https://kaoim.bloggang.com
Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
ขันธ์ห้า

ขันธ์ห้า
โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
คัดจากหนังสือ ธรรมเทศนา ๒๕๒๕


คัดลอกจากจาก เวบ ธรรมเทศนาแนวปฏิบัติ ของหลวงปู่เทสก์
//www.geocities.com/luangpu_thate/data/lesson01.HTM

“ขันธ์ห้า คือตัวของเรานี่แหละ ไม่ใช่อื่นไกล
ตัวของเราทั้งหมดเรียกว่า ขันธ์ห้า คือ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”

จะเทศนาเรื่องธรรมะให้ฟัง เรื่องธรรมะก็ไม่ใช่เรื่องอื่นไกล เราฟังกันมามากมายแล้ว อาจจะ ลืมก็ได้ เพราะธรรมมีอยู่ใกล้ตัวของเรา ของใกล้ตัวเรามักจะลืมเสียเป็นส่วนมาก เพราะถือว่าของมีอยู่ ในตัวแล้วพิจารณาเมื่อไรก็ได้

คำว่า ธรรมะ ในที่นี้หมายถึง ของมีอยู่เป็นอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด มันเป็นอยู่อย่างนั้น มีอยู่ อย่างนั้น เรียกว่า ธรรมะ

คำว่า เห็นธรรมะ คือเห็นจริงตามของที่มันเป็นเองนั่นเอง มันเป็นอยู่อย่างไร ให้เข้าใจว่า มันเป็นอยู่อย่างนั้น เรียกว่าเห็นสภาพของธรรมะ

ตรงนี้แหละเป็นของสําคัญ เห็นได้ยาก เพราะคนเรานั้นเห็นอะไร ดูอะไร ก็อยากจะดูของใหม่ เรื่อยไป ของเก่าเลยลืมเสีย มันก็เลยไม่ชัดไม่เจนขึ้นมา หากันไปเถิด หาธรรมะ หาเท่าไรก็หาไป ถ้าไม่ เห็นสภาพตามเป็นจริงแล้วก็ไม่เห็นธรรมะอยู่นั่นเอง

ให้เข้าใจว่าของเป็นอยู่มีอยู่ในตัวของเราเรียกว่าธรรมะทั้งนั้น อย่างที่เราเห็นธรรมะว่า ความ เกิดก็มีอยู่ ความแก่ก็เป็นอยู่มีอยู่ ความตายก็มีอยู่ในตัวของเรา แต่ไม่อยากดูเลยไม่เห็นธรรมะ อันการที่ไม่เห็นธรรมะ คือการไม่พอใจ ไม่เลื่อมใส ไม่ยินดีกับของที่มีอยู่เป็นอยู่นั่นเอง ครั้นหากเราพอใจเลื่อมใสยินดีในธรรมะที่เป็นอยู่มีอยู่นี้แล้วพิจารณาลงไปเถิดความชัดเจนแจ่มแจ้งก็จะเกิดขึ้น ในใจของเรานี้เอง

เหตุนั้นท่านผู้พิจารณาธรรมท่านจึงพิจารณาของในตัวเองอยู่ตลอดเวลา ขอให้มีศรัทธาเลื่อม ใสพอใจยินดีอย่างยิ่งในธรรมะนั้น ๆ ที่มีอยู่ในตัวของเราก็จะเป็นประโยชน์แก่ตัวของตนเองอย่างยิ่ง

ที่จะอธิบายวันนี้ก็เรียกว่าธรรมะอันหนึ่ง นอกจากธรรมะหลาย ๆ อย่างแล้ว ธรรมะอันนี้ เรียกว่า ขันธ์ห้า คือตัวของเรานี่แหละ ไม่ใช่อื่นไกล ตัวของเราทั้งหมดเรียกว่า ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป ก็มีอยู่ในตัวของเรานี้ เวทนา คือความสุข ความทุกข์ หรือความไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็มีอยู่ในตัวของเรานี้ สัญญา คือความจดจำหมายมั่นว่านั่นนี่ต่าง ๆ สังขาร คือความคิด ปรุงแต่ง วิญญาณ คือความรู้สึก

ที่จะอธิบายในวันนี้มี ๕ อย่างเท่านี้แหละ มีอยู่ในตัวของเรานี้ทั้งหมดแล้ว น้อมลงในตัวของ เรานี่แหละ มีอยู่ในตัวของเรานี้ครบบริบูรณ์แล้วทั้ง ๕ อย่างนี้ แต่เราไม่ได้พิจารณา เหตุนั้นจึงจะ อธิบายเพื่อให้เข้าใจ

รูป เราพิจารณาโดยอาการเป็นของโสโครกไม่สวยไม่งาม ก็มีพร้อมในตัวของเราหมดทุกสิ่ง ทุกประการ เหงื่อไคลไหลออกจากร่างกายเป็นของปฏิกูล เราก็เห็นกันว่าเป็นของปฏิกูล จึงค่อยอาบน้ำ ชำระกายอันเน่าแฟะอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเน่าตั้งแต่ตัวของเรายังไม่ตาย ของสกปรกมันไหลออกมา ที่ภาษาเขาเรียกกันว่าขี้ไคล คือมันค่อยยังชั่วหน่อยหนึ่ง จึงเรียกว่าขี้ไคล มันไม่ใช่ขี้แท้ ๆ มันฝังไคล ชั่วนิดหน่อยเหม็นสาบเหม็นโคลน เหล่านี้ก็มีแล้วในตัวของเรา เรามีครบหมด ขี้มูก น้ำลาย ขี้หู ขี้ตา ล้วนเป็นขี้ทั้งนั้น แต่มันหยาบหน่อยไม่อยากพูด คนเราเลยพูดว่า มูลตา มูลหูเสีย ส่วนที่ถ่ายทอดออก จากร่างกายของเราเรียกว่าขี้ทั้งนั้นแหละ อย่างของเศษของเหลือเราเรียกว่าขี้ เช่น ขี้กบ ขี้เลื่อย ขี้กาบมะพร้าว เรียกว่าขี้ทั้งนั้น เศษอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เศษจากมันไปหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว มันไหลออกมาตามที่ต่าง ๆ ทั้งตัวจึงเรียกว่าขี้ อันนี้เป็นธรรมะ ให้พิจารณาให้เห็นเป็นธรรม ของที่เป็น จริงแล้วใครจะปกปิดอย่างไรก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้น พูดให้เห็นตามเป็นจริงจึงเป็นธรรม เรียกว่า พิจารณาให้เป็นของ ปฏิกูล

คราวนี้พิจารณาเป็น ธาตุ เขาเรียกว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นธาตุสี่ ตัวของเราที่ เป็นก้อนนั่งอยู่นี่เรียกว่าเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง ไม่เรียกว่าหญิงหรือชาย ที่เรียกว่าหญิงว่าชายนั้นเป็น แต่สมมติเรียกขึ้นมาเฉย ๆ หรอก อันที่จริงมันเป็นสักแต่ว่า ก้อนธาตุ ทั้งหมด ที่ตั้งเป็นก้อนอยู่นี่ ล้วนเป็นธาตุสี่ทั้งนั้น นี่ก็เป็นธรรมอันหนึ่งเรียก ธรรมธาตุ

หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็น อนิจจัง ของไม่เที่ยง หรือเห็นเป็น ทุกขัง เป็นของทนอยู่ไม่ได้ หรือ เห็นเป็น อนัตตา เป็นของไม่ใช่ตนใช่ตัวของใคร เป็นของว่างเปล่า

ของก้อนเดียวนี่แหละพูดถึงเป็น ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็อันนี้ เป็น อสุภะปฏิกูล ก็อันเดียว กันนี่แหละ มันเป็นธรรม แต่ละอย่าง ๆ พูดว่าเป็น ขันธ์ห้า เขาก็เรียกตัวของเรานี่แหละ แล้วจะไปเอา ที่ไหนอีก ธรรมะมีอยู่ในตัวของเราแล้ว มีความเชื่อมั่นของเราเท่านั้นแหละว่า โอ! เรามีธรรมแล้วนี่ มีธรรมอยู่ในตัวของเราหมดแล้วนี่ (เชื่อมั่นแล้วก็พิจารณาไปซิคราวนี้ พิจารณาเป็นธาตุสี่ก็พิจารณาลง ไป เป็นของอสุภะปฏิกูลก็พิจารณาลงไป เป็นขันธ์ก็พิจารณาลงไป)

รูปขันธ์ เป็นก้อนทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์แสนลำบาก แต่เราไม่เชื่อความทุกข์ของเรา ครั้น เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามันทุกข์ก็หายามากินแล้วก็หายไป เดินไปเหนื่อยก็นั่ง นั่งเหนื่อยก็นอน อันนี้แหละ มันบังทุกข์จึงไม่เห็นทุกข์ คนเราไม่เห็นทุกข์จึงไม่เห็นธรรม เห็นทุกข์นั่นแหละจึงเห็นธรรม เปลี่ยน อิริยาบถอยู่อย่างนี้ทุกข์ก็ไม่เกิด ทุกข์ไม่เกิดก็เลยไม่เห็นธรรม แยกออกไปอธิบายได้มากมาย เหลือหลาย อธิบายวันยังค่ำก็ไม่มีจบไม่สิ้นสุดสักที ถ้าพิจารณาเห็นชัดด้วยใจของตนแล้ว จะเห็นว่า กายของเรานี้ไม่มีอะไรเลย จะเห็นเป็นสักแต่ว่ารูปอันหนึ่ง เคลื่อนไหวไปมาอยู่เท่านั้น

เวทนาขันธ์ คือ ความสุข ความทุกข์ หรือุเบกขาความวางเฉย พิจารณาความทุกข์ก็อย่างที่พูด มาแล้วนั่นแหละ เรื่องการเจ็บการปวดต่าง ๆ หรือความหิวโหยกระหาย ความเย็น ความร้อน อ่อนแข็ง ต่าง ๆ สารพัดทุกอย่างล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้น คนเราต้องการแต่ความสุข อันเรื่องทุกข์แล้วไม่อยากจะพูด ถึงเลย แม้ไม่พูดถึงมันก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ใช่ไม่พูดเรื่องทุกข์แล้วทุกข์มันจะหายไป เมื่อเกิด อะไรวุ่นวี่วุ่นวายเดือดร้อนแล้วก็พูดว่า แหม! ทุกข์จริง ๆ แล้วก็ลืมไปเสียไม่พิจารณากันจริง ๆ จัง ๆ สุขเวทนานั้นมีน้อยที่สุด มีสุขนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็กลับไปหาทุกข์อีก โดยมากมักเห็นความทุกข์ เป็นสุขไปเสีย ที่เรียกว่าหลงความทุกข์เป็นสุข

แต่ อุเบกขาเวทนา นี่ซิ จะไปหาที่ไหน ในคนเราหาไม่ค่อยพบ น้อยนักน้อยหนาที่จะเป็น อุเบกขาเวทนา มีอุเบกขาประเดี๋ยวเดียวแล้วก็หายไปไม่อยู่ได้นาน ที่เห็นชัดเจนก็ในผู้ที่เข้าสมาธิ สมาบัติ จิตลงมารวมเป็นกลางเฉย ๆ นั่นแหละถึงจะเป็น อุเบกขาเวทนา ถ้าทำสมาธิไม่ได้แล้วมันไม่ เป็นอุเบกขาสักที คิดส่งส่ายโน้นนี่อะไรต่าง ๆ หลายเรื่อง ทั้งอดีตและอนาคต ครั้นถ้าผู้คิดส่งส่าย หลายเรื่องหลายอย่างไม่รวมเป็นสมาธิภาวนาแล้ว จะไม่ได้พบ อุเบกขาเวทนา เลย นี่เป็นอีกขันธ์หนึ่ง เรียกว่า เวทนาขันธ์

สัญญาขันธ์ คือจดจำสิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวงหมด รวมทั้งที่จดจำเรื่องราวในอดีตอนาคตเข้ามา ไว้ในใจของตน แล้วก็รักษาเลี้ยงไว้ให้งอกงามอยู่เรื่อย ๆ นี่เรียกว่า
สัญญาขันธ์

สังขารขันธ์ คือคิดปรุงแต่งอย่างนั้นอย่างนี้สารพัดทุกอย่าง ให้มันเกิดมีขึ้นตลอดวันยังค่ำคืนรุ่งหาที่สุดไม่ได้ เรียกว่า สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์ วิญญาณตัวนี้เป็นวิญญาณในขันธ์ห้า วิญญาณมีสองอย่าง คือ วิญญาณใน ขันธ์ห้า และ ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณ คือ วิญญาณตัวมาเกิดเป็นคนทีแรก ส่วนวิญญาณใน ขันธ์ห้า หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นเบื้องต้นของผัสสะแล้วก็หายไป เช่น ตาเห็นรูป ตัว ผู้รู้ นั้นเรียกว่า วิญญาณ ต่อจากนั้นตัว สัญญา ก็เข้ามาแทน มาจำได้ว่าเป็นรูปนั่นรูปนี่แล้ว สัญญา ก็ดับไป สังขาร ก็เข้ามาปรุงแต่งคิดนึกต่อไป อันความรู้ว่าเป็นรูปทีแรกนั่นเรียกว่า วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ห้า

วิญญาณขันธ์ในขันธ์ห้า ก็ดี ปฏิสนธิวิญญาณ ก็ดี เป็นตัวเดียวกันนั่นแหละไม่ใช่ตัวอื่นไกล มันเป็นตัวใจตัวเดียวนั่นแหละ แต่มันทำหน้าที่ต่างกัน ถ้าทำหน้าที่เป็นผู้รับรู้ของผัสสะในอายตนะ ทั้งหก เรียกว่า วิญญาณขันธ์ ปฏิสนธิวิญญาณ คือ วิญญาณตัวนำให้มาเกิด ถ้าไม่มีวิญญาณตัวนี้ก็ไม่มาเกิด มันรวมเอา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม รวมอยู่หมดในตัววิญญาณนั้น ความจริงแล้ว อวิชชาก็ตัวใจนั้นแหละ ตัณหาก็ตัวใจนั่นแหละ อุปาทานก็ตัวใจนั่นแหละ กรรมก็ตัวใจนั้นแหละ คำว่า มันมารวมอยู่ที่เดียวเป็นแต่คำพูดเฉย ๆ แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้เรียกมารวมกัน ธรรมทั้งสี่อย่างนี้มัน หากทำหน้าที่ของสัตว์ผู้จะเกิดต่างหาก ผู้จะมาเกิดต้องมีธรรมสี่อย่างนี้สมบูรณ์จึงจะเกิดได้

ทำไมจึงเรียกว่า ขันธ์ ขันธ์ แปลว่ากอง หมวดหมู่ เป็นกองไว้ อย่างขันที่เราเรียกของภายนอก ขันใส่ข้าว ขันใส่น้ำ ขันใส่ดอกไม้ ฯลฯ มันเป็นขันอันหนึ่ง เขาใส่เอาไว้ไม่ให้มันกระจัดกระจายไป เรียกว่าขัน อันนี้ก็เหมือนกัน ไม่ให้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กระจัดกระจายไป จัดไว้เป็น หมวดเป็นหมู่แต่ละอย่างไม่ให้มันปนกัน

สมมติบัญญัติอธิบายไปหลายเรื่องหลายอย่าง ล้วนอธิบายถึงเรื่องของ ใจ ตัวเดียวนี่แหละ เรียกว่า ขันธ์ เรียกว่า ธาตุ อายตนะ อะไรต่าง ๆ หลายอย่าง แต่ก็หมายถึงตัวเดียวคือใจนั่นแหละ พอเรียกอันนั้นอันนี้สารพัดต่าง ๆ ไปก็ฟังเพลินไปเลย เลยลืมตัวเดิมคือ ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นผู้เห็นธรรม ใจเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวงหมด ถ้าไม่มีใจสิ่งทั้งปวง ในโลกก็ไม่มี สิ่งทั้งปวงหมดเกิดจากใจอันเดียว อย่างสร้างบ้านสร้างเรือนใหญ่ ๆ โต ๆ นี่ถ้าใจไม่มี แล้วใครจะไปสั่งสร้าง ตนตัวของเรานี้ถ้าใจไม่มีมันจะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องดับสูญไปละซิ ใจเป็นใหญ่ มันอยู่ได้ก็เพราะใจ

นี่แหละขอให้พิจารณาอย่างนี้ ไม่ต้องไปพิจารณาอื่นไกล ธรรมทั้งหลายนั้นมีอยู่ในตัวของเรา หมด ขอให้เชื่อแน่วแน่ในใจในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า โอ! ธรรมนี้มีอยู่ในตัวของเรานี้เอง จะขึ้นเหนือล่องใต้ จะไปไหนใกล้หรือไกล ธรรมมีอยู่ในตัวเราหมดทุกสิ่งทุกประการแล้ว เราหอบ ธรรมไปแต่เราไม่ดูธรรมของเราน่ะซี มันจึงไม่เห็นธรรม

ครั้นมาดูตรงนี้แล้วเห็นธรรมชัดเจนขึ้นมาว่า อ๋อ! ธรรมอยู่ที่นี่หรอกก็หมดเรื่อง ทีนี้ไม่ต้องวิ่ง หาหรอก ธรรมมีอยู่ในตัวของเราแล้ว จึงว่าขอให้ตั้งศรัทธาเชื่อมั่นเต็มที่แล้วพิจารณาธรรมะ ก็จะไม่มี ที่สิ้นที่สุด ธรรมะมีอยู่ในตัวของเรา อันนี้เป็นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนทุก ๆ คัมภีร์ ทรงแสดงออกไปจากธรรมะอันนี้อันเดียวเท่านั้น

นั่งสมาธิ

ท่านอาจารย์อบรมนำก่อน

ได้อธิบายมามากแล้ว เรื่องกายของเรานี้มันประกอบด้วยธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม (และอยู่ได้ ด้วยธาตุสี่ จึงจะประกอบกิจการหรือคุณงามความดีได้ทุกประการ) ถ้าไม่มีธาตุสี่อันเป็นโครงร่างนี้ แล้ว สิ่งประกอบเป็นต้นว่า ขันธ์ห้า อายตนะหก เป็นต้น ที่จะขับให้เคลื่อนไหวในการที่จะทำกิจนั้น ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะนำไปติดไว้ตรงไหน และธาตุสี่อันนี้ก็หาประโยชน์ไม่ได้

เมื่อเราได้ของดีมีค่ามหันต์ และเป็นของอัศจรรย์อย่างนี้ จึงควรพิจารณาด้วยจิตให้เป็นธรรม คือให้พิจารณาให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยสมาธิจริง ๆ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิแน่วแน่ในอารมณ์อันเดียวที่ ตนมีอยู่นั้นแล้ว จะพิจารณาอย่างไรมันก็ไม่ชัดเลย เหมือนกับคนขับรถไม่รู้เรื่องของรถ เวลารถติดขัด หรือรถเสียก็ไม่รู้จะทำประการใด ถ้าคนรู้จักเรื่องรถดี มันติดขัดตรงไหนหรือเสียตรงไหนก็จะเข้าไป แก้ตรงนั้นทันที รถก็จะวิ่งไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสะดวก กายอันนี้ซึ่งมีจิตเป็นใหญ่เป็นผู้ขับขี่ให้เคลื่อนไหวไปมาได้ ซึ่งประกอบด้วย ขันธ์ อายตนะ เป็นต้น เป็นเครื่องยนต์ เมื่อติดขัด ดินฟ้าอากาศแปรปรวนก็ดี หรือด้วยคลื่นมรสุม คือ กิเลส มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ต้องรู้จักจุดเสีย ของมัน ติดขัดเพราะของภายนอกก็ต้องแก้ด้วยของภายนอก เช่น อากาศวิปริตทำให้ร่างกายไม่สบาย ก็แก้ด้วยยาหาหมอ เป็นต้น ติดขัดเพราะของภายใน ก็แก้ด้วยยาธรรมโอสถใช้อุบายแยบคายของ ตนเอง จะหาหมออย่างยาภายนอกไม่มีแล้วเวลานี้ เพราะพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นหมอธรรมโอสถ ปรินิพพานแล้ว

ฉะนั้นกิเลสของใคร ใครก็ต้องรู้ว่ามันเกิดขึ้นที่ใจของตนเอง ทำใจของตนเองให้เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส เราเห็นโทษของกิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว เรายอมสละปล่อยวางให้หนีจากจิตของเรา จิตของเราก็ จะปลอดโปร่งสบายไปเลย เพราะจิตของคนเราเป็นของผ่องใสมาแต่เดิม ถ้าจิตไม่ผ่องใสมาแต่เดิม แล้ว ใครจะชำระจิตอย่างไรก็ผ่องใสสะอาดไม่ได้ ส่วนกิเลสเป็นของจรมาใหม่ต่างหาก เราจึงสามารถ ชำระออกไปได้

เปรียบดังคนเราอยู่คนเดียวเฉย ๆ ไม่มีอะไร พอมีคนมาด่าว่า ความโกรธวิ่งเข้าปกปิดจิตใจ ให้มืดมิด ไม่รู้จักชั่วดีอะไรแล้ว ฉะนั้น จึงชำระกิเลสอันมาปกปิดจิตใจนั้น ให้หนีออกไปจากจิตเสีย จิตใจของเราก็ผ่องใสสะอาดปกติอย่างเดิม.



Create Date : 09 มกราคม 2551
Last Update : 9 มกราคม 2551 11:55:46 น. 2 comments
Counter : 594 Pageviews.

 


โดย: นายแจม วันที่: 28 มกราคม 2551 เวลา:8:21:20 น.  

 
เข้าใจง่ายมาก


โดย: มนต์ชัย IP: 210.246.192.2 วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:14:21:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kaoim
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]








Friends' blogs
[Add kaoim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.