พม่าลุกฮือ! ภูมิหลังและบริบทของสถานการณ์
โดย เกษียร เตชะพีระ
(คอลัมน์นี้แปลเรียบเรียงจากบทความเรื่อง 'Burma Today : Recent Developments' ของ
Soe Myint แห่ง Mizzima News //www.mizzima.com อันเป็นเว็บข่าวของกลุ่มนักหนังสือพิมพ์และนักศึกษาชาวพม่าลี้ภัยในอินเดีย ประกอบกับแหล่งข่าวอื่นๆ เพื่อให้ข้อมูลที่สั้นกระชับชัดเจนเกี่ยวกับภูมิหลังและบริบทของสถานการณ์พม่าปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยปูพื้นความเข้าใจการลุกฮือขึ้นสู้เผด็จการทหารของพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่าตั้งแต่กลางเดือนกันยายนศกนี้เป็นต้นมา)
คลื่นประท้วงของพระสงฆ์และประชาชนระลอกล่าสุดในพม่านับเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านการปกครองของคณะทหารที่ใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ 15 สิงหาคม 2007 ทางการพม่าขึ้นราคาเชื้อเพลิงครั้งใหญ่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า!
-ก๊าซธรรมชาติขึ้นราคาไป 500%, น้ำมันดีเซลขึ้นราคาเป็นสองเท่า (เมื่อ 2 ปีก่อนก็เคยขึ้นราคา
เชื้อเพลิงมาแล้วรอบหนึ่งจาก 180?? 1,500 จ๊าด = 900%)
-ค่าโดยสารรถเมล์/แท็กซี่ขึ้นเป็น 2 เท่าหรือกว่านั้น
-ค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศสำหรับชาวพม่าขึ้นไป 30%
-ข้าวปลาอาหารขึ้นราคาโดยเฉลี่ย 35%, กระเทียม/ไข่ไก่ขึ้นราคา 50%
2) มูลเหตุรากฐานของการประท้วง
-ประชาชนโกรธแค้นที่รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจผิดพลาด
-ประท้วงการกดขี่ปราบปรามทางการเมือง
-จงเกลียดจงชังการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ระบาดลุกลาม
-ไม่ไว้วางใจแผนที่ทางเดินสู่ประชาธิปไตยของ 'คณะมนตรีเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ' (คสพร. หรือ State Peace and Development Council - SPDC อันเป็นชื่อเรียกคณะทหาร
ผู้ปกครอง)
-เหลืออดเหลือทนการปกครองกดขี่ฉ้อฉลนานเกือบ 2 ทศวรรษของ คสพร.
3) เหตุผลน่าเป็นไปได้ที่ทางการพม่าขึ้นราคาเชื้อเพลิง
-พยายามเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นของเอกชน
-ต้องการแปรรูประบบจำหน่ายจ่ายแจกเชื้อเพลิงให้เป็นของเอกชน
-เกิดวิกฤตงบประมาณขาดดุล เนื่องจากทุ่มงบฯมหาศาลสร้างเมืองหลวงใหม่ เนย์ปีย์ดอว์ และเมืองศูนย์กลางเครือข่ายไซเบอร์ใหม่ ยาดานาบอน
-ทำตามข้อเสนอแนะของไอเอ็มเอฟที่ให้ลดเงินอุดหนุนค่าเชื้อเพลิงของภาครัฐลง คณะเจ้าหน้าที่
ไอเอ็มเอฟกับธนาคารโลกเพิ่งมาเยือนพม่าประจำปีเมื่อต้นเดือนกันยายนศกนี้
-หลีกเลี่ยงการตัดทอนงบประมาณรัฐบาลและงบฯการทหารลง
-ฉวยโอกาสปราบปราม 'กลุ่มนักศึกษารุ่น 88' (หมายถึงอดีตนักศึกษาที่ลุกฮือสู้เผด็จการทหารเมื่อปี ค.ศ.1988) และนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ซึ่งยืนหยัดก่อหวอดประท้วง คสพร.ตามท้องถนนอย่างต่อเนื่องนับแต่ต้นปีนี้มา และเพื่อดำเนินแผนการร่าง 'รัฐธรรมนูญฉบับทหาร' ได้อย่างราบรื่น
4) สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่า
-ประชากรราว 75% อยู่ในฐานะยากจน
-ค่าจ้างขั้นต่ำตกวันละ 1,000 จ๊าด/คน (ประมาณ 25-30 บาท)
-ผู้ใช้แรงงานหาเงินได้โดยเฉลี่ยวันละ 2,000 จ๊าด (ประมาณ 50-60 บาท)
-เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยตกราว 4,500-5,000 บาท
-ชาวบ้านต้องใช้เงินที่หาได้ต่อเดือนราว 60-80% ไปเป็นค่าอาหาร
-จึงแทบไม่มีเงินเหลือเป็นค่าหยูกยา, ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายทางสังคมอื่นๆ เลย
-ตอนนี้ชาวเมืองต้องใช้เงินที่หาได้รายวันไปเป็นค่าเดินทางถึงครึ่งหนึ่งหรือ 3 ใน 4 โดยเฉพาะพวกที่อยู่ชานกรุงย่างกุ้ง
-พม่ามีหนี้ต่างประเทศสูงถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-เงินเฟ้อปีที่แล้ว = 21.4%, ปีนี้ = 32.3% และมาบัดนี้ขึ้นสูงถึง 80%
-พม่ามีก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่เอาไปขายต่างชาติหมด
-รายจ่ายการทหารคิดเป็น 40% ของงบประมาณแผ่นดิน, ส่วนรายจ่ายด้านสาธารณสุขและการศึกษา รวมกันแค่ 3% ของงบประมาณฯทั้งหมด
5) ใครกลุ่มไหนบ้างที่ลุกฮือขึ้นประท้วง
เรียกร้องให้ลดราคาเชื้อเพลิงลงเท่าเดิมและเอาประชาธิปไตย?
-นำโดยกลุ่มนักศึกษารุ่น 88-เปิดฉากขึ้นเมื่อ 19 สิงหาคมศกนี้ ด้วยการรวมกำลัง 500 คนเดิน
ประท้วงจากบ้านพัก อู จี หม่อง ไปกลางเมืองย่างกุ้ง
-คณะกรรมการการพัฒนาเมียนมาร์
-สมาชิกสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy) ของนางออง ซาน ซูจี
-กลุ่มชาตินิยมของอู วิน แนง
-คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย
-พระสงฆ์หัวก้าวหน้า
-กลุ่มอื่นๆ
-การเคลื่อนไหวประท้วงได้แพร่กระจายไปยังเมืองต่างๆ ทั่วประเทศถึง 17 แห่ง
6) ปฏิกิริยาตอบโต้ของรัฐบาลทหารระยะแรก
-21 สิงหาคม รัฐบาลทหารบุกกวาดล้างจับกุมผู้นำนักศึกษารุ่น 88 และสมาชิกสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยกลางดึก
-เดิมทีใช้กำลังทหาร/ตำรวจแต่น้อย ทว่าใช้อันธพาลการเมืองและกลุ่มจัดตั้งฝ่ายทหารเป็นหลัก เช่น USDA (กลุ่ม 'เสื้อขาว' เข้าทำนอง 'นวพล' ของไทย) และ สวาน อาร์ ชิน ('เจ้าพลัง' คล้าย 'กระทิงแดง' ของไทยสมัย 6 ตุลาคม 2519) มาลุยตีกลุ่มผู้ประท้วงจนแตกกระเจิง
-ตัดสายโทรศัพท์ติดต่อสื่อสาร
-พยายามประกาศให้สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยเป็นองค์กรผิดกฎหมาย
-จับกุมคุมขังและทรมานผู้นำ/นักเคลื่อนไหวกว่า 150 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงเกือบ 20 คน
7) USDA หรือกลุ่ม 'เสื้อขาว'
-ก่อตั้งปี ค.ศ.1993 โดยพลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ในรูปองค์การสวัสดิการสังคม
-มีสมาชิกเกือบครึ่งของประชากรพม่าทั้งประเทศ หรือ 22.8 ล้านคน
-ข้าราชการและเด็กนักเรียนถูกเหมาเป็นสมาชิกหมดโดยอัตโนมัติ
-บุกโจมตีขบวนรถของออง ซาน ซูจี ที่เดปายินินเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2003
-มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศภาคีสมาชิกอาเซียนรวมทั้งจีน
-น่าจะแปรรูปกลายเป็นพรรคการเมืองที่ทหารหนุนหลังในอนาคต
8) ผลกระทบระยะกลางของการประท้วงและปราบปราม
-จะมีชาวพม่าลี้ภัยทางเศรษฐกิจไปประเทศข้างเคียงรวมทั้งไทยมากขึ้น
-ชุมชนต่างๆ ถูกกดดันหนักขึ้นให้ต้องทำผิดกฎหมายเพื่อเลี้ยงชีพเอาตัวรอด
-สถานการณ์ในพม่าไร้เสถียรภาพ
-ความขัดแย้งต่อสู้ด้วยอาวุธกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ น่าจะปะทุขึ้นอีก
-พม่ายิ่งห่างไกลประชาธิปไตยออกไปทุกที
9) ท่าทีของอาเซียน
-ความสัมพันธ์กับพม่า : ที่ผ่านมาอาเซียนดูลังเลที่จะประณามประเทศภาคีสมาชิกด้วยกัน ทว่าภาคีสมาชิกประเทศอื่นๆ พากันแสดงท่าทีอึดอัดกับพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในนิวยอร์กได้เรียกร้องให้ทางการพม่าหยุดใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วง
-ผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับพม่า : อาเซียนต้องชั่งใจถ่วงดุลระหว่าง ก) ความห่วงใยอยากรักษาไว้ซึ่งเอกภาพในองค์การอาเซียนเอง กับ ข) ความต้องการให้ภูมิภาคมีเสถียรภาพและแรงกดดันจากบรรดาประเทศตะวันตกซึ่งอยากให้อาเซียนสนับสนุนมาตรการเล่นงานระบอบทหารในย่างกุ้ง
10) ท่าทีของจีน
-ความสัมพันธ์กับพม่า : สนิทแน่นแฟ้นทางการค้าและการทูต ถือเป็นประเทศเดียวที่มีศักยภาพสูงสุดในการส่งอิทธิพลต่อรัฐบาลทหารพม่า จีนคอยขัดขวางมาตรการลงโทษพม่าในสหประชาชาติ แต่ระยะหลังนี้จีนเรียกร้องให้ 'ทุก' ฝ่ายในพม่า 'ใช้ความยับยั้งชั่งใจ'
-ผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับพม่า : น้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองของพม่าสำคัญต่อจีนที่กำลังเร่งรัดพัฒนาและหิวพลังงาน ทว่าในฐานะมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ ปักกิ่งก็ต้องการให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ในพม่าไม่นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพในภูมิภาคด้วย
-จีนเป็นประเทศหลักที่คอยจัดหาอาวุธ (มูลค่ากว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ), เงินสด และการสนับสนุนทางการเมืองและยุทธศาสตร์มาให้ คสพร.นับแต่ปี 1988 เป็นต้นมา
-จีนได้ลงนามบันทึกความเข้าใจและข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับพม่ารวมทั้งสิ้นกว่า 200 ฉบับ
-รัฐวิสาหกิจของพม่า 53 แห่งพัฒนาขึ้นมาได้ด้วยการสนับสนุนของจีน
-จีนเป็นคู่ค้าหลักของพม่า ทำรายได้ให้พม่าถึง 1.274 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2007
-การค้าชายแดนจีน-พม่าเป็นเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจของพม่า (มูลค่าถึง 562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2006)
-พม่าเป็นขุมทรัพยากรให้จีนตักตวง
-มิถุนายน 2007 จีนจัดแจงให้ตัวแทนของอเมริกาได้พบกับตัวแทนคณะทหารพม่าอย่างไม่มีใครคาดถึงในปักกิ่ง
11) ท่าทีของอินเดีย
-ความสัมพันธ์กับพม่า : อินเดียมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดทางเศรษฐกิจและการทูตกับพม่า อินเดียได้แสดงความห่วงใยวิกฤตปัจจุบัน แต่โดยทั่วไปแล้วก็รักษาท่าทีสุขุมเงียบเฉยไว้ บอกว่ามันเป็นกิจการภายในของพม่า อดีตรัฐมนตรีกลาโหม จอร์จ เฟอร์นันเดซ ของอินเดียวิจารณ์ว่าท่าทีปัจจุบันของรัฐบาลอินเดียในเรื่องนี้ 'น่าทุเรศ'
-ผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับพม่า : อินเดียมุ่งปกป้องกิจการน้ำมันของตนในพม่าเหนืออื่นใด ถึงแก่ลงนามข้อตกลงสำรวจแหล่งน้ำมันในทะเลลึกฉบับใหม่กับทางการพม่าในสัปดาห์เดียวกับที่การประท้วงเริ่มขึ้นนั่นเอง อินเดียยังขายอาวุธให้ระบอบทหารพม่าด้วย ทว่าในฐานะประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก อินเดียก็ถูกกดดันจากตะวันตกและนักเคลื่อนไหวชาวอินเดียเองให้แสดงจุดยืนสนับสนุนพลังประชาธิปไตยในพม่าแข็งขันขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้จาก : -
-รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ปรานาบ มูเคอร์จี ได้กล่าวต่อที่ประชุมในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กรุงเทพฯ เมื่อ 14 กันยายนศกนี้ว่า : - 'หลักการมูลฐานของนโยบายต่างประเทศของเราคือไม่
แทรกแซงกิจการภายในของประเทศใด....อีกทั้งเราก็ไม่ส่งออกอุดมการณ์ด้วย...มันเป็นเรื่องที่
พวกเขา (ประชาชนพม่า) ต้องตัดสินใจเองว่าต้องการรัฐบาลแบบไหน'
-ในทางกลับกัน สมาชิกราชสภาและโลกสภาของอินเดีย 17 คนก็ได้แถลงในโอกาสครบรอบวันเกิด 62 ปีของนางออง ซาน ซูจี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนศกนี้ ว่า : - 'ถึงแม้คณะทหารพม่าจะกักกันตัวท่านไว้ ทว่าท่านนั่นแหละเป็นนายกรัฐมนตรีที่แท้จริงของพม่า'
ที่มา //www.matichon.co.th/news_detail.php?id=6532&catid=16
Create Date : 12 ตุลาคม 2550 |
|
1 comments |
Last Update : 12 ตุลาคม 2550 17:05:17 น. |
Counter : 475 Pageviews. |
|
|
|