กลับมาพร้อมปรากฏการณ์อีกครั้งกับหนังแอ็คชั่นวัยรุ่นภาคต่อเรื่องดังที่สร้างมาจากนิยายขายดีชื่อดัง
Catching Fire ของ
ซูซานน์ คอลลินส์ (Suzanne Collins) โดยภาคนี้หนังได้
ผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Francis Lawrence) แห่ง
I Am Legend และ
Constantine มารับช่วงกำกับความสนุก ด้านนักแสดงนำนั้นหนังยังคงได้นักแสดงหน้าเก่าจากภาคแรกอย่าง
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence), จอช ฮัทเชอร์สัน (Josh Hutcherson), เลียม เฮมสเวิร์ธ (Liam Hemsworth), วูดดี้ ฮาร์เรลสัน (Woody Harrelson), เอลิซาเบธ แบงค์ส (Elizabeth Banks), เลนนี่ คาวิตซ์ (Lenny Kravitz), สแตนลี่ ทุคซี่ (Stanley Tucci) และ
โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ (Donald Sutherland) มานำแสดงเหมือนเคย ร่วมด้วยนักแสดงใหม่ชื่อดังอีกคับคั่ง อาทิ
แซม คลาฟลิน (Sam Claflin), เจน่า มาโลน (Jena Malone), เจฟฟรีย์ ไรท์ (Jeffrey Wright) และ
ฟิลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน (Philip Seymour Hoffman)
ใน
The Hunger Games: Catching Fire เรื่องราวจะสานต่อจากที่ภาคแรกทิ้งเอาไว้ โดย
แคทนิสส์ (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) กับ
พีต้า (จอช ฮัทเชอร์สัน) ต้องเดินทางออกทัวร์ชัยชนะไปยังทั้ง 12 เขต ระหว่างนั้นพวกเขาได้พบเห็นการปะทะกันประปราย ซึ่งถูกจุดประกายขึ้นมาจากการท้าทายกฎเกณฑ์ที่แคพิตอลวางไว้ของทั้งคู่
ประธานาธิบดีสโนว์ (โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์) วางแผนที่จะกำจัดบรรดาผู้ต่อต้าน โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นอย่างแคทนิสส์ โดยมีผู้สร้างเกมคนใหม่
พลูตาร์ช เฮฟเวนสบี (ฟิลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน) เป็นผู้ตอบสนองและร่วมคิด
โดยจัดให้การแข่งขันในครั้งที่ 75 ซึ่งเรียกว่า
ควอเตอร์ เควลล์ (Quarter Quell) ที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ 25 ปี โดยกติกาการเลือกผู้เข้าแข่งขันจะแตกต่างจากปีปกติ และหนนี้จะเป็นการนำเอาผู้ชนะเกมล่าชีวิต 2 คนของแต่ละเขตกลับมาเล่นอีกหน ซึ่งนั่นหมายความว่า แคทนิสส์และพีต้าจะต้องลงสนามและสู้เพื่อชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง!!
(ขอบคุณเรื่องย่อจาก นิตยสารเอนเตอร์เทน)
โชติช่วงชัชวาล น่าจะเป็นคำจำกัดความของหนังภาคนี้ที่น่าจะตรงตัวกับชื่อตอนมากที่สุด เพราะหนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งทางด้านรายได้และคำวิจารณ์ เปรียบได้ดั่งกับเปลวไฟที่ลุกโหมไหม้อย่างโชติช่วงชัชวาล.. ความดีความชอบทั้งหมดนั้นคงต้องยกให้กับตัวผู้กำกับลอว์เรนซ์ที่สามารถตีโจทย์หนังได้แตก ทั้งๆที่เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์โจทย์ยากมาก ไหนจะเป็นหนังภาคต่อที่ตัวเองไม่ได้สร้างภาคแรก ไหนจะเป็นหนังที่สร้างมาจากหนังสือชื่อดังที่มีแฟนคลับมากมาย แค่นี้ก็ยากมากพอแล้ว แต่สุดท้าย
The Hunger Games: Catching Fire ก็ได้กลายเป็นหนังภาคต่อที่สนุกและดีกว่าภาคแรกอย่างที่เห็น!!
ชอบตรงที่ตัวหนังเล่าเรื่องได้ดี ไร้รอยต่อ ไหลลื่น และเข้าใจง่าย แม้ช่วงแรกอาจจะต้องมีเสียเวลาปูทางเนื้อเรื่องอยู่บ้างและต้องเน้นดราม่ามากหน่อย แต่หนังก็ไม่ได้ออกมาเยิ่นเย้อน่าเบื่อ กลับดูสนุกและน่าติดตามทั้งๆที่มันเต็มไปด้วยฉากพูดกันก็ตาม ยิ่งพอเข้าช่วงครึ่งหลังเมื่อหนังเข้าสู่สนามประลองอารีน่าด้วยแล้ว ความสนุก ตื่นเต้นและลุ้นระทึกก็มีให้คนดูแบบจัดเต็มตามสไตล์หนังต่อสู้เอาตัวรอดที่อุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นสุดมันส์แบบที่หนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งควรมี..
อีกทั้งหนังยังเด่นเรื่องการจับเอาความดราม่า โรแมนติก แอ็คชั่นและการเมืองมาผสมเข้ากันได้อย่างลงตัวและกลมกล่อม(ต้องชมไปถึงคนเขียนบทด้วย)
กับฉากเด็ดสุดที่ต้องพูดถึงคงเป็น 2 ฉากเปิดตัวพร้อมชุดติดไฟของแคทนิสส์กับพีต้าและฉากแคทนิสส์แปลงร่างเป็นชุดนกม็อกกิ้งเจย์ที่ทำออกมาได้สวยสง่าและตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก *กับประเด็นเรื่องการเมืองในหนังนั้นก็ช่างบังเอิญตรงกันกับสถานการณ์การเมืองในบ้านเราตอนนี้เสียจริงๆ
ส่วนด้านการแสดงนั้นลอว์เรนซ์ยังคงเป็นสาวน้อยผู้มากับไฟได้อย่างเข้าถึงและเหมาะสมมากๆเหมือนเคย เธอสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องพร้อมแสดงอารมณ์หลากหลายได้อย่างไร้ที่ติ กับฮัทเชอร์สันนั้นภาคนี้ก็ดูมีมิติทางอารมณ์มากขึ้น ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆนั้นต่างก็เล่นได้อย่างดีเยี่ยม
โดดเด่นหน่อยคงเป็นแบงค์สในบทเอฟฟี่และคาวิตซ์ในบทซินน่า กับหน้าใหม่อย่างคลาฟลินในบทฟินนิคและมาโลนในบทโจแฮนน่าที่ต่างฝ่ายต่างเปี่ยมเสน่ห์และก็มีซีนเด็ดเป็นของตัวเอง (รวมถึงลีนน์ โคเฮนในบทป้าแม็กส์ผู้ใจดีด้วย)สรุป
The Hunger Games: Catching Fire จัดว่าเป็นหนังภาคต่อที่ดูสนุกและดีกว่าภาคแรก จนเมื่อดูจบแล้วทำให้ยิ่งอยากดูภาคจบ (2 ภาค)ไวๆ
ป.ล.แนะนำให้ไปหา The Hunger Games ภาคแรกมาดูก่อนครับแล้วจะทำให้ดูภาคนี้สนุกและรู้เรื่องมากขึ้น!!
นางเอกสวยจังเลยครับ
น่าดูนะครับสำหรับหนังเรื่องนี้