https://kaoim.bloggang.com
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

"มรณานุสสติ” สมาธิการเตรียมตัวตายก่อนตาย ... พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

บุญนี้เพื่อพี่นุช เพื่อนและพี่ของเก้าค่ะ

หลักการ

วาระสุดท้ายของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทุกชั้นวรรณะ ทุกระดับชั้น ทุกตำแหน่งหน้าที่การงาน ต่างตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมที่เหมือนกัน คือ การสิ้นสลายของรูปร่างกาย หรือ “การตาย” นั่นเอง มนุษย์แทบทุกคนจะกลัวตาย และไม่มีใครอยากตาย

ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย ได้มีโอกาสศึกษาถึงเรื่อง กิเลส และการตายบ้าง จะรู้ว่า กิเลสและการตายยังผูกโยงไปถึงการเกิดใหม่อีกด้วย เนื่องจากถ้าเราเสียชีวิตลง แต่ยังมีกิเลสเหลืออยู่ กิเลสเหล่านั้นคือเชื้อหรือสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดใหม่ตามกระแสของบุญหรือบาปที่แต่ละบุคคลได้เคยทำไว้ ดังนั้น การตายสำหรับบางคน จึงเป็นเพียงการถอดเสื้อผ้าชุดเก่าที่ขาด เปื่อยยุ่ย ไม่สามารถปะชุนได้อีก ด้วยความชราภาพ หรือถูกโรคร้ายกัดกินทำลาย แล้วหาเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือร่างใหม่ ดำเนินชีวิตต่อไปตามกระแสของกรรม

การพิจารณาความตาย การมีสติรู้เท่าทันความตาย เป็นอุบายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ ไว้มากยิ่งนัก หากผู้ฝึก ผู้ป่วยได้ฝึกปฏิบัติทดลองตายก่อนตายจริง จะเป็นการช่วยให้ผู้นั้นไม่กลัวตาย กล้าเผชิญหน้ากับความตายที่มาถึงได้อย่างกล้าหาญ

วิธีปฏิบัติ
ก่อนอื่น ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่าอุบายวิธีนี้เป็นการทดลองฝึก “ตาย” ก่อนตายจริง ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึก คือการตายหลอกที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับการตายจริง

8.1 ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย คลายอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนึกและคิดที่เป็นอนาคต อดีต ปัจจุบัน รวมทั้งความดี ความชั่ว ฯลฯ ให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเป็นความว่างสักระยะหนึ่ง

8.2 ลำดับต่อมา ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกมาที่ฐานอารมณ์ในโพรงจมูก (ดูรูปหน้า39) จะเห็นว่าจุดฐานอารมณ์ จะอยู่ประมาณกึ่งกลางในโพรงจมูก หรืออยู่ระหว่างกลางของต่อมไซนัสทั้ง 2 ข้างหรือจุดที่ผู้ฝึกเคยรู้สึกคัดจมูกในเวลาที่เป็นหวัด

8.3 ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย วางหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงที่ฐานอารมณ์ซึ่งหาไว้ได้แล้ว กำหนดจี้ลงไปที่ฐานเดียว ไม่เคลื่อนความรู้สึก (จิต) แส่ส่ายออกไปที่อื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดว่า ตาย ตาย ตาย และสร้างความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่ตาย ไม่เสียหายชีวิตเพราะทุกคนหนี “ความตาย” ไม่พ้น

8.4 หลังจากกำหนด ตาย ตาย ตาย ไปสักระยะหนึ่ง ผู้ฝึกและรู้สึกว่าลมหายใจเข้า-ออก ได้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนรู้

สึกอึดอัด หูอื้อ จมูกจะห่อ ตาถูกบีบเหมือนจะถลนออกมา รู้สึกชา และเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ผู้ฝึกจะรู้สึกกลัวตาย ครองสติให้มั่นคง และยอมตาย ลมหายใจจะค่อยๆ อ่อนลงๆ ความดำมืดจะแผ่คลุมไปทั่วไป จนผู้ฝึกหมดความรู้สึกไปในที่สุด เหมือนกับการตายจริง

8.5 สำหรับผู้ฝึก ผู้ป่วย บางท่านที่มีความเจ็บปวดมากเพราะโรคร้ายกำลังลุกลาม ให้ผู้ฝึกให้จุดเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นฐานกำหนดมรณานุสสติ แทนฐานอารมณ์ โดยการจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ความเจ็บปวดนั้นๆ และกำหนด ตาย ตาย ตาย ความรู้สึก (จิต) ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเดียว ไม่หนีไปที่อื่นๆ ความเจ็บปวดทรมานจะเพิ่มมากขึ้นๆ จนรู้สึกหูอื้อ ตาลาย หายใจอึดอัด ฯลฯ ความดำมืดแผ่ซ่านเข้าไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้ยอมตาย อย่าแอบสืบลมหายใจเข้า จนกระทั่งความรู้สึกจะดับวูบไป

8.6 ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะผ่านการดับของเวทนา ซึ่งไม่ใช่การตายที่เกิดเพราะหมดลมหายใจ คือไม่มีก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกายอีกต่อไป และหัวใจหยุดทำงาน การดับในครั้งแรกๆ ผู้ฝึกจะรู้สึกว่าทรมานมากและแต่ละบุคคลให้เวลาของการดับมากน้อยแตกต่างหัน เมื่อผู้ฝึก ผู้ป่วย เริ่มรู้สึกตัว ฟื้นคืนกลับมา จะรู้สึกเย็น โล่ง สบาย แสงสว่างปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย และในขณะนั้น ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะยังคงไม่มีลมหายใจ เข้า-ออก เช่นเดียวกับก่อนจะเกิดการดับแต่ไม่ตายหลับมีแต่ความสดชื่น ความเจ็บปวดทรมานหมดสิ้นไป

คุณประโยชน์
1. ผู้ฝึก ผู้ป่วย มีโอกาสได้สัมผัส และเห็นขั้นตอนของการดับซึ่งเหมือนกับการตายได้อย่างละเอียดชัดเจน ในชีวิตประจำวันร่างกายของทุกคนจะมีการเกิดและดับอยู่ ทุกๆ 1 วินาที นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนจิตมนุษย์ทั่วๆ ไปตามไม่ทัน ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยได้รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย ไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป คือร่างกาย, เวทนาคือความรู้สึกทุกข์ สุข เฉย, สัญญาคือความจำได้ และวิญญาณคือ ตัวรู้ สภาพรู้ เกิดการปล่อยวาง ผู้นั้นมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมได้

2. ผู้ฝึกที่มีความเจ็บปวดมาก หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก ถ้าสามารถกำหนด ตาย ตาย ตาย ให้ผ่านจุดดับไปได้ โรคภัยทุกชนิดจะหายหมดไปด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเป็นยาขนานเอกเลยทีเดียว

3. ถ้าผู้ฝึก สามารถผ่านจุดดับไปได้ ผู้ฝึกจะไม่กลัว “ความตาย” เพราะสามารถเอาชนะความตายมาได้แล้วด้วยการทดลองตายก่อนตายจริง และเมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ผู้นั้นจะสามารถเผชิญกับความตายอย่างกล้าหาญและมีสติ จะไม่มีพญามัจจุราชหรือยมทูตมาปรากฏให้เห็น

ข้อเสนอแนะ
ความเจ็บ ความปวด หรือภาวะที่รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เข้า เป็นการลวงหลอกของขันธ์ 5 ชักจูง ดึงจิตของผู้ฝึกให้ไขว้เขวไม่ตั้งมั่น เช่น จะถูกดึง ชักนำให้เลิกฝึกบ้าง ให้แอบสืบลมหายใจสักนิดเดียว ผู้ฝึกต้องตั้งสติให้มั่นคง สร้างความรู้สึกที่ถูกต้องก่อนว่า ขณะนี้ตนเองยังมีลมหายใจเข้า-ออกเป็นปกติ ไม่ได้เอามืออุดจมูก บีบจมูก หรือใช้วัสดุใดๆมาปิดจมูกไม่ให้ก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกาย สิ่งที่ผู้ฝึกได้กระทำคือ เพียงแต่จี้ความรู้สึก (จิต) ลงที่ฐานอารมณ์ ซึ่งเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์สมาธิ คือ ตั้งมั่น ตั้งใจทำ จะส่งผลให้ลมหายใจเข้า-ออกตามปกติ ค่อยๆ ช้าๆ ลงจนสัมผัสไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ไม่มีลมหายใจเข้า-ออกอีกเลย สิ่งที่หมดไปหรือหยุดไปหรือดับไป คือความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย ที่อาศัยการเกิดขึ้นหรือปรุงแต่งจากการมีลมหายใจเข้า-ออกต่างหาก

อุปสรรค
1. ความกลัวตาย ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

2. ถ้ากดหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ฐานอารมณ์ เป็นจังหวะๆๆ จะเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชนที่ฐาน ไม่ใช่การจี้หรือการนิ่งที่ฐาน ซึ่งเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) ไปชนที่ฐานเป็นจังหวะๆๆ นั้น จะทำให้เกิดพลังงาน คือแสงสว่างปรากฏขึ้นในโพรงจมูก หรือที่ฐานอารมณ์ หรือกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกทำผิดวิธีนี้ จะไม่เห็นการดับ





 

Create Date : 07 ตุลาคม 2550
8 comments
Last Update : 7 ตุลาคม 2550 19:00:16 น.
Counter : 1853 Pageviews.

 

พี่จะทำยังไงพี่จิตตกทุกวันที่คิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ก็ร้องไห้

 

โดย: จินตนา IP: 124.121.116.48 8 ตุลาคม 2550 21:17:17 น.  

 

อย่างแรก ขอให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงว่า เรามีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนไว้ให้คิดถึงการเกิดและดับ สรรพสิ่งทุกอย่างอยู่ในกฏของไตรลักษณ์คือ มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีมีอะไรที่จะอยู่ได้อย่างจีรังถาวร

ขอแนะนำหนังสือธรรมะดีดี เช่น เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ของดังตฤณค่ะ ถ้ามีโอกาสซื้อมาไว้อ่าน อ่านให้คนเจ็บฟังเพื่อเป็นบุญกุศลแก่ผู้เจ็บป่วย

การพิจารณาตาย ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้หลายต่อหลายองค์ ร่างกายนี้แท้จริงก็ไม่ใช่ของของเรา เมื่อหมดลมหายใจแล้ว หรือเมื่อตายแล้ว ร่างกายก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมชาติ ดวงจิตที่เหลือก็จุติใหม่

สัพเพ สังขารา อะนิจจา.
สังขารคือร่างกาย จิตใจ และรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปมีแล้วหายไป.

สัพเพ สังขารา ทุกขา.
สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป.

สัพเพ ธัมมา อะนัตตา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร แลมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา.

อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน

ธุวัง มะระณัง ความตายเป็นของยั่งยืน

อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง อันเราจะพึงตายเป็นแท้

มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ

ชีวิตัง เม อะนิยะตัง ชีวิตของเรา เป็นของไม่เที่ยง

มะระณัง เม นิยะตัง ความตายของเรา เป็นของเที่ยง

วะตะ ควรที่จะสังเวช

อะยัง กาโย ร่างกายนี้

อะจิรัง มิได้ตั้งอยู่นาน

อะเปตะวิญญาโณ ครั้นปราศจากวิญญาณ

ฉุฑโฑ อันเขาทิ้งเสียแล้ว

อะธิเสสสะติ จักนอนทับ

ปะฐะวิง ซึ่งแผ่นดิน

กะลิงคะรัง อิวะ ปะดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน

นิรัตถัง หาประโยชน์มิได้

 

โดย: kaoim 10 ตุลาคม 2550 0:52:24 น.  

 

ก็เข้าใจแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ภาพที่เห็นตรงหน้า พี่เค้านอนหลับงียบ บนเตียง
ตอนนี้เรานับถอยหลังแล้วละ จะพยายามคะ

 

โดย: จินตนา IP: 58.9.15.235 13 ตุลาคม 2550 23:44:37 น.  

 

นำมาฝากเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มรณสตินะคะ


ชีวิตผมกับคุณมีอยู่เพียงน้อยนิด



เมื่อเร็วๆ นี้ผมไปเยี่ยมเยียนเพื่อนสนิทคนหนึ่งอายุจวนจะ ๔๐ แล้ว
แต่กำลังป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนและอาจจะตายลงในไม่ช้านี้
เพื่อนคนนี้เขาเข้มแข็งมาก

รักษาอารมณ์และให้กำลังใจตนเองกับคนรักรอบข้างได้ดีเยี่ยม
เขาเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เรียนจบมาเกือบ ๒๐ ปี
ได้ทุ่มเททำงานต่อสู้ปัญหาอุปสรรคเต็มที่
จนตอนนี้ได้รับความสำเร็จทั้งในเรื่องงานและชีวิต
ชีวิตกำลังลงตัวและมีความสุข
พร้อมกับยังมีความฝันอีกหลายเรื่องกะว่าจะลงมือทำในปีหน้านี้
ความฝันที่ว่านี้เป็นกิจกรรมที่จะทำประโยชน์
เพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง แต่คงไม่ได้ทำเสียแล้ว

เขาสารภาพว่า ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตตนเองจะสิ้นสุดลงเร็วอย่างนี้
คิดเหมือนคนส่วนใหญ่ว่าคงจะตายอย่างน้อยก็อายุสัก ๗๐
เขาเตือนผมก่อนจะร่ำลาจากกันว่า
มีความฝันอะไรที่อยากทำหรืออยากทำอะไรที่ดีงาม
เพื่อตนเองและคนอื่น ให้ลงมือทำทันทีอย่าผลัดผ่อนอีกเลย
ชีวิตไม่ยืนยาวอย่างที่คิดมากนักหรอก
เพราะเราเสียเวลาเกือบทั้งหมด
ไปกับความเพลิดเพลินในการแสวงหาทรัพยสินเงินทอง
ความสำเร็จทางหน้าที่การงาน หรืองมงายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
แต่กลับมีเวลาเพียงน้อยนิด เพื่อทำสิ่งดีงาม
และฝึกฝนจิตใจให้มองเห็นความจริงของชีวิต
ดังนั้นแม้คุณจะอายุยืนถึง ๑๐๐ ปี
แต่ชีวิตที่แท้จริงก็คงสั้นนัก

ผมเห็นด้วยกับคำเตือนของเพื่อนอย่างมิต้องสงสัย
และยิ่งมีโอกาสพูดคุยกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลายคนด้วยแล้ว
แทบทุกคนล้วนคิดว่า ตนเองคงจะตายเมื่ออายุมากแล้ว
และอยากมีเวลากับกำลังวังชามากพอที่จะทำสิ่งดีงามที่คิดไว้
แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ
ดังนั้นการเตรียมตัวตายที่ดี
จึงไม่ได้หมายถึง เพียงการเตรียมตัวเตรียมใจปล่อยวางทุกสิ่งลง
แล้วน้อมนึกถึงคุณงามความดีทีทำมา
หรือทำใจให้สงบตอนช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงเท่านั้น
แต่ยังหมายรวมถึง การทำชีวิตให้มีคุณค่าความหมาย
โดยเฉพาะการเติบโตทางจิตวิญญาณ
ในขณะที่เรายังหนุ่มยังสาวมีเรี่ยวแรง
มากพอที่จะทำกิจที่พึงกระทำด้วย

เรื่องเกียวเนื่องกับการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทนั้น
พระพุทธเจ้าทรงตักเตือนไว้หลายครั้งหลายคราว
อย่างในอรกานุสาสนีสูตร(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๓)
ท่านได้ยกคำสั่งสอนของท่านศาสดาอรกะ
ที่กล่าวคำอุปมาของชีวิตว่า
มีความสั้นยิ่งนัก เหมือนน้ำค้างบนยอดหญ้า
ที่จะแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็ว เวลาต้องแสงอาทิตย์
เหมือนคลื่นฟองน้ำที่แตกกระจายแล้ว ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
หรือเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงบนพื้นน้ำ
ซึ่งรอยขีดย่อมกลับเข้าหากันและหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
ทั้งที่อายุขัยของมนุษย์ยุคของท่านศาสดาอรกะนั้น
ยืนยาวถึง ๖๐,๐๐๐ ปี
แต่ท่านก็ยังพร่ำเตือนว่าชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก
มีทุกข์และคับแค้นมาก
พึงขวนขวายอบรมด้วยปัญญาและทำกุศลให้ถึงพร้อมเถิด
ดังนั้นยิ่งอายุขัยในสมัยของเราอย่างมากก็แค่ ๑๐๐ ปี
พระพุทธเจ้าจึงทรงเตือนอยู่เสมอว่า ให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

นอกจากนี้พระองค์ยังเตือนว่า
สัตว์ทั้งหลายยากมากที่จะมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
และเมื่อมนุษย์เราตายไปก็ยากเย็นแสนเข็ญ
ที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ดังในอามกธัญญเปยยาลสูตร(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๙)
ทรงถามเปรียบเทียบให้สาวกฟังว่า
ฝุ่นที่ปลายเล็บของพระองค์ กับฝุ่นบนแผ่นดินอันไหนมีมากกว่ากัน
สาวกตอบว่า ฝุ่นในแผ่นดินย่อมมีมากกว่า
ฉันใดก็ฉันนั้นมนุษย์ที่ตายไปแล้ว
จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ (หรือเป็นเทวดา)
ย่อมมีน้อยเหมือนฝุ่นในเล็บของพระองค์
แต่จะไปเกิดในอบายภูมิหรือทุคตินั้นมีมากมายเหมือนฝุ่นในแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงชีวิตที่เราเป็นมนุษย์ จึงควรใช้โอกาสอันประเสริฐนี้
เพื่อฝึกฝนทำกุศลกรรมให้ถึงพร้อม
รวมทั้งฝึกฝนตนให้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นจนเหลือน้อยที่สุด
เพื่อจะได้ไม่เดินเข้าสู่วังวนแห่งสังสารวัฏอีกต่อไป

ดังนั้นในชีวิตประจำวันแต่ละขณะพระพุทธเจ้าจึงทรงเตือน
ให้พวกเราน้อมนึกถึงความตายของเราอยู่เสมอว่า
ชีวิตที่เหลืออยู่มีไม่มาก แล้วควรขวนขวายทำสิ่งที่ควรทำ
ฝึกฝนใจให้ไม่ติดใจเพลิดเพลินในความสุขทางเนื้อหนัง
ไม่ติดยึดในร่างกาย ที่กำลังร่วงโรยไปเรื่อยๆ
และคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู
ดังในมรณสติสูตร (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๒)
พระพุทธเจ้าตรัสถามสาวก ว่าการน้อมระลึกถึงความตาย
ของแต่ละท่านนั้นทำอย่างไร
มีภิกษุจำนวน ๖ รูปได้ทูลตอบไล่เรียงจากรูปแรกว่า
ท่านน้อมนึกว่าเราพึงมีชีวิตอยู่เพียง ๑ วันกับ ๑ คืน เท่านั้น
ดังนั้นจึงขวนขวายระลึกถึงคำสอนและปฏิบัติธรรมด้วยความเพียร
ภิกษุรูปที่สองทูลตอบว่า
ท่านน้อมนึกว่าเราพึงมีชีวิตอยู่เพียง ๑ วันเท่านั้น จึงต้องขวนขวายเช่นกัน
รูปที่สามทูลตอบว่า เราพึงมีชีวิตอยู่ได้แค่ฉันอาหารมื้อเช้าเท่านั้นฯ
รูปที่สี่ทูลตอบว่า เราพึงมีชีวิตอยู่ได้แค่ฉันข้าวเพียงสี่คำเท่านั้นฯ
รูปที่ห้าทูลตอบว่า เราพึงมีชีวิตอยู่ได้แค่ฉันข้าวเพียงคำเดียวเท่านั้นฯ
และรูปที่หกทูลตอบว่า เราพึงมีชีวิตอยู่ได้แค่ขณะหายใจเข้าออกเท่านั้นฯ

เมื่อฟังสาวกตอบแล้วพระองค์ก็ทรงตรัสว่า
เธอทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาท
พึงเจริญมรณสติไว้เพื่อความสิ้นไปแห่งกิเลสทั้งหลายเถิด

ข้อคิดจากหลายพระสูตรที่กล่าวมา
หากใคร่ครวญและตระหนักไว้ในใจทุกขณะของชีวิต
ย่อมทำให้เราใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่าความหมาย
และเมื่อถึงคราวที่ความตายมาเยือนตรงหน้า
ก็จะไม่เสียวสะดุ้งหวาดกลัวได้ง่ายว่า
เสียดายที่เรายังไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ ก็ตายไปเสียก่อน
ดังนั้นนับจากนี้ไป เราควรสำรวจตรวจดูว่า
เรามีความฝันอะไรบ้างที่ยังไม่ได้ลงมือทำ
หากไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียหายอะไร ก็ควรลงมือทำได้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการกลับไปปรนนิบัติพ่อแม่หรือคนรัก
เป็นอาสาสมัครบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
ทำงานหรือกิจกรรมที่ชอบ เขียนหนังสือ เป็นต้น

หากมีความขัดแย้งบาดหมางใจค้างคากับใครไว้
สิ่งแรกที่น่าทำก็คือ ลดความถือตัวถือตนลง
เพื่อให้อภัยคนนั้นรวมถึงให้อภัยตัวเอง
หากรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง
การระลึกอยู่ในใจว่า เรามีเวลาเหลือในโลกอีกไม่มากแล้ว
เราจะเก็บความบาดหมางหรือโกรธเกลียดเพื่อสิ่งใด
ปล่อยวางสิ่งค้างคาภายใน เพื่อใจของเราจะโปร่งโล่งเบาสบาย
มิดีกว่าหรือ มากไปกว่านี้เราอาจดั้นด้นเดินทางไกล
เพื่อไปกล่าวคำขอโทษในสิ่งที่แล้วมา
และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้กล่าวคำขอโทษเช่นกัน
สำหรับคนรอบข้างที่เรารักหากรู้สึกว่า
ยังไม่พูดหรือทำสิ่งใดที่ควรทำ
ซึ่งมันได้ห่างหายไปจากความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรัก
ก็ไม่ต้องผัดผ่อนอีกต่อไปแล้ว

ที่สำคัญที่สุดวันคืนที่กำลังล่วงไปแต่ละขณะ
หากเราต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งใดหรือกำลังเผชิญหน้า
กับเหตุการณ์ดีหรือร้ายก็ตาม
ควรสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งนั้นชนิดที่ไม่เข้าไปเพิ่มความรู้สึกว่า
มีตัวกูของกูแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ
ในทางกลับกันแต่ละเสี้ยวแต่ละขณะของการรับรู้สัมผัสนั้น
ควรเป็นโอกาสให้เราได้ฝึกฝน
เพื่อให้ตัวกูของกูจากคลายลงไปเรื่อยๆ
จนความรู้สึกหมายมั่นอยากเอาอยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง
ตายไปจากจิตใจเรา ก่อนที่เราจะตายจากโลกนี้ไปจริงๆ


โดย... ปรีดา เรืองวิชาธร

คัดลอกจาก...คอลัมน์ มองย้อนศร
[ เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ลงตีพิมพ์ใน โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันเสาร์เขียนโดย..ทีมงานพุทธิกา ]

//www.budnet.info/webboard/view.php?category=texta&wb_id=114

 

โดย: Kaoim IP: 125.24.30.10 14 ตุลาคม 2550 23:29:59 น.  

 

ทามไมไม่มีเรา

 

โดย: วศิน IP: 58.10.192.191 23 มกราคม 2551 10:06:11 น.  

 

ทำประเทศพุทธศาสนา..ล้าหลัง , ไม่เจริญ "
ความจริงที่หลาย ๆ คน อาจจะยังไม่รู้


ได้มีโอกาสไปฟัง พระอาจารย์ พรหม วังโส พระชาวอังกฤษ ท่านเป็นศิษย์รูปหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภัทโท เทศน์ที่พุทธสมาคมแห่งโลก วันที่ 28 มกราคม และ ที่ ชาญอิสสระ วันที่ 30 มกราคม 2551

มีผู้สนใจฟังธรรมเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวพุทธไทย และ ชาวต่างประเทศ ตอนหนึ่งของการบรรยายที่น่าสนใจ จากผู้ถามเป็นชาวต่างประเทศ ว่า ทำไมถึงประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ล้าหลัง ไม่เจริญ ยากจน ????

ท่านได้กล่าวตอบว่า “ ขณะนี้ ในความเป็นจริง แล้ว ประเทศตะวันตกถึงแม้ว่ามีความเจริญ รุดหน้าทางวัตถุ อาคารใหญ่ ๆ โต ๆ มีความทันสมัย แต่มีปัญหาทางสังคมมากมาย อันเนื่องมาจากความหลงใหลได้ปลื้มกับวัตถุนิยม ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคม หนำซ้ำยังนำมาซึ่งปัญหาความเสื่อมโทรมทางจิตใจ และ สังคม ในหมู่ชนตะวันตก นับวันจะยิ่งมากขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ชนวัยรุ่น ดังที่ปรากฏข่าวเป็นครั้งคราว ที่มีการใช้อาวุธทำร้ายกันถึงชีวิต แต่จริง ๆ แล้วปัญหาทางสังคมมีความซับซ้อน ก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น เรา ๆ ท่าน ๆ อาจจะไม่ได้ยินข่าวมากนัก มีผู้คนในประเทศสหรัฐ ตกงานเป็นจำนวนมากที่ต้องนอนข้างถนน และตามสวนสาธารณะ ยังมีผู้ติดยาเสพติดมากมาย มีคนบ้าจำนวนเพิ่มมากขึ้น ๆ อันเนื่องจากความเครียด ที่รุนแรงขึ้น กำลังเป็นปัญหาใหญ่ ในหมู่ชนตะวันตก โรงพยาบาลบ้าหรือศูนย์บำบัดจิต มีผู้รอคิวเข้ารับการบำบัดเป็นจำนวนมาก ที่เรา ๆ ท่าน ๆ อาจหลงใหลได้ปลื้มในความเจริญสุดยอดทางวัตถุอาคาร จริงแล้ว ๆ ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่ในการดูแลของศูนย์คนชรา หรือ บ้านพักพิง ขาดความอบอุ่น หมู่ชนวัยรุ่นเป็นจำนวนมากได้สร้างปัญหาหลาย ๆ อย่างอันเนื่องจากหลงใหลในวัตถุนิยม ความฟุ้งเฟ้อ ความไม่รู้จักพอ นี่เป็นความจริงที่คนทั่วไป ๆ อาจไม่เคยทราบมาก่อน นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศตะวันตกได้หันมาสนใจการพัฒนาทางจิต หรือการฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตสงบ เป็นจำนวนมาก ๆ ขึ้น เรื่อย ๆ เพราะการพัฒนาทางจิตหรือการฝึกปฎิบัติสมาธินำมาซึ่งปัญญา ทำให้จิตใจสงบ ลดความรุนแรงและแก้ไขปัญหาในสังคมได้เป็นอย่างดี

ปัญหาของไทยเรา ถ้าผู้คนยังละเลยไม่ให้ความสนใจในการพัฒนาจิตใจ หรือฝึกปฎิบัติ สมาธิ ไปหลงไหลกับวัตถุนิยม อย่างบ้าครั่ง หลงใหลในวัตถุมงคล อย่างที่ผ่าน ๆ มา อาจนำมาซึ่งปัญหาสังคมเฉกเช่นประเทศตะวันตกที่กำลังประสพอยู่ ดังนั้น เราชาวไทยพุทธควรเผยแพร่ให้ความรู้ที่ถูกต้องต่อคนรุ่นใหม่ให้มาสนใจในการเรียนรู้พัฒนาจิตใจ โดยหันมาศึกษาเรียนรู้ในหลักแก่นธรรมอย่างจริงจัง ปฎิบัติภาวนา ควรลดละหลงใหลในวัตถุนิยม และ พวกเครื่องรางของขลัง ซึ่งเป็นอวิชชา ไม่ใช่แนวทางที่หลุดพ้น ซึ่งวัฎสงสาร ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน อย่าหลงงมงายกับ การปลุกเสก พ่นน้ำหมาก น้ำมนต์ พระเครื่อง เสียเวลาเปล่า ๆ



ถ้ายังมีการมอมเมาชาวพุทธด้วยการสอน ผิด เพี้ยน ยึดถือวัตถุ สร้างพระพทธรูป หรือวัดใหญ่โต ๆ ด้วยเงินจำนวน มาก ๆ เฉกเช่น บุโรบุทโธ ในอินโดนีเซีย พระพุทธรุปใหญ่ที่สุดในโลก ที่อัฟกานิสถาน พระพุทธรูปนั่งใหญ่สุดในโลกไดบุสส ที่ญี่ปุ่น และอีกหลาย ๆ สถานที่ การสร้างเครื่องรางของขลัง พระเครื่อง ปลุกเสก พ่นน้ำมนต์ปัดรังควาญ เสกผ้ายันต์ เป็นการสอนผิดเพี้ยน ไม่สร้างสรรปัญญาในการพิจารณาถึงสาระแห่งความเป็นจริง ในอริยะสัจ 4 ตัด ลด ละ มูลเหตุซึ่งความทุกข์ ศาสนาพุทธก็อาจต้องเสื่อม เช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ที่มีถาวรวัตถุใหญ่ ๆ โต ๆ ในอดีต เพราะ ชาวพุทธขาดซึ่งสติปัญญา ในการแสวงหาสัจธรรม แห่งความเป็นจริง ดังเช่นที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน เน้น ความเรียบ ง่าย ประหยัด เงียบสงบ มีความวิเวก เพื่อการเจริญสติ เจริญปัญญา ควรมุ่งเน้นพัตนาคน ให้เกิดปัญญา ในทางที่ถุกต้อง มิใช่เน้น สิ่งไร้สาระ

การเบียดเบียนชีวิตตัวเองและสัตว์ร่วมโลก เป็นการสร้างเวรกรรม ที่ไม่สิ้นสุด



 

โดย: healthman IP: 58.10.146.221 25 พฤศจิกายน 2551 15:39:08 น.  

 

เป็นประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณที่นำมาโพสค่ะ

 

โดย: nana IP: 192.168.10.110, 119.42.76.230 3 กรกฎาคม 2553 17:31:29 น.  

 

ขอบคุณมากคะ

 

โดย: แอมป์ IP: 103.1.166.200 5 พฤศจิกายน 2554 10:10:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kaoim
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]








Friends' blogs
[Add kaoim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.