|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ประสบการณ์ที่สูญเปล่า โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ประสบการณ์ที่สูญเปล่า เขียนโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ เซคชั่นกระแสทัศน์ วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐๖๗๗ "ประสบการณ์จริงของสังคมไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมาสูญเปล่าหมด เพราะเหล่าเทวดาพากันย่นย่อประสบการณ์ทั้งหมดให้เหลือเพียงปัญหาทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น"
ส่วนใหญ่ของผู้ใช้มือถือคือ ผู้ใช้ในระบบบัตรเติมเงิน ฉะนั้นเขาจึงประสบความเดือดร้อนอย่างเดียวกับผมและพรรคพวกบางคนได้ประสบ นั่นคือเมื่อใช้จนหมดเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรก็ตาม หรือใช้จนหมดเงินตามบัตรที่เติมลงไปก็ตาม จากนั้นเราทุกคนก็กลายเป็นลูกหนี้ที่ถูกบริษัทรบกวนทุก 5 นาที บ้าง, 10 นาที บ้าง แล้วแต่บริษัท โดยส่งสัญญาณข้อความเข้ามาบอกให้เราเร่งไปซื้อบัตรมาเติมเงินลงไปเสียโดยดี
อันที่จริง หากมีเงินเหลืออยู่แม้จะหมดเวลาโทร.ออกแล้ว เราก็ยังสามารถรับสายจากผู้อื่นได้อยู่ และการที่เราไม่ปิดเครื่องรับเสีย ก็เพราะเราอยากใช้บริการเรียกเข้านี่แหละ แต่เพื่อจะได้ใช้บริการซึ่งบริษัทโทรศัพท์สัญญาว่าจะให้นี้ เราต้องทนกับเสียงเรียกให้ดูข้อความเตือนของบริษัทอยู่ตลอดเวลา
ระบบบัตรเติมเงินนั้นภาษาฝรั่งเรียกว่า pre-paid คือ จ่ายให้ก่อน พูดอีกอย่างหนึ่งคือ อนุญาตให้บริษัทเอาเงินของเราไปหมุนอย่างไรก็ได้ โดยเรายังไม่ได้ใช้บริการ แต่ลูกค้าหน้าโง่เหล่านี้ กลับต้องเสียค่าบริการต่อการโทร.แพงกว่าผู้ที่เป็นสมาชิก ซึ่งใช้บริการก่อนแล้วจ่ายเงินทีหลัง (post-paid) อย่างเทียบกันไม่ได้ และร้ายไปกว่านั้นก็คือ บัตรแต่ละใบกำหนดเวลาเอาไว้ไม่มากนัก ยังใช้บริการไม่เท่าไร ก็หมดเวลาที่จะใช้บริการโทร.ออกได้เสียแล้ว และกลายเป็นเหยื่อของการรบกวนทุก 5 นาที จนกว่าเราจะยอมปราชัยไปเอง
เงินที่ค้างอยู่กับบริษัทและยังไม่ได้ใช้บริการ กลายเป็นตัวเลขที่ไร้ความหมายจนกว่าเราจะยอมไปซื้อบัตรใบใหม่มาเติมเงินลงไป ยิ่งเติมมากเงินที่สะสมไว้กับบริษัทก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งทำให้ใช้ไม่ทันหมดเวลาลงอีก ก็อดใช้บริการเต็มที่และถูกรบกวนอีก จนกว่าจะต้องไปซื้อบัตรมาเติมเงิน ที่รู้แน่ว่าไม่ได้ใช้ลงไป
อย่างนี้เป็นธรรมแก่ผู้บริโภคละหรือ เงินผมก็ยังอยู่กับคุณแท้ๆ ใช้สิทธิอะไรที่จะงดบริการไปหน้าตาเฉยอย่างนี้
ร้ายไปกว่านั้น เดี๋ยวนี้บริษัทโทรศัพท์ยังลดเวลาของบัตรเติมเงินซึ่งมีน้อยอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีก เช่นจาก 30 วัน กลายเป็น 20 วัน เพื่อเรียกเงินของลูกค้าไปหมุนเล่นได้มากขึ้น ในขณะที่หน่วยงานซึ่งเกี่ยวข้องพากันเล่นดนตรีโบราณคือ เป่าสากกันต่อไปอย่างทองไม่รู้ร้อน
ผมเคยได้ข่าวมานานแล้วว่า กรรมการ กทช. ดำริจะไม่อนุญาตให้บริษัทมือถือทำเช่นนี้ แต่อนุญาตให้บริษัทเก็บค่ารักษาหมายเลขได้เป็นรายเดือน แต่แล้วความดำริอันชอบธรรมนี้ก็ไม่มีใครสานต่อ พวกเราจึงต้อง pre-paid กันต่อไปจนเงินโป่งกับบริษัทไม่รู้จะกี่ร้อยกี่พันล้านบาท
ครั้นเหลียวกลับไปดูคณะกรรมการ กทช. ก็ไม่พบใครสักคนที่จะอ้างได้ว่าเป็นตัวแทนผู้บริโภค ต่างล้วนเป็นนักเทคนิคอันยิ่งยงทั้งสิ้น เพราะกฎหมายเขียนให้หาคนประเภทนี้มานั่งเป็นกรรมการเท่านั้น ประหนึ่งว่ามือถือสามารถลอยอยู่บนเทคโนโลยี โดยไม่เกี่ยวอะไรกับผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคเอาเลย
ไม่กี่วันมานี้ ทีวีนำเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ถูกการประปาทวงเงินที่ยังไม่จ่ายพันกว่าบาททุกเดือน คุณลุงหัวหน้าครอบครัวจึงมีหน้าที่เดินทางไปสำนักงานประปา เพื่อแสดงหลักฐานว่าไม่มีหนี้ค้างจ่าย และก็จะได้รับคำขอโทษด้วยวาจาบ้าง ด้วยลายลักษณ์อักษรบ้าง พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้อีก ครั้นสิ้นเดือน ก็จะมีบิลเรียกเก็บหนี้ค้างจ่ายจำนวนเก่ามาทุกครั้ง เป็นเช่นนี้มาเป็นปี
คณะกรรมการการประปา ก็เหมือน กทช. คือไม่มีใครที่จะอ้างได้ว่าเป็นตัวแทนของผู้บริโภคนั่งอยู่ในนั้น
นมสดล่ะครับ มีที่ไหนในโลกที่เขายอมให้เอาหางนมผสมลงไปแล้วยังปล่อยให้เรียกว่านมสดได้อยู่ นมสดต้องเป็นนมที่ได้จากโคโดยไม่ปนเปื้อนด้วยอะไรเท่านั้น หากต้องการลดต้นทุนด้วยการผสมปนเปื้อนกับสารอื่น ก็ต้องเรียกว่านมผสมหรือนมปรุงแต่ง จะเรียกว่านมสดไม่ได้
เครื่องเสียงอีกล่ะครับ สเปคที่ไร้ความหมายระบุไว้ทำไม นอกจากเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ แต่ประเทศไทยไม่เคยกำหนดลงไปให้แน่นอนว่า สเปคเครื่องเสียงจะต้องใช้หน่วยการวัดแบบไหนเท่านั้น
พัดลมที่ทนทานนั้น ดูได้จากอะไรครับ นอกจากถอดออกมาดูคอยล์ข้างใน ซึ่งร้านค้าคงไม่ยอม แต่พัดลมที่ขายในเมืองไทยจำนวนมากนั้น นอกจากช่วยให้เกิดลมแล้วยังช่วยให้เกิดไฟไหม้บ้าน เพราะเปิดนานจนไหม้อยู่เสมอๆ
หันไปดูสินค้าและบริการรอบตัวเราเถิดครับ นับตั้งแต่บ้าน, รถยนต์, ไปจนถึงไม้จิ้มฟัน ล้วนไม่มีมาตรฐานที่ผู้บริโภคสามารถวางใจได้ แล้วแต่จะใช้เทคนิคการตลาดชาติชั่วมั่วนิ่มนานาชนิดหลอกลวงผู้บริโภคกันตามใจชอบทั้งนั้น
พลังของผู้บริโภคที่มีการจัดองค์กรอย่างดี ไม่ได้คุ้มครองผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่ช่วยคุ้มครองการผลิตทางเศรษฐกิจของสังคมทั้งหมดด้วย คุณภาพของสินค้าไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี-โลยุ่ยอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นและเป็นไปได้เพราะความต้องการของตลาดภายในมีมาตรฐานที่สูงด้วย เพราะคนญี่ปุ่นพิถีพิถันกับสินค้าที่ตัวซื้อ จึงทำให้ญี่ปุ่นผลิตสินค้าคุณภาพไปตีตลาดโลกได้ และแม้ในยามที่มีการย้ายฐานการผลิตไปหาแหล่งผลิตที่ต้นทุนต่ำอย่างในปัจจุบัน ตลาดญี่ปุ่นก็ยังเปิดรับสินค้าที่ผลิตอย่างประณีตภายในประเทศของตัวอยู่นั่นเอง
เราไม่อาจพูดถึงการแข่งขันกับจีนหรือเวียดนามท่ามกลางตลาดภายในที่ไร้มาตรฐานได้ จะยกการผลิตไปสู่ฐานความรู้สูงขึ้น มีแต่สภาวิจัยและ สกว.เพียงเท่านี้ย่อมไม่บังเกิดผล เพราะขาดฐานทางสังคมที่เป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตพร้อมจะลงทุนกับการวิจัยมากขึ้น (รวมทั้งลงทุนกับผลของงานวิจัยด้วย)
ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงพลังของผู้บริโภคในการรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อม, ความเป็นธรรมทางสังคม, และอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในโลกาภิวัตน์, ธรรมาภิบาล ฯลฯ
มาตรา 57 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 กำหนดให้บัญญัติกฎหมายขึ้นรองรับการคุ้มครองผู้บริโภค และกำหนดว่ากฎหมายนั้นต้องทำให้เกิดองค์การอิสระขึ้นมาเพื่อมีส่วนร่วมในการตรากฎหมาย และให้ความเห็นในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค เช่นเดียวกับมาตรา 60 ของร่างรัฐธรรมนูญ 2550
แต่เกือบ 10 ปี ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาล 4 รัฐบาล ก็ไม่มีการบัญญัติกฎหมายขึ้นรองรับ อีกทั้งทัศนคติของผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่มีต่อบทบาทขององค์การอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคก็อาจจำกัดเกินไป จนทำให้เสียงของผู้บริโภคในการจัดสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่างๆ ไม่มีเลย จะคิดค่าเอฟทีในค่าไฟฟ้าอย่างไร ผู้บริโภคก็ไม่เกี่ยว โฆษณาเครื่องบินโลว์คอสท์กันอย่างตลบแตลงอย่างไร ผู้บริโภคก็ไม่เกี่ยว โฆษณาบ้าเลือดในทีวี ผู้บริโภคก็ไม่เกี่ยวฯลฯ
ฉะนั้น ถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2540 หรือร่างขึ้นใหม่ก็ตาม จำเป็นต้องทบทวนเรื่องสิทธิของผู้บริโภคกันทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงแต่เอามาตรา 57 มาขยายความเท่านั้น
ทบทวนจากอะไรหรือครับ? ก็ทบทวนจากประสบการณ์เกือบ 10 ปี ของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ล่ะสิครับ
เทวดาการรัฐประหารชอบพูดว่า รัฐธรรมนูญไทยดีแต่ลอกฝรั่ง ไม่เหมาะกับสังคมวัฒนธรรมไทย ต้องเขียนรัฐธรรมนูญให้เหมาะกับสังคมไทย ขอประทานโทษเถิดครับ ผมอยากถามว่าแล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าสังคมและวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่ศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของสังคม
ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นั่นแหละครับที่เขียนขึ้นจากตำราและการนึกเอาเองโดยแท้ เพราะไม่สนใจจะศึกษาเรียนรู้ประสบการณ์จริงของสังคมไทยที่ผ่านมาในรอบทศวรรษภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 เลย กรณีสิทธิของผู้บริโภคดังที่กล่าวข้างต้นเป็นตัวอย่างชัดเจน พวกเทวดาเหล่านี้ไม่เคยถามว่า สิทธิของผู้บริโภคที่บัญญัติไว้เดิมนั้นทำงานได้ผลหรือไม่? ไม่ได้ผลอย่างไร และจะทำให้เกิดผลที่เป็นจริงขึ้นได้อย่างไร
ไม่เฉพาะแต่เรื่องของสิทธิผู้บริโภคอย่างเดียวนะครับ ประสบการณ์จริงของสังคมไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมาสูญเปล่าหมด เพราะเหล่าเทวดาพากันย่นย่อประสบการณ์ทั้งหมดให้เหลือเพียงปัญหาทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น แม้แต่ย่นย่ออย่างนั้น ก็ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ปัญหาทางการเมืองของทักษิณจริงจังมากไปกว่ากีดกันมิให้ทักษิณหรือสมุนกลับมามีอำนาจอีกเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่ได้เชื่อมโยงปัญหาที่เกิดขึ้นกับส่วนอื่นของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องของสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ผมไม่ทราบว่าเทวดาเหล่านี้เคยสำเหนียกบ้างไหมว่า ภายใต้บัญญัติที่ประกันสิทธิเสรีภาพไว้อย่างมั่นคงพอสมควรในรัฐธรรมนูญ 2540 นั้น มีคนสองพันกว่าคนถูก "ฆ่าตัดตอน" โดยไม่มีใครสักคนต้องรับผิดหรือแสดงหลักฐานความชอบธรรมที่ไปวิสามัญฆาตกรรมเขา (accountability) มีคนอีกเป็นร้อยที่ถูกสังหารในเหตุการณ์ 28 เมษายน รวมทั้งการสังหารหมู่ที่กรือเซะ มีคนอีกเป็นร้อยถูกฆาตกรรมในเหตุการณ์ตากใบ มีคนอีกเป็นร้อยในภาคใต้และกรุงเทพฯ ที่ถูกอุ้มหายไป ฯลฯ ยังไม่นับการละเมิดสิทธิเสรีภาพอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้เกิดภายใต้ "ระบอบทักษิณ" และไม่มีใครต้องรับผิดเหมือนกัน
อะไรทำให้เกิดขึ้นได้ และจะร่างรัฐธรรมนูญอย่างไร เพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้อีก จะตอบปัญหานี้ได้ก็คือ นำเอาประสบการณ์ของสังคมไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 มาศึกษาเรียนรู้จากผู้คนที่เดินดินกินข้าวแกง อันเป็นสิ่งที่เทพชุมนุมในสภาร่างไม่สามารถบรรลุญาณขึ้นได้เอง
เมื่อไรก็ตาม ที่รัฐธรรมนูญถูกฉีกทิ้งด้วยอำนาจดิบ เมื่อนั้นประสบการณ์อันทรงคุณค่าของสังคมก็มักถูกฉีกทิ้งไปพร้อมกัน
Create Date : 02 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2550 19:19:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 495 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|