วันที่ 4 ประชุมครึ่งวัน เที่ยวครึ่งวัน
วันนี้ไป conference ครึ่งเช้า ครึ่งบ่ายเที่ยวสิคะ
จริงๆ แล้วเมื่อวานมีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อย เพื่อนเบสต์นั่งทำงานอยู่ที่โรงแรมเกือบทั้งวัน เราถึงห้องดึกๆ มันก็เล่าว่าบ่ายๆ ได้ยินเสียงผู้ชายจีนสองคนทะเลาะกันเหมือนกับจะมาจากห้องข้างๆ ตอนแรกคุยกันเสียงดัง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะภาษาหรือทะเลาะ แต่แล้วก็มีเสียงร้องไห้ หลังจากนั้นเบสต์บอกเสียงเหมือนมีการทุบตี และเสียงเหมือนฟาดลงกับโต๊ะก็กับตู้ ระหว่างนั้นก็มีเสียงคนอินเดียเดินคุยกันผ่านหน้าห้องไป แล้วเสียงคนจีนก็เงียบลง เบสต์บอกว่าเสียงมันดังมาก เสียงฟาดมันสะเทือนจนเบสต์รู้สึกได้จากจุดที่นั่ง แต่สงสัยว่าทำไมคนอินเดียสองคนนั้นเดินผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ยินเหรอ ด้วยความที่คืนแรกเรานอนห้องข้างๆ เราก็บอก layout ของห้องได้ ว่าฝั่งที่ติดกับห้องเรามันไม่มีโต๊ะและตู้ มันเป็นเตียงใหญ่เต็มทั้งผนังเลย เบสต์บอกว่า แต่มันได้ยินชัดมาก ว่าเป็นเสียงคนตีกัน และเสียงเนื้อกระทบเฟอร์นิเจอร์ ยิ่งไปกว่านั้น คือ พอเสร็จเสียงฟาดอันนั้น มันก็เงียบไปเลย แบบผิดปกติมาก คือที่เป็นห่วงว่าตายไปยัง เราก็แบบเฮ้ย อย่างงี้ก็น่ากลัวนะ ถ้ามันมาตายอยู่ข้างๆ ห้อง เลยถามเบสต์ไปว่าได้บอกข้างล่างไปรึเปล่า เบสต์บอกตอนนั้นก็ว่าจะโทรลงไป แต่หาโทรศัพท์ไม่เจอ เลยตกลงกันว่า เดี๋ยวออกไปกินข้าว แล้วแจ้งที่ reception ไว้หน่อยดีกว่า
นั่งๆ กันไปสักพัก เราก็คิดขึ้นมา "เฮ้ย! หรือว่ามันไม่ใช่คน ตอนแรกก็พูดเล่นๆ กะให้เบสต์กลัว แต่เฮ้ย .. พูดเสร็จเราก็กลัวด้วย เพราะว่าถ้าคนอินเดียเดินผ่าน ตอนที่เขายังทะเลาะกันอยู่ แล้วไม่ได้ยินอะไรเลย ก็เป็นไปได้ว่า เบสต์ได้ยินอยู่คนเดียวรึเปล่า หรือว่าโรงแรมนี้จะมีประวัติ (เป็นแฟนเดอะช็อคค่ะ) อูย ไม่น่าเลยกรู ทีนี้ก็หลอนสิคะ
รีบๆ เร่งเบสต์ให้ลงไปกินข้าวกัน จะได้ไปถาม reception พอเล่าให้อาตี๋ reception ฟัง อาตี๋ก็ถามว่ากี่โมง ชั้นไหน แล้วอาตี๋ก็ทำหน้างงบอกว่า ไอ้ห้องที่ยูบอกว่าได้ยินเสียงน่ะ เป็นห้องที่ผู้หญิงกะผู้ชายเช็คอินนะ ไม่ใช่ผู้ชายสองคน และเวลาที่ยูบอก เขาจำได้ว่าคนคู่นี้ออกไปข้างนอก เราก็ยิ่งเฮ้ย .. น่ากลัวละ ถามอาตี๋ต่อ เคยมีคนบอกว่าได้ยินอะไรอย่างนี้มั้ย ถึงจุดนี้เบสต์บอกหน้าประมาณว่า เมิงจะถามเพื่อ เราก็เออ กูจะถามเพื่อ เลยบอกอาตี๋ไม่ต้องตอบก็ได้ แต่อาตี๋อยากตอบ อิตอบว่า มี มีคนได้เสียงทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ ไอ้ย่ะ จะได้นอนมั้ยคืนนี้ สรุปคือ สวดมนต์สิคะ ชินบัญชรยาวเฟื้อยไม่มีย่อเลย โทษตัวเอง ไม่ควรคิด ไม่ควรถาม ไม่ควรฟังเดอะช็อค คือคนทะเลาะกัน เราไม่กลัว แต่เรากลัวว่าเขาไม่ใช่คน
ดึกๆ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน เป็นเสียงผู้ชายสองคนจริงๆ ด้วย เราสะดุ้งพรวดถามเบสต์ ใช่เสียงนี้รึเปล่า เบสต์บอกใช่ เราฟังแล้วเห็นว่าเสียงเหมือนมาจากชั้นบนมากกว่า ไม่ใช่ห้องข้างๆ แน่นอน แต่เบสต์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบเสียงในโครงสร้างตึก (เช่นการกันเสียง การสะท้อนเสียง) บอกมาว่า เหมือนมันมาจากห้องทางด้านหลังมากกว่า แต่ก็เป็นไปได้ว่ามาจากข้างบน สรุปคือ ช่างมัน นอนดีกว่า แต่ก็ไม่ค่อยหลับหรอก นอนไป หลอนไป แต่คืนนั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
พอแล้ว เข้าเรื่องดีกว่า ตื่นเช้ามาเราก็ไปสัมมนาวันที่สอง แต่วันนี้อยู่แค่ครึ่งวัน เพราะตอนบ่ายๆ เป็นปาร์ตี้ที่เราไม่ค่อยอยากจะร่วมเท่าไหร่ คิดว่าวัฒนธรรมมีส่วนนะ บางทีก็เหนื่อยกับการต้องยิ้มและหัวเราะในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ หรือเข้าใจ แต่ไม่เห็นว่ามันขำตรงไหน หรือบางทีก็คุยกันในเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง การเป็นคนเอเชียคนเดียวในที่ประชุมตรงนี้ มันก็สะท้อนว่า เรื่อง Dance Therapy ยังไม่เข้ามาในสังคมคนเอเชียเท่าไหร่
เช้านี้เราเข้าไปฟังเลกเชอร์ใหญ่ของ Vangelis Legakis เกี่ยวกับ ความเกี่ยวพัน เชื่อมโยง และบูรณาการของการเต้น การเคลื่อนไหว การแสดง และชี่กง หลายประเด็นน่าสนใจมากๆ แต่เล่าให้ฟังตรงนี้จะกลายเป็น lecture ไป Van เล่าให้ฟังว่าตัวเขาฝึกทั้งโยคะ ชี่กง และไทเก๊ก แต่ความเชื่อมโยงของโยคะมันมาไม่ถึง และข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของโยคะมีน้อยกว่าชี่กงมาก ดังนั้นการทำการวิจัยศึกษาต่อ เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับการเต้นนั้น แหล่งข้อมูลของชี่กงนั้นเป็นระบบระเบียบ และเข้าถึงง่ายมากกว่า
อันนี้เราว่าน่าสนใจ เพราะว่าในประเทศไทย คนสนใจเรื่องชี่กงและไทเก๊กมีน้อยกว่าโยคะหลายเท่า เราหาข้อมูล ทั้งหนังสือและครูสอนโยคะได้ง่ายกว่าชี่กงและไทเก๊กเยอะมาก พูดง่ายๆ โยคะเป็น trend แต่ชี่กงและไทเก๊กไม่ใช่ trend อะไรที่มันเป็น trend คนก็แห่ทำ แห่ผลิต เลยดูเหมือนมีมากมายเต็มไปหมด ในขณะที่ข้างนอกประเทศ ชี่กงและไทเก๊กกลับมีแหล่งข้อมูลมากมายกว่าโยคะมากนัก อีกอย่างคือ มี Dance therapist ที่สนใจชี่กงเยอะมากๆ โดยเฉพาะการที่อิงอยู่กับ Traditional Chinese Medicine ที่อวัยวะภายในต่างๆ เกี่ยวพันกับอารมณ์ พอก่อนละกัน เดี๋ยวจะยาว
เสร็จปุ๊บเราก็แว่บออกมาเลยไม่อยู่ตอนบ่าย ซึ่งเป็นการแสดงและปาร์ตี้ มาเที่ยวเดินเล่นในเมือง
อะ เอารูปไปดู

ร้านกาแฟใน Abbotsford Convent สถานที่จัดงาน บรรยากาศได้เลย

กาแฟใช้ได้ บรรยากาศดี

เริ่มต้น conference วันที่ 2 เข้าฟัง presenttion ของ Vangelis Legakis

เสร็จงานก็ออกมาเดินเล่น เข้าร้านหนังสือก่อนเลยค่า

หนังสือเล่มนี้ทำให้คิดอะไรขึ้นมาได้ การมาโลดแล่นในออสเตรเลียท่ามกลางคนต่างวัฒนธรรม ต่างความคิด บางทีก็ทำให้คิดถึงบ้าน คิดถึงวัฒนธรรมที่คุ้นเคย แว่บหนึ่งนึกถึงการเต้นที่เราเรียนมา เราเรียนมาด้านการเต้นแบบตะวันตก พอโตมาถึงจุดจุดหนึ่งถึงรู้ เห็น และเข้าใจว่า การที่เราอาศัยวัฒนธรรมคนอื่น เราจะเป็นรองเขาตลอดเวลา เราต้องมีที่มั่นที่ยืนในวัฒนธรรม ในศิลปะของเรา ในรูปแบบของเรา เกี่ยวอะไรกับหนังสือเล่มนี้ล่ะ คือ เห็นแล้วก็อยากจะเขียนหนังสือ Living in Bangkok ให้ตัวเองเนี่ยแหละเห็นว่าในกรุงเทพฯ มันมีดียังไง

มีแต่ร้านหนังสือปิดตัว

เห็นหนังสือเล่มนี้ก็อดคิดไม่ได้ ว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งที่เราไม่รู้ก็ได้ กำลังพูดถึงประวัติศาสตร์การเต้นแบบตะวันตก การที่เราต้องเรียน ต้องรู้ มันย้ำความรู้สึกว่าเราเป็นรองเขา การที่เราไม่รู้ ทำให้เรารู้สึกโง่ แต่มันจริงเหรือ เราไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของเราก็ได้ปะ คือรู้ไว้ใช่ว่า แต่ไม่รู้ก็ไม่ผิด ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าด้อยกว่าเขา เพราะสิ่งที่เรารู้ เราเชี่ยวชาญ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

เดินเล่นได้หนังสือมาสองเล่มค่า
Create Date : 17 กันยายน 2561 |
|
0 comments |
Last Update : 17 กันยายน 2561 21:39:24 น. |
Counter : 527 Pageviews. |
|
 |
|