ประโยคแรกที่มนุษย์ออสซี่พูดกับเราคือ
..
ไม่รู้ ฟังไม่ออก ฮ่าๆๆ
แอร์โฮสเตสสายการบิน Qantas
(อ่านว่าแควนตัสนะ อย่าพลาดเหมือนข้าพเจ้า ^^)
มาพูดอะไรสักอย่างกับเรา
ฟังไม่ทันเราก็ ... หา?! ใส่นาง
จะ ผ่าด๊ง ผ่าเด๊อน น่ะคิดไม่ทันหรอก ง่วงนอน
นางก็ส่ายหัวยิ้มๆ บอก Its ok then
แล้วนางก็เดินไป ไม่ได้วอร์มหูก่อนมา
ก็จะประมาณนี้ล่ะหนูเอ๊ย
ก่อนลงจากเครื่องไม่ลืมเปลี่ยนซิมเป็น sim2fly
ที่พนักงาน AIS แนะนำมาว่า
นี่แหละครับคุณผู้หญิง ถูกที่สุดแล้วครับ
คุณผู้หญิงก็เชื่อตามนั้น ใช้งานที่ออสเตรเลีย
แพคแกจราคา 399 บาท 4GB ใช้ได้ 8 วัน
ถ้าจะใช้นานกว่านั้น หรือมากกว่า 4GB ก็ไปเติมตังค์เอาเอง
การเติมตอนอยู่ต่างประเทศก็ยุ่งยากนิดหน่อย
รู้สึกจะเติมก่อนไปได้ ยังไงลองเช็คที่ศูนย์ AIS นะฮับ
มาถึงด่านตม.แถวยาวมาก
เลยถือโอกาสใช้เวลาตอนต่อคิว
หาข้อมูลเดินทางเข้าเมือง
ที่นี่มี skybus เข้าเมือง ราคา 19.5 เหรียญ
เทียบกับ taxi ราคาประมาณ 50-60 เหรียญ
จากการประเมินราคาโดยเว็บแทกซี่ที่นี่แล้วคุ้มกว่าเยอะ
ติดใจการใช้งานการประเมินราคา
เลยหาดูว่าจากโรงแรมที่พักไป dancehouse
ที่จะไปดูการแสดงคืนนี้ ราคาเท่าไหร่
โอเอ็มจี! 300 กว่าเหรียญ ซีดสิคะ
เฮ้ย หรือมันอยู่อีกเมืองฟระ ซื้อบัตรไปแล้วด้วย
รีบใช้ google map search หาดูโดยด่วน
ฟริ้ววววววววว~ ระบายลมจากปากยาวๆ
จากโรงแรมไปถึง dancehouse
เดินทางโดยรถรางใช้เวลา 20 นาที
ถ้าเดินก็ 40 นาที 2.5 กิโลเมตร
โถ..ไอ้เว็บบ้า ใจหายแว้บ เลิกใช้ค่ะ
สรุปคือเข้าเมืองโดยใช้ skybus หนึ่งเที่ยวราคา 19.5 เหรียญ
บนรถมี WIFI ตอบโจทย์นักเดินทางได้เป็นอย่างดี
เอาเรามาหย่อนตรงกลางเมืองไม่ต้องห่วง มันมี stop เดียว
อ้อ แต่ตอนขึ้นรถมันมีหลายสายนะ ถามคนขายดีๆ
ของเราเข้า city ซึ่งมาส่งตรงจุดที่ต่อ tram ก็ได้ ต่อรถไฟก็ได้
แต่ก่อนจะต่ออะไรต้องมีไอ้นี่ก่อน
myki card
ถามคุณป้าท้ายคิว ว่านี่คือคิวซื้อ myki card รึเปล่า
ป้าบอกน่าจะใช่นะ เราก็ยืนต่อ สักพักมีอีกหนึ่งป้ามาต่อท้าย
และถามเราด้วยประโยคเดียวกัน เราก็ pass on tradition ไปว่า
น่าจะใช่นะ โชคดีที่สรุปใช่จริงๆ
myki card ที่นี่ราคา 6 เหรียญเป็นค่าบัตร เราเติมเข้าไป 10 ก่อน
จริงๆ ที่นี่มี free tram ให้ใช้บริเวณ city นะ
ถ้าไม่ได้จะไปไหนไกลไม่ต้องซื้อก็ได้
แต่เราซื้อเพราะรู้อยู่แล้วว่าเราจะไปนู่นมานี่แน่นอน
และค่าแทกซี่จากที่ estimate ออกมา ถ้ามันไม่มั่ว ก็แพงพอสมควร
ตู้ขาย gadget มือถือจ้า อยู่ที่สนามบิน
เช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย ตั้งใจจะทำการบ้าน
online psychology course ที่ค้างไว้ให้เสร็จภายในวันนี้
ก่อนออกไปชมการแสดง แต่หิวกาแฟ ต้องออกไปกินกาแฟก่อน
เจอร้านแรก ข้างๆ โรงแรม ชื่อ area four
จริงๆ หิ้วคอมพิวเตอร์ออกไปด้วย เผื่อนั่งได้ แต่ดูท่าแล้ว อย่าดีกว่า
เสร็จแล้วก็เดินสำรวจรอบๆ เจอ super market คนเอเชีย (เกาหลีโดยส่วนใหญ่)
เลยซื้อถั่วโก๋แก่ ชาข้าวและซังข้าวโพด และมาม่าหนึ่งถ้วยกลับมาโรงแรม
ลุยการบ้าน!
ลุย
ลุย
ลุย
ลุย
ปิ๊ง เสร็จแล้ว!!!!
ไปเที่ยวได้
กาแฟแรกในเมลเบิร์น คนขายหน้าตาดี ครัวซองค์ใช้ได้ กาแฟอร่อย
เหลือเวลาอีก 2-3 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเริ่มการแสดงที่จองไว้
เลยกะว่าจะค่อยๆ เดินไป ใน google map
เห็นมี state library อยู่ ก็เลี้ยวสิคะ เดินชม library ที่นี่แป๊บ
แหม มันดีจริงๆ การที่มี ห้องสมุดดีๆ ให้ใช้ นั่งได้ทั้งวัน
มีปลั๊กให้เสียบ มี WIFI ให้ใช้ มีหนังสือเยอะมากให้เลือกอ่าน
เอาจริงๆ กรุงเทพฯ ก็มีมั้ง เราแค่ยังไม่เคยไป
ออกจากห้องสมุดมาเดินต่อ ดูนู่นนั่นนี่ไปเรื่อย
เย็นๆ อย่างนี้สวยแฮะ แต่เหงาๆ บอกไม่ถูก
ไม่รู้เป็นเพราะไม่ได้เดินทางคนเดียวมานานรึเปล่า
มาเมลเบิร์นครั้งก่อนมากับเพื่อนๆ ที่คอมพานี มาทำงาน
บรรยากาศอย่างนี้ ใจมันก็อดคิดถึงวันเก่าๆ กับเพื่อนๆ ที่เรารักไม่ได้เนอะ
จังหวะอะไรอย่างนี้นะ จะคิดถึงสิงคโปร์ขึ้นมาทุกทีเลย
ประเทศอะไรไม่รู้ อยู่ง่ายเหลือเกิน แล้วมันก็วูบขึ้นมาในใจว่า
บางทีเป้าหมายอาจจะไม่ใช่เดินทางไปที่ไหน
แต่มันน่าจะเป็นเดินทางไปกับใครมากกว่า หรืออย่างน้อย
ในใจนั้นก็รู้ชัดว่า เดินทางไปเพื่ออะไร
แล้วจะไปถึงที่แห่งไหน หรือไม่ไปไหนเลย มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ
อากาศเย็น แดดเริ่มจาง มันก็ดราม่าได้เหมือนกัน
ใจนั้นจำขึ้นมาได้ว่า เคยบอกตัวเองไว้ ผ่านสามวันแรกไปให้ได้
โชคดีถึงที่หมายก่อนจะดราม่าไปมากกว่านี้ อิอิ
ชอบต้นไม้ต้นนี้
ชอบสีท้องฟ้าจัง
รูปนี้โคตรเหงา ตึกนี้ติดป้ายไว้ For Lease คงยังปล่อยไม่ออก
เมลเบิร์นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคนสร้างและคนเสพย์งานศิลป์
Dancehouse ซึ่งเป็น studio theatre ขนาดย่อมๆ น่ารัก
เรามาเร็วเกินไป ก็ได้แต่นั่งมองนั่นมองนี่ ถึงเวลาเขาก็ตีกระดิ่งเรียกเข้า Hall
เห็น space แล้วก็ได้ไอเดียไปทำ space project ฉบับประหยัดเบี้ยของเราต่อ
พอเริ่มแสดง เฮ้ย! งานออกมาดีเกินขนาดสตูดิโอมากๆ
เราไปดูสองอัน Sonos และ Nonsensical
เราชอบอันแรกมากๆ อันที่สองเฉยๆ ไม่ใช่ไม่ดี แค่ไม่โดน
แต่ยอมรับ spirit ในการสร้างงานของคนที่นี่
อันแรกคนมาดูแค่ 20 นิดๆ อันที่ 2 แค่ 10 แต่เขาเต็มที่สุดๆ
ที่ชอบ Sonos มากๆ นั้น เพราะ energy ของการแสดง
ทั้งของนักแสดง และของ Sound ที่เขาใช้
เดี๋ยวนี้มันมีเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ที่นักแสดงถือเครื่องมือเล็กๆ ไว้ในมือ
แล้วพอขยับมือ ก็เป็นการสร้างเสียง
เราเคยเล่นตอนแสดงกับ Arts Fission ตอนนั้นเป็นแหวนให้ใส่
อันนี้เขาตีความแบบมีสองอันนักแสดงถือคนละอัน
นักแสดงคุยกันผ่านท่าเต้น แต่มีเสียงออกมาด้วย
เหมือนสัตว์ประหลาดทะเลาะกัน ตลกดี
ชอบเป็นพิเศษคือนักแสดงสองคน (ทั้งหมดมีห้า แต่ปลื้มสองนี่มากๆ)
คนหนึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็น Choreographer ของการแสดงนี้
เฮ้ย นางเต้นดี นางงานสวย นางพลังแรง นางมีผมสีม่วง
นางเพิ่งเรียนจบแท้ๆ แต่นางเลิศ โอว ชอบนาง
อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องแปลก เราไม่ชอบนักเต้นผู้หญิงง่ายๆ นะ
ส่วนใหญ่ถ้าชอบก็ชอบผู้ชาย แต่คนนี้นี่เอาใจไปเลย
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็นนักเต้นในการแสดงนี้ ดูเด็กๆ อยู่เลย
จริงๆ ก็เด็กทุกคนนั่นแหละ แต่พลังนางล้นออกมาสุดๆ
เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น คือเวลาเราดูเต้นห้าคน
ส่วนใหญ่ก็ดูรวมๆ ดูการแสดงทั้งหมด
แต่จะสังเกตเห็นนาง และมองนางจนไม่ได้มองคนอื่น
เทคนิคนางสวยงาม และเต้นท่าเทคนิคได้เป็นการเต้น ไม่ได้เป็นการโชว์ท่า
บางทีดูคนอื่นอยู่ อะไรแว่บมาตรงปลายตา โอ้วนางนั่นเอง
คนแรกยังดึงสายตาได้ไม่เท่านาง ทั้งๆ ที่ตอนแรกเราไม่มองนางเลยนะ
นางดูเด็กๆ ตัวใหญ่กว่าเพื่อ และเตี้ยกว่าเพื่อน พูดง่ายๆ ว่าอ้วนเตี้ย
ไม่มีรูปร่างการเป็น dancer เท่าคนอื่น แต่สุดท้าย
กลายเป็นนางเนี่ยแหละ สุดยอดแล้ว
จำตอนมาออสเตรเลียสมัยเด็กๆ ได้ ตอนนั้นไปที่ Perth 5 สัปดาห์
ไปเรียนเต้นอยู่กับ Western Australia Academy of Performing Arts
เราตัวเล็กที่สุดในห้อง คือทั้งเตี้ย ทั้งผอม คนออสซี่ตัวใหญ่จริงๆ
จริงๆ ก็อยากให้สังคมเต้นในไทยเปลี่ยนความคิดเหมือนกัน
ไม่ต้องผอมเป็นนักบัลเล่ต์ตลอดเวลาก็ได้ แค่คุณฟิตรึเปล่า
ขึ้นเวทีแล้วคนมองเห็นคุณรึเปล่า เราว่านั่นสำคัญกว่า
ขากลับไม่เดินแล้ว รถเมล์มาตอนเราอยู่ที่ป้ายพอดี
(เอาจริงๆ หาป้ายไม่เจอ เพราะมันมืด กำลังหาป้ายอยู่
เห็นรถเมล์มาจอด เราถึงเพิ่งรู้ว่า อ้าว นี่ยืนอยู่ที่ป้าย มืดขนาดนั้น ฮ่าๆๆ)
หมดไปหนึ่งวัน สิ่งที่ได้มา คือ แรงบันดาลใจดีๆ
จากการดูงานที่ Dancehouse
อยากกลับกรุงเทพฯ ตอนนี้เพื่อทำงานต่อเลยทีเดียว ฮ่าๆ