ฝันให้ไกล ... แล้วไปให้ถึง ...
 
 

+•+•+•7 ปี 7 เดือน 7 ประเทศ 77 จังหวัด 0 Accident กับการเดินทางเพื่อสานฝันวัยเด็ก...



สวัสดีครับ  ผมไม่ได้ตั้งกระทู้นานแล้ว  ได้แต่ส่องๆ หรือ อ่านดูบ้าง 


วันนี้อยากจะขออนุญาติใช้พื้นที่ของ bloggang เขียน diary เก็บไว้อ่านตอนแก่ ( แฮ่ๆ )  คงไม่ว่ากันนะครับ  ยิ้มยิ้ม

ความตั้งใจที่อยากเขียนกระทู้นี้คือ  อยากจะเขียนสรุปรวบยอดสถานที่ที่ไปมาด้วย "มอเตอร์ไซค์" ตั้งแต่เริ่มขี่จริงๆจังๆ                 

อยากเขียนในรูปแบบ บรรยายแต่ละเมือง ที่เราไป ที่เราผ่าน สั้นๆ ( ย้ำว่าสั้นๆ และ เป็นความเห็นส่วนตัว ) 

แต่ก่อนอื่นขอเริ่มจากเล่าประวัติ ความเป็นมาแห่งการเดินทาง ก่อนเลยนะครับ แฮ่ๆหัวเราะหัวเราะหัวเราะหัวเราะ

เนื่องจากในวัยเด็กนั้นผมไม่เคยได้มีรถ มอเตอร์ไซด์ เหมือนเด็กๆ คนอื่น  ก็ได้แต่แอบฝันแอบมอง

จะทำยังงัยได้ ก็ในเมื่อไม่มีใครซื้อให้  และก็ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะหาได้ด้วยตัวเอง.....

ประกอบกับ  การออกเดินทางท่องเที่ยว  เป็นหนึ่งในความฝันผมเหมือนกัน ....

ตอนเด็กผมจำได้ ว่ายังเคยบอกที่บ้านว่า ถ้าทำงานแล้ว ผมจะเที่ยวให้รอบประเทศ...


ที่บ้านยังบอกเลยว่า "อย่าเพ้อฝัน"ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้

ซึ่งผมก็เข้าใจนะ ว่ามันดูเพ้อฝันจริงๆ  

ทำงานให้มีกิน เลี้ยงตัวเองไปวันๆ  ยังคิดว่ายากเลย นี่คิดจะเที่ยวให้รอบประเทศ  มันเป็นความฝัน ( ในยุคนั้น ) ที่ดูเลือนลางจริงๆ .... 

สิ่งที่ผมทำได้อย่างเดียวในยุคนั้น คือ    "ตั้งใจเรียน"  ทำหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวในตอนนั้นให้ดี... 

ในที่สุดผมก็เรียนจบ  ทำงานได้สักสามสี่ปี  ก็ได้เวลาทำตามความฝันตัวเองเสียที .....จุ๊บๆจุ๊บๆ


นั่นแหล่ะครับ เป็นที่มาแห่งการเดินทางทั้งหมดของผม ......




หิมะแรกในชีวิต


อันที่จริง ผมอยากเขียนบรรยาย 77 จังหวัดไทยก่อน หลังจากที่ผมขี่รถครบ 77 จังหวัดแล้ว จากกระทู้นี้  แต่เปลี่ยนใจมาเขียนภาคต่างแดนก่อนดีกว่า

+•+•ใน ที่สุดก็ ขี่รถเหยียบครบ 77 จังหวัดซะที กับ ทริปอีสานรอบนอก +•+•



เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

ผมเริ่มต้นกับเจ้า Wave 100 ( นามว่า "เจ้าแดง" )

ซึ่งเป็นรถเก่าที่ใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งซื้อต่อมาจากญาติ มูลค่า 12,000 บาท

เอามาปัดฝุ่นสักหน่อย ก็ใช้เป็นเครื่องมือ ตามหาฝันได้เลย 



ทริปต่างแดนแรกของเจ้าแดง คือ

+•+•+ [Wave100's Dream] 14 วัน 4,000 โล ไทยเหนือ-ลาวเหนือ-เวียดนามเหนือ +•+•+


ทริปนี้ เริ่มต้นจากการอยากไป ซาปา ของผมครับ 

ทำให้ผมรู้จัก    ลาว   และ เวียดนาม ดีขึ้น  บนเส้นทางดังภาพ



เอาหล่ะ มาเริ่มต้นจากประเทศที่เป็น ต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตเลย ...

ประเทศลาว

      คือประเทศที่สงบ  ธรรมชาติสด  ผู้คนในจังหวัดที่ห่างไกลยังคงความน่ารัก มีน้ำใจจุ๊บๆจุ๊บๆ

มาเริ่มต้นที่เมืองแรกกันเลย คือ 
เมืองหลวงน้ำทา
       บนเส้นทาง R3A ในปีนั้น ยังสดอยู่มาก  แต่ฝรั่งเริ่มเข้ามาแล้ว   นี่คือ จังหวัดแรก ของลาว ที่ผมก้าวเท้าเหยียบอย่างเป็นทางการ



ต่อมาเลย 

เมืองหนองเขียว

         เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมน้ำอู  เมืองนี้คือเมืองที่สวยที่สุดของลาว ตามความคิดของผม





ตำบลไร้ชื่อ ( และไม่มีในแผนที่ )
       ตำบลนี้ จำชื่อไม่ได้ อยู่ใกล้ๆ ชายแดนลาว เวียด   ต้องขี่รถทางลูกรังเข้าไปเกือบ 100 กิโล  สรุป เข้าด่านเวียดนามไม่ ได้  ขี่กลับอีก 100 โล  ไปเพื่อไปลองด่านใหม่ เผื่อว่าจะเข้าได้  สรุป "แห้ว"



ซำเหนือ

        เมืองชายแดน ลาว- เวียด ตั้งอยู่บนภูเขา  อากาศเย็นเจี๊ยบ



ด่านนาแมว

         ด่านชายแดน ลาว-เวียด  ที่น่าจะอยู่ ใกล้ ฮานอยที่สุด   ด่านนี้ มอเตอร์ไซด์เข้าไม่ได้ ผมผิดหวังมาแล้ว



โพนสะหวัน

          เมืองอันเป็นที่ตั้งของ ทุ่งไหหิน อันโด่งดัง นั่นเอง




สองปีต่อมาหลังจากทริปแรก ผมก็มาเยี่ยมประเทศลาวอีก เที่ยวเก็้บแบบช้าๆ เจาะลึกหน่อย

( หลังจากอกหัก จากเวียดนาม ที่ไม่ได้เสียที ) เศร้าเศร้าเศร้า

+•+•+• ทริปเดินช้า แห่งเหมันตฤดู เหนือ-ลาว-อิสาน 5 พัน กิโล +•+•+•

//topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2011/02/V10236286/V10236286.html

เส้นทางก็ประมาณนี้ครับ



เมืองหลักๆที่ไปได้ไปเยือน ก็ได้แก่

ปากแบ่ง

         เมืองทางผ่านริมแม่น้ำโขง  เป็นที่นิยมในการพักแรมระหว่างการเดินทางไปหลวงพระบาง ซึ่งต้องใช้เวลา 2 วัน


อุดมไชย

       เมืองทางผ่าน สำหรับผม เป็นเมืองสามแยก ที่ใช้ตัดสินใจว่า จะขึ้นเหนือสุดของลาว  หรือ จะไปทางเมืองยอดนิยม ( หลวงพระบาง )


เมืองขวา

             เมืองริมน้ำอู  ทิวทัศน์สวยงาม  ที่นอนริมน้ำคืนละ 150  ยังไม่ดัง ( ในยุคนั้น )   ผมชอบที่นี่เป็นอันดับ 2 รองจากหนองเขียว 





เมืองงอย

       เมืองที่รถไปไม่ถึง  ต้องล่องเรือจากหนองเขียวเข้าไป   โคตะระเงียบ และ โคตะระสงบ  เหมาะแก่การหมกตัว






หลวงพระบาง

         คงไม่ต้องอธิบายมากสำหรับเมืองนี้




ภูคูน

         เมืองเล็กๆ บนเขา เป็นสามแยก ตรงไปมั่งหน้าหลวงพระบาง  เลี้ยวขวา โพนสะวัน  บนเขาทิวทัศน์สวยงามมากมาย


วังเวียง

         เมืองเล็กๆ ริมน้ำ ที่มีแต่ผับบาร์  ไม่ใช่แนวผมเท่าไร



เวียงจันทร์

         เมืองหลวง 



ถ้าให้พูดถึงลาว แบบ สรุปๆ นะครับ

คือเป็นประเทศที่ไปแล้ว ต้องหลงรักครับ  

=================================================

เที่ยวมาสักพักนึง

เริ่มมีคนถามว่า ทำไมไม่ใช่รถคันใหญ่ๆ

ผมตอบได้ว่า  ผมชอบไปเรื่อยๆ เสพธรรมชาติ

ต้องการค่าการดูแลที่ต่ำ

ผมจะได้มีตังค์เที่ยว

มีตังค์กิน

มีตังค์ไปดูแลครอบครัว

มีตังค์ไปทำอย่างอื่น

เพราะชีวิตผมมีหลายด้าน  จำเป็นต้องกระจายทุน ให้สมดุล ทุกด้าน   นั่นเพราะผมยังไม่มีเงินพอที่จะขี่คันใหญ่ๆ ไปเที่ยวได้

เอาจริงๆ เหตุผลอีกประการนึงคือ มันนั่งสบายและบรรทุกได้เยอะดีครับ ^^



ย้อนมาเที่ยว สายใต้  กันบ้าง

ความฝันของผมในสายใต้ เริ่มต้นจาก   "การ ไปดู MotoGP"  จุ๊บๆจุ๊บๆจุ๊บๆจุ๊บๆ

ป.ล. ภาพนี้ผมถ่ายเองกับมือ  ณ วินาที ที่จะ Start ออกตัว ท่ามกลางผู้คนนับล้านที่ยืนรอชม ( เป็นภาพที่ต้องรอ 2 ชั่วโมงไม่ได้นั่งไม่ได้ฉี่  แถมคนยังกะหนอน ) 



อีกรายการนึงคือ Formula 1



และสุดท้าย  คือ การเอามอเตอร์ไซด์ไปใต้สุด "สิงคโปร์"




พูดถึงการล่องใต้  ผมชอบมากๆ กับการขี่รถตากฝน

มันสดชื่นแบบบอกไม่ถูก

อ้อ เกือบจะลืมกล่าว ถึงคู่หูคันใหม่

หลังจากได้ออกทริปได้ระยะนึง ก็เริ่มหาคู่หูคันใหม่ ที่เรี่ยวแรงมากขึ้น และราคาไม่แพง

หวยมาออกที่ Spark 135 ซึ่งราคาถูก รูปทรงสวยงามดี

ณ ตอนนี้อายุของมันก็ 9 ขวบกว่าแล้ว

นามว่า "เจ้าน้ำเงิน"  ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นคู่หูคันปัจจุบันของผมครับ จุ๊บๆจุ๊บๆจุ๊บๆจุ๊บๆ

แต่ในช่วงแรกๆ บางทริปก็สลับๆ กันออก  เพราะแต่ละคันก็ได้อารมณ์ที่แตกต่างกัน




เมื่อพูดถึงการล่องใต้  ประเทศที่นึกถึง อันดับแรกก็คือ

มาเลเซีย


เริ่มต้นด้วยทริปนี้นะครับ (  ไม่รู้ link กระทู้หายไปไหน เหลือแต่ Blog )

+•+•+ทริปอย่าอยู่อย่างอยาก การเดินทางสู่ปลายแหลมมลายู เพื่อดู Formula1... 2,530 กม +•+•+  

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=takkung&date=31-01-2011&group=2&gblog=4




สำหรับมาเลเซีย

เมืองที่ต้องกล่าวถึง ขาดไม่ได้คือ กัวลาลัมเปอร์

ซึ่งสถานที่ที่เด่นที่สุด ก็คงเป็นตึกแฝด เปรโตนาส




สนามเซปังเซอร์กิต
            สนามแข่งรถอันโด่งดังของมาเลเซียซึ่งใช้แข่ง Moto GP และ F1

ใครที่ขี่รถมอเตอร์ไซด์ ก็อยากจะเอาล้อไป เหยียบสนามนี้สักครั้ง ยิ้มยิ้มยิ้ม

( ครั้งนี้ผมเลย เอาเจ้าเพื่อนยากทั้ง 2 คันไปเหยียบทั้งคู่เลย  ให้น้องขี่เจ้าแดงให้ )



เมืองมะละกา

     เมืองมรดกโลกแห่งดินแดนมลายู



คาเมรอนไฮแลนด์

         ชอบที่นี่มากที่สุดในมาเลเซีย อากาศดีและหนาว วิวสวยมาก





สรุปสำหรับประเทศมาเลเซีย

              นี่แหล่ะ ต้นแบบของประเทศที่เจริญ ใกล้ๆ บ้านเรา

========================================


อันที่จริง ผมมา มาเลเซีย หลายครั้งแล้ว

แต่ก็ยังไม่เคยไปถึงสุดปลายทาง

ที่นั่นคือ สิงคโปร์

มันจริงเป็นที่มาของทริป


+•+• ทริปล่องใต้..สุดปลายทวีป.. น่าน - กทม - มาเลเซีย - สิงคโปร์ +•+•

//topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2011/11/V11357116/V11357116.html


ถ้าพูดถึงสิงค์โปร์

ก็มีอยู่เมืองเดียวเลย คือ เมืองสิงคโปร์

        สำหรับผม ถามว่ามีอะไร  ก็แค่เมืองที่ดูเจริญ สะอาด  เป็นระเบียบเมืองนึง  ที่อยากไปเพราะมันอยู่สุดปลายแผ่นดิน Asian แค่นั้นเอง




สรุปสำหรับประเทศสิงคโปร์

เป็นประเทศสุดปลายทางที่อยากจะเอาล้อไปเหยียบให้ได้ครับ

=====================================

กลับมาทางประเทศสายเหนือกันบ้าง

สุดยอดดินแดนในฝันอย่างไรก็คงไม่พ้น

จีน  ( อันที่จริงต้องบอกว่า ทิเบต คือสุดยอด ดินแดนในฝันของผม )

     ก่อนจะไปทิเบต จีนก็ยังมีสถานที่สวยงามอีกมากมาย  จึงเกิดทริปนี้ขึ้นมา เป็นทริปซ้อมมือ และ สืบข้อมูลประเทศจีนเบื้องต้นก่อน

แต่ๆๆๆๆๆๆ   ประเทศนี้ ไม่ผ่านทัวร์เข้าไม่ได้  เหมือนเวียดนามเลยครับ ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้

     +•+• ทริป ขี่มั่ง .... นั่งบ้าง ... ลาว-เวียดนาม-จีน +•+•

//topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2012/02/V11668134/V11668134.html







และสุดยอดเมืองที่ประทับใจแห่งทริปนี้คือ

หยวนหยาง

       สุดยอดนาขั้นบันไดอันดับ 1 ของโลก บนหุบเขาสูง ที่ไม่มีที่ไหนทาบติด






เมืองเจ้นสวย

        เมืองเล็กๆ  ที่มีวัฒนธรรมจีนฝังอยู่อย่างแน่นแฟ้น



หลังจากผ่านทริป ขี่มั่ง นั่งบ้าง ด้านบนมาเรียบร้อยแล้ว

ผมว่าผมพร้อมสำหรับประเทศจีนระดับหนึ่งแล้วหล่ะ

ทริปต่อไปคือ สุดยอดทริปในฝันสำหรับผมในยุคนั้น จุ๊บๆจุ๊บๆจุ๊บๆ

+•+• ทริปล่า ฝันสุดขอบฟ้า แชงกรีล่า... ชายขอบทิเบต +•+•

//topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2012/04/V11994425/V11994425.html

ทริปนี้เป็นการพาเจ้าน้ำเงิน  Spark 135 สุดรักของผมไปเหยียบดินแดนทิเบต ที่ใฝ่ฝันมานาน




เส้นทาง ตามนี้ครับ



ทริปนี้ช่วยเปิดโลกผมเป็นอย่างมาก หัวใจหัวใจหัวใจ

ได้เจอเมืองสวยๆ แปลกตา มากมาย เช่น

จิ่งหง ( หรือ สิบสองปันนา )

       ที่นี่เป็นจังหวัดของจีนที่มีวิถีชีวิตคล้ายไทยมาก   เค้าเล่นสงกรานต์กันด้วยนะ เอ้อ...



ต้าหลี่

        เมืองที่ด้านหลังมีภูเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ( เป็นสถานที่แรกเริ่มเห็นสายหิมะ )  ด้านหน้ามีทะเลสาบด้วย  เราจะเริ่มเห็นวัฒนธรรมความยิ่งใหญ่แบบจีนได้ตั้งแต่เมือง นี้แหล่ะ



เมืองลี่เจียง

             ผมเห็นหิมะครั้งแรก น่าจะอยู่ในเขตเมืองนี้แหล่ะ  เลี้ยวออกจากโค้งปุ๊บ
เจอหิมะไกลๆ บนเขา

             วินาทีนั้นผมขนลุก น้ำตาไหลเลยครับ




มีคนชอบมาถามผมว่า ทำไมไม่ใช้รถใหญ่เดินทาง      

                  1. ราคาครับ   Spark แค่ 2หมื่น พัง ทิ้ง ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สามารถทำได้

                  2. ค่ายาง ค่าโซ่ ครับ  ทริปแชงกรีล่า ผมใช้ตังค์เตรียมรถแค่ 2,000 กว่าบาท   ถ้าเป็นรถใหญ่คันอื่น ค่ายาง ค่าโซ่ ไปต้องบอกนะครับ ว่าเท่าไร  เกิน หมื่นแน่ๆ

                  3. การบรรทุก  ผมใช้กระเป๋าธรรมดาๆ  วางตรงคอนโซลรถ  สะดวกและประหยัดผมนะ  ปี๊บเปิ๊บ อะไรนั่น ไม่ต้องซื้อหา จุได้พอกัน

                  4. ความเร็ว  ไม่ถ่วงเค้าหรอ 

                   ลาว - เวียดนาม - จีน  มันขี่ได้แค่นั้นครับ  รถวิ่งได้ 300 กม/ชม   มาขี่ประเทศพวกนี้ ก็วิ่งได้แค่ 80 อยู่ดี ทางมันคดเคี้ยว รถมันเยอะ  สำหรับคนทุนหนาทำได้ครับ   สำหรับคนทุนไม่มากอย่างเรา  วิ่งได้แค่นั้น รถแม่บ้านก็ไปได้ครับ

                  5. รถแม่บ้าน จอดถ่ายรูปสะดวกมากๆ

           ไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ  ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะให้น้ำหนักส่วนไหนมากกว่ากัน

           ส่วนตัวผมในตอนนั้น ตังค์ไม่มี  เอาตังค์ไปจ่ายค่าเที่ยวหมด  เรื่องรถก็ช่างมัน ขอให้มันพาไปถึงไว้ก่อน ไม่ได้ใส่ใจ....




เมืองแชงกรีล่า


                 สั้นๆ   หนาว   และ เป็นเมืองแรกๆ  บนที่ราบสูงทิเบต  เริ่มมีวัดแบบทิเบต




เต๋อชิง

                ถ้าถามว่าที่สุดแห่งการเดินทางของผมอยู่ที่ ไหน  เมืองนี้เลยครับ เต๋อชิง   ไกลที่สุด  สวยที่สุด ในชีวิตการ

เดินทางที่เคยผ่านมา

         มันต้องขี่รถถึง 2,700 กิโลเมตร กว่าจะพบเจอกับมัน




ถ้าให้สรุป เกี่ยวกับประเทศจีน

ยิ่งใหญ่ อลังการ  ที่สุดจริงๆ สำหรับประเทศนี้ครับ

=====================================

พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุกันบ้าง

ผมออกทริป ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุครับ 

ไม่เคยแหกโค้ง  ไม่เคยพาคนซ้อนไปล้ม

ไม่ใช่เก่งครับ  ผมขี่ช้า  ผมกลัวตาย ประมาณนั้น

เป้าหมายของผมคือ   "ต้องรอด ต้องไม่เจ็บ ต้องไม่ได้แผล" ครับ

ไม่รู้ทำได้หรือเปล่า  เพราะพรุ่งนี้อาจจะเป็นคิวผมก็ได้

มีสติให้ถึงที่สุดครับ  สุดท้าย เป็นเรื่องของโชคชะตา ด้วยแล้ว




ต่อมาเป็นประเทศที่มีเมืองที่เป็นต้นกำเนิดแห่ง การเดินทางทั้งหลายทั้งปวงของผมครับ

ประเทศนั้นคือ

เวียดนาม

ผมเริ่มต้นเดินทาง โดยมีเมืองปลายทางในฝัน  คือ     "ซาปา"

        ซึ่งจนแล้วจนรอด ณ บัดนี้ ก็ยังไปไม่ถึง  เพราะ ณ จุดเริ่มต้น ผมดันตั้งปณิธานไว้ว่า  "จะไม่เสียเงิน ซื้อทัวร์เพื่อเข้าไปขี่รถในเวียดนามเด็ดขาด"

ไม่งั้นผมคงไปถึง ซาปา นานแล้วหล่ะ T____T

ผมพยายามอยู่หลายครั้ง หลายครา ที่จะข้ามด่านเวียดนามทางเหนือ  แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถไปได้

ก็มีนั่งรถเข้าไปบ้าง   จนท้ายที่สุด ลองหลายๆ ด่านมาเรื่อยๆ

จนกระทั่งถึงด่าน "ฮาเทียน"   ด่านซึ่งอยู่ใต้สุดของเวียดนาม

ซึ่งเป็นที่มาของทริปนี้ครับ ยิ้มยิ้มยิ้ม

+++ ทริปตามฝัน.. วันวาน .... ขี่ไปดินแดน 2 ล้อ.. เวียดนาม +++
//pantip.com/topic/30135973



เมืองฮาเทียน

สุดท้าย เราก็ทะลุเข้าประเทศเวียดนามได้สำเร็จโดยไม่ต้องซื้อทัวร์ได้เป็นครั้งแรก  ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนเดินจูงรถเข้าด่านมาก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าเจ้าหน้าที่จะเรียก แต่เค้าก็ไม่เรียก   ท้ายที่สุดเดินจูงเข้ามาได้เฉยเลย
ตอนนั้นดีใจมากเลยครับ




เมืองคันโท

ดินแดนตลาดน้ำ และ เป็นสถานที่ที่แม่น้ำโขงไหลลงทะเล  หรือ เรียกว่า แม่โขงเดลต้า

เวียดนามผมมาได้แค่นี้แหล่ะ กลัวโดนจับ





ด่านเตรตราง ( Tay trang )  และ เมือง เดียนเบียนฟู

           เป็นด่านแห่งความฝัน ( ที่ไม่เคยผ่านได้ )   เป็นด่านโหด ที่ต้องใช้ไป เดียนเบียน ซาปา ต่อไป

ไม่มีรูปให้ดูเท่าไร ขอเป็น VDO แทนละกันครับ

อันที่จริงด่านนี้เราเอารถเราเข้าไม่ได้ แต่เช่ามอเตอร์ไซด์ชาวบ้านไปแทนครับ

ตัวเมืองไม่มีอะไรสวย แต่สาวๆ หุ่นดี และ หน้าตาสวย




ฮานอยและฮาลองเบย์

          เมืองที่สวยใช้ได้ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป  แต่การจราจร ด้วย 2 ล้อ วุ่นวายที่สุดใน 3 โลก



สรุปกับประเทศเวียดนาม

สุดท้ายยังไปไม่ถึงซาปา  เป็นประเทศที่วุ่นวายไม่น่าเที่ยว ยกเว้นบางส่วนของฮานอย แค่นั้นเอง

ป.ล. นี่ความเห็นส่วนตัวนะครับ จริงๆ แล้วเวียดนามมีส่วนดีอีกเยอะ เพียงแต่ผมไม่ได้สัมผัส

=============================

มาต่อด้วยประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเรา        

กัมพูชา

ประเทศนี้ บอกตามตรงว่าไม่ได้เป็นเป้าหมายปลายทาง  เป็นเพียงทางผ่านไปยังเวียดนาม

แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ชอบกว่าเวียดนามนะครับ ยิ้มยิ้มยิ้ม

ผมก็ไปพร้อมเวียดนาม ตามเส้นทางด้านล่างนี้ครับ




มาเริ่มกันเลย เมืองแรก

เกาะกง

          เป็นเมืองชายฝั่งทะเลชิลๆ เมืองนึง บรรยากาศไม่เลวเลยทีเดียวครับ




กัมพอท/กัมป๊อด

           แค่ทางผ่านเฉยๆ ไม่รู้มีอะไรเหมือนกันครับ



พนมเปญ

      เมืองที่มีอะไรให้ดูเยอะ  บรรยากาศคล้ายๆ กรุงเทพบ้านเราเหมือนกันนะ




เสียมเรียบ

       เมืองอันเป็นที่ตั้งหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ ของโลก  "นครวัด/นครธม"

      เมืองนี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ครับ



สรุปสั้นๆ กับประเทศกัมพูชา

คล้ายๆประเทศไทย  แต่น่าสนใจพอตัว

=======================================

มาถึงประเทศที่ 7 ประเทศสุดท้าย

ประเทศนั้นคือ.....  อินโดนีเซีย

ประเทศนี้ไม่ได้ขี่รถไป เพราะว่าใช้งบสูงมากเกินไป ไม่คุ้ม  เลยไปเช่ารถขี่เอาครับ

•+•+• จาก สุราบายาถึงกีลี่... ที่นี่.. อินโดนีเซีย •+•+•+

//pantip.com/topic/32103078

ทริปนี้ท่องอินโด กับรถ Yamaha Vixion 150 ครับ ( เครื่องเดียวกับ Exciter 150 นี่แหล่ะ 150 หัวฉีด 5 เกียร์ )



เส้นทางก็ประมาณนี้ครับ




มาเริ่มกันเลยดีกว่า

สุราบายา

         เที่ยวที่นี่เพราะอยากดูวิถีชีวิตชาวอินโดครับ ( ลงเครื่องที่นี่ )  แต่ไม่รู้ว่าเด่นอะไรเหมือนกัน



เจโมโรลาวังและโบรโม


         สั้นๆ เลย  สวยสุดยอดครับ 


คาลิบารู

เมืองในหุบเขา  ชอบๆ




หมู่บ้านอิเจ้น

หมู่บ้านในหุบภูเขาไฟ  ชอบได้อีก




ข้ามเกาะมา บาหลี เลยละกัน

บาหลี

      ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ทะเล วัฒนธรรม หนาว ร้อน ดำน้ำ น้ำตก มีทุกอย่าง ห่างกันไม่ถึง 100 กิโลเมตร ยกนิ้วเลย



สรุปสำหรับอินโดนีเซียนะครับ

ครบรส  เยี่ยมยอดเลยครับ เป็นประเทศที่มีที่เที่ยวเยอะมาก ธรรมชาติสดมากๆ


=========================================

ผ่านไปแล้ว กับ 7 ประเทศที่มีทั้งประทับใจและไม่ประทับใจ

ส่วนประเทศที่รักที่สุดของเรา ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด

แน่นอนครับ ประเทศไทย

ขอยกยอดเป็นกระทู้หน้า ( เดี๋ยวจะยาวเกิน )  กับเรื่องราวการเอาล้อไปเหยียบทั้ง 77 จังหวัดครับ ^^



ท้ายที่สุดนี้

สิ่งที่ผมอยากขอบคุณมากที่สุดคือ

เจ้ารถแม่บ้านทั้ง 2 คันของผม ที่พาผมออกไปชมโลกกว้าง

ผ่านระยะทางมามากมายกับมัน ไม่เคยทำให้ผมต้องเจ็บ ต้องเสียเงินมาก ต้องกินข้าวลิง...

ขอบคุณจริงๆ ครับ หัวใจหัวใจหัวใจ

ถึงแม้ว่าทั้ง 2 คันจะเป็นเพียงรถราคาถูกๆ  ไม่มีค่ามากมายทางเงินทอง  แต่มันมีค่าทางจิตใจต่อผมมากๆ

ถูกแพงไม่สำคัญครับ  ไปด้วยกันแล้ว มีความสุข  นั่นแหล่ะ พอ  ยิ้มยิ้มยิ้ม


นอกเหนือจากนั้น เงินที่เหลือๆ จากการขี่รถคันละหมื่น สองหมื่น เป็นอานิสงค์ต่อมาใน 7 ปีให้หลัง


ก่อให้เกิดทริปตามรูปภาพด้านล่างครับ

แน่นอน ถ้าผมขี่รถคันละ 3 แสน ทริปนี้คงไม่มีโอกาสเกิดแน่นอน

//pantip.com/topic/34688596

วันนี้ สวัสดีครับ








 

Create Date : 27 มีนาคม 2559   
Last Update : 15 เมษายน 2559 17:04:27 น.   
Counter : 4433 Pageviews.  


+•+•+ทริปอย่าอยู่อย่างอยาก การเดินทางสู่ปลายแหลมมลายู เพื่อดู Formula1... 2,530 กม +•+•+



มีใครเคยบอกไว้

ว่า...

อย่าอยู่อย่างอยาก............



ทริปนี้ จึงเกิดขึ้น.......


หลังจาก ไปดู Moto GP มาแล้วครั้งนึง

อยากจะเห็นการแข่งขัน ระดับโลกของรถยนต์ ให้เป็นบุญตา



ว่า Formula 1 มันเป็นจังใด๋


ขออภัย พี่ๆ หลายท่านในที่นี่ ที่เคยบอกว่าไปไหนให้ชวนด้วย...
เพราะเอาแน่เอานอนไม่ได้ ซักเท่าไร ....



เลยขอไปกับขาประจำก่อนครับ
ก็มีพี่ดุ๋ย Draco และ
พี่โก้ ( ซึ่งขี่ Nouvo Elegance มาจากน่าน และ กลับน่านจาก กทม ) ครับ

=======================================

รูปแรก ขอเปิดด้วย ป้าย Formula 1 ก่อน ทำไมไม่เอารูปรถ F1 ตัวจริง ขึ้น โปรดติดตามครับ





ออกเดินทาง ตอนเช้า...
รถ Wave 100 คู่ใจ พร้อม ( หรือเปล่า )...

คนพร้อม ( มั๊ง )

กล้อง Compact ตัวเก่ง พร้อม ที่สุดแล้ว ......
อ้อ จาก กทม - พัทลุง ผมเดินทางล่วงหน้าไปก่อน คันเดียวครับ

ไปเรื่อยๆ ครับ
ซ้อนสอง + สัมภาระ + รถไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร Top speed ก็ 80 กม/ชม เท่านั้น..
เลขไมล์เริ่มต้น 64,930 ครับ จริงๆ ต้อง 7x,xxx ไปแล้วหล่ะ ไมล์ขาดไป 1 ปี





วิ่งผ่าน
สมุทรสาคร...

เพชรบุรี ...

ประจวบคีรีขันธ์ ...
ไปเรื่อยๆครับ
พักกินข้าวมั่ง พักกินกาแฟ มั่ง ไปตามเรื่อง

================




ทิวทัศน์สองข้างทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ...



สมุทรสาคร ก็จะเป็นนาเกลือ
เพชรบุรี ก็จะมีดงตาล สูงชะรูด...



=============================




ประจวบ ฯ ก็ทางตรงๆ ยาวๆ มีต้นสน รายล้อม......



=============================




ในที่สุดก็มาถึงตัวเมืองประจวบแว้วววว



ทะเลที่นี่เงียบสงบดีขอรับ ประจวบเองก็เป็นเมือง เล็กๆ



ไม่พลุกพล่าน .....



มีอ่าวให้เที่ยวถึง 3 อ่าว ( ถ้ามองทางอากาศจะเห็นว่า ประจวบเป็นเมือง 3 อ่าวจริงๆ )



กินข้าวกลางวันกันที่นี่แหล่ะ หิวๆๆๆๆๆ



====================




อย่างที่ว่า ภาคใต้
ฝนแปด แดดสี่ .......
อย่างที่ว่า ผมไม่ค่อยได้เตรียมตัวมาสักเท่าไร
เสื้อกันฝน ที่เอามาก็ไม่ค่อยดี ก็เลยต้องหลบตามศาลาข้างทางเอา....



ตกนานๆ ก็ลุยไปหาดนวกร แวะนวด รอฝนหยุดซะเลย...


สบายตัวไป อิอิ


================




ในที่สุด เราก็มาถึงแล้ว ภาคใต้
จะมืดแล้วเนี่ย



เพิ่งมาได้แค่ชุมพรเอง....



ฝืนจะขี่ไปให้ถึง สุราษฏร์
แต่ทั้งฝนตก ทั้งมืด
ไฟก็สะท้อนกับ ตะกร้าหน้า ที่พลาสติกหุ้ม
มองทางไม่เห็น....
เลยนอนแถวๆ ชุมพรเนี่ยแหล่ะครับ



==============================





ตื่นเช้า ก็รีบออกจากตัวเมือง ชุมพร เดินทางต่อไป



ระหว่างทาง ฝนเริ่มตั้งเค้ามา แล้วก็ตกจนได้...



เราเลยแวะกิน ข้าวแกงบ้านท่าทอง





ร้านข้างทางแถว อ. ทุ่งตะโก





น้ำพริก และ กับข้าว อร่อยมากๆๆ ครับ ขอบอก



ซัดข้าวไป 2 จานเต็มๆ

==========================





ในที่สุด เราก็มาถึง สุราษฯ จนได้
ฝนตกตลอดทาง



เปียกเละเทะ
แต่ก็เย็นดีครับ



ชอบมาก ขี่รถกลางสายฝน


อยู่ใต้ฟ้า อย่าไปกลัวฝน จริงป่ะ
============================





และก็
นครศรีธรรมราช



จริงๆ เราไม่ได้ขี่รถอย่างเดียว



ก็แวะเที่ยวบ้าง



แวะจิบกาแฟบ้าง



พักทุก 100 กม
และ Top speed 80 km/h



ทำให้ วันนึง ไปได้ไม่ถึงไหน
แต่ขอตัดรายละเอียดปลีกย่อยไป กลัวกระทู้ยาวเกิน และขี้เกียจ หุหุ
==============================


โปรดสังเกตุ ถุงเท้า ที่ตากอยู่บริเวณท้ายรถ
ต่อไปจะมี รองเท้า มาตากด้วย ตลอด ทริป ฮา....





คอกาแฟ
ขอแนะนำ



ร้าน โกปี๊



โกปี๊ อร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
คาดว่า คงเป็นร้านที่ขึ้นชื่อของ เมือง นครฯ



สาขาที่ผมแวะคือ สาขา ทุ่งสง


อร่อยมากครับ confirm ฟันธง !!!!!!!!!!!!!!!!!
อาหารก็อร่อยด้วยนะ






ถึงปลายทางที่หมาย แล้ว
พัทลุง
.

ฝนฟ้า เป็นใจมาก

ก่อนถึงป้าย ตกไม่ยั้ง....

พอถึงป้าย

.

ฝนหยุดซะงั้น....

...

พอขี่ออกไป ได้ 3 นาที ก็เทลงมาอีก

.

.

รู้งานดีจริงๆๆๆ....

====================================






หาดแสนสุข ลำปำ

ริมทะเลสาบ สงขลา

ทะเลสาบน้ำจืด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย.....

.

ห่างจากตัวเมืองพัทลุงแค่ 10 กว่า กิโลเมตร....

วันนี้นอน พัทลุงครับ

============================================





นัดเจอกันที่พัทลุง และขี่กันมา

ในที่สุด ก็มาถึง
ด่านสะเดา



หาเข้ากลางวันกิน เดินเรื่องข้ามแดน แลกเงิน
เสียเวลาไป 3 ชม กว่าจะออกจากด่าน



เสียเวลาเยอะ โดยเฉพาะ ทำประกันของมาเลย์เซีย และขอป้ายวงกลม



==================================





หนทาง ยาวไกล .....
ตะวัน ลาลับ.....



ฝนฟ้า คึกคะนอง ....


ในบางจังหวะ ก็ต้องอาศัย สะพาน เป็นที่ซุกหัว ...



ระยะทาง ยังเหลืออีกตั้ง 250 กม กว่าจะถึง กัวลาลัมเปอร์



แต่ฝนที่กระหน่ำ ขนาดนี้ รถใหญ่ที่วิ่งกันด้วยความเร็วสูง บนทางด่วน สาย เหนือ - กัวลาลัมเปอร์ E1
วิ่งผ่านเราไปด้วยความเร็วสูง...
ทำให้เรา มองเห็นหนทาง ที่จะไปกัวลาลัมเปอร์ ให้ทัน ได้ลางเลือน



โอกาสที่ตั้งใจว่า จะไปดู F1 ในวัน Qualify ดูท่าทาง จะดับลง ....



เอาน่า ความฝัน ยังออกล่าใหม่ได้........





แต่ชีวิต ไม่มีให้ใหม่ ความปลอดภัย ควรมาก่อน เราเลย ตกลงกันว่า พักเมืองใกล้ๆ ที่จะถึง





เมือง IPOH



=====================
กล้อง Compact ผมถ่ายตอนกลางคืน ก็ Noise กระจาย เช่นนี้ T_T









มาถึงเมือง IPOH

เมืองใหญ่ เมืองนึง ของมาเลเซีย


เส้นทาง ระหว่าง ไป IPOH จะผ่าน ภูเขาสูง
เมื่อข้ามเขา มา ก็จะเห็นแสงไฟ สว่าง ไสว ของเมือง IPOH
มองเห็น ป้าย IPOH สีเขียว อยู่บนยอดเขา


และเราก็เข้าพัก โรงแรม KK Hotel เล็กๆ ข้างทาง


เอาแรง ไว้พรุ่งนี้ เพื่อไปให้ถึง Sepang Circuit เพื่อดู F1 วันแข่งจริง ( ไม่รู้ว่าตั๋ว วันแข่งจริง ราคาเป็นงัย )
แต่ไปก่อนละกัน



=====================




ตื่นเช้ามา ก็กิน อาหารเช้าข้างๆ โรงแรม
เป็นอาหารแขก รสชาติ ใช้ได้ครับ



หน้าตา ก้ออย่างที่เห็น


หลังจากกนั้น ก็ออกเดินทาง



ปรากฏว่า หลงกับ Nouvo Elegance ครับ
ต้องจอดรอ อยู่ข้างทาง 15 นาที เพราะไม่สามารถติดต่อกันได้




=====================




มุ่ง สู่ KL

แต่เกิดเหตุต้องพลัดหลงกับ Nouvo Elegance เนื่องจาก Nouvo ยางแตก


และติดต่อไม่ได้

ว่าจะหากันเจอ ก็ 1 วันให้หลัง ...




เหลือ อยู่ 3 คน ก็เข้าไปเที่ยว KL กันก่อน

เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร


ตึก Petronas Twin Tower อันโด่งดัง
ยามเย็น
++++++++++++++++++++





แล้วก็เดินเล่น
ไปเรื่อยๆ ......

เพื่อ ซึมซับ ชีวิตยามค่ำคืน ของ KL
=================



ในที่สุดก็ติดต่อกันได้ 1 ครั้งใน เช้าวันต่อมา


ปรากฏว่า อยู่ที่เมือง มะละกา เรียบร้อยแล้ว


เราเลย ไม่ดู F1 ตรงดิ่งไปมะละกาเลย เดวจะหากันไม่เจอ


เป็นอันอดดู F1 ไปตามระเบียบครับ




หลังจาก พลัดพลาก กันเป็นเวลา 1 วันเต็มๆ
เราก็ครบองค์ ประชุม อีกครั้ง


ได้โรงแรมแล้ว ก็ขี่รถเที่ยว





ชมความงามของเมือง
มะละกา



ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็น



World heritage....



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




และก็เป็นความภูมิใจเล็กๆ ที่ผมก็พา เจ้าแดง
มาถึง เมือง เมืองนี้จนได้



เมืองที่อยู่ห่างจากสุดปลายแหลม มลายู 200 กม
มันอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร


เพราะใครๆ ก็ทำกัน..





แต่มันก็คือความทรงจำเล็กๆ ร่วมกัน ....



ของผมและเจ้าแดง...



+++++++++++++++++++++++++




สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์

ของ มะละกา



ก็คงจะเป็นเจ้าสิ่งนี้........
สามล้อ เหมือน บ้านเรา แต่ตกแต่งด้วย ดอกไม้ สวยงาม .....



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





เดินชิลๆ ยามค่ำคืน



+++++++++++++++++++++++++++





ย้อนกลับ มาหน้า โบสถ์ Christ Church Malaka
ยามค่ำคืนบ้าง

+++++++++++++++++++++++++++





ตอนนี้ เราอยู่ในช่วงขากลับแล้ว



ปลายทาง วันนี้ คือ เกาะ ปีนัง



ทางทิศเหนือ ของ เมือง มะละกา


ระยะทาง ประมาณ 500 กิโลเมตร


กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็ออกเดินทางกันเลย
++++++++++++++++++++++++++++++





ถึงปีนัง ตอนประมาณ 3 ทุ่ม

ออกร่อน



ยามดึก



หลังจากหาที่พัก กินข้าว
อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว


ก็ขอสำรวจ George Town แห่งเกาะ ปีนัง



ยามราตรี เสียหน่อย
======================





บนเกาะ ปีนัง
มีความหลากหลาย ทางเชื้อชาติ



มีทั้ง ชุมชน จีน



อินเดีย



บลาๆๆๆ


ตอนนี้ เรามาเที่ยวชม ชุมชน จีน กันก่อน
( ก็มันเจอ ชุมชนจีน ก่อนนี่นา )



++++++++++++++++++++++++++





พาเที่ยว ย่าน ถนน
เกอร์นี่ย์
ถนนริมทะเล ที่ร่มรื่น



และเป็นแหล่ง ที่นักชิม



ไม่ควรพลาด
=======================





ด้านหลัง
จะมองเห็นสะพานที่เชื่อมระหว่าง



บัตเตอร์เวิร์ธ ( แผ่นดิน )
และ



เกาะปีนัง


ซึ่งยาวมากๆๆๆ


ต้องขี่กัน นาน 5-7 นาที กว่าจะพ้นสะพาน



++++++++++++++++++++++++++++++





Farewell ปีนัง.....





และก็มาถึง กทม โดยสวัสดิภาพ..



รวมทั้งสิ้น เดินทาง 2,530 กม



หมดปลอกตลอด สงสาร เจ้าแดงเหมือนกัน แต่ว่า รถกำลังน้อย ซ้อนสองอีกตะหาก จะทำอย่างไร ให้ไม่ถ่วงคนอื่น...



ใช้งานแบบนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าแดง จะทนได้ถึง 120,000 กม อย่างที่ตั้งใจได้หรือไม่...



ก็ต้องสู้ต่อไป เจ้าแดง.....



=====================================






สุดท้าย ก็ขอขอบคุณ ทุกๆ ท่าน ที่ร่วมติดตามครับ



ขอบคุณ เพื่อนๆ ที่อุตส่าห์รับคำชวน บ้าๆ นี้...

.

.

.

และขอบคุณเจ้าแดง ที่พาเที่ยวด้วย ...

ถึงแม้ บางที ขี่รถเล็ก จะมีคน หัวเราะ หรือ ดูถูก ก็ถือซะว่า เราได้มอบรอยยิ้มให้เค้าสุขใจละกันครับ


หวังว่าในอนาคต คงจะโตเป็นสัก 1,000 cc บ้างนะ ถ้าวาสนาช่วย



สวัสดีครับ.....



++++++++++++++++++++++++++++++





 

Create Date : 31 มกราคม 2554   
Last Update : 31 มกราคม 2554 19:43:06 น.   
Counter : 2916 Pageviews.  


+•+•+ [Wave100's Dream] 14 วัน 4,000 โล ไทยเหนือ-ลาวเหนือ-เวียดนามเหนือ +•+•+



"ชีวิตคือการเดินทาง"

คำๆนี้คงไม่ผิดนัก แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวในความรู้สึก


"การเดินทางคือชีวิต"

คำๆนี้ดูจะเหมาะกะผมมากกว่า ทุกๆ ครั้งที่สวมรองเท้าคู่เก่า ยกเป้โทรมๆใบเดิม ออกจากบ้าน ความรู้สึก คำพูดนี้ก็พรั่งพรูเข้ามาในหัว...

มีใครต่อใครถามผมเสมอมา ว่าทำไมต้องออกเดินทางแบบลำบากๆ

ไม่ได้อยู่ในรูปแบบสะดวกสบายหรือเป็นการพักผ่อนหาความสุขอย่างที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน
มีประโยชน์อะไรในการใช้เงินในการซื้อความลำบากให้กับตัวเอง แทนที่จะจ่ายเงินเพื่อให้ตัวเองสะดวกสบาย

ย้อนกลับมาถามตัวเอง

"นั่นสินะ ทำไม"

ผมได้คำตอบเมื่อออกเดินทางมาแล้ว หลายปี จากประสบการณ์และการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ทำให้คิดได้ว่า ....



"เหตุผลของผมคือการเดินทางคือการเดินทาง ทำให้เราเข้าถึงความเป็นสากลของโลกมากขึ้น"

"เห็น... ในสิ่งที่โลกเป็น"....

"มิใช่ เห็นแต่สิ่งที่เราอยากให้เป็น เห็นแต่สิ่งปลูกสร้าง เห็นแต่วัตถุ.. เฝ้าแต่หาสินทรัพย์

เพื่อให้ได้มา ซึ่งวัตถุ

หาได้เรียนรู้ไม่ ว่าภายนอก แท้จริงแล้ว โลกเป็นอย่างไร.."



และไม่เชื่ออย่าลบหลู่

"การเดินทางเยอะๆ ทำให้เราเห็น จิตใจ เรียนรู้จิตใจ ของตัวเราเองด้วย"



สิ่งที่ช่วยให้ผม สมหวัง สามารถเดินทางได้ แม้ตัวผมเอง จะเป็นคน งบน้อย หาได้มีความร่ำรวยแต่อย่างใด


ผมไม่มีเงินซื้อรถยนต์ ไม่มีเงินนั่งเครื่องบิน... แต่ผมหาได้น้อยใจแต่อย่างใด


เพราะผมมีเครื่องจักรแห่งความฝัน ไม่สิ ต้องเรียกว่า

เพื่อน.....

ที่แม้ราคาค่างวด ไม่ได้มากมายแต่อย่างใด แค่หมื่นต้นๆ ( มือสอง )


พาเปิดโลกทัศน์ได้ทุกหนทุกแห่ง ด้วยงบประมาณ แบบที่ คนเล็กๆ อย่างเรา พอจะมี...


แต่ผมไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซด์เพราะเรื่องเงินเป็นเหตุผลใหญ่ แต่เพียงอย่างเดียว...




แน่นอน ผมรักการขี่มอเตอร์ไซด์

รักความอิสระ รักสายลม แสงแดด ที่ปะทะหน้า .....

ไม่มียานพาหนะใดอีกแล้ว ที่ให้ความรู้สึกได้เช่นนี้


กระทู้นี้ ขอขอบคุณ Wave 100 ของผม ที่อยู่ด้วยกันมานาน พาไปทุกที่ ไม่ว่า กิน เที่ยว ทำงาน ทุกที่จริงๆ ....


My Wave 100 เจ้าแดง


++++++++++++++++++++++

ณ แยกอุดมชัย


เส้นทางการเดินทางของกลุ่มเรา ( ในไทยเดินทางกันเอง ไปเจอกันที่เชียงของ )

ปลายทางที่ตั้งใจ ซาปา ทิศเหนือของเวียดนาม

แต่เราไปไม่ถึงฝันครับ เพราะอะไร หรือเหตุใด ติดตามต่อไปครับ



นับจาก

ลาว

ด่านห้วยทราย - หลวงน้ำทา - ปากมอง - เมืองงอย - ด่านเวียดนาม - โพนทอง - ซำเหนือ - ด่านนาแมว - ซำเหนือ

เวียดนาม
ด่านนาแมว - แทงหัว - ฮานอย - ฮาลอง - ฮานอย - แทงหัว - ด่านนาแมว

ลาว
ซำเหนือ - เชียงขวาง - พูคูน - วังเวียง - เวียงจันทร์

ตามแผนที่ในรูปครับ

ระยะทางโดยรวม ประมาณ 4,000 กม ทั้งหมดครับ ( โดยรวมยานพาหนะ ทุกประเภท )




+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




แนะนำเจ้าแดงต่ออีกสักนิด ( ไหนๆ มันก็คือพระเอกของงานนี้ )

เมื่อ 3-4 ปีก่อน อยากได้มอไซด์ มาใช้งานสักคัน มองๆ ฟิโน อยู่เพราะสวยถูกใจ แต่ราคามือสอง เกือบๆ สามหมื่น ก็สู้ไม่ไหว 555

เลยมาได้ Wave 100 สีแดง มือสอง ในราคา 12,000 บาท

ถึงวันนี้ไม่เสียใจเลย บางที่ ที่เราไป ผมว่า ฟิโน่ คงไปได้ลำบากแน่ๆ


++++++++++++++++++


มาเข้าเรื่องทริปเลย

ตอนแรกก็แพลนว่า ปลายปี จะพา เจ้าแดงไปลาว อยู่แล้ว แต่ในเจอกระทู้นึงใน internet เจ้าทริปบอกว่า จะไป เวียดนาม และเมือง ซาปา

ความฝันในใจ ลุกโชนขึ้นมา

ซาปา เมืองในฝัน ที่อยากจะควบ เจ้าแดง คู่ใจ ไปให้ถึงให้ได้


ทริปนี้จึงเกิดขึ้น


ออกจาก กทม เตรียมของที่บ้าน ต่างจังหวัด แล้วอีกวันค่อยออก



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




ขอแวะถ่ายหลักกิโล นี้หน่อย เห็นชอบถ่ายกัน

ขอข้าม เส้นทางในไทยไปเลยละกันนะขอรับ

ผมว่า เส้นทางเหนือนี่ คงมีคนรีวิวกันเยอะแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยได้แวะไหนเท่าไร

เพราะรีบทำเวลาไปด่านเชียงของให้เร็วที่สุด


เพราะกลุ่มรออยู่ที่เชียงของตั้งแต่ 8 โมงเช้าแล้ว

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






ในที่สุด ก็มาถึงเชียงของจนได้

กว่าจะถึงก็เที่ยง คนอื่นรอกันจนเงก


รถผม บรรทุก 150 กิโล ซ้อนสอง ทำความเร็วสูงสุดได้ 80 เอง


ในที่สุดก็เจอกับ กลุ่ม

ในช่วงแรก มี 3 คัน รออยู่ในลาวแล้ว 1 คัน

รถมี
Wave 100( ผม และ เพื่อน ),
Suzuki Katana 125 ( พี่เหน่ง ผู้นำทริป ) ,
CBR 150 ( พี่ดุ๋ย Draco ของเรานั่นเอง )

รออยู่ในลาว
Tiger Cycle Cross 135 ( พี่โก้ )


ประเทศในฝัน อยู่ข้างหน้า เราแว้ววววววววววววว......... Go Go Go

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






นั่งแพข้ามฟาก เสียค่าข้าม 500 บาทไทย สำหรับรถมอเตอร์ไซด์


ดีใจจังวุ๊ย เจ้าแดง ได้โกอินเตอร์ครั้งแรก


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




สภาพถนน ในลาว ดีบ้าง

กรวดบ้าง

ฝุ่นบ้าง

หินลอยบ้าง

ทำความเร็วกันไม่ค่อยได้มากนัก


เข้าไปในลาว เจอมอเตอร์ไซด์ชาวบ้าน เสียกลางทางบ้าง ก็ช่วยบ้างไม่ช่วยบ้าง


มีรายนึง เป็นนักศึกษา ยางรั่ว เข็นขึ้นเขามาแล้ว 10 กิโล ต้องเข็นไปอีก 40 กว่ากิโล กว่าจะถึงหมู่บ้าน

ขี่กลับบ้าน 120 กิโลเมตร !!!!!!


พวกเราเลยช่วยกัน เปลี่ยนยางใน ให้ บริจาค ยางในไป 1 เส้นครับ

ความสุข จากการได้ช่วยเหลือ ผู้อื่น ....

มันสุขมากกว่าการได้รับเสียอีกนะครับ .....



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เราขี่กัน เรื่อยๆ ชิลๆ แวะเที่ยวตามหมู่บ้าน

แวะชมวิว ริมทาง ไปเรื่อยๆ

เราเข้าไปถามไถ่ เรียนรู้ พูดคุย ตามหมู่บ้าน

ให้ได้รู้ ว่าพี่น้อง เพื่อนบ้าน ร่วมโลกเรา อยู่กัน อย่างไร

กินกันอย่างไร

ใช้ชีวิตกันเช่นไร


ให้ได้รู้ ให้ได้เห็น ว่าที่โลกเป็น เป็นเช่นไร

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




ผู้คนเมืองลาว เหมือน ผ้าขาวที่เปื้อนฝุ่น แต่ไม่เปลื้อนคราบน้ำมัน

เนื้อตัว หาได้สะอาด ดูดีแบบชาวไทย ชาวกรุงไม่

แต่จิตใจ กับ รู้สึกได้ ถึงความเอื้อเฟื้อ จริงใจ รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ


รอยยิ้ม การกระทำของเด็กๆ ในชนบท อันห่างไกล สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





พียงแค่ได้เดินทาง สั้นๆ ในลาว วันแรก

ผมก็ได้รู้สึกว่า เราคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ได้มาเส้นทางนี้

ภายใต้ท้องฟ้า ที่กว้างใหญ่


ยังมีสิ่งให้เค้าค้นหาอีกมากมาย


ถ้าไม่ออกไป ก็ค้นไม่เจอ ประสบการณ์ใหม่ ยังรอเราอยู่ ใต้ฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่แห่งนี้

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






หลวงน้ำทา


คืนนี้เราพักกันที่หลวงน้ำทา ผมชอบเมืองหลวงน้ำทามาก เพราะให้ความรู้สึก

เป็นเมืองของนักเดินทางแบ็คแพ็ค


เหมือน ปาย สมัยก่อน


เป็นทางผ่านของนักเดินทาง เป็นเมืองที่ไม่ครึกครื้น หรือเงียบเกินไป มีวิถีชีวิต ของผู้คนท้องถิ่นผสมผสานกับ

สิ่งอำนวยความสะดวกที่ยังไม่มากเกินไป จนสูญเสียกลิ่นไอ แห่งเมืองลาว


อากาศที่เย็นสบาย ออกไปทางหนาวนิดๆ ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก


ยามค่ำคืน มีร้านหรือบาร์เปิดอยู่นิดหน่อย แต่งแต้มชีวิตยามค่ำคืน สำหรับนักเดินทางที่เดินทางมาตลอดวัน

ได้พักผ่อนแบบชิลๆ


ยามเช้า มีร้านกาแฟ มีร้านอาหาร ให้ได้กิน เคล้าอากาศเย็น และเดินเที่ยวชมชีวิตชาวลาว


พอถึง ยามเช้า เดินเที่ยว พอได้รู้ได้เห็น ก็ต้องล่ำลา เมืองหลวงน้ำทา เพื่อเดินทางต่อสู่ เมืองงอย

ที่พักที่ต่อไปของเรา


สะบายดี หลวงน้ำทา ..............




แวะเที่ยว ตลาดชาว ไทดำ ข้างทาง

ซึ่งขาย ผลไม้ หรือ อื่นๆ ตามที่หามาได้


ไทดำ หรือ ผู้ไท หรือ ลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่มหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไทเดิม
หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำ และแม่น้ำแดงในเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของ ชาวไทดำ ชาวไทแดง และชาวไทขาว

ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม และลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำว่า
ไทดำ ที่เรียกว่าไทดำ ไม่ใช่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำดำ

แต่เพราะว่ากลุ่มชนเผ่าไทดังกล่าว นิยมสวมเสื้อผ้าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งย้อมด้วยต้นห้อมหรือต้นคราม
การที่เรียกว่า"ลาวโซ่ง" จริงๆแล้วชนชาติพันธุ์ไม่ได้เป็นลาว
เหตุที่เรียกเช่นนี้เป็นเพราะว่ามีการอพยบผ่านลาว การเรียกว่า "ชาวโซ่ง" หรือ "ชาวไททรงดำ"
จะถูกต้องกว่า เหมือนที่มีการเรียกคนกลุ่มนี้ในจังหวัดเพชรบุรีว่า "โซ่ง" หรือ "ไทยทรงดำ"

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เราได้พูดคุยกับป้า ชาวไทดำ

และได้บันทึก VDO เก็บไว้

แกพูดว่า ดีใจที่มีคนไทย มาเยี่ยม อยากให้คนไทย มาเห็นชีวิตชาวไทดำบ้าง

เพราะเราต่างก็มีพื้นเพ เดียวกัน


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ในที่สุด เราก็เดินทางมาถึง

"ปากมอง"


ปากมองเป็นเมืองเล็กๆ เป็นเมืองผ่าน ถ้ามาจากอุดมไซ ทางแยกหนึ่ง
ก็จะไปหลวงพระบาง (ไปอีกราว 200 กม. ตามในรูปที่เห็น)

อีกทางหนึ่งก็ไปหนองเขียว ( เมืองงอย ) ปลายทางของเรา


กับเส้นทาง ยามเย็น ที่สวยงาม

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




"หนองเขียว"

เมืองที่สวยที่สุด ของลาว ตามความคิดผม


หนองเขียว เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมลำน้ำฮู หรืออาจเรียกอีกชื่อว่า
เมืองงอยใหม่ ที่นี่เป็นชุมทางรถ ชุมทางเรือ จากที่นี่สามารถนั่งเรือลงไปหลวงพระบางได้
หรือนั่งเรือทวนน้ำขึ้นไปเมืองงอย เมืองขวา ก็ได้

จุดเด่นของที่นี่คือสะพานข้ามลำน้ำฮู ที่สร้างสมัยสงคราม โดยมีฉากเป็นภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน
นักท่องเที่ยวนิยมค้างแรมกันที่นี่เพื่อชมทิวทัศน์สะพาน และขุนเขา



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




ยามเช้า สายหมอกที่ไหลเอื่อยๆ ล้อมรอบขุนเขา

งามเกินคำบรรยาย จะถ่ายทอดทางรูปภาพและตัวอักษรได้

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เราพัก ที่พักริมน้ำ ถูกๆ คืนละ 200 แต่บรรยากาศดีทีเดียว

ตอนเช้าก็ออกมาแวะกินร้านริมน้ำ ใกล้ๆ สะพาน

แล้วก็เดินเล่น สูดอากาศยามเช้า


เวลาของคนลาว คงจะเดินช้า กว่าคนไทย ที่นี่ ไม่ต้องทำอะไรเร่งรีบ

มีวิถีชีวิต ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ

แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่า เวลา มันเดินเร็วเหลือเกิน เวลาแห่งความสุข ทำให้อะไรรอบตัวเร็วไปเสียหมด



เพราะฉะนั้น เวลาในชีวิตของคนเรา มีไม่มากนัก อยากทำอะไร ก็รีบทำซะ

จะได้ไม่เสียใจภายหลัง

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เช้าวันต่อมา

หลังจากเดินเที่ยว จนหนำใจแล้ว ก็ออกจากหนองเขียว


เดินทาง มาถึง ชุมชนข้างทางแห่งนึง จอดรถเติมน้ำมัน และคุยกับชาวบ้าน


ได้เบาะแสว่า มีด่านเวียดนาม เปิดใหม่เป็นด่านสากล แยกไปตามทางลูกรัง-ดิน ในรูปด้านล่างประมาณ 100 กิโลเมตร

( เส้นทางไม่มีในแผนที่ )

ช่วยย่นระยะทาง การไปซาปา ได้ 3-4 วันเลยทีเดียว .......


เราประชุมกันว่า ไปดีมั๊ย


ไม่ลองไม่รู้....


มีหรือที่เราจะไม่ลอง


จัดปายยยยยย..........


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






สภาพเส้นทาง อย่างที่เห็น

หินลอย ฝุ่นหนาๆ

ทำให้รถในกลุ่มล้มไปหลายครั้งเหมือนกัน

นอกจากนั้นยังลาดชัน จนต้องลากเกียร์ 1 ขึ้น

รถสวนมาที นึง นี่หันหน้าหลบฝุ่น กันเกรียว เนื้อตัว เต็มไปด้วยฝุ่น สภาพดูไม่ได้เลยทีเดียว

ยางก็รั่วกันบ้าง เปลี่ยนยางกันกลางทาง ตามหมู่บ้าน มีชาวบ้าน มาให้กำลังใจกันเป็นแถว 5555



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





100 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่งประมาณ 5 ชั่วโมง


มาถึงด่านเวียดนาม ยามเย็น ตะวันเริ่มทอแสงอ่อนๆ

คำตอบที่เราได้รับ คือ...

ด่านนี้ เพิ่งเปิด ไม่ใช่ด่านสากล

มอเตอร์ไซด์ไม่สามารถผ่านไปได้


เอาหล่ะวา วิ่งมา 100 กิโล ไปไม่ได้ซะแล้ว

แต่ไม่ซีเรียส


เมื่อไม่มีทางออก ก็ออกทางเข้า


วิ่งกลับ แต่ 100 กิโล วิ่งกัน 5 ชม ขากลับ คงกลับไม่ถึง


วิ่งกันมืดๆ กลับไปหมู่บ้านเล็กๆ กลางทาง เพื่อหาที่พัก


วิ่งทางนี้ มืดๆ เป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริงๆ หินก็มองไม่ค่อยเห็น ทางก็ชัน


ใส่เกียร์ 1-2 กันอย่างเดียว


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




ย้อนกลับไปประมาณ 30 กิโล วิ่งกันเกือบ 2 ชั่วโมง

เห็นแสงไฟ ไม่กี่ดวง เหมือนสวรรค์มาโปรด


ที่โชคดียิ่งกว่า อำเภอที่เหมือนหมู่บ้าน ( มีบ้านไม่กี่หลัง แห่งนี้ มีห้องพัก )

ไม่น่าเชื่อ ใครจะมาพักฟะเนี่ย อำเภอที่ห่างไกลขนาดนี้



ที่สำคัญ ยามค่ำคืน


หนูวิ่งกันยั๊วะเยี้ยะ อยู่หัวเตียง ร้องจี๊ดๆๆๆๆ



เกือบจะนอนไม่หลับแน่ะะะะ


เช้าเลยรีบแผ่นแนบ แต่เช้า เพราะต้องออกให้พ้นจากทางฝุ่น ( แต่สวยงาม ) เส้นนี้

และไปให้ถึงเมือง ซำเหนือ ซึ่งมีระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร !!!!!!
+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





แม้เราจะผิดหวังกับการเข้าเวียดนาม

แต่ไม่ผิดหวังกับเส้นทาง สายนี้


เส้นทางที่ไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่นี้

มีธรรมชาติ ที่งดงาม เนื่องจากความสูงของเส้นทางนี้


เส้นทางสายนี้ จึงเป็น


เส้นทาง สายทะเลหมอก


ที่อยู่เมืองไทย เที่ยวแล้ว เที่ยวอีก หาเท่าไร ก็หาไม่เจอ


ที่นี่ ขี่ไป ขี่ไป เจอทะเลหมอก ตลอดเวลา


ขอบคุณเส้นทางสายนี้ ที่มองธรรมชาติ ที่สวยงาม ให้เป็นบุญตา

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





น่าเสียดาย

ที่กล้องและฝีมือผม


ไม่สามารถถ่ายทอดความงดงาม ของธรรมชาติ ได้อย่างที่ตาเห็น....


มีเพียงความทรงจำเท่านั้น ที่มีต่อเส้นทางสายนี้.....


เราเชื่อว่า พวกเรา น่าจะเป็นคนไทย กลุ่มแรก ที่วิ่งมาเส้นทางสายนี้



พี่คนนึงในกลุ่มบอกว่า เส้นทางนี้ โหดกว่าเส้นทางจากห้วยโก๋น - อุดมไชย ( ถ้าจำผิดโปรดอภัย ) ที่เป็นทางฝุ่นเหมือนกัน



นับว่าเป็นประสบการณ์ ทางฝุ่นเล็กๆ สำหรับผมครับ


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เมื่อออกสู่ เส้นทางหลัก ไป "ซำเหนือ"


สิ่งแรกที่เราหาคือ ร้านอาหารข้างทาง


ได้เจอร้านข้างทาง สวยๆ วิวดีๆ ราคาถูก


จริงๆ ถนนสายนี้ วิ่งเรียบแม่น้ำ ร้านอาหารจึงวิวสวยเกือบทุกร้าน


เราขอเข้าไปดูการทำอาหารของคนลาว

ว่าเป็นอย่างไร



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




กินข้าว เคล้าวิวสายน้ำ

สายน้ำ กับ ชาวลาว ดูจะเป็นของที่ตัดกันไม่ขาด


เมืองบางเมือง ของประเทศลาว ยังต้องเดินทางด้วยทางน้ำ เพียงอย่างเดียว

ไม่มีถนนไปถึง


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





จากชนบท จนถึง เมืองอันแสนสงบ



เส้นทางอันยาวไกลในวันนี้

เราวิ่งผ่านหุบเขา หุบเขาเล่า


จากชนบท สู่เมืองซำเหนือ


กว่าจะถึง ก็ค่ำและหนาว


"เมืองซำเหนือ"

เมืองชายแดน ลาว - เวียดนาม ที่น่าจะอยู่บนเขา ( ดูจากแผนที่ ) ห่างจากชายแดนเวียดนามประมาณ 90 กิโล

เป็นเมืองที่เราเจออากาศหนาวเย็นที่สุด ในทริปนี้ ที่เราเจอ

หนาวจนไม่สามารถออกจากห้องได้

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ตื่นเช้ามา

อากาศหนาวเย็น....

ได้เวลาหาอะไรอุ่นๆ กินกัน .....

และเดินเล่น ชิลๆ ดูชีวิต ผู้คน ...


เมืองนี้เป็นเมืองสงบ และไม่ใช่ทางผ่าน เส้นทางการท่องเที่ยว

เลยแทบไม่เจอคนไทย


เพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็คงหยุดแค่หลวงพระบาง เท่านั้น คงไม่มาถึงนี่

เพราะห่างจากเวียงจันทร์ น่าจะประมาณพันกิโล

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+



เส้นทางที่ไม่สมหวัง แต่ไม่ได้ผิดหวัง..............



อย่างที่บอก กลุ่มเรา มีเป้าหมาย ที่เมืองซาปา ประเทศเวียดนาม

สำหรับผม มีความฝัน คือ


พาเจ้าแดง ไปให้ถึงเวียดนาม


ดินแดน ที่ผู้คนใช้มอเตอร์ไซด์ มากที่สุดประเทศหนึ่ง...


ไปให้ถึงเมืองซาปา ทิศเหนือสุดของ เวียดนาม ติดกับ จีน...


ไปให้ถึง เมืองในสายหมอก ที่โด่งดัง...


ไปให้ถึง เมืองที่ผู้นำทริปของเรา ( พี่เหน่ง ผู้ขี่ Suzuki Katana 125 ) เคยควบสองล้อไปถึงมาแล้ว


แต่แล้ว โชคชะตา ก็ไม่เข้าข้างเรา

เมื่อเจ้าหน้าที่ด่าน นาแมว ที่เราหมายมั่น ปั้นมือว่า "ด่านนี้ อนุญาตให้มอเตอร์ไซด์ ผ่านได้แน่ๆ"


ไม่อนุญาต ให้เราผ่านได้.....................


ผมขี่รถกลับ อย่างเสียดายมากเหมือนกัน ที่ไม่สามารถ พาเจ้าแดง ไปตามฝันที่คิดไว้ได้

Wave 100 's Dream [ Not come true ]

พอคิดได้


ก็ไม่เสียดาย นะที่มา อย่างน้อยก็มาได้ถึงที่นี่ ชายแดน ประเทศเวียดนาม ได้พบมาเห็นภูมิประเทศอันสวยงาม ของลาว...


พี่ดุ๋ยบอกว่า

"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถ้าพลาด... ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว"
"ขี่รถให้ถึงซาปา ถ้าพลาด... ก็ยังอยู่ท่ามกลางเมืองลาว"

พวกเราก็ขี่รถกลับซำเหนือ ท่ามกลางความหนาวเย็น ยามค่ำคืน 100 กว่ากิโล

คืนนี้เป็นคืนที่หนาว ยะเยือกมาก เหมือนในใจเรา...



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





หลังจาก นั้น

เราก็ได้คุยกันว่า จะเอางัยดี จะไปทางไหนดี

พี่เหน่งเสนอว่า จะไปลองด่านอื่นอีก ลงใต้ไปเรื่อยๆ ห่างไปอีก 200 กิโล มีด่านอีกด่านหนึ่ง

ส่วนพวกเรายังคิดไม่ออก

ถ้าดูจากแผนที่ นาแมว ว่าไกลจากซาปา มากแล้ว ( คิดว่าเกือบ 700 กิโลมั๊ง )

ด่านที่ว่าอีกหลายด่าน ไปทางใต้ ยิ่งไกลจากซาปา ( น่าจะเฉียดพันกิโล ) เข้าไปอีก

ด้วยระยะเวลาที่ผมมี คิดอย่างไร ก็ไม่มีทางไปซาปาได้ทัน


เพราะเข้าด่านไหน ก็ต้องควรออกด่านนั้น เพราะเสี่ยงต่อการออกไม่ได้อีกเหมือนกัน


ผมมีเวลาแค่ 14 วันเท่านั้น ต้องรีบกลับไปทำงาน ณ วันนี้เราก็เดินทางมาด่านนี้ 7 วันแล้ว

เหลืออีกแค่ 7 วันเท่านั้น กับระยะทางที่จะไปซาปา ถ้าข้ามด่านได้ ยังงัย ก็ไม่ทัน


คิดไปคิดมา ก็ตื้อไปหมด


ผมก็คิดว่า เหลืออีก 7 วันขี่เที่ยวในลาวให้หมดก็ได้ เส้น เชียงขวาง-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทร์


..................



เช้ามา พี่โก้มาเคาะห้อง บอกว่า นอนคิดทั้งคืน


มาถึงนี่แล้ว เวียดนาม อยู่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าไม่ได้เอามอไซด์เข้าไป อย่างที่หวัง

นั่งรถประจำทางกันไปมั๊ย........



คิดครึ่งนาที ตอบ ok ไปก็ไป


สุดท้ายมีพี่เหน่ง ที่อยากลองขี่มอไซด์เข้าให้ได้ เพราะพี่เหน่งมีอุดมการณ์ที่แรงกล้า

เลยขอแยกไปคันเดียว คนเดียว เพื่อลอง ด่านต่อๆ ไป


พวกเราเลยเหลือ 4 คน...


นั่งรถประจำทาง เข้าสู่เวียดนาม



ป.ล. ไม่ใช่คันในรูปนี้นะ แต่คันนี้มันดู คลาสสิค ดีใช้รูปนี้ละกัน
+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เวียดนาม ดินแดน 2 ล้อ


เราต้องนั่งรถย้อนรอยเมื่อวาน จาก เมืองซำเหนือ ไปยังด่านนาแมว อีกครั้ง ระยะทางเกือบๆ 100 กิโล

และจากด่านนาแมว ไปยังฮานอย ประมาณ 300 กิโล รวม 400 กว่ากิโล

ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 15 ชั่วโมง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


เป็นอะไรที่ทรมาณมากๆ ทรมานยิ่งกว่า ขี่มอเตอร์ไซด์ทั้งวันเยอะ.....

ชาวเวียดนาม ขอพูดตรงๆ ว่า ไม่ประทับใจ

ตุกติก เป็นที่สุด เรื่องค่าโดยสาร ที่โดน charge กว่า 2.5 เท่าของปกติ

พอลงรถโดยสารปุ๊บ


ขึ้นแท็กซี่ ก็โดนโกงในทันที

นั่งไป 1 กิโลเมตร มิเตอร์ขึ้น 200 กว่าบาท...............


พวกเรา 5 คน ( 4 คนและหญิงฝรั่งคนนึง เจอบนรถโดยสาร คุยและร่วมทางกันมา )

รีบลงจากแท็กซี่นั้นทันที และโวย และจ่ายแค่ 100 บาทเท่านั้น แท็กซี่ทำท่าเป็นโวย แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้

( โกงเราแล้วยังโวยอีก )...

พวกเราต้องการไปพัก แถว Old quater ถนน Hang cot

ก็ทดลองขึ้น Taxi อีกคันนึง เหลือบไปเห็นสติกเกอร์ ว่า Taxi ใน Hanoi นี้ 8,500VND/KM

ราคานี้คือประมาณ เกือบๆ 20 บาทต่อกิโล


พวกเรา ok เทียบกับ 1 กิโลเมตร / 200 บาท


หาโรงแรม นอนและตื่นเช้ามา เพื่อเดินทาง Hanoi ยามเช้าแป๊บนึง และเตรียมตัวไป

Halong Bay


อ้อ ที่ว่า ที่นี่เป็นดินแดน 2 ล้อเพราะ คนเวียดนาม

นิยมการขี่จักรยาน และ มอเตอร์ไซด์มากกว่า ขับรถยนต์


2 ล้อ จึงมีมากมาย มหาศาล

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ฮาลอง เบย์ ทะเล ในม่านหมอก


อากาศในเวียดนาม ค่อนข้างต่างจาก ลาว


ลาว อากาศจะหนาวแบบ แห้งๆ

เวียดนาม อากาศเย็น แบบชื้นๆ คือ มีหมอกปกคลุมเกือบตลอดวัน แต่ถ้าขับรถก็จะมีน้ำมาเกาะเรา
เหมือนว่า ประเทศเวียดนาม อากาศเย็น แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเล ทำให้มีความชื้นสูง ทำให้เกิดฝน ( ที่เม็ดเล็กมากๆ ไม่เหมือนบ้านเรา )
จากหมอก


วันนี้ เราจะไปยัง เมืองท่า ฮาลอง

เพื่อไปเที่ยว อ่าว ฮาลอง หรือที่รู้จักกันทั่วโลก ในนาม ฮาลองเบย์

การเดินทางก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเช่นเคย เมืองฮาลอง อยู่ไม่ไกลจาก ฮานอย ไม่น่าเกิน 100 กม

แต่ใช้เวลาเดินทาง 3 ชมกว่า !!!!!!!


ถนนในเวียดนาม นี่สุดจะบรรยาย พลุกพ่าน ไม่มีระเบียบ แซงยาก ทำความเร็วได้ช้าเหลือเกิน......



เมื่อถึง ฮาลองเบย์ ก็ซื้อตั๋ว ล่องเรือออกไป


ทิวทัศน์ ของ ฮาลองเบย์ เหมือน เขาสก+พีพี ที่มีสายหมอก


โรแมนติกไปอีกแบบ


ก็จัดว่า ok บรรยากาศแปลกตา สวยใช้ได้


เที่ยวครั้งนี้ มีทั้งภูเขา ทั้งทะเล คุ้มจริงๆ ........


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





แต่อย่างไรก็ตาม

มาเมือง 2 ล้อ

คนรัก 2 ล้อ อย่างเรา จะใช้อะไรเป็นพาหนะหล่ะ


5555555555


คำตอบก็คงไม่ต้องบอก

ก็ 2 ล้องัย


ตะลุย เวียดนาม ด้วย 2 ล้อ

ป.ล. สังเกตุ รอยขาดกางเกง พี่ดุ๋ย ข้างนี้ยังน้อยนะ อิอิ จอมยุทธ ต้องมีบาดแผล

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ภารกิจ ครั้งนี้ คือ ตะลุยกิน ตะลุยเที่ยว



ตะลุยกิน


กินดะ ข้างทางเนี่ยแหล่ะ มีอะไร ลองไป


อยากกิน อะไร ลองให้หมด


ชีวิตชาตินี้ เกิดหนเดียว ตายหนเดียว อยากเกิดอีกที ก็ชาติหน้า อยากตายอีกที ก็ชาติหน้า


อยากทำอะไร ทำไป...

อยากกินอะไร กินไป....


จัดไป อย่าให้เสียชาติเกิด.......



ภาพบน หมูกระทะ ( หรือเปล่า ) แสนแพง ( โดนฟัน ไม่ถามราคาก่อน )

ภาพล่าง คล้ายๆ ปอเปี๊ยะ ชาวเวียดนาม กินกันยามเช้า พร้อมน้ำซุปเค็มๆ อร่อยดี



ร้านอาหารในเวียดนาม ที่เราลอง ส่วนมากเป็นร้านข้างถนน ตั้งโต๊ะเตี้ยๆ เยอะไปหมด....


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





และที่ขาดไม่ได้

กาแฟ....


กาแฟร้อน หอมกรุ่น สักแก้ว เคล้าบรรยากาศทะเลสาบ West lake อันกว้างใหญ่

สายหมอกพร้อมลมเย็นๆ


โอ้ยยยย มีความสุขจริงๆ .....




ป.ล. กาแฟเวียดนาม จะเข้มข้น และหอมกรุ่นมาก ผมชอบกาแฟเวียดนาม
และราคาก็ไม่แพง แก้วละ 25 เอง กับร้านบรรยากาศสวยๆ แบบนี้


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+







นั่งชิล และชมวิวไปเรื่อยๆ

บรรยากาศดีมั๊กๆ

เสร็จแล้ว ก็ควบ Suzuki Viva 110 ควบเที่ยว Hanoi ต่อไป

แหม รถ 110cc นี่แรงบิดมันดีจัง ต่างจาก 100cc อย่างเจ้าแดง อย่าพอรู้สึกได้




ทำงัยได้ เรามันคนเงินน้อย ก็ต้องขี่ร้อยซีซี ต่อไป

ก็ได้แต่หวังว่า อีกสัก สอง สามปี จะมีเงินเก็บพอถอยรถ 110 หรือ 125 สักคัน

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






ตึกราม บ้านช่อง ในฮานอย

บางส่วนจะใช้สถาปัตยกรรม ชิโน-โปรตุกีส ( หรือเปล่า )

คล้ายๆ ทางภูเก็ต แต่มีเยอะกว่า


อิทธิพลน่าจะมาจากสมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ขี่ไปให้ทั่วทุกมุมเมืองของฮานอย


มอเตอร์ไซด์ก็ดีอย่างนี้ ไปได้หมด จอดได้หมด รวดเร็ว ประหยัด


ถ้าเป็นรถยนต์ วันนึงก็คงไปได้ไม่กี่ที่เท่านั้น เพราะรถติด




แต่ ขี่มอเตอร์ไซด์ในฮานอยนี่สุดๆ จริงๆ รถมอเตอร์ไซด์เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


บางแยกไม่มีไฟแดง ขี่ตัดกันเอง หลบกันเอง


บอกตามตรง ขี่ใน กทม มาก็หลายปี


มาขี่ที่เวียดนามยังเกร็ง....



+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





โฮนฮว่านเกี๋ยม

อีกหนึ่งทะเลสาบในตัวเมืองฮานอย


ที่หนุ่มสาว มักมานั่งกัน


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





เห็นคนเวียดนาม ขี่รุ่นนี้กันเยอะ

และสวยดี

ที่สำคัญ เครื่องยนต์หัวฉีด 150cc รูปทรงสวยงาม น่าสนใจดี

Honda SH 150i

เลยถามร้านว่าเท่าไร


คำตอบคือ....



6,300 U.S. Dollars !!!!!!!!!!!!!!!!!!


พระเจ้า สองแสน บาทททททท


ทำไมคนถึงได้ขี่กันเยอะขนาดนี้ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก


ราคาซื้อเจ้าแดงได้เป็น 10 คันเลยทีเดียว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


อิจฉาคนเวียดนาม มีรถมอเตอร์ไซด์ให้เลือกหลายรุ่นมากๆๆๆๆ


ผิดกับประเทศเรา มีไม่กี่รุ่นเอง เหอๆ แต่ผมก็ไม่มีเงินอยู่ดีแหล่ะ ไม่อยากผ่อนรถแล้วไม่มีเงินเที่ยว....


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






บอกตามตรงว่า ตอนอยู่ในเวียดนาม

อยากกลับลาวมาก เพราะอยู่ลาวแล้วสบายใจกว่า อยู่เวียดนามมาก...


ผู้คนน่ารัก ซื่อตรง นิสัยดี ตรงข้ามกับคนเวียดนามที่เราเจอ โกงได้โกง ตุกติก เอาเปรียบได้ตลอด....


แถมสื่อสารกันไม่ค่อยได้ แม้แต่ภาษาอังกฤษ.....


แต่น่าเสียดาย ที่วันสิ้นปี เราต้องนอนที่ จังหวัด Thang Hoa ซึ่งไม่น่าอยู่เลย

เพื่อรอนั่งรถกลับ ซำเหนือ ซึ่งมีรอบเดียว เราพลาดไม่ได้ เพราะถ้าพลาด ก็ต้องรอวันจันทร์เลย

เช้าวันปีใหม่ ก็ต้องนั่งรถทั้งวัน ถึงซำเหนือ ก็ 2 ทุ่ม


เช้าวันต่อมา ดีใจมาก ที่ได้กลับมาขี่มอเตอร์ไซด์อีก...


ออกจากซำเหนือ ตอนเช้า ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นๆ วิวสวยๆ ของขุนเขาเมืองลาว

สวรรค์จริงๆ.........




+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+







แต่ชีวิตมนุษย์มันก็อย่างนี้แหล่ะ


การจะไปถึงที่หมายที่ได้สักที่...


บางทีอันก็มีอุปสรรค ที่ไม่ควรเจอ บางทีมันก็เจอ..


มันก็ไม่ราบเรียบเสมอไป...


แค่เรายอมรับ ว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ

มันก็เป็นรสชาติ รสชาติหนึ่ง...


เหมือนขี่มอไซด์

เส้นทางมันก็ไม่ราบเรียบ ตลอดเวลา

มีหลุม มีบ่อ ให้ตะกุกตะกัก กันบ้าง ( ดันร่วงร่อง )

มีน้ำ ให้เปียกกันบ้าง ( จริงๆ มันไม่น่าเปียก ดันไปเจอหิน กลางน้ำ รองเท้าเปียกเลย )

แค่จะดูน้ำตกแค่เนี้ยะ ก็ลุยๆ กันไป


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+







จุดหมายปลายทางของเรา ในวันนี้

เราต้องไปให้ถึงเมือง เชียงขวาง


เพราะว่า ใกล้วันทำงานของผมแล้ว แต่ละวัน จึงต้องทำเวลากันพอสมควร


วิ่งได้ได้วันละเกือบๆ 300 กิโลเมตร เพราะต้องรีบกลับเวียงจันทร์ เพื่อข้ามไปฝั่งไทย


เวลาเหลือนิดเดียว ทำให้ไม่สามารถไปหลวงพระบางได้ทัน

แต่ไม่เป็นไร หนหน้าจะมาใหม่

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+




แวะพักกลางทาง ที่เมือง เวียงคำ ( หรืออะไรสักอย่าง )


เป็นเมืองริมน้ำ กลางหุบเขาสูงชัน สวยทีเดียวเมืองนี้

ถ้ามีเวลาก็อยากนอนพักอยู่ที่นี่เหมือนกัน


สูงชันแค่ไหน ดูรถประจำทางที่วิ่งตามเรามาตามทางลงเขาก่อนถึงเมืองนี้

เบรคควันโขมงไปหมด

คนรถเอาน้ำมาลาด ( ลาดน้ำแบบนี้ไม่เป็นไรหรอเนี่ย!!!! )


แล้วก็แวะพักกินข้าว เรามักจะเลือก ร้านที่มีฝรั่ง จะได้สนทนาว่าไปเที่ยวไหนกันมาบ้าง

ฝรั่งที่เจอส่วนมากจะเช่ารถมาจากเวียงจันทร์

รถก็จะเป็นพวก Honda XR250, Baja, FTR

สวยดี อยากได้สักคันเหมือนกัน แห่ะๆ

แต่ก็ไม่มีความรู้จะหาอะไหล่ได้ป่าวนะ ในบ้านเรา


แล้วจะขี่เที่ยวไกลๆ ได้ป่าวนะ

รถคันไหน ที่ขี่เที่ยวไม่ได้ หรือมีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง ผมต้องขอผ่านก่อน เพราะงบน้อย




+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





และเราก็มาถึงเชียงขวาง

เมืองที่มีทุ่งไหหิน

ยามเช้าอันสงบ ราบเรียบ ในสายหมอก

พระพุทธศาสนา ยังคงเป็นแกนหลักที่สำคัญของการดำเนินชีวิตของคนลาว


สังเกตจากจำนวนคนใส่บาตร ยังเยอะกว่าบ้านเรา


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ระหว่างทางลงเขา ที่ราบเชียงขวางอันกว้างใหญ่

และทุ่งไหหิน

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ออกจากเชียงขวาง ขึ้นเขาอีกครั้ง

สู่สามแยกภูคูน เส้นทางสายโรแมนติก เวียงจันทร์-หลวงพระบาง

เส้นทางสายนี้สวยจริงๆ โดยเฉพาะจากภูคูน-วังเวียง


วันนี้เราต้องไปให้ถึงวังเวียง


ได้ผ่านจุดชมวิว "ผาเจ๊า"
เขาหินปูนที่ยิ่งใหญ่เหมือน ดอยหลวงเชียงดาว สูงโดดขึ้นมาเหนือใคร


ที่นี่สวยจริงๆ แต่เสียดาย เรามาถึงตอนบ่ายๆ แดดแรงจัดมาก

ถ่ายรูปยังงัยก็ไม่สวย

ถ้าได้มานอนที่นี่ ชมทะเลหมอกยามเช้า มีผาเจ๊าโผล่มาคงสวยไม่น้อย...

หรือว่า ยามเย็น พระอาทิตย์ตกหลัง "ผาเจ๊า" ที่สูงตะหง่าน คงจะสวยไม่น้อย...


ข้อเสีย ของการเที่ยวไปเรื่อยๆ แล้วมีเวลาน้อยก็อย่างนี้ คือไม่สามารถเก็บรูปที่สวยๆ ได้


เพราะไม่มีเวลารอแสงสวยๆ ผ่านไปก็ถ่ายๆ ไป เก็บไว้เพียงความทรงจำ


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






เส้นทางสายนี้ สวยจริงๆ ครับ

นี่ถ้าไม่ได้ไปฮานอย คงมีเวลา ซึมซับ ความงดงาม ของเส้นทางสายนี้ ได้อย่างเต็มที่


ดูเส้นถนนที่ทอดยาว ลากผ่านขุนเขาสิครับ สวยมากๆๆๆๆๆ

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





ถัดจากขุนเขา ที่ยิ่งใหญ่


ถนนลอยฟ้า


ก็ถึงถนน ในหมู่เขา เรียบลำธารที่ไหลเอื่อย...


โอ้ยยยยยย จะสวยไปถึงไหนนะ เส้นทางสายนี้...


ถ้าเป็นได้ขอมาอีกครั้ง สำหรับเส้นทางสายนี้....


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





กำลังจะถึง "วังเวียง"

ปายเมืองลาวแล้ว


ตอนนี้ ได้มีรถแยกทางกลับบ้าน โดยแยกกันที่ แยกภูคูน ขึ้นหลวงพระบาง

และเข้า จ. น่าน ทางไชยบุรี - ด่านห้วยโกร๋น

ทำให้ตอนนี้ สมาชิก เหลือ 2 คัน คือ รถผม และ พี่ดุ๋ย Draco ครับ

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+





วังเวียง

เมืองที่คล้าย ปายบ้านเรา

มีสายน้ำ มีภูเขา

ทำให้ได้รับความนิยมจากฝรั่ง

จนปัจจุบัน มีสภาพคล้าย ถนน ข้าวสาร ไปทุกวัน...


แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นเมืองที่สวย เมืองนึงทีเดียว

ด้วยความงดงาม ของ สายน้ำ และเขาหินปูน


+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






จากวังเวียง ถึง เวียงจันทร์

ถนนค่อนข้าง เป็นทางราบ และมีเป็นชุมชน


วันนี้อากาศร้อนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อยู่บนเขา ซะเคยตัว พอเจอที่ราบ แทบทนร้อนไม่ไหว


เข้าเวียงจันทร์มา ก็มาประตูชัยเลย

และที่นี่เอง เกิดเหตุการณ์ ไม่คาดคิดขึ้น กระเป๋าตังค์ หาย เงินหายเกลี้ยงเลย

เงินเก็บทั้งหมดของผม T_T

แต่ ของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่ได้ เครียดอยู่ 10 นาที ก็ทำใจได้....

อุตส่าห์เก็บเงินได้ 1/3 ของราคา Fino แล้วนะเนี่ย เริ่มเก็บใหม่ อีก 2 ปีน่าจะซื้อ Fino ได้........


พอกระเป๋าตังค์หาย ก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปครับ มัวหากระเป๋าอยู่ จะบอกว่า Passport เพื่อนหายด้วย

เลยวุ่นวาย จัดการเข้า การเข้าเมืองแบบเถื่อนๆ แบบแอบ เข้ามา เพราะไม่เหลือเงินเลย...

โชคดี Passport ผมไม่หาย เลย สามารถพาเจ้าแดงกลับมาได้....

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+






สุดท้ายนี้ ขอจบทริปแบบห้วนๆ เพราะทำต่อไม่ไหวแล้วครับ ต่อจากนี้ไม่มีอะไร ไม่ได้ถ่ายอะไรเลย เพราะมัวจัดการเรื่องต่างๆ และกลับรถไฟด้วย







สุดท้ายนี้ ก็อยากขอบคุณ ทุกๆ ท่าน ที่สละเวลาอ่านกระทู้ผมครับ

ขอบคุณ พ่อแม่ ที่ให้โอกาสลืมตามาดูโลกสวยๆ ...

ขอบคุณประเทศไทย ที่ให้ผืนแผ่นดิน ได้อยู่อาศัย อย่างภาคภูมิ...

ขอบคุณตัวเอง ที่อย่างน้อย ก็เกิดมา มีความสุขถึงทุกวันนี้

ขอบคุณเจ้าแดง ที่พาเที่ยว ไม่มีบ่น ไม่มีงอแง


และขอบคุณโลก ที่มอบสิ่งสวยงาม ทิ้งไว้ ให้พวกเรา ได้ค้นหา

ได้ออกไปดู


แล้วพวกเราก็จะรู้เอง ว่าโลก งดงามแค่ไหน......



++++++++++++END+++++++++++






 

Create Date : 19 ธันวาคม 2553   
Last Update : 4 เมษายน 2559 22:40:29 น.   
Counter : 4298 Pageviews.  


แบกเป้ท่องเที่ยวเส้นทางวงกลมแม่ฮ่องสอน

24 - 28 พฤศจิกา 2550

เลิกงานตอนเย็น รีบกลับอพาร์ทเม้นไปจัดข้าวของเตรียมเดินทาง ด้วยความที่เบื่อกรุงเทพมาก ขอให้ได้ไปไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่กรุงเทพ ( ปล หนุ่มบ้านนอกคอกนา ไม่รู้จะไปไหนใน กทม ห้างก็ไม่ชอบ ผู้คนเยอะเิกินไป หน้าตาเหียกๆ อย่างผมก็คงไม่เหมาะกะห้าง สาวๆ หน้าตาดีๆ แต่งตัวเปรียบกะจะไปเดินแฟชั่นบน catwalk ซักเท่าไร T_T เข้าป่า เข้าดอยดีฝ่า หุหุ )

ไอ้เพื่อนตัวดีผม ที่นัดแนะกันมาอย่างดี ก็ดั๊นมาผิดสัญญา เอาฟะ ไปคนเดียวก้อด้ายยยย ปกติก็ไปกะเพื่อนๆอยู่แล้ว นานๆ ลุยเดี่ยวบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ได้ลุยเดี่ยวมาเกือบปีแล้ว เอาฟะ..

ว่าเข้าแล้ว ก็แบกเป้ไปหมอชิตทันที เป้อันเ่ท่าบ้านเ่ท่าเมือง เ้ต้นท์เอย ของเอย เอาไปให้เยอะที่สุด เหลือดีกว่าขาด สรุปเปรียบได้กับ คนบ้าออกกรุง -_-'

สรุปไ้ด้รถทัวร์ของสมบัติทัวร์ ผมชอบสมบัติทัวร์ เื่นื่องด้วยราคาย่อมเยากว่าชาวบ้าน เบาะนั่งสบายกว่าชาวบ้าน แถมมีแบบเตียงนอนด้วยนะ ที่ผมบอกว่า ราคาย่อมเยาก็เพราะสมบัติทัวร์คิดราคารถ 32 ที่นั่ง ราคา ป.1 ไม่เื่ชื่อลองขึ้นรถ ป. 1 ของสมบัติแล้วลองนับที่นั่งสิ ว่าเท่ากับรถ VIP 32 ที่นั่งของเจ้าอื่นมั๊ย แต่คิดราคา ป. 1 ซึ่งถูกกว่า แถมที่นั่งยังกว้างกว่า เื่นื่องจากสมบัิติทัวร์จะทำห้องน้ำ โ้ค้งๆ เล็กๆ ทำให้ใช้พื้นที่ท้ายรถน้อย เลยมีพื้นที่กลางรถเยอะ ที่วางเท้า กว้างกว่านครชัยเยอะ ( ไม่ได้รับค่าโฆษณามานะ แ่ต่ลองมาทุกยี่ห้อแล้ว สาย เีชียงใหม่-กทม เนี่ย จริงๆ ไม่น่ามาบอกนะเนี่ย เดวคนไปแย่งสมบัติทัวร์ของผม แล้วผมจะไม่มีรถไปเที่ยว T_T)

ถึงเ้ชียงใหม่ ก็ตอนเ้ช้า( 24 พ.ย.)พอดี ตาโหล ทันทีเพราะปกติก็เป็นคนนอนยากอยู่แล้ว บนรถทัวร์ก็จบกัน ใช้เวลาที่อาเขตคิดอยู่สักครู่ว่า จะไปแม่ฮ่องสอนยังงัยดี นั่งรถตู้ไป หรือรถทัวร์ หรือรถเมล์ดี ได้บรรยากาศ ( หลายคนคงแปลกใจว่า ทำไมผมไม่นั่งรถทัวร์ไปแม่ฮ่องสอนเลยฟะ หมดเรื่อง คือผมไม่มีแพลนมา่ก่อนครับ ว่าจะไปไหนดี คิดไรไม่ออกก็ไปเชียงใหม่ไว้ก่อน ถิ่นเ่ก่า ) สุดท้าย คิดว่า มีเวลาน้อย ขืนนั่งรถพวกนั้นก็จบกัน จะไหนแ่ต่ละีที่ก็ลำบาก

มอเตอร์ไซด์จึงเป็นคำตอบ ไอ้ผมก็ขี่มอเตอร์ไซด์แข็งอยู่แล้ว ^_^ ( ที่ office จะแซวผมว่าเป็นพวกมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เนื่องด้วยหน้าตา อาจไปอยู่ในโซนนั้น T_T ปล. นอกจาก มอไซด์รับจ้างแล้ว ด้านศิลปะผมก็มีชื่อ จนได้รับการขนานนามว่า "แวนกร๊วก" ด้านดนตรี ผมคือ "โมสัตว์" ส่วนด้านกวี ผมชื่อดังจนได้รับการขนานนามว่า "เซ็กเปียร์") ว่าแล้วก็ไปหาเ่ช่ามอไซด์แถวประตูท่าแพ พร้อมไปหาหนังสือ แม่ฮ่องสอน ก่อน เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกะแม่ฮ่องสอนเลย เดวจะเคว้ง ......

ไ้ด้มอไซด์ แล้วก็เริ่มการเดินทางเลย ผมเลือกที่จะไปทาง ปาย ปางมะผ้า โดยจุดหมายวันแรก อยู่ที่ "ปางอุ๋ง"

การเิดินทางของผมจึงเริ่มขึ้น รูปแรกนี้ คือ เลี้ยวซ้ายที่แยกแม่มาลัยครับ
==========




ก่อนออกก็เติมน้ำ มันให้เรียบร้อย เิริ่มต้นด้วย หลักกิโลสวยๆ 11930 คริคริ เลขสวยวุ๊ย

กลับไป เอาไปซื้อหวยดีมั๊ยเนี่ย...

หมดค่าน้ำมัน ไป 150 บาท แพง เพราะซื้อน้ำมันใส่ขวดน้ำ ไปด้วย กันเหนียว เนื่องด้วยเส้นทางสายนี้ ปั๊มน้อย เดวน้อง Wave ผมจะไม่มีอาหาร



ขับมาเรื่อยๆ ด้วยความเร็วชมนกชมไม้ 80-100 กม/ชม อากาศดีสุดๆ ผมก็ไม่ได้รีบอะไร มาถึงร้านกาแฟหน้าทางเข้าน้ำตก หมอกฟ้า
ร้านน่านั่งดีครับ ก่อนไปชมความงามน้ำตก แวะจิบกาแฟ ชมร้านงามๆ ก่อนดีกว่า

สบายใจจริงๆ ครับ นั่งในร้านเงียบๆ.... วิวสวยๆ

เห็นร้านสวยๆ อย่างนี้ ช่างกล้องมือใหม่ ก็ต้องควักกล้องตัวเ่ก่ง ออกมาเก็บภาพเยี่ยงมือโปร....









ถ่ายร้านแล้ว ก็ต้องถ่ายกาแฟบ้าง ช่างหอมกรุ่นละมุนลิ้น เคล้ากลิ่นธรรมชาติ

โอ้ย ช่างมีความสุขจริงจริ๊งงงงงงงง

ระหว่างนั่งทานกาแฟไปก็ได้พบเพื่อนใหม่ ได้สนทากัน ข้อดี ของการไปเที่ยวคนเดียวคือ ผมจะได้พบปะผู้คน ได้เรียนรู้ความคิด ไ้ด้ทำความรู้จักกับคนที่เราไม่เคยรู้จักได้ง่ายกว่า การไปเป็นกลุ่ม นอกจากนี้เราจะ pay attention กับธรรมชาิติ วิถีชีวิต และผู้คนไ้ด้มากกว่า

ซึ่งหาไม่ได้ ในการไปเที่ยวกับเพื่อนครับ

++++++++++




ทานกาแฟสุดแสนอร่อย เสร็จแล้ว ก็เข้าไปน้ำตกหมอกฟ้า ทันที

โหย เห็นเส้นทางด้านหน้าแล้ว น้อง Wave ผมจะยางรั่วมั๊ยเนี่ย ไม่เป็นไร ทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลังอยู่แล้ว

ไม่กลัวหรอก รั่วแล้วค่อยว่ากัน.....

เ้ข้าไปซัก 200 เมตร กลายเ็ป็นถนนดีขึ้นมาทันที เทปูน ( อะไรฟะ ทางด้านหน้าเ็ป็นหน้าเป็นตา แ่ต่มองเส้นทางเข้าแล้ว หลายๆ ท่านอาจตัดใจ แต่ทางด้านในดันทำดี )

และแล้ว ก็มาถึงน้ำตก หมอกฟ้า จนได้




น้ำตกคนน้อยๆ อากาศเย็นสบาย ผมละชอบจริงๆ ครับ เป็นบรรยากาศแบบที่ผมชอบที่สุดในการท่องเที่ยวแล้ว เพราะบริเวณน้ำตก ป่าจะร่มครึ้ม สายน้ำไหลเย็น อากาศเย็นสบาย เสมอ นั่งได้เป็นชั่วโมง หรือเป็นวันเลย ถ้ามีเวลามากพอ

แ่ต่เสียดายครับ ต้องไปให้ถึง "ปางอุ๋ง" ก่อนมืด ต้องจรลีเสียแล้ว ไว้ว่างๆ จะมาเยือนใหม่

เ้จ้าหน้าที่ที่นี่ หน้าตา น่ารักใช้ได้ครับ เลยขอถ่ายซักแชะ แต่ไม่ได้เอารีบมาใหู้ดูนะ ขอผมเก็บไว้ดูคนเดียว หุหุ......





หลังจากออกจากน้ำตกแล้ว ก็ยิงยาวเลยครับ ไม่แวะที่ไหนแล้ว แม้แต่ปายและห้วยน้ำดัง ( เพราะเคยไปมาแล้ว )

และโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบปายซักเท่าไร เฉยๆ ครับ ในความคิดผม ผมคิดว่า มันก็คล้ายๆ เชียงใหม่ย่อมๆ นะ ซึ่งก็ถิ่นเดิมผม เลยไม่รู้สึกแปลกตาเท่าไร

ขับผ่านจุดชมวิวดอยกิ่วลม ซึ่งสูงและสวยงามครับ แต่ไม่ไ้ด้เก็บรูปมาให้ดูกัน มัวแต่ทราบซึ้ง ความงาม กับความหนาวอยู่

เลยเก็บรูปบรรยากาศ ข้างทางมาให้ดูกัน ในส่วนตัวผมคิดว่า สวยดีครับ ด้วยความที่ขี่มอไซด์ไปคนเดียว อยากถ่ายตรงไหน ก็หยุดถ่ายได้เลย ขอให้มีห้องน้ำก็พอ เอ้ย ไม่ใช่ อยากถ่ายรูปตรงไหน ก็หยุดถ่ายเลย





มาถึงปางอุ๋ง เย็นๆ มืดๆ พอดี เอาไว้ดูรูปตอนเช้าดีกว่านะครับ สวยกว่า ไปกางเต้นท์

พอกางเต้นท์ ( ที่ยืมเพื่อนมา ไม่ไ้ด้ check เต้นท์ก่อน ) โอ้ แม่จ้าวววววววววววววว

หนาวอย่างนี้ เต้นท์ อย่างนี้ แข็งตายชัวร์.............

สรุปเหนื่อย กางเต้นท์ฟรีครับ คนอื่นเขาเอาเต้นท์ ที่นอนอย่างดี บรรทุกใส่รถกันมา ช่วยกันกลาง เฮฮากัน รู้สึกเหงาก็คราวนี้แหล่ะครับ ตรูมาทำไรซะเนี่ย ยืนกางเต้นท์คนเดียว เห็นเต้นท์ตัวเองก็อนาจ หนาวตายแน่......

ขับมอไซด์กลับเ้ข้าไปในหมู่บ้าน "รวมไทย" ซึ่งไร้ไฟฟ้า แสนสงบ แต่ค่าี่ที่พัก ราคาไม่ชาวบ้านเท่าไร ต้องควักไป 400 เพื่อแลกกับบ้านหลังโต นอน 5 คนสบายๆ แ่ต่ต้องเอาหล่ะ ไม่งั้นหนาวตายแ่น่.....

สรุป มาได้ "ลุงจาย" โฮมสเตย์ ครับ ดูแลดีและเ็ป็นกันเองดีครับ





เช้า ( วัี่นที่ 25 พ.ย. ) จริงๆ ก็ไม่เช้าเท่าไร ตี 3 ครับ ไก่แ_'ง ขันซะแล้ว ตาสว่างเลยตรู ได้ิยินเสียง บ้านข้างๆ ตื่นเพราะไก่ขันเหมือนกัน ไม่ตื่นได้งัย ขันอยู่ข้างหูเลย

ข่มตาหลับอีกซักนิดจนตี 5 ก็ด้ายเวลาเตรียมตัวไปเ็ก็บภาพความงามของ ปางอุ๋ง กันแล้ว

เดินมาจากหมู่บ้านเรื่อยๆ อูย...... หนาวโคตรรรรรรรรรรรรร

มือเย็นเจี๊ยบเลย โทษใครไม่ได้ นอกจากความไม่รอบคอบของตัวเอง เจือกมะเตรียมถุงมือมา

พอมาถึงอ่างเ็ก็บน้ำ ต้องตกตะลึงในความงาม ต้องขอบอกว่า โดยส่วนตัวผม ไม่เคยเห็นที่ไหน งดงามอย่างนี้มาก่อนเลย

น้ำที่ดับขลับ สงบนิ่ง เรียบ ช่วยให้จิตใจที่วุ่นวายขอเราพบกับความสงบ นิ่ง สายหมอกที่ไหลมาตามพื้นน้ำ ช่างแผ่ซ่านความสวยงามและหนาวเย็นเข้าไปถึงในจิตใจ

สวยจนยากบรรยายครับ และด้วยฝีมืออันน้อยนิดของผม ไม่สามารถเก็บภาพความสวยงามนั้นมาไ้ด้ 10% ก็ยังไม่ถึง ต้องลองไปสัมผัสนะครับ

แต่ขอบอกก่อน ว่าถ้าไปปางอุ๋ง ต้องไปเห็น ตอนเ้ช้า ที่มีสายหมอกไหลมาตามพื้นน้ำ มิเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับอ่างเก็บน้ำธรรมดา
++++++++++



ใช้เวลาเดินเก็บภาพและชื่นชมความงามไปเรื่อยๆ ครับ ภาพอาจไม่ละเอียดนัก ก็มันแ่ค่ 1.5 MegaPixels อ่ะครับ



เดินมาเรื่อยๆ ห่างจากตัวสันอ่างเก็บน้ำเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงสีทอง

สวยงามจนยากบรรยายครับ อย่าลืมไปดูเองครับ




มีคนพายเรือด้วย พายมาท่ามกลางสายหมอก.....................

เรือหน้าตาแปลกๆ เนอะ ขอเปลี่ยนเป็นเรียกว่าแพดีก่าาา



เดินไปถึงบริเวณที่เป็นสวน สวยดีครับ ดอกไม้สวยๆ เคล้าสายหมอกอ่อนๆ ยามเช้า




เสร็จแล้ว ก็เดินกลับ ไปเก็บเต้นท์( ที่กางไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ) เป็นความลำบากที่สุดในทริปนี้ครับ กว่าจะพับเต้นท์ให้เก็บเข้ากระเป๋าเก็บเต้นท์ได้ ไม่รู้คนผลิตจะทำมาไมให้มันเล็กนักหนา แบบว่า ถ้าพับไม่ดี ไม่มีวันเก็บเข้าถุงไ้ด้ แถมยังพับคนเดียวอีกตะหาก ไม่มีคนช่วยพับ ช่วยรีดให้เต้นท์มันเีรียบ กว่าจะเก็บได้เล่นเหงื่อแตกซิ๊กๆ แทนที่จะหนาวๆ

กำแท้ๆ......T_T





ออกจากปางอุ๋ง ก็แวะไปเที่ยวหมู่บ้านรักษ์ไทย หมูบ้านชายแดนซึ่งมีอาหารจีนยูนนาน และชา อันลือชื่อ ที่นี่ติดชายแดน สถาปัตยกรรมการก่อสร้างเป็นแบบจีน คาดว่าคงเป็นคนจีนอพยพมา

แวะจอดมอไซด์หน้าร้านอาหารจีนอยู่นาน คิดว่า จะกินดีมั๊ยน๊อ มาทั้งที สุดท้ายก็ตัดใจ คิดว่า ไปหากินราคาถูกๆ ดีกว่า คนจนอย่างเรา เนื่องด้วยร้านรวงที่นี่ มีการประดับคล้ายภัตตาคารอยู่เหมือนกัน คาดว่าราคาคงไม่น้อย หุหุ

ตัดใจได้ก็ ขับมอไซด์มุ่งหน้าสู่พระตำหนักปางตอง น้ำตกผาเสื่อต่อไป แต่ไม่ได้เก็บรูปมาฝากครับ

+_+ +_+ +_+ +_+ +_+ +_+ +_+ +_+



ขากลับออกมาจากทางแยกที่จะไปปางอุ๋ง ปรากฏว่าหลงครับ หาทางออกไม่เจอ ขี่มาตั้งนาน เพิ่งรู้ตัวว่า บรรยากาศเปลี่ยนไปจากตอนขับเข้ามา T_T

โผล่อีกที ถึงปลายทาง แม่ฮ่องสอน อย่างไม่รู้เนื้อรู้ัตัว ทำให้พลาด "ถ้ำปลา" ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ปากทางออกจากปางอุ๋ง บนเส้นทางหลวง 1095 มาได้ เอาฟะ ตอนเย็นค่อยขับมอไซด์ย้อนกลับไป แค่ไม่กี่สิบโล ซำบายอยู่แล้น..........

มาถึงแม่ฮ่องสอน สิ่งแรกที่คิดถึงคือ วันนี้นอนไหนดีฟะ ก็คงไม่พ้น Guest house ถูกๆ ถามๆ ชาวบ้านดูเค้าบอกแถววัดจองคำ จะมี Guest house ราคาน่ารักอยู่มากมาย สรุปคือ ขี่อยู่รอบเมืองก็ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ แวะกินกาแฟก่อนดีฝ่าาา........

มาเจอร้านน่ารัก เจ้าของเ็ป็นกันเอง นั่งกินไปกินมา แอบเห็นป้ายว่า ที่นี่ก็เป็น Guest house อยู่ชั้นบน อิอิ ได้ที่พักแล้วคร๊าบบบบ

ร้านนี้ชื่อว่า ร้าน "คอฟฟี่ มอร์นิ่ง" เป็นร้านกาแฟและ Guest house น่ารักๆ สงบๆ เจ้าของเ็ป็นคน กทม จบมหาลัยชื่อดัง แ่ต่หลบหนีความวุ่นวายของ กทม มาหาความสงบ พอเีพียง ที่แม่ฮ่องสอน แถมเจ้าตัวก็เป็นคนหน้าตาน่ารักทีเดียว เล่นเอาหัวใจหนุ่มโสดอย่างผม พองโต นิดๆ เลยทีเดียว 555555555

จริงๆ ผมไม่ใช่คนหื่นกามนะครับ ( แค่เป็นคนห่าม ( กืน ) ) แต่เห็นสาวน่ารัก แล้วมันหนาวใจ อุตส่าห์หลบสาวๆ น่ารักจาก กทม มา ก็ยังมาเจอสาวๆ น่ารัก แถวนี้อีก โอวววว กำ.........

เอาเ็ป็นว่า งัยๆ คืนนี้ตรูมีที่ซุกหัวหล่ะฟะ..........

+++++++++++++++++++++++



ได้ที่พักแล้ว บ่ายแ่ก่ๆ เอง มีเวลาอีกเยอะ ก็ถามเจ้าของร้านว่าไปไหนดี เจ้าของร้านน่ารัก ใจดี แนะนำที่ หมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว ไม่ไกลจากตัวเมืองครับ 20 กว่าโล บิดแป๊บบบบเดียวถึง
++++++++++
รูปหน้าหมู่บ้านครับ






บรรยากาศในหมู่บ้านครับ มีร้านขายของ และผู้คนเยอะเหมือนกัน




ขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกซักหน่อยครับ





เที่ยวหมู่บ้านกระเหรี่ยงเสร็จ รีบบิดรถย้อนมาทางปาย เพื่อเก็บ "ถ้ำปลา" ที่พลาดไปตอนบ่้าย และแล้วก็มาถึงครับ






บรรยากาศภายใน วนอุทยานถ้ำปลา สงบ ร่มรื่น ชวนนอนยิ่งนักครับ





เก็บภาพไปเรื่อยๆ..... ไม่ได้ถ่ายบริเวณในถ้ำปลามาให้ดูกัน เพราะมันแสงน้อย ถ่ายไปก็ได้ภาพไม่ได้เรื่องง่ะครับ มือใหม่อย่างผมด้วยแล้ว ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไป จบข่าวเลยครับ......





ย้อนกลับมาในตัวเมือง แม่ฮ่องสอน ค่ำพอดี รีบขึ้นไปบนดอย กองมู เพื่อชมความงามของพระธาตุดอยกองมู

ด้วยความสะเพร่า ลืมขาตั้งกล้องไว้ที่ Guess house อีกแล้ว T_T กลุ้มใจตัวเองจริงจริ๊งงงงงง

ก็เลยถ่ายมาตามบุญตามกรรม แต่พระธาตุดอยกองมู สวยงามอยู่แล้วครับ ไม่ผิดหวัง........




เห็นพระทำรายกันก็ม่ายยู้ ขอแชะ เก็บภาพกิจกรรม.......







มีคนมาลอยโคมด้วย สวยดีครับ อยากลอยบ้าง แต่ไม่มีสาวมาลอยเป็นเพื่อน อยากมีสาวมาลอยข้างๆ แล้วถามว่า

"อธิษฐานอะหยังกา อ้าย"

"ก็อธิษฐานหื้อหันหน้าน้องฟ้ามุ่ย คนเดียวน่ะก้าาาาาาา"

แล้วสาวก็จะเขินอาย หน้าแดง

เสร็จแล้วก็มีสาวมา 4 คน

"คนเดียวก๊ะ อ้ายยยยยยยยย"

หุุหุ เสร็จแล้ว ผมก็ได้ควงสาว 5 คน 555555555 ( อันนี้ในฝันนะ เลียนแบบโฆษณา DTAC )

เจ้าประครู๊ณณณณณ ลอยยี่เป็๋งปี๋หน้า ขอสาวน่าฮักๆ ซักคนเตอะคร๊าบบบบบบ มาลอยโตยกั๋น T_T





หลังจากมีความสุขกับความฝันเรียบร้อยแล้ว ก็ตื่นมาพบกะความจริงต่อไป ก็ลงมาจากดอยกองมู ไปเี่ที่ยวหนองจองคำ เพื่อเ็ก็บภาพ วัดจองคำ ยามค่ำคืนอันสวยงามครับ นั่งชมวิวอยู่นานเลยครับ เพราะสวยดี อากาศเย็นสบาย





เดินเรียบหนอง เข้าไปในวัด ยามค่ำคืน วัดสถาปัตยกรรมไทยใหญ่ส่องแสง ความสวยงาม ไม่แพ้ยามกลางวัน





ออกจากวัด ก็พบกับถนนคนเดินที่แสนเรียบง่าย มีของน่ารักขายมากมาย ชอบที่นี่มากกว่าปายครับ เพราะแม่ฮ่องสอน คนไม่เยอะ มีความสงบ อย่างที่ผมชอบ ซึ่งต่างจากปาย ออกจะเริ่มเ็ป็นธุรกิจไปซักหน่อย





เช้าวันที่ 26 พ .ย. รีบจรลีออกจากตัวเมือง แม่ฮ่องสอนแต่เช้า ด้วยเส้นทาง อันหนาวเหน็บ และยาวไกล ประมาณ ร้อยโลป๋าย จึงรีบบิดด้วยความเร็ว 100 กว่าๆ ไม่นาน ก็ถึงทุ่งดอกบัวตอง อันเป็นเป้าหมายคนส่วนใหญ่ ที่มาแอ่วแม่ฮ่องสอน ฤดูนี้





เสียดาย มาถึงก็เกือบเที่ยงแล้ว แสงแดดแรงทีเดียว เลยอดสัมผัสสายหมอก บน "ดอยแม่อูคอ" แต่ไม่เป็นไรได้เห็นดอกบัวตองก็ชื่นใจแล้วคร๊าบบบบ..........





ปีหน้าใครยังไม่ได้ไป แนะนำให้ไปให้ได้นะครับ สวยงามมากครับ

เสียอย่างเดียว แดดแรง ทำให้คนผิวขาวๆ อย่างผมดำขึ้นอีก 5555555555

ต้องเลือกแล้วระหว่าง อยากเที่ยว กับ อยากหล่อ T_T




ม้แต่ดอกบัวตอง ยังบานท้าทายแสงตะวัน ใยคนเรา จึงกลัวแสงตะวัน หลบแสงตะวัน ไม่ออกไปค้นหาความหมายของชีวิต และเห็นโลกอันกว้างใหญ่ ซึ่งมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย.............





ในเมื่ออีกหน่อย ชีวิตก็โรยรา ไม่นาน เหมือนดอกบัวตอง ที่รอวันโรย

จะทำอะไรก็ทำ ออกไปค้นหาชีวิตอิสระ ท้าทายชีวิต พิชิตการเดินทาง

Walking with the sun

Breath the air

Oh , what 's a wonderfull world

คริคริ คิดอะไรซึ้งๆ ก็เป็นนะ เราเี่นี่ย.........





ถ่ายรูปเจ้าเพื่อนยาก ที่จอดสงบนิ่งรอผมอยู่ที่น้ำตกซักหน่อย

หากไม่มีเจ้านี่ ผมคงไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาได้ จะขับรถยนต์หรือนั่งรถเมล์ราคาแพงและช้าเกินไป

Trip นี้ต้องยกความดีให้เพื่อนยากที่ไม่เกเร ต้องทำให้ผมลำบากเลย ไปไหนไปกัน ทางเรียบ ทางลูกรัง ขึ้นเขา ลงห้วย

พาผมไปได้ทุกที่ ที่ใจต้องการ........





จากน้ำตกแม่สุรินทร์ก็ต้องขี่รถกลางแดด ระยะทางยาวไกลอีกครั้ง เพื่อหาที่พักที่แม่สะเรียง ระหว่างทางได้แวะไปเที่ยว "ถ้ำแก้วโกมล" ถ้ำน้ำแข็งแห่งเดียวของประเทศเรา

จริงๆ ก็ไม่ใช่ ถ้ำน้ำแข็งหรอกครับ แต่เป็นแร่แคลไซด์ที่เิกิดการแตกตัว รูปทรงคล้ายๆ ผลึกน้ำแข็ง แต่เนื่องด้วยไม่สามารถถ่ายรูปได้

เพราะแสง flash จะทำให้แร่แคลไซด์ทำปฏิกิริยากับแสง กลายเป็นแร่ที่หมองคล้ำ ไม่สวยงาม จึงห้ามถ่ายรูปครับ


และก็มาถึง "แม่สะเรียง" อำเภอในหุบเขา ซึ่งสมัยก่อน เป็นเมืองทางผ่าน ก่อนไปแม่ฮ่องสอน

สมัยก่อน การไปแม่ฮ่องสอน ระยะทางยาวไกลมาก ต้องพักที่แม่สะเรียงก่อน รุ่งเ้ช้ามาจึงเดินทางต่อ ที่นี่จึงมีที่พัก Guess house ราคาย่อมเยามากมายให้ได้เลือกพักกัน ผมเลือก Guess house แห่งนึง ราคาเพียงคืนละ 150 บาทเ่ท่านั้น

เมืองนี้เป็นเมืองที่เรียบง่าย หากใครรักชีวิตที่สงบ ไม่ผิดหวังครับ

รูปนี้เป็นรูปพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง ปากทางเข้าตัวอำเภอครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++





เส้นทางวันสุดท้าย 27 พ.ย. เป็นเส้นทางที่ยาวไกล 200 กิโล ผมตัดสินใจ ตอนเ้ช้านั้นว่า กลับรถเที่ยวบ่ายหนึ่งดีกว่า จะได้พักผ่อนก่อนทำงานวันพุธต่อไป ซึ่งตอนแรกแพลนไว้ว่าจะกลับรถกลางคืน เลยต้องบิดหูตูบออกจากแม่สะเรียงแต่เช้าตรู่

แวะเติมพลังงานให้ตัวเอง ข้าวเหนียวไก่ทอด เคล้าทิวทัศน์อันสวยงาม ของสวนสนบ่อแก้ว






จากสวนสนบ่อแก้ว ใช้เวลาไม่นานก็ถึงออบหลวง มีเวลาให้เดินเล่น 2 ชั่วโมง T_T





จากออบหลวง บิดรวดเดียวจบ ถึง "ร้านเล่า" ร้านคนรู้จัก แถวถนนนวมินทร์ครับ ซึ่งเป็นร้านคนรู้จักที่เชียงใหม่ครับ มีหนังสือน่าอ่าน กาแฟอร่อยๆ น่าทานครับ ผมก็ได้หนังสือ แม่ฮ่องสอนที่นี่เอง ไม่งั้นผมก็คงหลงไปแล้ว หุหุ




สรุปแล้ว ผมเดินทางทั้งหมด รอบเส้นทางวงกลมแม่ฮ่องสอน( ทางหลวงสาย 1095 และ 108 ) รวมระยะทาง 846 กิโลเมตร ตามไมล์ของเจ้า Wave เพื่อนยากครับ

โดยรวมแล้ว เป็นทริปอีกทริปที่ประทับใจผมครับ เพราะมันส์สะใจ วัยโก๋ ( หรือเปล่า ) อย่างผม

รีบคืนเจ้า Wave เพื่อนยากและไปอาเขตนั่งรถ กลับ กทม ทันที เฮ้อ กลับ กทม อีกแล้ว T_T

รวมทั้งสิ้นใช้งบประมาณไป 3700 กว่าๆ นับว่าแพงสำหรับผมเหมือนกัน เพราะไม่มีตัวหาร และไม่ได้นอนเต้นท์

แต่ได้ไปเที่ยว แค่นี้ถือว่าจิ๊บๆ ใช่มั๊ยครับ




ท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่าน ที่อุตส่าห์ติดตามกระทู้หัด Post ของผมครับ ถ้าเ็ป็นไปได้ และไม่ขี้เกียจ จะมา post ต่อไปครับ

ส่วนผม ขอตัวไปเดินทาง 7 คาบสมุทร ตามหาความฝันขอลูกผู้ชายต่อไปครับ( เกิดเป็นลูกผู้ชายต้องออกทะเล จริงมั๊ยครับ 55555555 อ่านการ์ตูนมากไปแล้ว เรา ^_^ )

See you........................




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2553   
Last Update : 13 เมษายน 2554 12:25:05 น.   
Counter : 4267 Pageviews.  


ม.ช. รำลึก บันทึกวัยเยาว์ เชียงใหม่-ดอยอินทร์-แม่ฮ่องสอน



จำวันเวลาไม่ได้ แต่ประมาณตุลา 2551 นะครับ


++++++++++++++++++++++++++++++++

เชื่อว่า ...

ทุกๆ คนเคยมีความทรงจำวัยเรียนที่สวยงาม .....



ผมเองก็มีครับ...

เป็นความทรงจำวัยเยาว์ที่สวยงาม เมื่อนานมาแล้ว



สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัย เชียงใหม่....
...........

สมัยที่เรา .. เพื่อน .....กิน เที่ยว เรียน ด้วยกัน ...

ใช้ชีวิตด้วยกัน...



ยามเย็น วันเรียน เราก็ไปหอพักนักศึกษา จีบสาวๆ น่ารักๆ 5555


เสร็จแล้วก็ไปเล่นกีฬา ยามเย็น...


เหนื่อยก็ขึ้นดอยสุเทพ รับลมสักหน่อย .....


เมื่อราตรี ย่างกราย .... ก็ท่องไป... กินนม กินไก่ทอด ( เที่ยงคืน ) สถานเริงรมย์ ....



วันหยุด ...

ยามฤดูร้อนมาเยือน เราก็เที่ยวน้ำตก ....

ยามฝนจากฟากฟ้า มาเยือน เราก็เที่ยวป่า เพราะหลงไหล ในสายน้ำ และความเขียวขจี.....

เมื่อยามเข้าหน้าหนาว เราก็มักจะไปแค้มป์ปิ้งกันบนดอย ...

หรือออกค่ายไปยังหมู่บ้านม้งต่างๆ ...



ทั้งหมด ทั้งมวล เราก็ไปด้วยรถมอเตอร์ไซ์คู่ใจ ของแต่ละคน ....
ในเชียงใหม่ สมัยนั้น ก็คงไม่พ้น...

.

Honda Dream... มอไซด์แห่งความฝัน

ไม่ว่า จะรุ่นตูดเป็ด หรือตูดมน....


เมื่อทุกคนแยกย้าย กันไป บางคนก็ไม่ได้ ขี่มอเตอร์ไซด์อีก ....


บางคนก็เข้ามาทำงานใน กทม ซึ่ง
ก็ต้องยอมรับ ว่า การขี่มอเตอร์ไซด์ เป็นเรื่องอันตราย ในสายตา ของคนทั่วไป....


แต่ตัวผมเอง ก็ยังคงใช้อยู่ ด้วยความรักในยานพาหนะประเภทนี้.....


แต่แน่นอน ความสวยงาม แห่งการใช้ยานพาหนะนี้ใน กทม ย่อมไม่สวยงาม เหมือนยามอยู่ เชียงใหม่....



ผมจึงอยากย้อนรอย วันวานที่สวยงามแห่งนั้น .... โดยเลือก ย้อนรอย ทริปใหญ่ที่ผมและเพื่อนเคยไปกัน ...



ทริปแม่ฮ่องสอน วัยเยาว์ ที่เรา ขี่ Honda Dream ไปด้วยกันในสมัยนั้น...

เสียดาย ที่เราไม่มีเครื่องมือ บันทึกความทรงจำอันสวยงามไว้เลย...
มันได้แต่อยู่แต่ในความทรงจำเพียงเท่านั้น...





ผมจึงชวนเพื่อนๆ มาเชียงใหม่ เพื่อย้อนรอย วันวานวัยเยาว์อันสวยงามของผมอีกครั้งครับ ......
( จริงๆ ทริปนี้ ผมก็ไปมานานแล้ว เมื่อก่อนไม่ได้เล่นพันทิพย์ ทริปนี้เรียกได้ว่า ขุดรูปมารีวิวครับ )


==========================================


ผมและเพื่อนๆ 6 คน ออกเดินทางโดยรถไฟ

สู่เชียงใหม่ ถิ่นเก่า....

มาถึงตอนเช้าๆ...........

===============================


มาถึงแล้ว ก็หามอเตอร์ไซด์เช่า

คันละ 120 บาทต่อวัน ได้ Wave 100 2 คัน Wave 110 คันนึง ......



จริงๆ อยากได้ Honda Dream แต่มีแต่เก่าๆ มากแล้ว...

คงไปไม่ถึงแม่ฮ่องสอนแน่...


หารถได้เสร็จ...

ก็หาข้าวเช้ากิน หากาแฟกิน...


เสร็จแล้วก็ไปยังที่ ที่คุ้นเคยที่สุด...
ขึ้นไปเกือบทุกอาทิตย์ ในสมัยที่เรียนอยู่..
บางวัน ขึ้นเช้า ขึ้นเย็น เพียงแค่ไปรับลมเย็นๆ เท่านั้น ....



สถานที่แห่งนั้น คือ ดอยสุเทพ ....


จำได้ว่า สมัยเรียน ผมมักจะเอา Honda Dream คันเก่ง ของผม ไปโค้งลงดอยสุเทพเสมอๆ ...

บางที ดับเครื่องปล่อยไหลลงมาจนถึงหน้ามอ
บางครั้ง กลับลงดอย ตอนสี่ทุ่ม ดับไฟ มืดสนิท ....



ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ .........................
เป็นการลองรถด้วย ไปในตัว ว่ารถ 3 คันนี้ มันพอจะพาเราไปแม่ฮ่องสอนไหวหรือเปล่า ...


และเป็นการไปนมัสการ พระธาตุดอยสุเทพและพระครูบาศรีวิชัย ไปในตัว


======================================




น้ำตกข้างทาง ดอยสุเทพ
เหมือนมันสวยขึ้นนะเนี่ย ....





หลังจากลงจากดอยสุเทพแล้ว ก็เที่ยงๆ กว่า ....

ได้เวลาออกเดินทางแล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน


ออกมาถึง หางดง

ปรากฏว่า รถ Wave 110 มีปัญหา ต้องกลับไปเปลี่ยนรถประตูท่าแพ....

เสียเวลาเยอะทีเดียว
กว่าจะได้เริ่มเดินทางอีกที ก็บ่ายสอง โอ้ววว ถึงมืดแน่ .....


===============================




ในที่สุดก็มาถึง ตีนดอยอินท์ซะที



บ่ายสามกว่า แล้ว ต้องหาที่พัก เก็บของให้เรียบร้อย

เพื่อที่จะได้ไปชมความงาม ยามเย็นบนดอยอินท์กัน



ขาขึ้นก็บิดกันหมดแม๊กอีกเช่นเคย

ไม่ใช่แค่หมดปลอก

เพราะใช้รอบเครื่องยนต์ในเกียร์ต่ำๆ จนถึง Red line เลย



สงสารรถเหมือนกัน แต่ไม่ทำอย่างนั้นก็ตามอีก 2 คันไม่ทันอ่ะ 5555
อย่าว่างี้งั้นเลยนะครับ สมัยนั้นมันห้าว ไม่กลัวตาย สมัยนี้คิดได้แล้ว 55555
================================



มาถึงด่านจนได้ ถ่ายไว้เป็นที่ระทึกสักหน่อย หุหุ

แต่ไม่ครบ 6 คนเพราะต้องมีคนถ่ายคนนึง T_T

รูปไม่ครบคนสะที



ขาขึ้น ก็มีครั้งนี้นี่แหล่ะ ที่รู้สึกว่า เวลาขึ้นดอย Wave 100 มันก็พอจะตาม 125 ได้เหมือนกันนะ



ผมว่า ช่วงเกียร์ ของ Wave 100 มันทดมาเหมาะกับดอยอินท์พอดี ซ้อนสอง สัมภาระ

ลากรอบ Red line เกียร์ 1,2 ขึ้น 3 บ้าง มันเหมาะกว่า ช่วงเกียร์ยาวๆ ของ 125



Wave 125 พอ 1 หมด สับ 2 ก็จะห้อยลงมาหน่อย พอสับ 3 นี่จบเลย รอบไม่ส่งกัน

พอสับ 2 ก็ตาม 3 ที่ลากรอบหมดแม๊กของ Wave 100 ไม่ทัน


ไม่เฉพาะขาขึ้นนะ ขาลงด้วย

Wave 100 ไหล 2 , 3 ลง รอบสูงตลอด Engine Break มีให้ใช้เยอะ เพราะรถหนัก ซ้อนสองอีก

Wave 125 ใส่ 2,3 โอ้ววววว ไหลมาก โดยเฉพาะช่วงชันๆ เอาไม่อยู่ Engine Break มีน้อย

พอใส่ 1 ก็อ้าว Wave 100 สองคัน ใส่ 2 อยู่ ทิ้งไปไกลเรื่อยๆ แล้ว
แต่ที่ดอยอื่นๆ ไม่เป็นนะครับ ดอยอื่น Wave 125 กินเรียบ

================================



ในที่สุดก็มาถึง ที่พักซะที

หมู่บ้านกะเหรี่ยง แม่กลางหลวง

กลางทุ่ง กลางนา บนสันเขา ดอยอินทนนท์ครับ

กะว่า จะมาดูเค้าเกี่ยวข้าว สะหน่อย
พอมาถึง

โอ้วววววววววววววว...............

เหลือแต่ตออ่ะ T_T
อดเห็นข้าวเหลืองๆ สวยๆ เลย ....

================================



ใกล้ยามเย็นแล้ว ต้องรีบขึ้นยอดดอย

เพื่อชมวิว อันสวยงาม.....
ขี่ขึ้นไปเรื่อยๆ

โอ้ววววววววววว............

หนาว ฉิบ.....
ขึ้นมาถึง ตะวันก็จวนจะลับตาแล้ว



ก็นั่งชมวิว กินลม กันไป เพลินๆ



นี่ถ้ามี กาแฟ ซักแล้ว นะ

อู๊ยยยยย สุขสุดๆ ..........


================================



ถึงแม้ว่า อดีต จะงดงามแค่ไหน...



แต่ชีวิต ก็ยังต้องอยู่กับปัจจุบัน และมุ่งไปข้างหน้าอยู่ดี ....



การจะย้อนคืนวันวาน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ...



สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียว ก็คือ เก็บมันไว้เป็นความทรงจำดีๆ ...



แค่นั้นเอง ....



===========================================




ทุกคน เริ่มเดินทางลงกันแล้ว...

เพราะความมืด เริ่มเข้ามาเยือน....



หรือเพราะชีวิตคนอื่น เป็นช่วงชาลง

แต่ของพวกเราเป็นช่วงขาขึ้น อิอิ ....





อย่างที่ว่า ....

ชีวิตเรากำลังขาขึ้น ....



คนอื่นลงหมดแล้ว 555

ขึ้นถึงยอดดอยอินท์.....

ทุ่มกว่าแล้ว ไร้ร่องรอยของมนุษย์...

เงียบสนิท....



ที่แน่ๆ มืดมากกกกกกกกกกก ..... มองไม่เห็นอะไรเลย ต้องติดเครื่องรถทิ้งไว้ เพื่อเปิดไฟ.....

และ

หนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ....



โอ้ยยย ตรูมาทำอะไร ยอดดอย ตอนนี้ฟะเนี่ย ....

ไม่อยากนึกถึง ตอนขี่ลงเลยจริงๆ ....

ลงไปถึง ด้านล่าง ก็ สองทุ่มกว่า ....

.

ลงมาถึงถึง หน้าชา มือชา กันไปเลย...

อาบน้ำ เสร็จก็มาสังสรรค์กันชิลๆ ท่ามกลางอากาศหนาวๆ

.

ดื่มวีต้า แล้วก็เข้านอนกัน นอนรวมๆ อัดๆ กันในบ้านเดียวนี่แหล่ะ ...

.

เตรียมตัวขึ้นชมพระอาทิตย์ขึ้น ยอดดอย ในวันรุ่งขึ้น ....

.

==============================================



ท่าประจำตัวเพื่อนผม เขาหล่ะ อิอิ...



ผมเป็นผู้โชคร้าย ...

มาดอยอินท์กี่ครั้ง ก็ไม่เคยได้สัมผัส 0 องศา เสียที

.

ต่ำสุดที่เคยสัมผัส ในชีวิตตอนนี้ จึงอยู่แค่ 3 องศา เท่านั้น ....

.

ไม่อาววววววววววว เค้าจะเอา 0 องศา 0 องศา T_T



============================================



ลงจากดอย ...

ก็ต้องหากาแฟกิน...



แน่นอน ต้องไปหากาแฟ ในหมู่บ้านกินกัน ....



ทางเข้าหมู่บ้าน ชันได้ใจมาก หลุมอีกตะหาก ....



ถ้าขึ้นไลน์ผิด นี่ติดเลย ..

========================================




กาแฟถ้วยที่เรา จะไปกิน กว่าจะได้กิน ใช่ง่ายๆ ....

ต้องบดเอง ต้มน้ำ เอง กรองเอง...



แต่ด้วยความที่เป็นเมล็ดกาแฟ เก็บใหม่ คั่วใหม่ ....

แค่ได้น้ำร้อนๆ ...

แล้วปล่อยให้ กาแฟ มันระเบิดความหอม ออกมาเอง ....

เป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว ...

ไม่ต้องมีเครื่องชงกาแฟ เลิศหรู ....



กาแฟ สำคัญที่เมล็ด วิธีคั่ว และ ความสดใหม่จริงๆ .....



จากประสบการณ์ การดื่มกาแฟ ของผม กาแฟที่หอมสุดขั้ว เข้มได้ใจ ....

ก็ต้องกาแฟที่ได้มาจากแหล่ง เพิ่งเก็บใหม่ๆ นี่แหล่ะ ....

+_+ +_+ +_+ +_+ +_+ +_+ +_+ +_+



เก็บข้าวเก็บของเสร็จแล้ว ...



ก็ถึงเวลาต้องอำลา หมู่บ้าน แม่กลางหลวง เสียที...

ขี่ย้อนกลับขึ้นดอยอินท์ อีกรอบ ...



เพื่อไปแยก เข้าสู่ถนน "สายโรแมนติก"



ผมชอบ ถนนสาย ดอยอินท์ - แม่แจ่ม นี้จริงๆ....



สวย ดูลึกลับ ดี ...

============================




ชั่วอึดใจเดียว ...

.

ก็มาถึงแดนสงบ นามว่า

.

"แม่แจ่ม"

======================




เห็นทุ่งนา เป็นไม่ได้ ต้องขอถ่าย....

.

แทบจะเปลี่ยนชื่อทริปเป็น

.

"ทริปตามหา ทุ่งนาวัยเยาว"์ เลยทีเดียว



++++++++++++++++++++++++++++



ถึงแม่แจ่มแล้ว ..



แวะส่ง Post card สะหน่อย ...

....




แวะกินข้า ร้านอะไร จำชื่อไม่ได้ เลยสะพานเล็กๆ ก่อนเข้า อ. แม่แจ่มมา



สุดยอด "ข้าวเหนียว"



ข้าวเหนียว อร่อยที่สุด เท่าที่เคยกินมา ในชีวิตเลย ....



=====================================




หลังจาก เติมพลัง เรียบร้อย แล้ว..



เวลา แห่งการเดินทาง ก็มาถึง .....



วันนี้ ต้องไปให้ ถึง แม่ฮ่องสอน....



Let's go my friends.....



====================



ก่อน ออกจาก แม่แจ่ม..



ขอแวะเที่ยว วัด สัก วัด



ที่นี่ วัด สวยๆ เยอะ ...



เราเลือกวัด "พุทธเอ้น"



===============================




เส้นทาง แม่แจ่ม - ขุนยวมนั้น บอกได้คำเดียวว่า



เปลี่ยวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก( สมัยเรียน ตอนไปแม่ฮ่องสอน ใช้เส้นทางสายแม่สะเรียง แม่อ่องสอน ปาย )

ไม่มีอะไรเลย ไม่มีปั๊มน้ำมัน แทบไม่มีบ้านคน

แทบไม่มีรถสวนมา ตลอดระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตร....



มีแต่ ขุนเขา กับ เสาไฟ



เท่านั้น.....





บิดหูตูบมา 100 กว่ากิโล คิดว่า แวะเที่ยว ทุ่งดอกบัวตอง ดีกว่า ....



สองข้างทาง ก็เริ่ม เห็นดอกบัวตอง แล้ว รีแล็กซ์ ๆ หลังจาก อัดมาไกล ....



=================================================



โค้งหน้า ก็ทุ่งบัวตอง แล้ว



เย้ๆๆๆๆๆ

===============================



ถึงแล้ว



"ทุ่งดอกบัวตอง"



5 โมงเย็นแล้ว แดดยังเปรี้ยงๆ เลยอ่ะ ร้อน ....





ไปเที่ยวน้ำตก แม่สุรินทร์ ก่อนแล้วกัน ....



=======================================


ย้อนกลับไป ทุ่งบัวตอง



หวังจะถ่ายรูป พระอาทิตย์ ตกดิน ....



ไปไม่ทันสะแล้ว ....



เจอคน ขี่มอไซด์ มาคนเดียว ได้คุยด้วย ก็ย้อนนึกถึงตัวเอง สมัยหนุ่มๆ อิอิ



ว่า สมัยนู้น เราก็เคย มาคนเดียว เหมือนกัน เปลี่ยวดีแท้



แต่ก็งดงาม ในความรู้สึก คนละแบบ กับ ที่มากับเพื่อน ...

.

หลังจาก นี้ เหลือ ระยะทาง อีก 100 กว่ากิโล....

เพื่อเข้าสู่ แม่ฮ่องสอน....

.

มืดก็มืด ....

หนาวก็หนาว ...

เส้นทางจาก อ. ขุนยวม - ตัวเมือง แม่ฮ่องสอน ค่อนข้างใหญ่ ...

เลยบิดกันหมดปลอก.....

ในที่สุด ก็ถึงตัวเมือง แม่ฮ่องสอน



==========================================



มาถึงตอนกลางคืน ก็ต้องเที่ยว กลางคืนนี่แหล่ะ...



ถนนคนเดิน และ วัดจองคำ ....



=======================================



มาแม่ฮ่องสอนกี่ที ...



ก็นอนที่ Coffee Morning เนี่ยแหล่ะ ....



เมื่อก่อน ตอนสมัยมาคนเดียว ก็มานอนที่นี่ ตอนเปิดใหม่ๆ ....



ครั้งนี้ ก็เลยพาเพื่อนๆ มานอนที่นี่ อีกครั้ง ...



เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ....

...

เห็นด้วยกับป้ายนะครับ ว่า....

.

.

การเดินทาง เป็นผลดีต่อสุขภาพใจ จริงๆ .....



=========================



มัวเที่ยวเพลินไปหน่อย ...

และเป็นความผิดผมเอง ที่ดันจองตั๋วรถทัวร์ไว้ตอน



บ่ายโมง...



ออก 9 โมงเช้า จาก แม่ฮ่องสอน ต้องถึงเที่ยงครึ่ง หรือ ช้ากว่านั้นไม่เกิน 15 นาที เพื่อคืน มอไซด์ และรีบไปขึ้นรถที่อาเขต....





ระยะทาง 250 กิโลเมตร กับเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง บนขุนเขา ...

...

ยังหวั่นใจ ว่าจะทันไหมนะ ....



ถ้ามี ZX6R หรือ CBR600 ก็มั่นใจหน่อย ...





แต่นี้ Wave 100 ก็ต้องสู้หล่ะ ไม่ทัน ค่าตั๋วก็เสียฟรีเลย .....





สวมวิญญาณ ทาคุมิ กันอีกระลอกหนึ่ง ....



=====================




พวกเรา เค้น คั้น ...



เคี่ยน กำลังทุกหยดออกจากเครื่อง 100cc น้อยๆ ....





ปรากฏว่า มาถึงเชียงใหม่ บ่ายโมงครับ ...



เพราะรถโดนเคี่ยน มาแบบไม่ยั้ง ยิ่งใกล้ถึงเชียงใหม่เท่าไร...



กำลังรถยิ่งตก...



ขาไป top speed 100 กม/ชม .....



ขากลับ ใกล้ เชียงใหม่ เหลือแค่ 80 กม/ชม เอง...



ต้องขอโทษร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ด้วย ที่ค่าเช่าวันละแค่ 120 บาท...





แต่เราไม่ได้ถนอมมอไซด์ของท่านเลย ...



ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ มันจำเป็นจริงๆ ....



เสียดายค่าตั๋วอ่ะ 6 คนก็หลายพันอยู่ ....

....

และสุดท้าย เราก็ถึงเชียงใหม่ โดยสวัสดิภาพครับ ...

=================================

ป.ล. เส้นทาง สาย 1095 ก็ยังคงสวยงาม เหมือนเดิมครับ โค้งก็หักได้ใจทีเดียว .....




มีใคร บางคน ....



บอกว่า ...



การเดินทาง ช่วยเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต...



หากเราไม่เดินทางเลย...



ชีวิตเรา ก็คงเหมือนนกกระจอก ที่นอนอยู่แต่ในรัง ....



ในขณะที่นกตัวอื่นๆ กระพือปีก อยู่เหนือมหาสมุทร ในอีกซีกโลกหนึ่ง ...





ผม จึง รักการเดินทาง ...



แม้เวลาจะผันผ่าน วัย อายุ เรา ไปเท่าไร ....



ก็จะขอเดินทางแบบนี้ ไปเรื่อยๆ เท่าที่สังขารจะอำนวย ....





เพื่อที่จะเรียนรู้โลก...



อย่างที่มันเป็น ......



=======================================




และแม้ ว่า ชีวิต ... ต้องก้าวไปข้างหน้า...







แต่ความทรงจำในอดีต....



บางครั้งก็มีคุณค่า ....

.

.

และยังคงงดงาม เสมอไป ...



.

Fin......



==================




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2553   
Last Update : 15 ตุลาคม 2553 19:09:46 น.   
Counter : 2130 Pageviews.  



เตี้ย ล่ำ ดำ แก่
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ฝันให้ไกล ... แล้วไปให้ถึง ....
[Add เตี้ย ล่ำ ดำ แก่'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com