Group Blog
 
 
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
30 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
อาการ JET LAG!!! Biological Clock = นาฬิกาชีวิต

อาการ JET LAG!!!

เดินทางไปมา ไปกลับ ระหว่างทวีป ทำไมเกิดอาการ JET LAG คือ การเดินทางข้ามทวีป ทำให้ระบบนาฬิกาในร่างกายเปลี่ยนเเปลง เอ นาฬิกาที่บอกเวลามีส่วนอย่างไรกับนาฬิกาในร่างกายที่เรียกว่า นาฬิกาชีวภาพ หรือ นาฬิกาชีวิต นาฬิกาชีวิตที่หม
ุนเป็นรอบวัน (circadian clock)

Biological Clock = นาฬิกาชีวิต เป็นนาฬิกาในตัวเราในช่วงเวลา 1 วัน ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาและนาฬิกาจะเดินอยู่ตลอดเวลา บอกเวลาไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเรา รวมทั้งควบคุมการทำงานของร่างกาย ถ้าเรารู้จังหวะของนาฬิกาเรือนนี้ เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าช่วงเวลาใดเหมาะที่จะทำกิจกรรมอะไร แต่ละคนนั้นจะมีจังหวะการเดินของนาฬิกาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตารางชีวิตของแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดการเดินของเข็มนาฬิกาในตัว ส่วนที่น่าจะเป็นจุดควบคุมนาฬิกาชีวิตของร่างกาย คือ Supraoptic nucleus บริเวณสมอง ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องคือเมลาโทนินซึ่งเกี่ยวข้องกับการนอนหลับ จึงมีการนิยมใช้เมลาโทนินเป็นยาปรับสมดุล การนอนผิดเวลา หรืออดนอนหลายคืน (เช่น พนักงานสายการบิน หรือผู้ที่ทำงานเป็นกะ และผู้ที่เดินทางข้ามประเทศบ่อยๆ) จะทำให้ การกิน การย่อย การหลับนอน รวนเรไปหมด

การไหลเวียนของพลังชีวิต ลมปราณ ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 2 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า นาฬิกา
นาฬิกาชีวิต (biological clock) ดำเนินไปเรื่อยๆ บอกเวลาการเกิด การแก่ การตาย ของเซลล์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการแก่และการตายของเซลล์อาจเกี่ยวข้องกับโมเลกุลบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดอายุไขของเซลล์ และถูกรีเซ็ตใหม่ได้ เหมือนการเกิดใหม่

เมื่อนักชีววิทยาอยากทราบว่ากิจกรรมใดบ้างที่มีนาฬิกาชีวิตควบคุมอยู่ สามารถทดลองได้โดยศึกษาการเติบโตของพืชหรือสิ่งมีชีวิตนั้นภายใต้ภาวะแวดล้อมที่คงที่ ยกตัวอย่างเช่นอยู่ในที่สว่างคงที่ตลอดเวลา หรืออยู่ในที่มืดตลอดเวลา หากพฤติกรรมหรืออัตราต่างๆยังดำเนินไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ถูกควบคุมโดยนาฬิกาในสิ่งมีชีวิตนั้น ในทางตรงกันข้าม หากเราพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมหรือทางสรีรวิทยาแม้ว่าสิ่งแวดล้อมภายนอกนั้นคงที่ ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านั้นถูกควบคุมโดยนาฬิกาชีวิตของมันเอง นักวิทยาศาสตร์พยายามหาว่าหากมีนาฬิกาควบคุมการทำงานต่างๆอยู่ แล้วนาฬิกาของมันทำงานอย่างไร? ในภาวะปกติ นาฬิกาชีวิตมักปรับตั้งให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่นรอบของกลางวันและกลางคืนที่เรามีดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในแต่ละวัน แต่ในภาวะที่แสงคงที่ (หรือไม่มีแสงเลย) นาฬิกาชีวิตก็ยังดำเนินอยู่ และบ่อยครั้งที่นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาจนเข้าใจถึงกลไกของนาฬิกานั้น ว่าเดินไปได้ด้วยโมเลกุลที่มันสร้างขึ้น โดยปริมาณความเข้มข้นของสารที่สังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นและลดลงเป็นลานนาฬิกาที่มันใช้ในการควบคุมอัตราต่างๆในตัวมันนั่นเอง การทำให้ยีนที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงไปมักถูกใช้เป็นเครื่องมือยืนยันถึงการมีอยู่ของลานนาฬิกาที่เป็นโมเลกุลเช่นโปรตีนบางชนิดในสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์พบว่านอกจากแสงแล้ว ปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่นความชื้น อุณหภูมิ หรือปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ก็มีส่วนควบคุมนาฬิกาชีวิตของสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน และในสิ่งมีชีวิตเดียวกัน

เวลาเดินของนาฬิกาชีวิต (Biological Clock)

อวัยวะของคนเราเเบ่งออกเป็น
อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก
กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย แต่ละอวัยวะนั้นจะใชเวลาสองชั่วโมง
ทั้งหมดมี สิบสอง อวัยวะ รวม ยี่สิบสี่ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"
ดังนั้นเราจึงควรปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงเวลาของวัน ดังนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ในแต่ละคน เพราะคนเรานั้นจะมีจังหวะการเดินของนาฬิกาที่ไม่เหมือนกัน

5.00-7.00 น. เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นนอนที่สุดเพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะเริ่มหลั่งสารคอร์ติซอลและจะเพิ่มสูงสุดในเวลา 8.00 น. ซึ่งสารคอร์ติซอลเป็นสเตรอยด์ตามธรรมชาติในร่างกาย เพื่อต้านการอักเสบ ควบคุมระดับความเครียด และช่วยให้สมองปลอดโปร่ง มีชีวิตชีวา
ถ้าไม่ตื่นช่วงนี้เราจะไม่ได้รับประโยชน์จากสารนี้เลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าท่านจะหลับกี่โมงก็ควรตื่นในเวลานี้ และในตอนเช้าจะเป็นเวลาการทำงานของลำไส้ใหญ่ด้วย มันจะบีบตัวแรงสุดในช่วงนี้ซึ่งเหมาะมากกับการขับถ่ายอุจจาระ การไม่ถ่ายอุจจาระในตอนเช้าจะทำให้ของเสียคั่งค้างถูกดูดซึมกลับมาใหม่ ฉะนั้น การถ่ายอุจจาระทุกวัน ยังไม่สำคัญเท่าถ่ายทุกเช้า ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้ายังไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

7.00-9.00 น. ถือเป็นช่วงที่เหมาะกับการออกกำลังกายมากที่สุด แนะนำให้ออกกำลังกายติดต่อกันอย่างน้อย 30นาที และเคล็ดลับสำหรับผู้ทีอยากลดความอ้วน ควรออกกำลังกายต่อไปอีก 30 นาที เนื่องจาก 30 นาทีแรก ร่างกายจะดึงน้ำตาลในเลือดกับในตับมาใช้ แต่หลังจากนั้นถือว่าเป็นนาทีทอง ที่ร่างกายจะเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่เดิมตามร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องกำลังกายเบาๆติดต่อกันประมาณ 1 ชั่วโมง และแนะนำให้งดทานอาหารหลังจากออกกำลังกายอีกประมาณ 1 ชั่วโมง อาจดื่มน้ำเปล่าได้บ้าง ที่ทำเช่นนี้ก้เพื่อปล่อยให้ร่างกายนำไขมันที่สะสมออกมาใช้อย่างเต็มที่ หลังออกกำลังกายเสร็จก็ควรอาบน้ำ ซึ่งน้ำที่อาบควรเป็นน้ำเย็นหรืออุณหภูมิปกติ เพื่อช่วยในการเผาผลาญ และทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าพร้อมที่จะเผชิญความเครียดตลอดวัน
พอสายหน่อยควรเติมพลังด้วยอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดคือ มื้อเช้า ซึ่งควรทานมื้เช้าทุกเช้า ถ้าเราไม่รับประทานอาหาร ร่างกายจะคิดว่าเราขาดอาหาร โดยจะไปดึงอาหารที่ค้างไว้เมื่อคืนนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งผลเสียคือของเสียและสารพิษจะคั่งค้างอยู่ในร่างกายส่งผลถึงการมีกลิ่นตัว สิว และโรค อ้วน ตามมาได้ ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

9.00-11.00 น. ช่วงนี้หันมาทำงานกันดีกว่า เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ร่างกายสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไปนั้น สมาธิของเราจะเริ่มลดลง และการทำงานไม่ดีนัก นั่นเป็นเพราะว่าได้เวลาของอาหารมื้อที่ 2 แล้ว (ในมื้อกลางวันสำหรับผู้ที่อยากมีหุ่นสวยก็ขอแนะนำให้เลี่ยงอาหารประเภทแป้ง อย่างอื่นทานได้ตามสมควร) เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน
คนที่ปวดศรีษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม
อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง
ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน
จึงทำให้อ้วนง่าย ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00น.
ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก
ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่งๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง

11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้

13.00-15.00 น.เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่

15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากหัวตา-ผ่านหน้าผาก-ศรีษะ-ท้ายทอย-แผ่นหลังทั้งแผ่น-สะโพก-ด้านหลังขา-หัวเข่า-น่อง-ส้นเท้า-นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรรอยด์และระบบเพศทั้งหมด
ช่วงเวลานี้จึควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมาไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชาจะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย)
การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ

17.00-19.00 น.เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์
อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
-ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงหลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง

19.00-21.00 น. ช่วงนี้ร่างกายจะเรื่มซ่อมแซมตัวเอง ดังนั้นเราควรพัก งดกิน งดออกกำลังกายได้มีเวลาฟื้นฟูตัวเอง เพราะถ้ามีกิจกรรมที่ร่างกายต้องใช้พลังงาน แร่ธาตุต่างๆที่ควรจะเข้าไปช่วยซ่อมแซมร่างกายก็กลายมาเป็นพลังงานแทน แต่ก้าในช่วงเวลานี้จำเป็นต้องกินจริงๆ เช่น ต้องไปปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงก็ขอแนะนำให้ทานอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แป้งและน้ำตาลเพราะมันจะไปสะสมทำให้เราอ้วนได้

21.00-23.00 น. เป็นช่วงที่ต้องการให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ถ้าเป็นไปได้อย่าอาบน้ำเย็นเพราะอาจทำให้ป็นหวัดง่าย จำไว้ง่ายๆคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นอาบน้ำอุ่น แล้วเวลานี้ยังเป็นเวลาที่ควรเข้านอนที่สุด ด้วย

23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะดึงน้ำในถุงน้ำดี ทำให้ ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับตื่นกลางดึกหรือตอนเช้าจะจาม ฉะนั้นแนะนำให้ทานน้ำเยอะๆก่อนนอน

01.00-03.00 น. ร่างกายก็ยังคงทำงานอยู่ ช่วงที่หลับอยู่นี้ตับจะทำหน้าที่ขจัดสารพิษ ฆ่าเชื้อโรคเพราะฉะนั้นถ้าใครนอนดึกไขมันจะไปพอกตัวที่ตับซึ่งจะทำให้ติดเชื้อง่าย ตับจะหลั่งสาร เมราโทนิน (meratonine ) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งเมราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน ( endrophin ) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จะตื่นหรือหลับก็ได้ แต่หากได้ อยากให้ลุกขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า ลองสูดหายใจ เข้า-ออกลึกๆ สัก 3-4 รอบ เพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงานของปอดได้เป็นอย่างดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว

ที่มา //en.wikipedia.org/wiki/circadian_rhythm และ รวบรวมข้อมูลต่างๆ จาก Internet





Create Date : 30 กันยายน 2555
Last Update : 30 กันยายน 2555 23:48:06 น. 0 comments
Counter : 2943 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PinePh
Location :
Rome Italy, Bangkok Thailand, AMS Netherlands

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




I dont have anything to say much about myself...if you want to know more please check it out!!!
Friends' blogs
[Add PinePh's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.