รถมารับเราที่ปากทางเข้าโรงแรม Indigo hotel คะ แถว Crowne Plaza นั่นละ (ลืมบอกไปว่าร้านทัวร์ในเมืองลี่เจียงส่วนใหญ่รับเฉพาะคนจีนนะคะ หากร้านไหนพูดภาษาอังกฤษคล่องรับรองราคามหาโหด เราเคยถามเจ้าหนึ่งได้ราคามา 6,000 กว่าต่อคน ร้านที่เราเลือกพูดอังกฤษได้นิดหน่อย แถมน่ารักมากตรงที่เราบอกว่าเดี๋ยวเย็นกลับมาใหม่ แกล้งบอกว่าลืม passport ไว้ที่โรงแรม จริงๆ แล้วกลับไปคำนวณราคา 55 พอเย็นกลับมาเจ้าหน้าที่คนเดิมเตรียมโพยเขียนภาษาอังกฤษอย่างดี เพื่อที่จะคุยกับเรา แม้ว่าการสื่อสารจะไม่ตรงตามหลักไวยากรณ์แต่เราก็คุยกันรู้เรื่องนะ อังกฤษบบ้าง จีนบ้างปนกันไป )
ภายในรถมีแต่ชาวจีนหมดเลย มีเราเป็นต่างด้าว 2 คน
ออกเมืองไปสักพักไกด์ก็เริ่มนะนำตัวเอง
แล้วก็มาแวะจุดนี่เป็นที่เที่ยวจุดแรก "โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง" เป็นตึกสีขาว 3-4 ชั้น ให้ขึ้นไปชมวิวปากแม่น้ำ จุดนี้ให้เวลาชม 30-40 นาที เราเห็นว่าไม่ค่อยสวยเลยไม่ค่อยถ่ายรูป
ลงมาก็มีป้าขายของ เราก็ซื้อเสบียงไปตุนในรถ
หน้าตารถทัวร์ของเรา พร้อมคนขับคะ (ปล. ตาคนขับนี่ดุมาก มารยาทไม่ค่อยดีเลย สงสัยคิดว่าเราเป็นคนจีน)
จุดเที่ยวต่อไปคือ "หุบเขาเสือกระโจน หรือ หูเที่ยวเฉีย (Hutiaoxia) " เป็นช่องหุบเขาเหนือแม่น้ำแยงซี อยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงไปทางเหนือ 60 กิโลเมตร ช่องเขาเสือกระโจนเป็นหนึ่งในหุบเขาเหนือแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลก ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมืองชาวหน่าซีคะ
รูปตั๋วกะทางเข้าไม่ได้ถ่ายละ ไกด์ซื้อให้ จัดการพาเข้าส่งถึงประตูเลย จุดนี้ให้เวลาเที่ยว 1 ชั่วโมงเอง เดินไป - กลับ 30 นาที จริงๆ แล้วเดินไกลมาก ถ้ามาเองคงเดินลอยชายถ่ายรูปเป็นวัน คงไปไม่ถึงเต๋องชิงแน่

โดนแอบถ่าย
ถ่ายทางลงอีกด้านมาให้ดูคะ รู้สึกว่าจุดนี้เสียค่าเข้าชมแพงกว่านะ เพราะมีบันไดลงใกล้กว่า
แอบซูมข้ามช่องเขาไปถ่ายรูปปั้นเสือ
น้ำแรงมาก เสียดังกึกก้องเลย หนาวด้วย
เดินเหนื่อยจนหน้างิก
แดดมาแล้วก็จากไป อย่างรวดเร็ว ฮ่วย!
เดินออกมาดูร้านขายของหน้าทางเข้าหุบเขาเสือกระโจนบ้าง ของกิน น้ำ ของที่ระลึกมีหมดคะ เราดูถั่ววอลนัทดีกว่า
ชิมได้ด้วย รสชาติไม่อร่อยเลย
จากนั้นคณะทัวร์ก็พามาทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้
เราสั่งราดข้าวเลย 2 จานนี้ราคา 250 บาท แพงมาก
จบจากนาพาไห่ก็มาต่อกันที่ "โค้งหัวเต่า" หรือ "โค้งแรกแม่น้ำจินซาเจียง"









แล้วมาแวะชมวิวอีกจุดหนึ่ง จำชื่อไม่ได้คะ รู้แต่ว่าลมแรง หน้าชา มือไม้สั่น หนาวมาก มันไม่คิดจะมีแดดเลยใช่ไหม
ลมแรงแค่ไหนดูจากธงธิเบตที่ปลิวได้คะ
แดดไม่มีสว่างได้แค่นี่คะ แล้วความสว่างก็จากไปอย่างรวดเร็ว
หน้าตาโทรมมาก ตากแดดตากฝนมานาน 555 ความจริงโดนแดดเผาตอนอยู่บนภูเขาหิมะมังกรหยก (ก็สมควรอยู่เล่นอยู่ตั้งแต่ 11.00 น.-15.00น.)
ถ้าเห็นเจดีย์แบบนี้แสดงว่าเข้าเขตเมืองแชงกรีล่าแล้วคะ เย้ๆๆๆ
แชงกรีล่าในวันนี้เงียบเหงามาก ริมถนนหนทางคนหายไปไหนหมดไม่รู้ ยังกับเมืองร้าง สงสัยพอเกิดเหตุกาาณ์ไฟไหม้คนเลยเห็นเป็นแค่เมืองผ่านทาง ไกด์แวะให้ชม 1 ชั่วโมงคะ ลงมาจากรถนี้สั่นงักๆ
แอบส่องดูเมืองเก่าที่ไหม้บ้าง ขี้เกียจเดินลงไป ราบเป็นหน้ากองเลย แต่ก่อนคงเป็นเมืองที่คึกคักเหมือนลี่เจียง
ไว้รอฟิ้นฟูแล้วจะกลับมาเที่ยวใหม่นะ
และแล้วก็พลาดไม่ได้กับสิ่งที่ตามหา เจ้าหมาทิเบตตัวใหญ่ ขนฟู
สอบถามราคาได้ความว่าเท่านี้ เง้อ...
เรามาถึงที่พักตอน 17.30 น. คะ เราพักกันที่นี่ ไกด์แจ้งเวลาเจอกันอีกทีตอน 18.00 น. เพื่อไปทานอาหารและชมการแสดงพื้นเมือง (โชว์ทิเบต) ค่าเข้าชมคนละ 700 บาทเน้อ เราแจ้งว่าไม่ไปแต่จะเดินเล่นชมเมืองแชงกรีลาแทน ไกด์ก็ไม่บังคับนะคะ ใครใคร่ชมก็ไป
สภาพภายในห้องพัก
โอเค แจ๋ว ใต้ผ้าปูที่นอนมีแผ่นทำความร้อนด้วย เวลานอนอุ่นมาก
ราคาที่พักราวๆ นี้คะ 456 หยวน
ป๊ะ....ออกไปเดินทัวร์เมืองแชงกรีล่ากันดีกว่า ก่อนอื่นต้องหาอาหารเย็นทานก่อน พอเปิดประตูโรงแรมเท่านั้นละ รีบวิ่งกลับเข้าไปใหม่เลย มัน......หนาวมาก...กกกกก พยายามกลั่นใจเดินมาตรงสี่แยก เจอร้านนี้คะ รีบเข้าไปนั่งเลยหนาวอะ
ผัดหมี่ป้าแกน้ำมันนองมาเลย T T จืดสนิท ต้องขอเกลือมาโรย
กระดูกหมูจานนี้อร่อยที่สุดในโลก เนื้อสัตว์เต็มๆ
อิ่มแล้วก็ขอเดินย่อยหน่อยเดินตรงมาเจอร้านนี้ ร้านขายของชำ โอ้ว....วววว สวรรค์มาเยือนรีบเข้าไปหาของกินตุนดีกว่า คนท้องถิ่นเข้ามาซื้อเรื่อยๆ ดูราคาสินค้าแล้วโอเคคะ ไม่แพงมาก มีครบทุกอย่าง เสื้อผ้ายังมี
ตามรอยขนมที่คนอื่นโพสไว้ว่าอร่อย ใช้ได้คะเหมือนขนมไข่บ้านเรา มีหลายขนาดด้วย

ชิมแล้วเหมือนตุ๊บตั๊บ กินไปครึ่งแท่งโยนทิ้งละแข็ง
คิดอยู่นานว่าจะลองดีไหมกลัวท้องเสีย ปรากฎว่าอร่อยมากโยเกริต์ถ้วยนี้ พออีกวันจะไปซื้อหมดแล้วอะ คนซื้อเยอะ


ไส้กรอกผสมข้าวโพด รสชาติได้อยู่ กันหิวไป
ชานมซองละ 5 บาท ขออัพขอกินให้หมดละกันคะ สลับไปสลับมางงเอง
วันอื่นๆ เราก็ซื้อร้านขายของชำร้านเดิมตุนไว้อีก นมเปรี้ยวรสแอ๊ปเปิ้ลของคุณแฟน
เช้าวันที่ 15 พฤษภาคม 57 จะได้ไปชม "วัดซงจ้านหลิน (song zan lin si) " หรือที่เขาเรียกกันว่า "โปตาลาน้อย แห่งทิเบต" แล้ว ก่อนไปไกด์พาไปหม่ำร้านนี้ แอบดูไกด์คะอีตาคนขับรถทานด้วย อะไรหว่า?? เป็นชีสก้อนเอาไปปั่นไม่เละมาก ต้มให้ร้อนใส่เหยือกมา ทานคู่กับหมั่นโถวก้อนยักษ์ เหมือนกินขนมปัง มีนมชีสมั้ง (แหวะ ไอ้ตัวจามรีลอยเข้ามาในหัวเลย กลิ่นมันฉุนมาก ) แอบนินทาตาคนขับหน่อย วัฒนธรรมจีนกับไทยต่างกันมากคะ ผู้ชายจีนจะไม่ช่าวยผู้หญิงถือของเลย หนักแค่ไหนก็ไม่ช่วยถ้าไม่ใช่ภรรยา ขนาดแค่แฟนมันยังไม่ช่วยหิ้วเลย ของเรารึคุณแฟนนี่หอบทุกอย่าง จนผู้ชายชาวจีนมอง แบบว่า ทั้งรถทัวร์ งง ว่าคนไทยนางนี่มันใช้ผู้ชายถือของ แบกหามเยี่ยงทาส อิอิ โดยเฉพาะตาคนขับรถนี่มันชอบมองแปลกๆ แถมชอบแหย่เราด้วย ถ่ายรูปอยู่ก็หันมาแยกเขี้ยวให้ ทำเสียงคำรามขู่อีกต่างหาก เอิ่ม..มม มารยาทพี่นี่ทักทายกันยามเช้าแบบนี่ใช่ไหม ไม่รู้ชื่อไรเราเลยตั้งชื่อให้ว่า "คุณกูปรี" ละกัน คุณแฟนเราก็ถามว่าทำไมไปเรียกเขาแบบนั้น เราก็ว่าก็ท่าทาง นิสัย มารยาทมันเหมือนอะ หน้ากระจกรถก็มีตัวกูปรี (จามรีตั้งอยู่) แถมขับรถสุดยอดมาก ใครขวาง ใครขับคร่อมเลน พี่แกบีบแตร ตะโกนด่าลูกเดียว (นั่งรถมานี่นึกว่าจะไม่ถึงเหมยลี่ซะแล้ว) แต่อีตากูปรีขับรถชำนาญทางมากเลยนะ สงสัยน่าจะเป็นคนพื้นที่ หลังๆ พอตากูปรีรู้ว่าเราคนไทย แกเริ่มมารยาทดีขึ้น ไม่แยกเขี้ยว ทำหน้าบึ้งใส่เราละ
เรากับคุณแฟนสั่งอาหารพื้นบ้านอย่างหมี่เสี้ยนมาทาน (คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่มาก)

ได้เวลาก็เดินทางไป "วัดซงจ้านหลิน (song zan lin si) " ก่อนมาก็หาข้อมูลละนะว่าหากมาเองจะต้องทำไงบ้าง แต่เมื่อมากับทัวร์นี่สบายอะ อิอิ ขอตั๋วจากไกด์มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย อดได้ตั๋วเก็บกลับบ้านเลย


นั่งรถมาสัก 15 นาทีก็ถึงละ วันนี้อากาศแย่มาก ไม่มีแดด มีแต่ลมหนาว

ถ่ายรูปเล่นระหว่างรอคุณไกด์จัดการซื้อตั๋วเข้าชมและติดต่อเจ้าหน้าที่ ผู้หญิงในรูปคือ "คริสตี้" คะ เธอจะมีบทบาทกับเราตอนหลัง โชคดีที่บังเอิญถ่ายติดเธอมาด้วย
มุมนี้ไงที่เขาบอกว่าถ้าเดินไปจะถ่ายรูปได้สวย แต่เราไม่มีเวลาอะนะ แตกกลุ่มไปจะแย่
รอเจ้าหน้าที่บรรยายก่อน ภาษาจีนจะฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย
แผนผังวัดที่วาดอยู่บนฝาผนัง
ไกด์ติดต่อเจ้าหน้าที่บรรยายให้เรา นี่หน้าตาหนุ่มลูกคึ่งจีน-ทิเบตเป็นแบบนี่ คมเข้ม ตาตี่ ผิวสีแทน
เอาหิมมาวางทับหลังคากันลมพัดด้วย

ชอบรูปนี้ โดนแอบถ่ายอีกละ
ขึ้นบันไดมาสูงสุดก็หันกลับไปถ่ายวิวข้างนอกบ้าง
ในนี่เหมือนเขตห้วงห้ามเลย วันนั้นมีทหารเข้าไปเยอะมาก

ท้ายสุดหลังจากฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่แนะนำจุดต่างๆ แล้วก็มาจบที่ร้านขายของที่ระลึกตามธรรมเนียม
ธารน้ำแข็งแห่งเดียวในทวีปเอเชีย มันสวยมากคะ
หันมาถ่ายทางที่เดินขึ้นมามั้ง เราใช้เวลาไป-กลับทั้งหมด 4-5 ชั่วโมงคะ แต่ภาพที่เห็นมันสุดยอดมาก 
ลงจากธารน้ำแข็งหมิงหยงประมาณ 13.30 น. ไกด์ก็พาไปทานอาหารกลางวันคะ หิวมากมาย


ขอซื้อน้ำเย็นทานมั้งเหอะเริ่มเบื่อน้ำร้อนแล้ว
ออกเดินทางกลับไปค้างคืนที่แชงกรีล่าอีก 1 คืนคะ

แวะเข้าห้องน้ำก็ได้วิวแบบนี้มา

สตอเบอร์รี่ที่ซื้อระหว่างทางอร่อยดี หวานฉ่ำ

ถึงแชงกรีลาเราเข้าพักที่นี่คะ ไม่ได้พักที่เดิมเพราะเพื่อนๆ ชาวจีนโหวตว่าที่พักครั้งที่แล้วแย่มาก ที่นี่เราต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 150 บาท คะ 
สภาพเตียงก็คล้ายกับที่ผ่านมา ลืมไปว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปห้องน้ำเลย เอามาฝากสักหนึ่งรูป
เย็นก็ออกไปหาไรทานแถวนั้น พร้อมเดินไปซื้อเสบียงที่ร้านขายของชำร้านเดิม 
ทิชชู่จีนไม่มีแกนกลาง ที่รองแก้วกระดาษก็เจ๋ง
เช้าวันรุ่งขึ้นเราหม่ำมาม่ากันคะ เอาไข่เยี่ยวม้าที่ซื้อเมื่อคืนมาลองชิมด้วย
ต่างกับบ้านเราอย่างเห็นได้ชัด 

ข้างในคล้ายกันคะ 