พยากรณ์ชีวิต เพื่อทิศทางแห่งสัมมาปฏิบัติ
Group Blog
 
All Blogs
 

ปี 2558 คนปีฉลู เขาว่า "ชง 100%" จึงไม่ควรประมาทเรื่องใด

ดวงคนปี "ฉลู" พึงไม่ประมาทในเรื่องใด ? เขาว่าปีชง 100% คือมันประทะ หรืออยู่ตรงข้ามกับ ปีมะแม (แพะ) แม้ข้าพเจ้าบอกว่าอย่าไปถือตำราจีนหรือเทพจีนมากไป เชื่อโดยไม่ได้รู้ที่มาที่ไป กระแสสื่อว่ายังไง ก็ว่าไปตามเขาหมด ยิ่งให้ไปไหว้วัดโน่นนี่แก้ปีชง คนอยู่ต่างประเทศ ต่างจังหวัดจะไปไหว้ได้ยังไง ไปแก้ไม่ได้ "ทุกข์ใจ" กันไปใหญ่ คนบอกคนบัญญัติเป็นบาปกรรมเปล่าๆ

ปีนี้ปีแพะ ประทะกับวัว เอ่อ...แพะมันจะสู้วัวได้ฤาท่าน?



คนรอบตัวก็กล่าวถึงแต่ปีชงกะข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเกิดปีฉลู

โดยส่วนตัว "ไม่ว่าปีไหนวันไหน ถ้าประมาท มันก็ชงหมด"

ชงเหล้า ชงกาแฟ ฯลฯ ในที่นี้ไม่เกี่ยวกันนะครับ

ชง ในความหมายที่ข้าพเจ้าจะกล่าว คือ เรื่องที่ควรระมัดระวัง ถ้าประมาทไม่แก้ไข ไม่ระวังตัว มันจะเกิดขึ้นและก่อความเสียหายให้ท่าน ดูตัวกาลกิณีนั่นแหละครับ แต่เอาตามกระแสนิยมหน่อย เลยเรียกว่า "ชง"

เพื่อความสบายใจแด่บรรดาท่านผู้เกิดปีวัว ก็ขอกล่าวเตือนในเรื่องต่อไปนี้ คือ ผู้ที่เกิดประมาณเดือน.......

เมษายนพ.ศ.2504 ถึงเมษายน 2505 อายุย่าง 54 ปี

เมษายนถึง 2516 ถึงเมษายน 2517 อายุย่าง 42 ปี

เมษายน 2528 ถึง เมษายน 2529 อายุย่าง 30 ปี

เมษายน 2540 ถึงเมษายน 2541 อายุย่าง 18 ปี

เมษายน 2552 ถึงเมษายน 2553 อายุย่าง 6 ขวบ

ขอให้เข้าใจดังนี้ว่า "ปีฉลู" ข้าพเจ้านับปีไทย ตามจันทรคติ วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นต้นไปจนถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 ของปีถัดไป เป็นปีฉลู (ส่วนตำราจีนปีใหม่จีนช่วงตรุษจีน)


การชงตามวันเกิดในแต่ละช่วงอายุ

ผู้ที่เกิดเดือนอ้าย (๑ / ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑ ถึง แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑) ปีฉลู

และเกิดเดือน ๘ (ขึ้น ๑ ค่ำ - แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘) 

เกิดวันอาทิตย์ 

อายุ 6 ขวบ

มักอยู่ไม่นิ่ง จึงเจออุบัติเหตุเลือดตกยางออก ศีรษะ ปาก หัวเข่า บางครั้งผู้ปกครองต้องลางานมาดูแล  และการเจ็บป่วย ทำให้ผู้ปกครองมีหนี้สินเกิดขึ้นได้

อายุ 18 ปี

พบเจอความทุกข์เรื่องรัก ผิดหวัง และการกระทำผิดพลาดในเรื่องอบายมุข หากก้าวพ้นได้มีความสำเร็จด้านการศึกษา สอบติดได้ดังหวัง 

อายุ 30 ปี

ตนเองจะก่อความเดือดร้อนเสียหายให้ตนและครอบครัว เพราะความทะเยอทะยาน การไม่ฟังผู้ใหญ่ทำให้ไม่เป็นที่รักเมตตา อยากเที่ยว อยากเดินทาง แต่ติดปัญหาตลอด แต่คนรักจะทำให้ยิ้มได้อยู่บ้าง  คนโสดจะพบรักกับพ่อหม้ายแม่หม้าย แต่เป็นรักยั่งยืนขอบอก

อายุ 42 ปี

ระมัดระวังคำพูดของตน จักก่อภัยให้เสียการงาน และการวิวาทแตกแยกในครอบครัวได้อีก  บางคนจะเจ็บป่วยด้วยระบบหลอดลม ทางเดินอาหาร และช่วงอก   การงานมีความยากลำบากขึ้น แต่สามารถกู้เงินได้ โดยการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

อายุ 54 ปี

ปีนี้จะถูกโกงแบบไม่รู้ตัว การขัดแย้งกับหุ้นส่วน  การเกิดโรคภัยจากสุราหรือบุหรี่ ความลำบากใจเรื่องรัก เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไกล แต่ไว้ใจลูกน้องทำงานให้ได้ดี


เกิดวันจันทร์

อายุ 6 ขวบ

ญาติผู้ใหญ่ จะเจ็บป่วย มรดกจะตกแก่ตน ทั้งที่ดินและทรัพย์สิน อาจจะต้องโยกย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย 

อายุ 18 ปี

จักสูญเสียหรือเลิกราจากคนรัก ด้วยความห่างเหินกัน จักวิตกกังวลเรื่องที่เรียน โดยเฉพาะด้านการเงิน มีการยื่นกู้และหาผู้ช่วยเหลือ และจักได้สมประสงค์ในสิ่งที่ไม่นึกฝัน

อายุ 30 ปี 

สิ่งที่ควรระวังคืออุบัติเหตุจากเครื่องจักรเครื่องกลและอาวุธของมีคมทั้งหลาย  การเสียญาติผู้ใหญ่ การวิวาทกับเพื่อนพี่น้อง จะได้แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาบูชา พบเจอเรื่องประหลาดในครอบครัว

อายุ 42 ปี

ญาติผู้ใหญ่เจ็บป่วย มีการโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ มีความลำบากใจมากขึ้น ยอมเสียศีลธรรมเพื่อความสำเร็จของตนเอง 

อายุ 54 ปี 

การสูญเสียคนรัก หรือคนใกล้ชิดเป็นไปได้สูง จักได้เกี่ยวข้องกับผู้หลักผู้ใหญ่มากขึ้น จากที่เคยไม่นับถือศาสนาก็จะหันหน้าพึ่งพามากขึ้น


เกิดวันอังคาร

อายุ 6 ขวบ

ญาติผู้ใหญ่เกิดมีปัญหาอุปสรรค ตนเองก็จักเจ็บป่วยแบบแพ้อากาศหรือเป็นไข้หวัดและติดเชื้อได้อีก แต่ญาติผู้ใหญ่เมตตาดี ดูแลดี จักหายได้

อายุ 18 ปี

ให้เกรงระวัง "ไฟไหม้ทรัพย์" ให้เสียหาย ไฟอารมณ์ทำร้ายผู้ใหญ่ในครอบครัว  การเผลอไผลไปเป็นทาสสิ่งเสพติด ให้เกรงไฟซ๊อตในบ้านในอาคารอีกด้วย

อายุ 30 ปี

เกรงระวังความเสียหายจากการถูกหลอก ถูกโกง เพราะโลภ  การงานจะเกิดความเสียหาย ต้องเปิดใจรับฟังคำตักเตือนจากเพื่อนพี่น้องและผู้ใหญ่จักทำให้เสียหายน้อยลง

อายุ 42 ปี

การงานจะเกิดความผิดพลาดเสียหาย การไม่เป็นที่พอใจของผู้บังคับบัญชา อาจถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลง ทั้งความรักยังระหองระแหงกันอีก

อายุ 54 ปี

ให้เกรงทรัพย์มรดก จักเสียหายเพราะไฟ ทั้งที่อาศัยในต่างถิ่นระบบไฟจะเสีย แต่จะได้หุ้นส่วนทางธุรกิจเข้ามาทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้  คนโสดมาถึง 54 ปีอาจได้แต่งงานอีกครั้ง


เกิดวันพุธ

อายุ 6 ขวบ  

ผู้ปกครองพึงระวังการพลัดหลง การถูกหลอกให้เสียทรัพย์ บิดามารดามิได้เลี้ยงดู ควรเอาใจใส่คนที่ช่วยเลี้ยงดูให้มากขึ้น ส่วนการเรียนการสอบมีความสำเร็จเด่นดังดี 

อายุ 18

จักได้คบหากลุ่มเพื่อนที่ไม่ดี พากันก่อแต่เรื่องเสียหายเดือดร้อน จักพบอุบัติเหตุได้แผล มีการผ่าตัด  และการเสียคนรักไป ต้องพึ่งพาครูอาจารย์ที่ได้พบใหม่จึงรอดพ้นได้  

อายุ 30

การพรัดพรากสูญเสียคนรักคนใกล้ชิด หรือญาติผู้ใหญ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูง  ครั้นแต่งงานปีนี้มีแต่จะเลิกร้าง ระวังอุบัติเหตุจากการเดินทางไกล  

อายุ 42 ปี

จักเสียทรัพย์ ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะความหลงผิดบางประการ แต่หากรอบคอบพึ่งพาคนมีความรู้ จักรอดได้  และการงานประสบความสำเร็จดี  ทั้งจะได้ยวดยานพาหนะใหม่ หรือที่อยู่อาศัยที่มุ่งหวังก็จักได้แน่

อายุ 54 ปี

อาจเสียทรัพย์ไปบางส่วน เพราะมีอีกบ้าน บ้างก็เสียทรัพย์จำนวนมากเพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาและให้อาชีพ  ความเมตตาน้อยลง เห็นแก่ตัวมากขึ้น อันนี้ต้องระวัง  ร่างกายไม่ปกติผลจากการผ่าตัดที่เคยมีมา


เกิดวันพฤหัสบดี

อายุ 6 ขวบ

ผู้ใหญ่พึงดูแลให้มากเรื่องไฟ ระวังการถูกไฟลวก ไฟไหม้ ศีรษะแตก การเผลอทำไฟไหม้บ้าน ไฟช็อต 

อายุ 18 ปี

ผู้ใหญ่ต้องเข้าไปเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด เพราะเหตุแห่งการเลือกความรักมากกว่าการศึกษา การคิดผิดทำผิด การงานล้มเหลว

อายุ 30 ปี 

คงต้องหันมาดูแลสุขภาพตนเองบ้างแล้ว และสำคัญสุดคือสุขภาพของผู้ใหญ่ที่ปล่อยไปอาจถึงการสูญเสียได้

อายุ 42 ปี 

ความเดือดร้อนจะเกิดกับตนและครอบครัว ผู้ใหญ่ที่เคยให้การสนับสนุน อาจสูญเสียไป การถูกเบียดเบียฬจากอันธพาล  ตรวจสอบระบบไฟฟ้า/แก๊สภายในบ้านให้ปลอดภัย

อายุ 54 ปี

ได้เกี่ยวข้องกับบุตรหลานและครอบครัวมาก จนมีผลกระทบต่อการงาน และการผิดพลาดด้านเอกสาร และการติดต่อ บางคนอาจหลุดจากตำแหน่งสำคัญๆ


เกิดวันศุกร์

อายุ 6 ขวบ

ผู้ใหญ่ให้ระวังคำพูดด่าว่าประชดประชัน อาจทำให้เด็กน้อยใจเป็นปมด้อย ขาดความมั่นใจ  และช่วง 6 ขวบนี้ สุขภาพผู้เป็นมารดาไม่ใคร่จะดีนัก ทั้งสุขภาพตนจะเป็นหวัดบ่อย ระวังปอดติดเชื้อ หรือน้ำท่วมปอด

อายุ 18 ปี

มีเหตุให้ต้องโยกย้ายถิ่นที่อาศัย ระวังอุบัติเหตุจากคนอื่น  การเรียนพอไปได้ไม่เด่นดัง  ความรักมักทำให้ยอมเสียตัวเพราะแพ้ใจกัน

อายุ 30 ปี

จะผิดหวังเรื่องความรัก  ส่งผลไปถึงขนาดทำให้ตนเสียการเสียงาน ทำให้เพื่อนเดือดร้อนไปด้วย   การเล่นหุ้นจะทำให้เสียหายและขาดทุน

อายุ 42 ปี

การมีศัตรูเพิ่มขึ้น จากคำพูดที่เข้าใจผิดจากคนอื่นๆ การเสียผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือไป การขัดแย้งกับเพื่อนพี่น้องร่วมงานกัน

อายุ 54 ปี

จะมีอาการหลงๆ ลืมๆ  การได้พบปะแพทย์มีโอกาสบ่อยและมากขึ้นกว่าทุกปี  และอาจมีเหตุให้สูญเสียบุตรหลานบางคนไป


เกิดวันเสาร์

 อายุ 6 ขวบ

ให้ระวังการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้กระดูกหักได้ โดยเฉพาะการไปเที่ยวในที่สาธารณะ

อายุ 18 ปี

ดวงชะตาตกไปแก่บิดา หรือผู้เป็นดั่งบิดา จักเกิดอุบัติเหตุฉับพลันกับท่าน จากการเดินทาง จึงต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษในเรื่องความปลอดภัย  หากตนเองขับรถก็จะเป็นเหตุให้ท่านต้องเจ็บตัว

อายุ 30 ปี

ปีนี้ ห้ามรับหรือทำธุรกรรมด้านเอกสารการเงิน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จักถูกหลอก เสียเปรียบ หรือยกเลิก เกิดความเสียหาย   คนเจ้าชู้ก็จะถูกเด็กหลอกเอาได้อีก

อายุ 42 ปี

การสูญเสียคนรัก การเลิกราหรือหย่าร้าง มีความเป็นไปได้ในปีนี้ 

อายุ 54 ปี

่การสูญเสียญาติผู้ใหญ่เป็นไปตามอายุสังขาร แต่เสียแบบไม่ทันตั้งตัวเตรียมใจ  


ดวงชะตา "ปีชง" มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีที่ไม่สามารถพิมพ์ให้อ่านได้ทั้งหมด สรุปเพียงย่อๆ สั้นๆ ให้ "ระวัง" หรือไม่ประมาท

อดีตกรรม เรามิอาจย้อนไปเปลี่ยนแปลงได้

แต่เราสามารถทำปัจจุบันกรรมให้ดีได้

เพื่อการเปลี่ยนแปลงอนาคต

ขอเพียงอย่าประมาท ท่านจะผ่านปีชงไปได้อย่างมีความสุข


ปล.ยังเขียนไม่ทั้งหมด สำหรับท่านที่เกิดในเดือนอื่นๆ โปรดติดตามยามข้าพเจ้าว่างมาเขียนต่อ





 

Create Date : 13 มกราคม 2558    
Last Update : 18 มกราคม 2558 21:24:19 น.
Counter : 4881 Pageviews.  

ว่าด้วย "ปีชง"

ว่าด้วยเรื่อง "ปีชง" ที่ข้าพเจ้าทราบ....จากครูอาจารย์

คำว่า "ชง" อาจารย์ท่านว่า เป็นตำราจีน จากเทพไท้ส่วย ผู้ดูแลปีนักษัตร์ทั้ง 12 ตำราจีน "ปีชง" หมายถึง "ปีที่ประทะกัน" นำสืบต่อกันมานาน ซินแสท่านสอนมาตามตำรา แต่บางทีถ่ายทอดไม่หมด นักธุรกิจเอามาเผยแผ่บางส่วน คนรับสื่อก็มีผิดเพี้ยนไปเยอะ แถมมี "ชงร่วม" กันอีก จะนับถือตามตำราจีนแก้ชงยังไงก็ว่ากันไป ไม่ว่าอะไรครับ เพราะท่านไปแก้ชง คือการไปทำบุญ บริจาค ไหว้พระ ก็นับเป็นการทำความดีเสริมศิริมงคลให้ตนเอง


ปีชง ตามทัศนะโหราศาสตร์ไทย


ส่วนตำราโหราศาสตร์ไทย มาจากพราหมณ์ เทพเจ้าฮินดู ประยุกต์ร่วมกับพุทธศาสนาเถรวาท ท่านให้เข้าใจว่า "ปีชง" คือ "ปีที่เรียงอยู่ตรงข้ามกัน" เรียงฝั่งละ 6 ปี (ตามรูป) เรียกว่า "ชง" เป็นปีที่อาจารย์โหรฯ ท่านออกอุบายมิให้คนประมาทในการใช้ชีวิต ให้รู้จักการให้ การเสียสละแบ่งปันเกื้อกูลสัตว์โลก

ไม่พบว่ามีอาจารย์ท่านใดบอกให้ "แก้" ปีชงใดๆ เลย
มีแต่บอกว่า อย่าใช้ชีวิตประมาท ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที

ส่วนการแก้เคราะห์กรรม มันก็อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่นับว่าคนเกิดปีฉลู หรือปีไหนๆ 

ไม่ใช่ปีชงก็เกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าประมาท
ไม่ใช่ปีชงก็ทำธุรกิจล่มจมได้ ถ้าไม่รอบคอบ
ฯลฯ
อย่าได้วิ่งหาที่แก้ปีชงใดๆ เลย
"อย่าประมาท" ก็พอ
พึงเข้าใจดังนี้ เทอญ

แต่หากท่านรู้จริง จักท้วงติงก็ขอน้อมรับผิด ในคำที่กล่าวมา

เพียงแต่ว่าใช้มานานเกินครึ่งชีวิต ก็ได้ผลดีนะครับ





 

Create Date : 13 มกราคม 2558    
Last Update : 13 มกราคม 2558 14:10:46 น.
Counter : 1721 Pageviews.  

ว่าด้วยเรื่อง "อดีตกรรม-อดีตชาติ" ที่ส่งผลปรุงแต่ปัจจุบันชาติ

อดีตกรรม

อดีตกรรม แปลว่า กรรมที่ล่วงเลยมาแล้ว ก็หมายถึง กรรมที่ได้ทำไว้ในอดีต

แต่คำว่า “อดีต” ให้เข้าใจว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้วในชาตินี้ และสิ่งที่ผ่านมาแล้วในอดีตชาติ หรือชาติปางก่อน

คำว่า อดีตในชาตินี้ หรือ อดีตในปัจจุบันชาติ ก็หมายถึง สิ่งที่ผ่านมาแล้วล่วงเลยไปแล้ว มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ย่อมมีอดีตด้วยกันทุกคน เคยพูด เคยทำเคยคิด มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ เคยทำกรรมทั้งดีและไม่ดีมาแล้ว ซึ่งคนธรรมดาระลึกได้ ระลึกได้ว่า เมื่อวานทำอะไร พูดอะไรคิดอะไร ย้อนไปสัปดาห์ที่แล้วก็พอระลึกได้ ย้อนไปเดือนที่แล้วชักจะจำได้ลางๆ ย้อนไปปีที่แล้วก็ระลึกได้เป็นบางเรื่อง แต่หากมีไอดารี่บันทึกไว้ เปิดกลับไปอ่านก็จะระลึกได้ นี่คือ อดีตในปัจจุบันชาติ คนธรรมดาระลึกได้รู้ได้ ยกเสียแต่เป็นอัลไซเมอร์

ส่วนคำว่า “อดีตชาติ” คือ ชาติ ภพ ภูมิ ที่แล้ว คนธรรมดาระลึกยากหน่อย อดีตชาติเกิดเป็นอะไร เคยทำอะไรไว้ รู้ได้ยาก บางคนก็ไม่เชื่อว่ามีอดีตชาติ แต่หากนับถือพุทธศาสนาอย่างไม่หวั่นไหว ย่อมมีความเชื่อว่ามีชาติภพภูมิที่แล้ว เมื่อมีอดีตชาติ แน่นอนว่า ย่อมได้ทำ ได้พูด ได้คิดทั้งดีและชั่วไว้ สิ่งที่ทำ พูด คิดไว้นั้นคือ “อดีตกรรม” ในอดีตชาติ แต่ยากนักที่คนธรรมดาทั่วไปจะระลึกได้ ผู้ที่ระลึกได้ต้องมีบารมีธรรมที่ได้บำเพ็ญไว้ในอดีต และผู้ที่ได้บรรลุ “บุพเพนิวาสานุสสติญาณ” ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า และอีกท่านหนึ่ง คือ พระโสภิตะเถระผู้เป็นเอตทัคคะ คือ สุดยอดแห่งพุทธสาวกด้านการระลึกอดีตชาติ

(ผู้จะระลึกชาติได้ในปัจจุบันต้องปฏิบัติวิปัสสนา เจริญสติปัฎฐาน ๔โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘)

กัมมโยนิ กัมมพันธุ ชาวพุทธเชื่อว่าเรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นผ่าพันธ์มีกรรมนำมาปฏิสนธิ คติโบราณท่านกล่าวปริศนาธรรมว่าไว้ว่า

“สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป”

สี่คนหาม หมายถึง กายสังขาร ร่างกายเรานี้ ประกอบด้วยธาตุ 4สัมพันธ์กัน คือ ไฟ ดิน ลม น้ำ ช่วยหามคือประคับประคองชีวิต หากขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง ก็คือตาย ไฟ คือระบบพลังงาน ระบบเผาผลาญในร่างกาย ดินคือกระดูก ชิ้นเนื้อ อวัยวะต่างๆ ลม คือลมหายใจ ระบบหมุนเวียน แรงขับดันต่างๆในร่างกาย น้ำ คือของเหลวในร่างกาย เช่นเลือด น้ำเหลือง เป็นต้น

สามคนแห่ หมายถึง ไตรลักษณ์ ลักษณะ 3ประการของร่างกาย คือ อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้, ทุกขัง มีความทุกข์, อนัตตา มีอันเสื่อมสิ้นไปไม่มีตัวตน ถึงเวลาก็สูญสลายไป ลักษณะ 3 ประการนี้ เป็นไปกับชีวิต หยุดยั้งและบังคับมิได้

หนึ่งคนนั่งแคร่ หมายถึง “จิต” ความคิด จิตใจ เป็นผู้สั่งการ สั่งให้สี่คนหาม หรือร่างกาย ไปประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วได้

สองคนพาไป หมายถึง “ความดี” กับ “ความชั่ว” เรียกว่า “กรรม” ทำดีเป็นกรรมดี ทำชั่วเป็นกรรมชั่ว กรรม 2อย่างนี้แหละที่จะเป็นตัวพาจิตไปเกิดในภพภูมิต่างๆ เช่น นรกภูมิ มนุษย์ภูมิ เทวภูมิ กรรมดี-ชั่วจึงเป็นตัวบันดาลผลให้เกิดกับชีวิตกรรมในอดีตจึงเป็นตัวกำหนดชีวิต การกระทำในปัจจุบันจะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงแก้ไข และกำหนดอนาคต เรียกว่า “ชะตากรรม”

ชะตากรรม

อธิบายคำว่า“ชะตากรรม” เพื่อให้เข้าใจ ก่อนมีการโต้แย้งขึ้นในใจท่าน ขอยกพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๖) มาเปรียบให้เข้าใจง่าย ดังนี้

ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน

ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง

ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด

เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง ห่อนแก้ ฤาไหว

พระราชนิพนธ์นี้แสดงให้รู้ว่า คนเราเกิดมาเหมือนกันในลักษณะทางกายภาพ และกระบวนการ คือถือปฏิสนธิจากการอยู่ร่วมกันของบิดามารดา เจริญเติบโตภายในครรภ์ ครบกำหนดเวลา ๙ เดือนก็ถือกำเนิดจากครรภ์มารดา ถูกเลี้ยงดูประคับประคองมาจนเติบโตอาจจะแตกต่างกันด้วยรูปร่าง ใหญ่ เล็ก อวัยวะส่วนประกอบทั้ง ๓๒ เพศ ผิวพรรณชาติตระกูล ด้านการศึกษา หากมีปัจจัยต่างๆเกื้อหนุนอาจสามารถศึกษาเล่าเรียนได้ทันกันทั้งสิ้น แต่กรรม หรือความดี และความชั่วที่ทำไว้แล้วในอดีตนั้นมิอาจแก้ไขได้ ย่อมได้รับผลของความดีและความชั่วนั้น

ดั่งพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า"กมฺมุนา วตฺตตี โลโก" แปลว่า "สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม"สนับสนุนแนวคิดนี้ได้เป็นอย่างดี

ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนามีความเชื่อเรื่องของกรรม (กัมมสัทธา/กรรมศรัทธา) หรือ การกระทำของตัวเองเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดผลตามมา เหตุการณ์ต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องของผลแห่งการกระทำในอดีต (อดีต = สิ่งที่ล่วงไปแล้วรวมถึงชาติกำเนิดที่ผ่านมาแล้ว) ปัจจุบันได้เสวยผลของการกระทำในอดีตปัจจุบันเป็นตัวกำหนดผลกรรมในอนาคต

ทำไมเกิดมาจน ?

ทำไมเกิดมารวย ?

ทำไมเกิดมาจนแล้วร่ำรวยในเวลาต่อมา ?

ทำไมเกิดมารูปร่างหน้าตาไม่สมบูรณ์พร้อม?

ทำไมเกิดมารูปร่างหน้าตาสวยงาม?

ทำไมจึงไม่มีคนรักเลย ?

ทำไมจึงมีแต่โรคภัย ?

ฯลฯ

คำถามเหล่านี้ล้วนมีคำตอบที่หลากหลายเหตุผล แต่สรุปรวมได้ ๑ คำตอบ คือ "กรรม"

กรรมเป็นตัวนำให้กำเนิด (กมฺมโยนิ) เป็นเหมือนเผ่าพันธ์พวกพ้อง (กมฺมพนฺธุ)ชีวิตดำเนินไปตามกรรมที่ทำไว้ ทั้งดี และไม่ดี ย่อมได้รับผลทั้งสิ้นและกำหนดมิได้ว่าช้าหรือเร็ว

แก้กรรมได้ไหม ?

หากจะตอบคำถามนี้ต้องตอบ ๒ ทาง คือ กรรมบางอย่างแก้ได้ กรรมบางอย่างแก้ไม่ได้

และต้อง"ขยายความ" คำว่า "แก้" อีกด้วยเหมือนสัตว์ติดบ่วงที่พรานผูกไว้ ได้เสวยทุกข์จากการติดบ่วงนั้น ต่อมามีคนใจบุญมาแก้บ่วงนั้นให้สัตว์เป็นอิสระนี้เรียกว่า "แก้บ่วง" เหมือนกับ "การแก้บ่วงกรรม"เมื่อเกิดมามีกรรม ก็สามารถแก้ได้ แต่สัตว์นั้น ก็ต้องติดบ่วงและเสวยกรรมจากการติดบ่วงนั้น ภายหลังจึงเป็นอิสระ มิได้ทนทรมานในบ่วงนั้นจนตายกรรมใดที่เราทำไว้ก็เช่นกัน เราต้องได้เสวยกรรมนั้น ต่อเมื่อผลกรรมนั้นหมดไปจึงแก้กรรมได้

วิธีแก้กรรม ก็คือเมื่อรู้ว่าตัวเองทำกรรมอันใดไว้ และได้รับผลอย่างไร ก็ต้องแก้ไขตัวเองเสียใหม่อย่าได้ทำกรรมเช่นนั้นอีก เหมือนสัตว์ที่เคยติดบ่วงเพราะเดินไปในทางที่มีบ่วงดักภายหลังเลี่ยงเดินทางใหม่ที่ไม่มีบ่วง ก็จะไม่ติดบ่วงนั้นอีก คนเราก็เช่นกันเมื่อได้เสวยผลกรรมที่ทำมาแล้ว รู้แล้วว่ากรรมที่ทำนั้น ส่งผลเช่นนี้ก็ไม่ทำกรรมนั้นอีก นี่แหละเรียกว่า "แก้กรรม"

เคยทำกรรมชั่วแล้วหันกลับมาทำกรรมดี เรียกว่า "แก้กรรม"แต่อย่างไรก็จะได้รับผลของกรรมที่ทำชั่วนั้นกรรมชั่วนั้นจะติดตามส่งผลในภพชาติต่อๆ ไป จนกว่าผลกรรมนั้นจะหมดสิ้นแต่กรรมดีที่สร้างไว้ใหม่ก็จะส่งผลให้ได้รับผลที่ดีตอบแทนเช่นกัน การแก้กรรมจึงมีความหมายว่า "การแก้ไขตัวเองจากเคยทำชั่วในอดีตให้หันมาทำดีในปัจจุบัน"

การแก้กรรม อีกประการหนึ่งคือการได้รับ "การอโหสิกรรม" เป็นการยุติการสร้างกรรมใหม่และเป็นวิธีแก้กรรมเก่า หมายถึงการทำผิดทำชั่วกับใครไว้ ขอให้เขายกโทษอโหสิกรรมให้ ด้วยอุบายวิธีต่างๆ หรือการหยุดจองเวรซึ่งกันและกันเป็นการยุติการสร้างกรรม แต่จริงๆ แล้ว ต้องได้เสวยกรรมจากกรรมที่ทำนั้นมาแล้วรู้ว่าผลที่ทำเป็นอย่างไร อยากพ้นจากกรรมนั้น ก็ทำให้เขาอโหสิกรรมให้ ก็เป็นวิธี"แก้กรรม"

แต่มิใช่กรรมทุกอย่างจะได้รับการอโหสิหรือยกโทษไม่ถือสาแล้ว จะพ้นกรรมนั้นได้ คือต้องได้เสวยผลของกรรมนั้น คือการทำ"อนันตริยกรรม" กรรมชั่วที่เสวยผลไม่มีที่สิ้นสุด ได้แก่

๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา

๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา

๓. อรหันตฆาตฆ่าพระอรหันต์

๔. โลหิตุปาททำร้ายพระพุทธเจ้าจนทำให้พระโลหิตห้อ (ห้อเลือด)

๕. สังฆเภท ทำลายสงฆ์ทำให้สงฆ์แตกกัน

กรรมนี้ แม้ได้รับการอโหสิกรรมก็ไม่เป็นผล จำต้องได้รับผลของกรรมนั้น แก้ไม่ได้ แต่หันกลับมาทำกรรมดีได้เพื่อเมื่อหลุดพ้นจากผลกรรมนั้นแล้ว จะได้เสวยผลของกรรมดีบ้าง ดังเช่น พระเทวทัตทำอนันตริยกรรม คือทำร้ายพระพุทธเจ้าด้วยการกลิ้งก้อนหินลงมาทับแต่ก้อนหินถูกชะง่อนหินแตกกระจายเป็นสะเก็ดมาตกใส่หลังพระบาท ทำให้ห้อเลือด และพระเทวทัตได้ทำสงฆ์ให้แตกกัน ก่อนสิ้นลมหายใจสำนึกบาปได้ ขออโหสิกรรม แม้พระพุทธเจ้ามิได้ถือโทษใดๆท่านเทวทัตก็ยังได้รับผลกรรมอย่างหนักหนาสาหัสในนรกภูมิ แต่เมื่อสิ้นผลกรรมนั้นผลของกรรมดีที่ได้ทำก่อนสิ้นลมจะส่งผลให้ท่านได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าการทำอนันตริยกรรม จึงเป็นกรรมที่แก้ไม่ได้

หรือแม้แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังได้รับผลของอนันตริยกรรมที่ทำมา ดังเช่น พระมหาโมคคัลลาน์ผู้เป็นอัครสาวกทรงอิทธิฤทธิ์ ก็ถูกพวกนักเลงที่เขาจ้างมาทุบตีจนร่างแหลกเหลวเพราะผลกรรมที่ทุบตีบิดามารดาในอดีตชาติ

มีหลายอาจารย์ที่ออกอุบายหรือสร้างความเชื่อว่า....

เมื่อมีเคราะห์กรรมก็ต้องเสดาะเคราะห์ เช่น ปล่อยนก, ปล่อยปลา,ตักบาตรพระ ๑๐๘ รูป, ถวายสังฆทาน ฯลฯ อะไรต่างๆ นี้ เป็นกุศโลบายหรือวิธีแนะนำให้คนสร้างกรรมดี หนีกรรมชั่ว

คำว่า สะเดาะเคราะห์ก็คือการออกอุบายให้คนทำความดี หรือเป็นวิธีแก้กรรมอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง เหมือนการสะเดาะกุญแจที่ล็อคขังเราไว้ข้างในห้องขัง เปิดโอกาสให้ออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด

ถึงแม้ท่านจะรู้ว่ากรรมบางอย่างเขาต้องได้เสวยผลก่อน กรรมบางอย่างเขาจะได้รับการอโหสิและกรรมบางอย่างไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ท่านก็มีอุบายให้คนทำความดีสร้างกรรมใหม่ให้เป็นกรรมดี

เพราะแม้คนเราเกิดมาจะเคยสร้างกรรมดีหรือชั่วมาในอดีตชาติ แต่เมื่อมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นภพกึ่งกลางระหว่างสวรรค์ และนรก (ความดี - ความชั่ว)เป็นการกำเนิดเพื่อการสร้างกรรม หากจะเลือกลงนรก ก็เลือกทำกรรมชั่วซึ่งคนชั่วทำได้ง่ายนัก แต่หากจะเลือกขึ้นสวรรค์ ก็เลือกทำกรรมดีซึ่งคนดีทำได้ง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก

เรื่องโฆสกะเศรษฐี

คำสอนพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ยืนยันยันได้เป็นอย่างดี ว่าคนเรามีอดีตชาติ มีอดีตกรรม ทำกรรมดี ย่อมได้ผลแห่งกรรมดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่ว ดังเรื่อง“โฆสกะเศรษฐี” ที่ปรากฏในธรรมบทพระสุตตันตปิฎก

ท่าน “โฆสกะเศรษฐี” มีชีวิตที่พลิกผัน มีชีวิตเฉียดตายหลายครั้งมาตั้งแต่เกิด จากผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ ท่านเป็นเศรษฐีแห่งเมืองโกสัมพีแคว้นวังสะ เป็นผู้สร้าง “โฆสิตาราม”ถวายไว้ในพุทธศาสนา

กรรมในอดีตชาติของท่านโฆสกเศรษฐี

อดีตชาติของท่านโฆสกเศรษฐี เกิดเป็นชาวอัลลกัปปะ ชมพูทวีป มีชื่อว่า “โกตุหะลิกะ” มีภรรยาชื่อว่า “กาลี” ภรรยาเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วัน ก็ต้องพากันออกจากบ้านเพราะเกิดทุพภิกขภัยแห้งแล้ง ข้าวปลาอาหารหายากโกตุหลิกจึงตัดสินใจพาภรรยาและลูกน้อยเพิ่งคลอดเดินทางอพยพไปสู่กรุงโกสัมพีระหว่างทางอาหารที่มีติดตัวมาเพียงน้อยนิดก็หมดลงโกตุหลิกบอกภรรยาว่าอาหารเราหมดแล้ว เราไม่อาจไปถึงโกสัมพีได้เราจำเป็นต้องทิ้งลูก วันหน้าถึงโกสัมพีแล้วค่อยมีลูกกันใหม่ แต่นางกาลีไม่ยอม

สองสามีภรรยาเดินทางต่อไปผลัดกันอุ้มลูกน้อยคราวหนึ่งโกตุหลิกอุ้มลูกเดินตามหลังปล่อยให้นางกาลีเดินล่วงหน้าไปไกลเมื่อได้โอกาสจึงแอบวางลูกทิ้งไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่งนางกาลีหันกลับมาไม่เห็นลูกก็ร้องไห้คร่ำครวญ ให้โกตุหลิกเดินย้อนกลับไปรับลูกโกตุหลิกจำใจย้อนไปรับลูก แต่ลูกถูกมดกัดเสียชีวิตใต้พุ่มไม้

เกิดเป็นสุนัข

โกตุหลิกกับภรรยาเดินทางต่อไปจนถึงเรือนนายโคบาลคนหนึ่งทั้งสองแวะเข้าไปขออาหารนายโคบาลเป็นคนใจบุญหุงข้าวปายาสไว้ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกวันจึงแบ่งข้าวปายาสให้สองสามีภรรยากิน

นางกาลีแบ่งข้าวปายาสส่วน ของตนให้สามีบอกว่าท่านอดข้าวมาหลายวันให้ท่านบริโภคให้เพียงพอก่อนโกตุหลิกจึงกินข้าวปายาสจำนวนมากให้สมกับที่อดอยากมาถึง ๗-๘ วันกินไปก็มองดูนางสุนัขของนายโคบาลไป คิดว่าสุนัขตัวนี้มีบุญได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันจนอ้วนพี ส่วนตนเองนานๆ จึงจะได้กินสักที

ด้วยการบริโภคมากเกินไปข้าวปายาสจึงไม่ย่อย คืนนั้นโกตุหลิกจึงตาย และด้วยอกุศลจิตก่อนตายที่อิจฉาความเป็นอยู่ของสุนัข โกตุหลิกจึงไปเกิดในท้องนางสุนัขตัวนั้นส่วนนางกาลีเมื่อสามีตายหมดที่พึ่งแล้ว จึงอยู่ทำงานในเรือนของนายโคบาลนั้นเองวันใดได้ค่าแรงเป็นข้าวสาร นางก็จัดการหุงแล้วใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ถ้าวันไหนไม่มีข้าวนางก็ขวนขวายช่วยงานด้วยความเลื่อมใส

จากสุนัขเป็นโฆสกเทพบุตร

โกตุหลิกเกิดเป็นสุนัขได้รับก้อนข้าวจากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำจึงมีความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อนายโคบาลไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้าสุนัขนั้นก็ตามไปด้วยได้เห็นนายโคบาลเอาไม้ตีพุ่มไม้ข้างทางเพื่อขับไล่สัตว์ร้ายให้หนีไปสุนัขก็จดจำไว้

วันหนึ่งนายโคบาลทูลพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าหากวันใดไม่สามารถมานิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ด้วยตนเองก็จะส่งสุนัขตัวนี้มาขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าพึงทราบว่าตนได้ส่งมานิมนต์ หลังจากวันนั้นเมื่อนายโคบาลไม่ว่างก็จะใช้ให้สุนัขนั้นไปพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามารับบิณฑบาตที่เรือนสุนัขนั้นก็จะไปที่หน้าที่พำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า เห่า ๓ครั้งให้รู้แล้วนอนหมอบรออยู่เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าออกมาสุนัขก็จะเดินนำไปข้างหน้า ระหว่างทางสุนัขก็จะเที่ยวเห่าใส่สุมทุมพุ่มไม้และที่รกเพื่อขับไล่สัตว์ร้ายตามแบบที่จำมาจากนายโคบาล บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าจะทดสอบความแสนรู้ของสุนัขจึงแกล้งเดินผิดทาง สุนัขก็จะไปยืนขวางไว้ บางครั้งก็คาบชายผ้าดึงกลับมาให้ถูกทาง

กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกนายโคบาลว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นสุนัขนั้นอาลัยรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ยืนเห่าส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับไปจากสายตาสุนัขนั้นก็ดวงใจแตกดับ ไปเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก มีนางอัปสรแวดล้อม ๑,๐๐๐ นาง เป็นเทพบุตรผู้มีเสียงดังมากเพราะอานิสงส์การเห่าไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงมีนามว่า “โฆสกเทพบุตร”

เกิดใหม่ในโกสัมพี

โฆสกเทพบุตรเสวยสมบัติอยู่ในเทวโลกไม่นานเพราะมัวแต่เพลินบริโภคกามคุณ จึงจุติไปเกิดเป็นบุตรหญิงงามเมือง(โสเภณีชั้นสูง ไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง) ในกรุงโกสัมพีแต่การเป็นหญิงงามเมืองหากมีบุตรจะเลี้ยงไว้เฉพาะบุตรสาวเพื่อสืบทอดอาชีพ แต่เมื่อคลอดบุตรเป็นชายนางจึงนำทารกน้อยใส่กระด้งไปทิ้งในกองหยากเยื่อด้วยอานิสงส์เคยดูแลไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก่อน ทารกน้อยในกองหยากเยื่อจึงรอดพ้นอันตรายจากสัตว์ร้ายจนมีหญิงคนหนึ่งมาพบเข้าและนำทารกกลับไปเรือน

วันนั้นเศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีคนหนึ่งเข้าไปในราชสำนักได้ยินปุโรหิตบอกว่าเด็กที่เกิดวันนี้เป็นผู้มีบุญมากอนาคตจะได้เป็นมหาเศรษฐีของเมือง เศรษฐีจึงให้คนใช้กลับไปดูที่เรือนว่าภรรยาของตนซึ่งมีครรภ์แก่คลอดบุตรหรือยัง ปรากฏว่าภรรยายังไม่คลอดเศรษฐีจึงให้หญิงคนใช้อีกคนชื่อ กาลี ไปตามหาทารกชายที่เกิดวันนี้ให้พบพบแล้วให้ใช้ทรัพย์พันหนึ่งแลกทารกนั้นกลับมา ซึ่งนางกาลีก็สามารถหาทารกน้อยนั้นจบพบและพากลับมาให้เศรษฐี

เศรษฐีเลี้ยงดูทารกนั้นไว้ คิดว่าถ้าลูกของตนเป็นลูกสาวก็จะให้แต่งงานกับเด็กคนนี้ที่จะได้เป็นมหาเศรษฐี แต่ถ้าเป็นชายเศรษฐีก็จะฆ่าเด็กนี้ทิ้งเสียเพื่อให้ลูกชายตนเองครองตำแหน่งมหาเศรษฐีแทน

ถูกทิ้งถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำอีก

ต่อมาภรรยาเศรษฐีคลอดบุตรเป็นชายเศรษฐีจึงคิดจะฆ่าทารกที่เลี้ยงไว้

เศรษฐีสั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางกลางประตูคอกโคหวังจะให้แม่โคเหยียบให้ตายตอนนายโคบาลปล่อยโคออกจากคอกแต่โคนายฝูงออกมายืนคร่อมทารกไว้ไม่ให้ทารกถูกแม่โคตัวอื่นเหยียบนายโคบาลสังเกตเห็นผิดปกติที่โคนายฝูงปกติจะออกจากคอกหลังสุดแต่วันนี้กลับออกจากคอกก่อน แถมยังยืนนิ่งขวางทางอยู่จึงเดินไปดูเมื่อเห็นทารกนอนอยู่ก็เกิดความรักนำกลับไปเลี้ยงดูเศรษฐีรู้ว่านายโคบาลนำทารกไปเลี้ยงจึงให้นางกาลีไปไถ่ตัวกลับมาด้วยทรัพย์พันหนึ่ง

เศรษฐีสั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางทางขบวนเกวียน๕๐๐ เล่มที่พ่อค้าขับไปค้าขายแต่เช้ามืดแต่โคนำขบวนกลับหยุดขวางทางไว้ไม่ยอมลากเกวียนไปต่อหัวหน้าขบวนเกวียนรอจนฟ้าสว่างจึงเห็นว่ามีทารกนอนอยู่ เขาจึงนำทารกลับไปเลี้ยงแต่เศรษฐีก็ให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง

เศรษฐีสั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ สถานที่ทิ้งศพ หวังจะให้ทารกถูกสุนัขป่าหรืออมนุษย์ฆ่าให้ตายครั้งนั้นนายอชบาลคนเลี้ยงแพะ ต้อนฝูงแพะหลายพันตัวผ่านมาแม่แพะตัวหนึ่งหยุดให้นมทารก นายอชบาลเห็นจึงนำทารกกลับไปเลี้ยงเศรษฐีรู้จึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง

เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่เหวทิ้งโจรแต่ทารกก็ปลอดภัยเพราะตกลงบนพุ่มไม้ไผ่หัวหน้าช่างจักสานมาตัดไม้ไผ่พบเข้าจึงพากลับไปเลี้ยงเศรษฐีรู้จึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง

เศรษฐีพยายามฆ่าเด็กหลายครั้งแต่ไม่ตายจึงจำต้องเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ มีชื่อว่า โฆสกะ

ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

เศรษฐีจำใจเลี้ยงโฆสกะไว้เป็นหนามยอกอก ในใจไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าโฆสกะเลยวันหนึ่งเศรษฐีแอบไปว่าจ้างช่างหม้อคนหนึ่งบอกว่าจะส่งบุตรชาติชั่วมาให้ฆ่าให้ช่างหม้อจัดการหั่นให้เป็นท่อน แล้วใส่เตาเผาให้หมดอย่าให้เหลือซาก ช่างหม้อเห็นแก่เงินจึงรับจะจัดการให้

วันรุ่งขึ้นเศรษฐีสั่งให้โฆสกะไปเรือนช่างหม้อบอกช่างหม้อว่าให้เร่งทำงานที่เศรษฐีสั่งไว้ให้เสร็จเร็วๆ โฆสกะก็ไปเพราะไม่รู้ระหว่างทางพบลูกชายเศรษฐีกำลังเล่นพนันอยู่กับเพื่อนๆ แต่ลูกชายเศรษฐีแพ้พนันไปแล้วหลายครั้งจึงขอร้องให้โฆสกะช่วยเล่นแทนส่วนตัวเขาอาสาไปหาช่างหม้อแทน วันนั้นโฆสกะจึงได้อยู่เล่นสนุกตลอดทั้งวัน

ตกเย็นโฆสกะเลิกเล่นกลับเข้าเรือนเศรษฐีพอเห็นโฆสกะก็ตกใจสอบถามรู้ว่าบุตรชายของตนไปแทนโฆสกะจึงรีบวิ่งไปเรือนช่างหม้อแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะบุตรชายของตนถูกฆ่าและเผาแล้วไปแล้ว

โฆสกะแต่งงาน

เศรษฐีแค้นโฆสกะมากยิ่งขึ้น ครุ่นคิดหาวิธีจะฆ่าโฆสกะให้ได้จึงออกอุบายให้โฆสกะไปส่งจดหมายให้คนเก็บส่วยในชนบท โฆสกะบอกว่าตนยังไม่ได้กินข้าวเลย เศรษฐีบอกว่าระหว่างทางในชนบทมีเรือนของคามิกเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกันให้โฆสกะแวะกินข้าวที่เรือนนั้น โฆสกะไม่รู้หนังสือจึงเอาจดหมายผูกชายผ้าเดินทางไป

เมื่อเดินทางถึงเรือนคามิกเศรษฐี โฆสกะจึงแวะเข้าไปหาภรรยาคามิกเศรษฐีแนะนำตัวเองว่าชื่อโฆสกะเป็นบุตรของเศรษฐีในเมืองชื่อโฆสกะ ภรรยาเศรษฐีรู้สึกเมตตาจึงจัดข้าวปลาอาหารให้กินและให้นางทาสีพาโฆสกะไปนอนพักผ่อน นางทาสีคนนั้นเป็นทาสีของธิดาเศรษฐีเมื่อนางจัดเตรียมที่นอนให้โฆสกะเรียบร้อยแล้วจึงไปรับใช้ธิดาเศรษฐีตามปกติธิดาเศรษฐีถามว่าทำไมวันนี้นางทาสีจึงมาช้านัก นางทาสีบอกว่านายหญิงให้ไปจัดที่นอนให้แขกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปหล่อชื่อโฆสกะ

พอธิดาเศรษฐีได้ยินชื่อโฆสกะ นางก็บังเกิดความรักเฉือนเข้าไปถึงกระดูกเพราะธิดาเศรษฐีนี้คือนางกาลีอดีตภรรยาโฆสกะเมื่อครั้งที่เป็นนายโกตุหลิก นั่นเองความรักของนางเกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน หรือเรียกว่าบุพเพสันนิวาส

ธิดาเศรษฐีแอบไปดูโฆสกะที่นอนหลับอยู่และหยิบหนังสือที่ชายผ้าเปิดอ่าน ในหนังสือนั้นบอกให้นายส่วยฆ่าโฆสกะทันทีที่ไปถึง ธิดาคามิกเศรษฐีพอรู้ว่าโฆสกะถูกหลอกไปฆ่าจึงคิดวิธีช่วยเหลือ จัดการแปลงสารด้วยข้อความใหม่ว่า

“ลูกชายของเราคนนี้ชื่อ โฆสกะท่านจงทำธุระให้เขาทำการมงคลกับธิดาคามิกเศรษฐีด้วยบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้านปลูกเรือน ๒ ชั้นให้เป็นที่อยู่ สร้างรั้วให้แข็งแรงและจัดเวรยามดูแลให้ดีแล้วส่งข่าวกลับไปบอกด้วยว่าท่านทำการเสร็จแล้ว เราจักสมนาคุณท่านในภายหลัง”

เมื่อแปลงสารเสร็จแล้วธิดาเศรษฐีก็พับจดหมายคืนที่เดิม

วันรุ่งขึ้นโฆสกะเดินทางต่อจนถึงเรือนของนายส่วย เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว นายส่วยจึงจัดงานอาวาหมงคลให้ โฆสกะกับธิดาคามิกเศรษฐีแล้วส่งข่าวให้เศรษฐีโกสัมพีทราบว่างานที่สั่งให้ทำสำเร็จแล้ว

เศรษฐีล้มป่วยเพราะความแค้น

เศรษฐีอ่านจดหมายนายส่วยจบก็เสียใจและแค้นใจ บุตรชายตัวเองหวังจะให้เป็นมหาเศรษฐีก็มาตายส่วนโฆสกะพยายามฆ่ามาหลายครั้งไม่เคยสำเร็จด้วยความแค้นและความเสียใจสุมเต็มอกเศรษฐีจึงล้มป่วยลง

เศรษฐีตั้งใจว่าจะไม่ยอมยกสมบัติของตัวเองให้โฆสกะอย่างเด็ดขาดจึงส่งคนรับใช้ให้ไปตามโฆสกะมาหา แต่ภรรยาโฆสกะคอยดักไว้ไม่ให้พบนางถามถึงอาการเศรษฐีว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนรับใช้บอกว่ายังมีกำลังดีอยู่นางจึงจัดที่พักให้บอกว่าให้อยู่ที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งกลับ

เศรษฐีส่งคนรับใช้ไปอีกภรรยาโฆสกะก็จัดที่พักให้เหมือนคนก่อน

จนถึงคนรับใช้คนที่สามมาบอกว่าเศรษฐีอาการเพียบหนักใกล้ตายแล้วภรรยาโฆสกะจึงบอกให้สามีเตรียบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้านใส่เกวียนไปเยี่ยมเศรษฐี

เมื่อไปถึงเรือนเศรษฐีภรรยาบอกให้โฆสกะไปยืนทางปลายเท้า ส่วนนางยืนทางด้านศีรษะ เศรษฐีเห็นโฆสกะมาแล้วจึงเรียกเสมียนมาถามว่าในเรือนของฉันมีทรัพย์อยู่เท่าไร นายเสมียนตอบว่ามีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิและเครื่องอุปโภคบริโภคบ้าน นา สัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า ยานพาหนะ มีอีกจำนวนหนึ่ง

เศรษฐีจะประกาศว่า “ฉันไม่ให้ทรัพย์แก่โฆสกะ”

แต่ด้วยอาการไข้หนักเศรษฐีกลับพูดผิดว่า “ฉันให้..”

ภรรยาโฆสกะที่รอท่าอยู่พอได้ยินเศรษฐีพูดเพียงเท่านี้นางเกรงว่าเศรษฐีจะพูดคำอื่นอีกจึงแสร้งทำเป็นเศร้าโศกโถมศีรษะลงกลิ้งเกลือกบนอกเศรษฐี แสดงอาการร้องไห้คร่ำครวญจนเศรษฐีไม่อาจพูดได้อีกแล้วเศรษฐีก็ขาดใจตาย

เป็นโฆสกะเศรษฐี

เมื่อพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพีทรงทราบว่าเศรษฐีถึงแก่อนิจกรรมแล้วจึงรับสั่งให้โฆสกะไปเข้าเฝ้า พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้สืบต่อจากบิดา โฆสกะรับตำแหน่งเศรษฐีแล้วจึงขึ้นรถแห่ประทักษิณพระนครแล้วกลับมาเรือน

ภรรยาโฆสกเศรษฐีเล่าให้นางกาลีฟังว่าเพราะนางแอบแปลงจดหมาย วันนี้โฆสกะจึงได้ตำแหน่งเศรษฐีนางกาลีก็เล่าให้นางฟังบ้างว่าเศรษฐีพยายามฆ่าโฆสกะมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่ยังเป็นทารกใช้ทรัพย์ไปมากมายแต่ก็ไม่สามารถฆ่า โฆสกะได้พอรู้ดังนั้นแล้วภรรยาโฆสกะจึงหัวเราะ โฆสกเศรษฐีเข้าเรือนมา เห็นภรรยาหัวเราะจึงถามว่าหัวเราะอะไรภรรยาไม่ยอมบอก โฆสกเศรษฐีชักดาบขู่ว่าถ้าไม่บอกเราจะฟันให้ขาดเป็น ๒ ท่อนภรรยาจึงบอกว่า สมบัติทั้งหลายนี้ท่านได้มาเพราะดิฉัน

แล้วภรรยาก็เล่าเรื่องราวให้สามีฟังโฆสกเศรษฐีไม่เชื่อ ภรรยาจึงให้นางกาลีมายืนยันอีกคน ฟังแล้วโฆสกเศรษฐีจึงคิดว่าเราทำกรรมหนักไว้หนอจึงได้ผลเช่นนี้ ต่อไปเราจะไม่เป็นผู้ประมาทอีก

คิดดังนั้นแล้วเศรษฐีจึงให้ตั้งโรงทาน สละทรัพย์วันละพันเพื่อสงเคราะห์คนเดินทางไกลและคนกำพร้า ตั้งโรงทานสงเคราะห์คนยากไร้ ต่อมาเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงสร้างโฆสิตารามถวายเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์

ผลจากอดีตกรรม ทำให้ชีวิตเป็นไปต่างๆ นานา ทั้งดีและชั่ว สุดท้ายท่านเศรษฐีเลือกทำปัจจุบันกรรมให้ดี

เมื่อย้อนกลับมาดูชีวิตเราเอง ปัจจุบันเราเป็นอะไร เคยทำกรรมอันใดไว้ชีวิตจึงเป็นเช่นนี้ กรรมนั้นจะให้ผลอย่างไร ถึงเมื่อไหร่ ? มีวิธีแก้ไขอะไรได้หรือไม่ ? คำถามเหล่านี้ ขอยกอุทาหรณ์ 2 เรื่อง ดังนี้

ตัวอย่างในพุทธกาล เรื่องพระสารีบุตร

ในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตรและภิกษุอื่นๆ ให้บรรพชาแก่สามเณรแล้ว ก็ให้พรแก่สามเณร แต่เมื่อถึงลำดับเณรบวชใหม่รูปหนึ่งท่านก็ไม่ให้พร ให้มีอายุยืน เพราะมองเห็นวิบากกรรมของสามเณรว่าถึงเวลาที่จะมรณะแล้ว พระสารีบุตรได้เล็งเห็นว่า สามเณรองค์นี้จะมรณะในอีก7 วัน จึงอนุญาตให้เณรกลับไปเยี่ยมบ้านเพื่อโปรดญาติโยมทางบ้านเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อผ่านไปเจ็ดวันเณรได้กลับมายังอารามเหมือนเดิม พระสารีบุตรเองแปลกใจว่าเพราะเหตุใดเณรคนนั้นไม่ตาย ท่านจึงได้สอบถามเณรว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง ระหว่างทางไปและกลับเณรได้แถลงไขว่า ระหว่างทางที่ไปนั้น ได้พบปลาจำนวนหนึ่งตกคลักในหนองน้ำที่ใกล้แห้งจึงได้เอาจีวรช้อนขึ้นมาไปปล่อยในแหล่งน้ำที่ใกล้ๆ ด้วยญาณแห่งพระสารีบุตร ท่านก็ทราบได้ว่า ปลาเหล่านั้นคืออดีตเจ้ากรรมนายเวรของเณรผู้นั้นเอง และเมื่อเณรได้นำปลาไปปล่อยในแหล่งน้ำเท่ากับว่าได้ทำบุญ ต่ออายุให้กับตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวรนั้นจึงได้อโหสิกรรมให้เณร

ตัวอย่างเหตุปัจจุบัน

หลวงพ่อจรัญ

หลวงพ่อจรัญทำนายว่า.....อาตมาจะมรณภาพวันที่14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45น.ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ จริงๆแต่ท่านไม่ตาย ด้วยเหตุที่ หลวงพ่อจรัญได้สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวน มากและแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น ไก่เหล่านั้นเลยให้อภัยท่านแม้จะคอหักแต่ไม่ตาย เรื่องนี้ท่านไปหาอ่านจากหนังสือประวัติของหลวงพ่อท่านได้เลย

เรื่องสามเณรศิษย์ของพระสารีบุตร ประสบพบเห็นสัตว์ที่เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด สามเณรไปช่วยไว้เหมือนชีวิตไถ่ชีวิต ส่วนท่านหลวงพ่อจรัญมองเห็นกรรมเก่าที่จะให้ผล(ตามพรหมลิขิต/กฎแห่งกรรม)ท่านเห็นกรรมใหม่ที่จะให้ผล ท่านทำกรรมใหม่ คือ สำนึกบาปขออโหสิกรรมที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมากและแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น แต่ท่านก็ยังประสบอุบัติเหตุรถคว่ำคอหัก แต่ท่านไม่มรณภาพ เหมือนได้รับการอโหสิวินาทีสุดท้าย

เรื่องผลแห่งอดีตกรรม หากไม่ประสบด้วยตนเอง คงไม่ซึ้งไม่ทราบถึงหัวใจ บางคนไม่มีคนชี้บอก จึงไม่รู้ทางแก้ไข หรือแก้ไขผิดวิธี ต้องให้ผู้มีญาณวิเศษ เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นความสามารถระลึกชาติได้ ซึ่งในโลกนี้มีไม่กี่คน ปัจจุบันมีกล่าวอ้าง แต่หลอกลวงก็มีมาก เรื่องนี้ถ้าพูดถึงก็ยาว....ส่วนในด้านโหราศาสตร์ ไม่ต้องอาศัยญาณวิเศษ เราดูจากดวงดาวในดวงชะตานี่แหละ ตามตำราที่บูรพาจารย์สั่งสอน เหมือนมีญาณหยั่งรู้ พิสูจน์กันดูได้

เมื่อหมอดู ดูอดีตกรรมได้  ย่อมเป็นแนวทางแห่งการแนะนำให้เจ้าชะตา ปรับเปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดี ตั้งอยู่ในวิถีแห่งสัมมาทิฏฐิ


แต่บางท่าน  เมื่อรู้อดีตกรรมเจ้าชะตา  ก็หาอุบายเพื่อการพานิชย์ หากเจ้าชะตายินดีสมยอม ก็ไม่ตำหนิอันใด  แต่หากบังคับขู่เข็ญเพื่อลาภสักการะของตน  ท่านนั้นย่อมเสื่อมตามคำสาปแช่งของบูรพาจารย์



ช.ชินวัฒน์ ป.ธ.๙




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2555 12:47:31 น.
Counter : 8344 Pageviews.  

วิชาจับยาม ตอบคำถามทุกเรื่อง เป็นไปได้

ประโยชน์จากการจับยาม




การพยากรณ์เหตุการประจำวันที่เกี่ยวกับตัวเราเอง โดยดูอิทธิพลจากดาวประจำวันโคจรในภพใดหรือเรือนใดใน ๒๑ เรือน ของตำราเลข ๗ ตัว ๔ ฐาน ประกอบกับทักษาพยากรณ์ และวิชาจับยามมาใช้

ท่านผู้อ่านจะใช้ประโยชน์ได้จากการวิเคราะห์ดาวประจำเรือนตามวัน เดือน และปีนั้นๆ เพื่อคาดการเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า และวางแผนก่อนลงมือกระทำการใดๆ มีสติ และไม่ประมาท

เท่าที่ข้าพเจ้านำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็นับว่าพึ่งพาได้ พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ใช้ในการประกอบธุรกิจได้ เช่น วันนี้การงานมีแนวโน้มสำเร็จหรือไม่ ? วันนี้ติดต่อคนนี้แล้วจะสำเร็จไหม ? จะถามถึงคนนี้ เขาไปไหน เขาต้องการอะไร ? ฯลฯ ส่วนจะแม่นยำหรือไม่ก็อยู่ที่การวิเคราะห์ดาวและเรือนของข้าพเจ้าเอง วิชานี้ข้าพเจ้าได้รับการถ่ายทอดจาก อ.นพพร โกมุก อาจารย์ประจำสมาคมโหรแห่งประเทศไทย แล้วข้าพเจ้านำมาประยุกต์ และดูสถิติที่ทำขึ้นมา ก็ทำให้เกิดลาภผลแก่ตนและคนรอบข้าง มีเงินทองไปทำบุญ ชำระหนี้ และเป็นทุนรอนต่อไป


ท่านที่เป็นสมาชิกบล็อคของข้าพเจ้า สามารถถามเรื่องต่างๆ ได้ เช่น งานวันนี้จะสำเร็จไหม ? จะถูกล็อตเตอรี่ไหม? ข้าพเจ้าใช้วิชาจับยามในวันเวลาที่ถามนั้น แล้วจะให้คำตอบ วิชาจับยามประจำวันนี้ อาจารย์ท่านให้หาของหาย คนหาย และสามารถคาดการเลขล็อตเตอรี่ได้ด้วย

มีอาจารย์ท่านหนึ่งเหมือนจะ "ทึ่ง" ในเรื่องการวิเคราะห์ "หวย" เห็นสหธรรมิกของข้าพเจ้าถูกล็อตเตอรี่กันเกือบทุกงวด จึงติดต่อข้าพเจ้า เพื่อขอสูตร หรือตำรา ท่านเอาไปเขียนหนังสือให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กำลังทำต้นฉบับ ข้าพเจ้าก็มิได้สงวนสิทธิ์ใด ถามอาจารย์นพพร ท่านก็ว่า "มหาตัดสินใจเอา" แต่เกรงใจอาจารย์ท่าน รวมทั้งท่านที่มาขอตำรานั้นด้วย จึงเชิญท่านที่ขอตำราไปพบกับอาจารย์ที่ชมรมโหร 12 ราศี และบอกสูตรกันตรงนั้น ท่านคุยถูกคอกันดี ข้าพเจ้าก็สบายใจ และคงได้ซื้อหนังสือนั้นตอนวางแผง

อยากถามปัญหาต่างๆ จากการจับยาม ทำอย่างไร?
มีอาจารย์หมอดูหลายท่านครับ ที่เก่งๆ แม่นยำ ตรงเผง...ท่านสามารถถามท่านเหล่านั้นได้ ไม่ต้องใช้วันเดือนปีเกิดเลย เพียงแต่ "เวลา" ที่ท่านถาม นั่นแหละสำคัญ

แต่หากสนใจให้ข้าพเจ้าตอบคำถาม โดยวิชาจับยามนี้ "มีค่าครู" ครับ
เพราะข้าพเจ้าต้องจ่าย ค่าไฟ และค่าอินเตอร์เน็ตประจำเดือน ในการให้บริการท่าน

เก็บคนละเท่าไหร่ดี ? ก็แล้วแต่อยากจะจ่ายครับ ขอให้มีพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง จะบนเหรียญบาท 2 บาท 5 บาท 10 บาท หรือธนบัตร รับได้หมด ให้ถือเสียว่า "หยอดกระปุกออมสิน" เพื่อเป็นค่าครู

จ่ายค่าครูให้ผมอย่างไร ? ผมคิดหนักอยู่ ปกติดูดวงไม่เก็บค่าครูเลย ยกเว้นไปดูที่สำนักติ๊ก กลิ่นสี มีน้องเลขาฯ เป็นคนเก็บเป็นค่ารถค่าเดินทางให้ครับ คุยเรื่องชำระค่าครูได้ที่ //www.facebook.com/s.shinawut ก็แล้วกันครับ


การจับยามถามเลขล็อตเตอรี่
ท่านที่เป็น "หมอดู" ให้เดินยามกลางวัน เวลาที่ล็อตเตอรี่ออกจะตกยามที่ 7 ของวัน ยามที่ 7 ในแต่ละวันเลขจะไม่ตรงกันตามการเดินยามของดาว สมมติวันนี้ (16 มี.ค. 55) เป็นวันศุกร์ ยามที่ 7 ตรงกับเลข 1 เรือน "ธนัง" กระทบฐาน 5 และไปกระทบฐาน 4 ตัวเลขวิ่งเด่น คือ 3 ตัวนี้ 4-1-5 เอาทักษามาเดินด้วย คู่ดีดวงเมือง คือ 35 คู่เสียดวงเมืองคือ 78 ที่เหลือคือการดูดาวกระทบฐานกัน ก็จะวิเคราะห์ได้เป็น 178/15, 415/78, 876/33, 87, 15, 64, 68, 23 นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่วิเคราะห์ อยู่ที่โชคลาภแต่ละคน ได้ตัวเดียวกันไปแต่ไม่ได้ถูกกันทุกคน ส่วนใหญ่ก็จะถูก หากพลาดก็เพียงตัวเดียว มันขึ้นอยู่กับโชคลาภของแต่ละคนจริงๆ

แต่พอข้าพเจ้าคร่ำเคร่งกับพวกนี้มาก ดันเป็นทุกข์เสียนี่ ไม่น่าเชื่อ บางคนเล่นเลขวิ่งตัวละ 2 ล้าน เพื่อนบอกข้าพเจ้ายังตกใจ บางคนเล่นใต้ดินกันตัวหลายพัน ถ้าถูกเขาก็ชื่นชม เดือนพ.ย.- ธ.ค. 2554 ให้เขาไปถูกใต้ดินกัน 3 งวดซ้อน คนที่ทุกข์คือเจ้ามือ คนที่รักข้าพเจ้าต้องขอให้หยุด เกรงจะเป็นอันตรายกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้า มาแอบเล่นเองก็พอได้ แต่เสียก็เยอะ...ช่วงดวงไม่มีลาภ ยังไงมันก็ไม่ได้ การจับยามถามเลขล็อตเตอรี่ จึงเน้นให้ไปซื้อล็อตเตอรี่ช่วยเหลือรัฐบาล ไม่ส่งเสริมใต้ดิน คนขายล็อตเตอรี่ เช่นคนพิการ ผู้สูงอายุ ก็พลอยมีรายได้ด้วย

จับยามถามเรื่องรายได้
ผู้จัดการสำนักพิมพ์กู๊ดเนส ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีอยู่มีกินทุกวันนี้ จะอาศัยข้าพเจ้าเรื่องจับยามถามเรื่องการงาน ซึ่งช่วยให้รอดมาก็หลายครั้ง
แรกๆ มีการท้าทายว่าจับยามแล้ว จริงตามนั้นไหม ผจก.นี่ก็เป็นคนรั้นมิใช่เล่น มีลูกค้าท่านหนึ่ง อยู่แถวพุทธมณฑลสาย 5 จะจ่ายเช็คทุกวันที่ 20 ของเดือน ตอนเช้าผจก.ก็แอบโทรไปถามบัญชีแล้วว่าเช็คออกไหม บัญชีก็บอกว่าเช็คออกแล้ว แต่ไม่บอกข้าพเจ้า ที่จริงก็รู้อยู่หรอกว่าลูกค้าท่านนี้จ่ายเช็คทุกวันที่ 20 ผจก.ก็ชวนข้าพเจ้าไปโดยไม่บอกว่าโทรถามก่อนแล้ว แล้วถามว่า "วันนี้จะได้เช็คไหม"
ข้าพเจ้าจับยามดู บอกว่า "ไม่ได้ จะได้อีกวัน" จะเป็นไปได้ไง เขาโทรถามแล้วว่าเช็คออกแล้ว...ข้าพเจ้าชักไม่แน่ใจว่าตรงไหม งั้นก็ไปเก็บเช็คกัน ปรากฏว่าบัญชีทำเช็คไว้ให้แล้วครับ....แต่เจ้าของเช็คลืมเซ็นไว้ให้ แล้วเขาก็ไม่อยู่ด้วย

จับยามถามหาคน
เมื่อวันจันทร์ เพื่อนหญิงท่านหนึ่ง กำลังสร้างโรงงาน จ้างผู้รับเหมามาถมที่ 4.3 แสน มัดจำไป 2.3 แสน มาถมได้ 5 คันรถวันเดียว งานยังไม่เสร็จอะไรก็หายเงียบไปวันหนึ่ง 3 ทุ่มเธอโทรมาถามว่าผู้รับเหมาะหายไปไหน ไม่มาทำงานให้ แล้วก็ติดต่อไม่ได้เลย ข้าพเจ้าจับยามดู...แล้วบอกเธอไปว่า "อย่าไปตามอะไรเขามากเลย เดี๋ยวเขามาทำต่อเอง ตอนนี้เขามีธุระด่วนที่ต่างจังหวัด"
แต่หลังจากคืนนั้น เธอก็ไม่โทร.บอกว่าเขามาทำงานต่อหรือไม่ เมื่อวานผจก.ฝ่ายผลิตเขามาที่สำนักพิมพ์ เลยถามถึง เขาบอกว่า ถมที่ใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวจะลงเสาเข็มอาทิตย์หน้า


วิชาจับยามนี้ มีเพื่อนท่านหนึ่งค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังมาก ข้าพเจ้าชักชวนให้เขามาเรียนโหราศาสตร์กับอ.นพพร จบไปเพียงวิชาเดียว ทำงานอะไร ท่านก็จะจับยามตะพึดตะพือ แต่ผลที่ได้ ปรากฏเขาค้าขายดีมาก ปีกลายยังมีโรงงานไม่ใหญ่มาก หลังคามุงสังกะสีเหมือนเป็นที่เก็บของ หรือเรือนเพาะชำเก่าๆ แต่มาปีนี้ เขามีโรงงานใหญ่ มีห้องทำงานส่วนตัว มีระบบระเบียบและมาตรฐานทั้งการบริหารและการผลิต ข้าพเจ้าเชื่อว่า เขารู้เคล็ดรู้แก้ จากวิชาโหราศาสตร์ หรือวิชาจับยาม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นผลจากดวงชะตาและบุญกุศลที่เขาได้สร้างมาด้วยนะครับท่าน






 

Create Date : 16 มีนาคม 2555    
Last Update : 16 มีนาคม 2555 13:54:44 น.
Counter : 11217 Pageviews.  

สี กับการเสริมดวง

“สี” เสริมดวง
โดย ช.ชินวัฒน์ เปรียญ
สี-แสง เป็นของคู่กัน แสงกระทบสะสารทำให้เกิดสีสะท้อนเข้าดวงตา เห็นเป็นรูปร่างลักษณะตามโครงสร้างภายนอก แต่หากขาดแสง ย่อมมีแต่ความมืดมิด จะรับรู้รูปร่างลักษณะของสะสารด้วยการสัมผัส แต่มิอาจรับรู้ว่าสีสันมันเป็นอย่างไร โอ...นี่ผมเป็นโหรนะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่ขออธิบายตามแนวของวิทยาศาสตร์ เพราะแนวทางของโหราศาสตร์ก็อิงอยู่กับวิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ มีเหตุ มีผลอธิบายที่มาที่ไปได้ พิสูจน์ทดลองกันได้

“สี” ที่เรามองเห็นนั้น เกิดขึ้นจากหลายเหตุหลายปัจจัย และที่สำคัญมันส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราแน่นอน เมื่อคุณมองเห็นสีแดง คุณจะรู้สึกไปตามประสบการณ์ที่รับรู้จากสีแดง คุณอาจอธิบายมันว่า แดงคือเลือด แดงคือชาติ แดงคือ...ฯลฯ.... สีเหลือง คือ ความศรัทธา เหลืองคือจีวรพระ เหลืองคือ...ฯลฯ... เหลืองกับแดง ดวงกันเป็นสีส้ม คือพลัง คือสีกระตุ้นอารมณ์กระตือรือร้น...ฯลฯ... สีอื่นๆ ก็เช่นกัน มันจะทำให้คุณรู้สึกแตกต่างกันไป สี จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตคนเราจริงๆ ในหลายๆ ด้าน

หากท่านที่มีความเชื่อด้านโหราศาสตร์ เลือกใช้สีที่มีอิทธิพลหรือส่งเสริมในเรื่องต่างๆ นอกจากจะให้ความสำคัญกับเรื่องของสีแล้ว ควรดูเรื่อง “วันเกิด” และ “ฤกษ์” ในการใช้เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งผมขอแนะแนวทางดังนี้

ความหมายของสีตามหลักภูมิทักษา
ในด้านโหราศาสตร์ “สี” ก็เป็นสิ่งที่ส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อชะตาชีวิต ส่งผลดีเรียกว่า “สีมงคล” ส่งผลร้าย เรียกว่า “สีอัปมงคล, สีกาลกิณี” ผู้ที่เกิดในวันต่าง ๆ โบราณาจารย์แห่งโหราศาสตร์ ท่านกำหนดสีตามหลัก “ภูมิทักษา” คือ

1. สีที่เป็น “บริวาร” หมายถึง สีที่จะได้เกี่ยวข้องอยู่ตลอด เป็นคนรอบข้าง ผู้ใต้บังคับบัญชา บุตร สามี ภรรยา ที่ได้ข้องเกี่ยวกับแทบทุกวัน

2. สีที่เป็น “อายุ” หมายถึง สีที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพ การใช้ชีวิต การสืบต่ออายุ

3. สีที่เป็น “เดช” หมายถึง สีที่ส่งเสริมเรื่องอำนาจวาสนาบารมี

4. สีที่เป็น “ศรี” หมายถึง สีที่ส่งเสริมความดีงาม โชคลาภ ความสำเร็จ มงคลชีวิต การ
ได้สม ปรารถนา

5. สีที่เป็น “มูละ” หมายถึง สีที่ส่งเสริมความมั่นคงเรื่องต่างๆ เช่น ความมั่นคงแห่งทรัพย์พื้น
ฐาน การ ลงหลักปักฐาน ความมั่นคงแห่งหน้าที่การงาน

6. สีที่เป็น “อุตสาหะ” หมายถึง สีที่มีอิทธิพลต่อความเพียรพยายาม การฟันฝ่าอุปสรรค ความเหนื่อย ยาก ความมุ่งมั่น ความเครียด และความลำบากใจ

7. สีที่เป็น “มนตรี” หมายถึง สีที่ส่งเสริมการอุปถัมภ์ค้ำชู เสริมความรักเมตตาจากผู้ใหญ่ ให้การ ช่วยเหลือเกื้อกูล ความสำเร็จ การได้ขั้นได้ตำแหน่งใหญ่โต

8. สีที่เป็น “กาลี” หรือ “กาลกิณี” หมายถึง สีที่เป็นอัปมงคล ตัดรอนสิ่งดีงาม เป็นอุปสรรคปัญหา ความเจ็บ ไข้ได้ป่วย ความลี้ลับ พลัดพราก ห่างไกล

สีประจำวันเกิด
ท่านที่ทราบวันเกิดของตัวเองแล้ว มีความต้องการที่จะใช้สีที่เป็นมงคล ขอแนะนำสีที่ควรให้ความสำคัญอันดับแรก คือสีที่เป็น “ศรี” และ “มนตรี” (เอาความดีงามนำหน้า) หรือต้องการอำนาจบารมี ก็ใช้สีที่เป็น “เดช” แต่สีที่ควรเว้นคือ “กาลี” ความหมายให้ย้อนดูตามหลักภูมิทักษา แล้วมาปรับใช้สีประจำวันเกิดของตัวเอง ดังนี้


เมื่อทำความเข้าใจในหลักการทางโหราศาสตร์ได้ดังนี้ คุณก็สามารถนำมาปรับมาเสริมดวงชะตาให้กับตัวเองได้ เช่น คุณจะแต่งกายด้วยสีอะไรจึงจะเป็นมงคล ก็ดูสีที่เป็นมงคลตามตาราง คุณจะซื้อรถสีอะไรจึงถูกโฉลกกับตัวเอง จะใช้กระเป๋าสตางค์สีอะไรเงินทองจะไหลเข้า รวมไปถึงเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ เอาหลักการนี้ไปใช้ได้หมด แต่ถ้าต้องการซื้อสิ่งใหม่ๆ เข้ามาใช้ให้ได้ผลผลดีเยี่ยมด้านการเสริมดวง ก็ต้องดู “ฤกษ์งามยามดี” ดังจะกล่าวต่อไป

ฤกษ์มงคล
ฤกษ์ คือ คือเวลาที่กำหนดจากการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ (ดาวจันทร์) เข้าไปในแต่ละราศี ได้ตามองศาของฤกษ์นั้นๆ ฤกษ์ตามโหราศาสตร์ มีทั้งหมด 27 ฤกษ์ ฤกษ์ใหญ่ๆ 9 ฤกษ์ คือ
1. ทลิทโทฤกษ์ ฤกษ์แห่งคนขอ จะไปกู้หนี้ยืมสิน ไปสู่ขอหมั้นหมาย เหมาะยิ่ง
2. มหัทธโนฤกษ์ ฤกษ์แห่งเศรษฐี เหมาะสำหรับการมงคลเรื่องทรัพย์สิน การประกอบพิธีมงคลต่างๆ จะออกรถ จะเปิดร้าน ประกอบกิจการรุ่งเรืองร่ำรวย
3. โจโรฤกษ์ ฤกษ์แห่งโจร เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับการปราบปราม และการหารายได้ที่ไม่สุจริตนัก
4. ภูมิปาโลฤกษ์ ฤกษ์ผู้รักษาแผ่นดิน เหมาะแก่การปกครอง ลงหลักปักฐาน รับตำแหน่งใหม่ เหมาะกับการมงคล
5. ราชาฤกษ์ ฤกษ์แห่งราชา เหมาะสำหรับเข้าเฝ้า การปกครอง ความสะดวกราบรื่น ชื่นชมยินดี
6. เทวีฤกษ์ ฤกษ์แห่งเทวี เหมาะสำหรับการเข้าหาผู้ใหญ่ ความมีเสน่ห์น่ายินดี นิยมชมชอบ
7. เทศาตรีฤกษ์ ฤกษ์นี้ ขอเรียกว่าฤกษ์แห่งการค้าก็แล้วกัน เหมาะสำหรับเผิดพับบาร์ สถานที่ท่องเที่ยว อาบ อบ นวด ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย เป็นต้น
8. เพชฌฆาตฤกษ์ ฤกษ์นักฆ่า ไม่เหมาะกับการมงคล แต่เหมาะกับการต่อสู้ ตัดสินคดีความ อย่างเด็ดขาดราบคาบ
9. สมโณฤกษ์ ฤกษ์แห่งผู้สงบ เหมาะแก่การทำพิธีทางศาสนา บรรพาอุปสมบท ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก่อตั้งสำนักวิปัสสนา เป็นต้น

หากมีคำถาม......
ฤกษ์สำคัญต่างๆ ตรงกับวันใดบ้างนั้น ท่านสามารถค้นหาได้จากเว็บต่างๆ ครับ




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2554    
Last Update : 1 ธันวาคม 2554 17:21:54 น.
Counter : 10655 Pageviews.  


S_Shinawut
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




มอบความดีงามแก่กันและกัน
New Comments
Friends' blogs
[Add S_Shinawut's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.