ก่อนเดินทาง .. วันที่ 0
เป็นการไปเมลเบิร์นครั้งที่สอง
ครั้งแรกไปแสดง site specific contemporary dance performance ในงาน Mapping Melbourne ตอนปี 2016 กับ The Arts Fission Company (สิงคโปร์) ครั้งนี้ ไปเองเพื่อเข้าร่วมการประชุม Thinking Bodies : Moving Minds, a symposium on the art of embodiment ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ ในวงการ Dnace/Movement Therapy เป็น platform ให้นักวิจัยทางด้านนี้ ไม่ว่าจะมาจากสายจิตแพทย์ หรือสายศิลปะการเคลื่อนไหวมาแสดงผลงาน ผลวิจัย หรือทำ workshop
ตั้งแต่เด็กๆ เรามีความต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะหาประโยชน์ของสิ่งที่เราชอบ เหมือนกับจะหาควาามชอบธรรมให้มันว่า เราทำมันไปทำไม Dance Therapy คือสิ่งที่เราเองก็จำไม่ได้ว่าเริ่มรู้จักมันจากที่ไหน เห็นคำนี้ครั้งแรกที่ไหน แต่เราจำได้ว่าเรานั่งหาที่เรียน master degree ทาง dance therapy ตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรียังไม่จบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เรียนสักที แต่สิ่งที่เราตั้งใจแล้วว่าจะทำ แม้ว่ายังไม่มีโอกาสทำ ถ้าหากเราไม่ลืมมันเสียอย่าง เส้นทางชีวิตจะพาเราเข้าหามันทีละน้อยๆ เอง เส้นทางการทำงานที่สิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2011-2018 ก็เรียกได้ว่าไม่ห่างจากเส้นทางของการบำบัดเลย โดยเฉพาะในส่วนของการทำงานกับผู้สูงอายุ และเมื่อตัดสินใจที่จะกระโจนออกจาคอมพานีที่เราอยู่มาอย่างสุขสบายพอตัว เพื่อเลือกทางเดินให้ชีวิตตัวเองอีกครั้งในวัย 33 ปี ก็เป็นโอกาสดีที่เราได้เห็น post ประชาสัมพันธ์งานนี้พอดี การเดินทางไปเมลเบิร์นคราวนี้ เรียกได้ว่าเป็นอีกก้าวยาวๆ ที่พาเราเดินเข้าสู่ท่ามกลางหมู่คนที่ทำงานที่เราสนใจมาตั้งแต่ยังไม่สู้จะรู้ความดี
ที่บ้านเองก็คงงงเหมือนกันว่า เพิ่งกลับจากสิงคโปร์ไม่นาน อยู่ๆ ก็จะไปโผล่ที่เมลเบิร์น ... เอ็งเอาตังค์มาจากไหน นั่นคือคำถามแรก คำตอบคือ เป็นเงินเก็บที่เราเก็บจากสิงคโปร์นะ แม้ว่าจะไม่มากเท่าที่ควร เพราะช่วงปีที่ผ่านมา จัดสรรรายได้ราวๆ 35% มาเป็นค่าเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ ทุกๆ 2-3 สัปดาห์ เพื่อจัดการสารพัดสิ่ง ทั้งบริษัทพ่อ หน้าที่ลูก และ run studio yoga (แบบค่อนข้างจะเหนื่อยอยู่หน่อยๆ) ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากเบสต์เพื่อนเก่าสมัยเล่นดุริยางค์ที่เป็น citizen ออสเตรเลียไปแล้ว สนับสนุนเรื่องค่าที่พักมากกว่า 50% ทริปนี้จึงเป็นไปได้
คำถามต่อมาคือ ... แล้วเธอไปจัดการเรื่องวีซ่า เรื่องตั๋วเครื่องบินตอนไหน ทุกอย่างทำออนไลน์จ้า ส่งเอกสารขอวีซ่าตั้งแต่อยู่ที่สิงคโปร์ มีเรื่องเสียวไส้เล็กน้อยเรื่องการทำวีซ่า เนื่องจากการทำวีซ่าออสเตรเลียมีสองขยัก 1. ส่งเอกสาร 2. เก็บลายนิ้วมือ เราส่งเอกสารออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ขึ้นตอนต่อมาคือรออีเมล์ส่งกลับมาเพื่อบอกให้เรานัดวันเวลาไปเก็บลายนิ้วมือที่ศูนย์ VFS ภายใน 14 วันหลังจากได้รับอีเมล์ อีทีนีก็ไม่เห็นเมล์ไง เพราะว่าเขาส่งมาแบบทันทีทันใดหลังจากส่งเอกสาร เราก็ไม่คิดว่าจะส่งมาเลย กะว่าน่าจะสัก 2-3 วัน แล้วก็ลืมไปเลยว่าต้องไปเก็บลายนิ้วมือ นั่งฝันหวานว่าจะได้เมล์ตอบกลับมาว่าได้วีซ่าแล้วนะ จนกลับมาเมืองไทยสงสัยว่าทำไมยังไม่ได้ก็เลยลองเช็ค status ดู ไอ้ย่ะ..ขึ้นว่ารอเก็บลายนิ้วมือ รีบเช็คเมล์ดูว่าส่งมาตอนไหน เลยเพิ่งเห็นว่ามันส่งมาตั้งแต่คืนที่เราส่งเอกสารแล้ว และนั่นมัน 13 วันผ่านมาแล้ว แย่แล้ว! วันต่อมาวิ่งไปศูนย์ VFS เลย เก็บลายนิ้วมือเลยโดยไม่ต้องนัด ก็จ่ายตังค์เพิ่มโทษฐานไม่นัดมาก่อน ถือว่าโชคดีนะที่นึกขึ้นมาได้ ไม่งั้นถ้าไม่ทัน 14 วัน ต้องยื่นเอกสารใหม่หมด เสียตังค์ เสียเวลา แล้วต้องมานั่งลุ้นอีก จะทันวันเดินทางมั้ย แต่นั่นแหละ พอเก็บลายนิ้วมือตอนเช้าเสร็จ ตอนบ่ายก็ได้รับอีเมล์วีซ่าผ่านเลย
อีกหนึ่งคำถาม ทำเราสะอึกนิดหน่อย ... แล้วเธอจะไปเนี่ย เธอปรึกษาใคร ปรึกษาตัวเองนี่แหละค่ะ คิดพิจารณาทบทวน ดูโปรแกรม ดูช่วงเวลา ดูสุขภาพการเงิน เมื่อตัดสินใจแล้วก็มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเลือก และสิ่งที่ตัวเองจะทำ รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ และรู้ว่ามันจะส่งผลดีต่อตัวเราและเส้นทางชีวิตของเรายังไง
สถานีที่ 1 สิงคโปร์ มาเปลี่ยนเครื่อง มาลองใจ
นี่คือสถานีที่เรียกไ้ด้ว่า บ้านหลังที่สอง แต่วันนี้บ้านหลังที่สองไม่ใช่บ้านอีกต่อไปแล้ว เศร้าไหม ก็นิดๆ เดินทางมาที่นี่ตอนนี้รู้สึกได้ว่าตัวเองอ่อนแอลง เมื่อมาถึงบ้าน แต่ไม่มีบ้านให้กลับ ต้องไปต่อ สู่ที่ที่เราไม่คุ้นเคย รู้สึกเหนื่อย ทั้งที่ยังไปไม่ถึงครึ่งทาง คนที่นั่งข้างๆ เราเขาก็มาเป็นคู่เนอะ นอนก็นอนพิงกัน เราสิ จะงีบก็งีบตัวแข็งๆ เกือบจะหลับ สจ๊วตก็เดินทางปลุก เอาอาหารมาเสิร์ฟ อ้าวไม่รู้ว่ามี ทุกทีนั่ง jetstar ไม่เคยคิดจะกินอะไร อันนี้คงเพราะเราบุ๊คกับ Qantas ก็เลยต้องทรีทเราแบบไม่ค่อยจะ budget airlines แต่ก็นะ รสชาติ budget ก็คือ budget วันยังค่ำ ไม่อร่อยค่ะ
มาคิดๆ ดู แม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราจะเดินทางคนเดียวแบบเรียกได้ว่าตลอดเวลา แต่ก็เป็นเดินทางระหว่าง บ้าน ไปสู่ บ้าน จากหนึ่งความคุ้นเคย ไปสู่อีกหนึ่งความคุ้นเคย กรุงเทพฯ สิงคโปร์ แค่นั้นเอง ตอนกลับไปอาศรมที่นาสิก อินเดีย นั่นก็เป็นอีกบ้าน อีกหนึ่งความคุ้นเคย พอขึ้นไปลุยฤาษีเกศก็ไม่ได้ไปคนเดียวแล้ว ไปกับผึ้งแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เดินทางไปสู่ความไม่คุ้นเคยแบบคนเดียวจริงๆ ก็ตั้งแต่ปี 2013 ตอนไปลุยยุโรป ผ่านมา 5 ปีครึ่ง รู้สึกว่า ใจแก่ลงไปเยอะเลย มันไขว่คว้าต้องการจุดหมายให้ยึดมั่น มันต้องการการยืนยัน มันไม่พร้อมลุย อย่างน้อยก็ .. ไม่พร้อมจะลุยคนเดียว
ทำไมนะ
สะบัดหัวอย่ามาดราม่าแถวนี้ เข้าห้องนี้เปลี่ยนจากกางเกงยีนส์เป็นกางเกงนอน เสื้อชาวนายูนิโคล ตามที่เพื่อนชาวสิงคโปร์ตั้งให้ เพราะเราใส่แล้วเหมือนชาวนา ฮ่าๆๆ กันหนาวได้แล้วกัน เตรียมนอนบนเครื่อง แต่ยังก่อน ยังนอนไม่ได้ online course ที่เรียนค้างอยู่ ยังทำการบ้านไม่เสร็จ นี่ก็อีกหนึ่งความท้าทาย จะไปทั้งประชุม ทั้งไปเที่ยว ไปเจอเพื่อน และยังต้องเรียนอีก แว่บตัวไปทำการบ้านระหว่างรอเปลี่ยนเครื่อง
แล้วเจอกันที่เมลเบิร์นค่ะ

Flight นี้ที่คุ้นเคย รักสิงคโปร์ไม่ต่างจากบ้านเลย

ร่างเงาแห่งการเดินทาง ไม่มีไร แค่เงาเครื่องบิน ฮ่าๆ
Create Date : 12 กันยายน 2561 |
|
0 comments |
Last Update : 14 กันยายน 2561 20:28:23 น. |
Counter : 643 Pageviews. |
|
 |
|