ภาคต่อของการผจญภัยเพื่อทวงอาณาจักรของเหล่าคนแคระที่สร้างมาจากหนังสือ
The Hobbit วรรณกรรมเรื่องดังของ
เจ.อาร์.อาร์ โทลคีน (J.R.R. Tolkien) ที่เป็นหนังสือแค่เล่มเดียว แต่พอทำเป็นหนังกลับถูกแบ่งออกเป็นหนังไตรภาค (ภาคนี้เป็นภาค 2) โดยฝีมือการกำกับของผู้กำกับ
ปีเตอร์ แจ๊คสัน (Peter Jackson) แห่งหนังชุด
The Lord of the Rings, The Hobbit ภาคแรก และ
King Kong คับคั่งไปด้วยนักแสดงนำชุดเดิมคือ
มาร์ติน ฟรีแมน (Martin Freeman), เอียน แม็คเคลเลน (Ian McKellen), ริชาร์ด อาร์มิเตจ (Richard Armitage), เคน สต็อตต์ (Ken Stott), แกรแฮม แม็คทาวิช (Graham McTavish), วิลเลียม เคอเชอร์ (William Kircher), เจมส์ เนสบิตต์ (James Nesbitt), สตีเฟ่น ฮันเตอร์ (Stephen Hunter), ดีน โอกอร์แมน (Dean O'Gorman), ไอเดน เทอเนอร์ (Aidan Turner), จอห์น แคนเลน (John Callen), ปีเตอร์ แฮมเบิลตัน (Peter Hambleton), เจด โบรฟี (Jed Brophy), มาร์ค แฮดโลว์ (Mark Hadlow), อดัม บราวน์ (Adam Brown) ร่วมด้วย ออร์แลนโด บลูม (Orlando Bloom), เอวานเจลีน ลิลลี (Evangeline Lilly), ลี เพซ (Lee Pace), ลุค อีวานส์ (Luke Evans) และให้เสียงพากย์โดย
เบเนดิค คัมเบอร์เบทช์ (Benedict Cumberbatch)
The Hobbit: The Desolation of Smaug เป็นการผจญภัยของตัวละครนำ
บิลโบ แบ๊กกินส์ (มาร์ติน ฟรีแมน) ที่ต่อเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่เขาเดินทางร่วมกับ
พ่อมดแกนดัล์ฟ (เอียน แม็คเคลเลน)และคนแคระ ทั้ง 13 คนที่นำโดย
ธอริน โอเคนชีล์ด (ริชาร์ด อาร์มิเตจ) เพื่อภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ของการทวงคืนหุบเขาเดียวดายและอาณาจักรเอเรบอร์ของ คนแคระที่สูญหายไป
หลังจากรอดพ้นมาได้เมื่อตอนเริ่มต้นอย่างสุดคาดคิด เหล่าคณะยังคงมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ระหว่างทางได้พบกับโบออนผู้เปลี่ยนผิวได้และฝูงแมงมุมยักษ์ในป่าเมิร์กวูดที่อันตราย หลังหลบหนีจากการถูกเอล์ฟป่าที่อันตรายจับตัวไว้ พวกคนแคระเดินทางไปยัง Lake-town จนพบกับหุบเขาเดียวดายที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายที่โหดร้ายมากที่สุดอย่าง
มังกรสมอว์ก (ให้เสียงพากย์โดย เบเนดิค คัมเบอร์เบทช์) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกว่าสิ่งอื่นใด มันไม่ได้มาทดสอบความกล้าหาญที่อยู่ในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมิตรภาพของพวกเขาและไหวพริบแห่งการผจญภัยอีกด้วย!!
(ขอบคุณเรื่องย่อจาก nangdee.com)
อาจเป็นเพราะมาในรูปแบบเดิมๆ อีกทั้งทั้งเรื่องก็ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรมากมายก็เลยทำให้เกิดอาการเอื่อยๆเนือยๆไปบ้างในบางช่วงบางตอน ส่วนเรื่องราวที่มีนั้นก็ขอเล่าต่อเนื่องมาจากภาคแรกแบบทันทีซึ่งทางที่ดีควรจะดูภาคแรกมาก่อนจะได้ไม่เกิดความงุนงงและจะได้อินในเรื่องราวมากยิ่งขึ้น..
ด้านฉากแอ็คชั่นนั้นมีฉากที่น่าจดจำอยู่หน่อยก็ช่วงตอนล่องแก่งหนีพวกออร์คที่พอจะทำให้ตื่นเต้นและลุ้นระทึกได้อยู่ นอกนั้นก็แค่พอดูได้เพลินๆไม่มีอะไรให้นึกถึง
แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดในเรื่องคงเป็นงานด้านภาพและฉากที่ทำออกมาได้สวยสดเกินจินตนาการในทุกฉากที่เห็น ส่วนกับซีจีนั้นเจ้ามังกรสมอว์กก็ทำได้เนียนสมจริงจนน่าหวาดหวั่นมากๆ และกับด้านการแสดงนั้นเหล่าทีมนักแสดงนำทุกคนต่างก็รับภาระของตัวเองได้เป็นอย่างดีเหมือนเคย
แต่ภาคนี้มีตัวเด่นที่ขอมาขโมยซีนอยู่ 2 คนคือ หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวจากเผ่าเอลฟ์ (หนุ่มบลูมและสาวลิลลี่) ที่ออกมาโปรยเสน่ห์ขโมยหัวใจหนุ่มๆสาวๆได้ในทุกฉากที่ปรากฎตัว!!หากไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว
The Hobbit: The Desolation of Smaug จัดว่าเป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีภาคต่อที่โดยรวมแล้วพอดูได้เพลินๆ สนุกดีใช้ได้แต่ไม่ได้ถึงขั้นดีมากมายจนน่าจดจำ แต่ที่อารมณ์เสียที่สุดคงเป็นตอนจบสุดท้ายที่จบแบบค้างคาพาลทำให้หงุดหงิดเหลือหลายเพราะเกิดอาการอยากดูภาคต่อไวๆ
แปะหัวใจให้นะคะ