นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันอันสดใสของชีวิตที่ย่างเข้าวัยรุ่นพลันพังทลาย
 
และการเดินทางกลับ…บ้าน หลังจากนั้นมันแสนอ้างว้าง พอๆ กับความเดียวดายที่กัดในหัวใจเมื่อต้องเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้ง เพราะไม่มีอีกแล้วคำสัญญา
 
‘ถ้าพ่อไม่มารับมาส่งณุ…แม่เขาก็มา’
 
ชีวิตที่ลำพังหลังจากนั้น ว้าเหว่ ทรมานแสนสาหัส
 
‘ณุไปอยู่กับป้านะ’ ผู้เป็นยายของเขาบอกหลังจากที่เขาเสียทั้งพ่อและแม่ ‘ป้าเขาจะดูแลณุ พ่อแม่เราฝากให้ป้าเป็นผู้ปกครอง…’
 
การปกครองหมายถึงดูแลเด็กกำพร้าเช่นเขา และกองมรดกก้อนโตที่มีทั้งที่ดินและกิจการ รวมถึงทรัพย์สินมหาศาล
 
“นี่คุ๊ณ…” เสียงแหลมเรียกคนที่นั่งนิ่งคล้ายหยุดหายใจ ให้ตื่นจากความทรงจำ  “เป็นอะไรหรือเปล่า”
 
“ผม…” เขาไม่ทันได้ตั้งตัวหาคำตอบไม่ได้  เขาพยายามเก็บความรู้สึกที่มากับความทรงจำ
 
“มาทำหน้าคิดถึงแฟน เดี๋ยวฉันหาพริกมาให้ก็แล้วกัน”
 
พริก…ก็หมายถึงคู่ควงของเขานั่นแหละ
 
หากคนที่ถูกค่อนไม่เข้าใจ คิ้วเข้มจึงขมวดเข้าอย่างสงสัยก่อนบอก
 
“คุณนี่จับโน่นชนนี่มั่วไปหมด ว่าแต่ที่เจ็บคราวนั้นหายแล้วใช่ไหม”
 
“ฉันมันพวกภูมิต้านทานความเจ็บปวดสูง…ไม่นานก็หาย” ก็คงเหมือนรอยแผลในหัวใจด้วยเป็นแน่แท้
 
“ก็ดี แล้วค่ารักษา ค่าชดเชยล่ะ” คำถามง่าย ปนหัวเราะนิดๆ
 
“เงินไม่ใช่ทุกอย่าง” มณิกานต์ประกาศก้อง “ฉันไม่อยากได้เงินของคุณ ยังดีที่คุณรู้จักขอโทษ พอให้อภัยได้”
 
“ก็ต้องขอโทษซิ เพราะผมทำให้คุณเจ็บตัว แล้วนี่ไม่มานั่งล่ะ” เขาพยักพเยิดหน้าไปทางเก้าอี้ไม้ที่ว่างอยู่ “ยืนอย่างนั้นเมื่อยแย่ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร”
 
สายตาคมวาววับจับแน่วแน่ที่ร่างอรชรผิวขาวละเอียดที่ยืนพิงประตูมองเขา
 
“ถ้ามีอย่างอื่นที่ต้องทำก็ไปทำเถอะ” ชิษณุยิ้มตาฉ่ำ “ผมคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าคุณเสียอีกนะ…คุณมนต์”
 
การเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง ทำให้หญิงสาวหันมาค้อนดวงตาขุ่น  เมื่อนั้นเขาจึงหัวเราะ
 
“ว่าแต่มนต์ นี่มนต์อะไรเหรอ มณฑา มนตรา มนกลมๆ มลภาวะ มลพิษ…”
 
“เรื่องของฉัน!” แววตาระยิบเอาเรื่องไม่เว้นวาย
 
“ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่” เขาบอกหน้าตาเฉย
 
และยังไม่ทันที่มณิกานต์จะต่อล้อต่อเถียง ก็มีเสียงเรียกจากนอกประตูรั้ว หญิงสาวรรีบเดินออกไป
 
ไป…ยังดีกว่ายืนให้เขาหาเรื่อง ถามโน่นนี่!
 
เพียงแต่ อีตาชิษณุ ตามออกมาติดๆ แถมทักทายชายวัยเลยกลางคนที่ยืนดุ้มๆ มองๆ จากอีกฟากรั้ว
 
 “สวัสดีลุง เข้ามาข้างในก่อนซิ” เขาจัดแจงเชื้อเชิญ เปิดประตูรั้วให้เสร็จสรรพ ไม่ใส่ใจสายตาขุ่นของหญิงสาว “เพิ่งจะบ่นกับป้าโฉมว่าคิดถึงถึงลุงอยู่พอดี เห็นว่าหลานชายของลุงเพิ่งจะแต่งงาน โห…ไม่นานก็ได้เป็นคุณทวดแล้วล่ะซิ”
 
“ครับ” น้ำเสียงและท่าทางของชายชราแสดงชัดถึงความเกรงใจ “ผู้หญิงที่มันเอามาเป็นเมียก็ดี ขยัน”
 
“อย่างนี้ก็โชคดี แต่ฝ่ายโน้นโชคดีกว่า หลานของลุงก็เก่งใช่ย่อย เห็นว่าหัวการค้าดี  ออกจากงานมาค้าขายเอง” เขานำคู่สนทนามานั่งที่โต๊ะหินอ่อน โดยมีผู้เป็น เจ้าบ้าน เดินตามมาเงียบๆ “ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยเหลือได้ ก็บอกนะ คนบ้านเดียวกันแท้ๆ อ้อ…ผมมียาบำรุงจากเมืองจีน เห็นว่าช่วงนี้ขาแข้งลุงไม่ค่อยดี เดี๋ยวจะให้เด็กมันเอามาให้ ลุงเองก็อย่างทำงานหนักนัก มีลูกมีหลานก็ให้เขาทำๆ บ้าง”
 
“ครับ…คุณณุนี่ก็ดีไม่เปลี่ยนเลย เป็นห่วงเป็นใยคนแก่ ”สายตาคนชรามองอีกฝ่ายอย่างชื่นชม
 
“ลุงก็ใช่คนอื่นไกลนี่ครับ”
 
ความเป็นกันเองและเอาใจใส่ของชิษณุที่มีต่อชายชราในเสื้อผ้าเก่าเปื้อนคราบดินโคลน ทำให้มณิกานต์ที่ยืนฟังการสนทนาของสองบุรุษต่างวัย อดไม่ได้จะค่อนในใจ…อีตาชิษณุรู้จักใช้จิตวิทยาจริงๆ ทั้งคำพูด ท่วงท่า และน้ำเสียง
 
“ผมเห็นรถคุณณุจอดอยู่ที่บ้านคุณหมอ ก็เลยแวะเอาส้มมาให้คุณณุ นี่ถึงช่วงเก็บพอดี ปีนี้ลูกดกเป็นพิเศษครับ ทางโรงงานมารับไปแล้วสามรอบ”
 
“ขอบคุณครับ แหม…กำลังอยากกินพอดี ไอ้ต้นที่บ้านเนื้อไม่แน่น ไม่หวานสะใจเท่าของลุง ว่าแต่ตอนที่โรงงานมารับของนี่มีปัญหาอะไรไหม”
 
มณิกานต์ชายตามองคนที่ทำเสียงกระตือรือร้นอย่างหมั่นไส้…คงไปเรียนรู้วิธีการเล่นละครจากแม่ดาราสาวที่เขาควงอยู่
 
“ไม่ๆ มาตรงเวลา ทำเร็ว ไม่มีติด”
 
“แต่ถ้ามีอะไร ลุงบอกนะ” รอยยิ้มใสดูเป็นกันเอง แจ่มน่ามอง จนหญิงสาวที่ชำเลืองค่อนต้องนึก…น่าจับอีตานี่ลงเล่นการเมือง
 
แม้แต่การปิดบทสนทนาไม่ให้เยิ่นเย้อ เขาก็ทำได้อย่างแนบเนียน  เดินคู่กับชายชราไปยังรถกระบะคันเก่าที่จอดอยู่ริมถนนด้านนอก เพียงไม่กี่อึดใจเขาก็กลับเข้ามา   ในมือหอบตะกร้าหวายขนาดกลางที่มีผลส้มกองจนล้น
 
“จะไปไหน” หญิงสาวร้องเมื่อเห็นเขากำลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
 
“เอาไปเก็บในครัว” 
 
“ก็เอาไว้ในรถตัวเองเลยซิ”
 
และแม้ผู้เป็นเจ้าบ้านจะบอกเช่นนั้น แต่ชิษณุทำทีไม่ได้ยิน ไม่สนใจ ทำให้หญิงสาวจำต้องเดินตามไปอย่างอ่อนใจ และเมื่อเข้ามาในครัว ก็พบว่าคนร่างสูงนั้นพับแขนเสื้อขึ้น จัดแจงล้างผลส้มและเด็ดเอาก้านและใบที่ยังมีติดมาออก วางผลส้มผิวเกลี้ยงเกลาในกระจาด
 
“แถวนี้สวนส้มค่อนข้างเยอะ วันๆ ก็มีแต่คนเขาเอามาให้ ขนาดที่บ้านผมคนเยอะแยะ ก็ยังกินกันไม่หมด” สีหน้าแจ่มใสมีแววกระตือรือร้น “นี่แบ่งไว้ให้พี่นินทร์กับคุณ ”
 
“คุณนี่ท่าทางกว้างขวาง” หญิงสาวหมายประชด
 
“ไม่หรอก ถ้ากว้างขวางจริง ผมก็ต้องรู้จักคุณด้วย” สายตาคมพินิจพิจารณาอีกฝ่าย “ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณเป็นญาติของพี่นินทร์ พี่นินทร์เป็นเหมือนคนในครอบครัวของผม มีญาติที่ไหนเป็นใคร ผมรู้ดีที่สุด”
 
มณิกานต์ไม่ตอบและไม่มองเขา…อีตานี่ไม่โง่ แถมยังขี้สงสัย
 
“แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นญาติของพี่นินทร์หรือไม่ มันไม่สำคัญ คุณคงมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ธุระของผมหรือของใคร” ชิษณุเช็ดมือกับผ้าขาวที่แขวนอยู่ หันมาประจัญหน้ากับอีกฝ่าย
 
“แล้วไง” เสียงสั่นไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตารู้เท่าทัน
 
“ไม่ยังไงหรอก พี่นินทร์มีคนรักอยู่แล้ว และอีกไม่นานก็จะมีข่าวดี”
 
“ฉันรู้” มณิกานต์กระแทกเสียง “และก็ไม่คิดจะเป็นมือที่สาม”
 
คำบอกในประโยคหลังนั้นแฝงความรู้สึก เธอย่อมไม่คิดเพราะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะ ‘มือที่สาม’ นั้นแสนสาหัสเพียงใด
 
ทำให้คนที่โดนกระทำช้ำชอก รวดร้าวแค่ไหน
 
“ก็ดี ค่อยโล่งใจ” แม้รอยยิ้มจะเป็นประกาย ทว่าดวงตาคมปลาบจับเขม็ง “แต่ข่าวจากปากคนที่ไม่รู้ความจริง เวลาพูดปากต่อปากมันน่ากลัว  ตอนนี้ใครๆ ก็คิดกันไปสารพัด บ้างว่าคุณเป็นญาติ แต่ก็มีที่ลือว่าคุณหนีตามพี่นินทร์มา หรือไม่ก็มาหลงเสน่ห์พี่นินทร์”
 
“บ้า!” เสียงอุทานดังลั่น ดวงตาเขม็งเอาเรื่อง “ใครมันคิดทุเรศ”
 
“ไม่ใช่ผมหรอก” เขารีบปฎิเสธเมื่อเห็นสายตากล่าวโทษของอีกฝ่าย “แต่คนเขาก็ต้องคิด ผู้ชายผู้หญิง อยู่บ้านเดียวกันเป็นเดือนๆ เมื่อตะกี้ลุงแกยังบอกเลย นึกว่าคุณเป็นเมียพี่นินทร์”
 
“โอยยย! แล้วคุณตอบว่าไง”
 
“ผมก็บอกไปว่า…” ชิษณุเกาคาง ทำท่าคิด หน้าตาดูเจ้าเล่ห์ “ไม่ใช่! เห็นไหม ผมน่ะดีแค่ไหน อุตส่าห์เล่าไปว่าคุณน่ะเป็นญาติพี่นินทร์ นี่ทั้งยืนยันและแก้ต่างให้เชียว ชื่อเสียงคุณน่ะไม่ค่อยน่าห่วงเท่าของพี่นินทร์หรอก เอาไปลือกันผิดๆ เสียหายหลายแสน…” ดวงตาสวยที่มองค้อนทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว รอยยิ้มละมุนประทับมุมปาก “แล้วตกลงคุณเป็นใคร มาทำไม จะอยู่อีกนานแค่ไหน”
 
“ไหนว่าไม่สนใจ ไม่ใช่ธุระไง แล้วถามทำไม” หญิงสาวเมินรอยยิ้มนั่น…ต้องระวัง อีตานี่ฉลาดใช่ย่อย เข้าใจวกเข้า วกออกประเด็น
 
“ก็แค่อยากรู้ ว่าอย่างไรครับคุณมนต์”
 
“รู้จักแค่นี้พอแล้ว รู้ด้วยว่าฉันคงอยู่รบกวนพี่ของคุณไม่นาน และพอฉันไปแล้ว เราก็คงไม่เจอกันอีก เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่คุณหรือใครจะรู้อะไรมากกว่านี้”
 
“จะไปเมื่อไหร่ กว่าคุณจะไปผมคงอยากรู้จักคุณมากขึ้น” สีหน้าและน้ำเสียงนั้นเป็นปรกติ แต่ดวงตาคมกริบทำให้อีกฝ่ายต้องรีบเดินออกมาด้านนอก
 
“นี่จะตามมาทำไมนัก รำคาญ!” คนพูดหยุด หันไปทางคนที่ตามติด  “คนอะไรพูดจาไม่รู้เรื่อง ถ้ามันเป็นปัญหามากนัก ฉันก็จะไม่อยู่แล้ว ทีนี้พวกคุณจะได้สบายใจ เลิกยุ่งกับฉันเสียที”
 
“ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนี่หน่า อ่ะ…ขอโทษแล้วกันถ้ายุ่งมากไป เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรหรือให้ผมช่วยก็…”
 
“ไม่ต้องห่วง…ไม่มีแน่! ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร” หญิงสาวหันกลับอยากหนีไปให้ไกลที่สุด หากไม่ทันระวังโต๊ะวางหนังสือตัวเล็กที่อยู่ด้านหลัง  “อูย…”
 
ทว่ายังไม่ขาดคำ อีกฝ่ายก็ก้าวเข้าประคองเธอทันที
 
“เจ็บมากไหม มัวแต่รีบเดินหนี เจ็บตัวเลย เห็นมั๊ย…”
 
หากมณิกานต์ตะคอกกลับด้วยความโมโห “เจอทีไร ต้องเจ็บตัวทุกที ไม่ชนก็ล้ม…”
 
นี่มันครั้งที่เท่าไรแล้วหว่า…
 
หากคนที่โดนกล่าวหากลับหัวเราะ ชอบใจ “ทำตัวเองแท้ๆ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ หวังว่าไม่เจ็บมากนะ ชนเบาๆ เดี๋ยวก็หาย วันก่อนโน้นล้มแผละลงไปกลิ้งข้างถนนยังหายนี่” เห็นแล้วแววตาเขียวปัดที่ค้อนวาบ “วันนี้คุณค้อนผมหลายทีแล้ว  แหม…อยากเป็นตะปูจัง”
 
“นี่!” คนเจ็บกำลังคิดคำแสบมาพ่นใส่ แต่อีกฝ่ายก็เดินหนีไปแล้ว
 
มือเล็กคลึงหน้าแข้งที่เพิ่งกระแทกโต๊ะไม้หนา เสียงรถคันใหญ่พุ่งตัวออกจากบ้านไป แต่เสียงของหญิงสาวที่อยู่ข้างในบ้านยังร้องดังเพราะเจ็บใจมากกว่าเจ็บตัว
 
“โอ๊ย…อีตาบ้า อย่ามาให้เจออีกเลย!”
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2562
0 comments
Last Update : 8 ตุลาคม 2562 15:37:24 น.
Counter : 616 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.