นักฝันผู้ชอบเขียนเล่าเรื่อง
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2566
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 มีนาคม 2566
 
All Blogs
 

My Rose My Love บทที่ ๔

ฝนซาลงแล้วในตอนที่สองเด็กหนุ่ม  ดับเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์เพื่อจอดข้างทาง พวกเขาช่วยกันแกะสายรัดถุงอาหารไก่ที่แบกตากสายฝนมาจากร้านค้าหลังเลิกเรียน โดยหนึ่งคนที่มีผิวขาวกว่าและเครื่องหน้าค่อนไปทางชาวจีนคอยมองซ้ายมองขวา ส่วนอีกคนหนึ่งมีรูปหน้าคมคายจมูกโด่งสันกรามชัดแบบคนเชื้อสายยุโรปหยิบมีดคัตเตอร์ออกจากกระเป๋านักเรียนแล้วทำท่าจะปักปลายคมลงบนถุง

‘เดี๋ยวก่อนกล้า นายแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้’ คนที่ผิวขาวกว่ากล่าวห้าม

‘เถอะน่าสัญ ขืนเรากลับไปทั้งๆ หน้าตาบวมช้ำแบบนี้ ครูเพ็ญก็ไม่สบายใจอีก วิธีนี้แหละที่จะช่วยเลี่ยงได้’

‘ถ้าอยากให้ครูสบายใจ นายก็ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากกว่านี้’

ต้นกล้าพ่นลมหายใจ ไม่ตอบอะไร แล้วใช้ปลายคมกรีดถุงกระสอบให้รำข้าวที่บรรจุแน่นภายในรั่วไหลออกมา จากนั้นก้มลงใช้มือกวาดโคลนแฉะขึ้นให้ทั่วถุงอาหารสัตว์

ไม่เพียงเท่านั้น ยังป้ายมือไหลลามมาถึงเสื้อนักเรียนราวกับว่าต้องการให้มันสกปรกดินโคลนมากที่สุด รวมไปถึงใบหน้าที่มีรอยเขียวช้ำของตนก็ด้วย ส่วนเพื่อนอีกคนก็ต้องร่วมหัวจมท้าย ป้ายโคลนแฉะบนเสื้อนักเรียนเปลี่ยนความขาวสะอาดให้เป็นสีดำหมองหม่นด้วยมือตัวเอง

เมื่อทั้งคู่เห็นว่าตัวเองมอมแมมได้ที่แล้ว ก็สตาร์ตเครื่องยนต์ขับขี่ต่อ แต่คนขับก็ต้องบีบเบรกกะทันหัน เพราะรถเก๋งคันโตคันหนึ่งวิ่งฉิวแซงผ่านไป

‘นายประชา!’ เด็กหนุ่มตัวตั้งตัวตีผลงานเลอะเทอะหันไปมองหน้าเพื่อนด้วยดวงตาซีดสลด แล้วลังเลว่าจะขับต่อไปให้ถึงโรงเรียนชุมชนดีหรือไม่

แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงเดิน แล้วจูงรถมอเตอร์ไซค์คู่กายเพื่อหน่วงเวลาให้นานที่สุด จนมาหยุดหน้าประตูรั้วไม้เก่าใกล้พังเต็มทีของโรงเรียนชุมชน เห็นครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนประจำจังหวัดเดินหน้าบึ้งตึงนำชายต่างวัยอีกสองคนออกจากตัวอาคารเรียนชั้นเดียวสภาพซอมซ่อ

‘นายต้นกล้า ฉันมาคาดโทษเธอไว้กับครูเพ็ญ กำชับว่าถ้าเธอยังหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่ละก็ เธอจะถูกไล่ออก’

ต้นกล้าไม่เอ่ยปากพูด แต่ความแข็งขืนแสดงผ่านดวงตาคมสีน้ำผึ้ง เขม้นมองไปทางอีกสองคนที่หนึ่งในนั้นคือนายประชา เจ้าของตลาดสดและพ่อค้าน้ำเมารายใหญ่ของชุมชน ส่วนอีกคนที่หน้าตาบวมยิ่งกว่าเขาคือเพื่อนร่วมโรงเรียนที่มักมีเรื่องชกต่อยกับเขาเป็นประจำ

‘แค่นี้ยังไม่สะใจกูหรอก ไอ้หมาขี้เรื้อน’ เป็นคำพูดเย้ยหยันของคนที่เขาไม่เคยนับเป็นเพื่อน
ต้นกล้าจึงแสยะยิ้มใส่ ‘ถึงกูจะเป็นหมาขี้เรื้อน แต่ก็ดีกว่าไอ้คนขี้แพ้ที่สู้กูไม่ได้ก็แหกปากร้องไห้ไปฟ้องพ่อ’

‘ไอ้...’ อีกฝ่ายกำหมัดเตรียมวางมวย แต่จู่ๆ แทนที่จะซัดกำปั้น มันกลับหงายล้มลงไปนั่งร้องโอดโอยทั้งที่เขายังไม่ได้ขยับมือ
‘ครูครับ มันต่อยผมอีกแล้ว’

‘ไอ้เวร นี่มึงตอแหลเล่นละครหลอกคนอื่นเขาหรือ!’ ต้นกล้าพูดกรรโชกใส่แล้วตามไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้น แล้วเหวี่ยงหมัดซ้ายเข้าใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง แม้ครูฝ่ายปกครองจะถลาวิ่งมาแยกมวย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่มีทีท่าจะหยุด ยังคงพุ่งหมัดข้างเดิมซ้ำเข้าทีปลายคางจนคนด้อยฝีมือกว่าต้องยกแขนทั้งสองป้องกันพัลวัน

‘ต้นกล้า หยุดเดี๋ยวนี้!’
ทว่ามีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่หยุดเขาได้ ต้นกล้าจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยอมปล่อยคอเสื้อของอริก่อนก้าวขาถอยออกมาพร้อมกับส่งตาฝากความแค้นเคืองแต่เรื่องก็ไม่จบตรงที่เขายอมรามือ
‘นายต้นกล้า นี่ฉันเพิ่งเตือนนายเรื่องออกจากโรงเรียนหยกๆ นายยังกล้าจะหาเรื่องเขาต่อหน้าฉันต่อหน้าพ่อเขาอีกหรือไง!’ คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนไม่พ้นครูฝ่ายปกครอง ‘เห็นทีผมจะปล่อยไว้ไม่ได้แล้วล่ะครูเพ็ญ ผมต้องไล่เขาออกจริงๆ เสียแต่วันนี้!’

‘อย่าเพิ่งเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนเขาให้หนัก แต่อย่าให้เขาออกเลย อีกแค่เทอมเดียวก็จะเรียนจบมัธยมปลายแล้ว’ ครูชรารีบเดินกะเผลกด้วยไม้เท้าเข้ามาร้องขอ

‘แต่ครูเพ็ญก็เห็นว่าเขายังกล้าเกเร ทั้งๆ ที่เท้าของผมกับคุณประชายังก้าวไม่พ้นโรงเรียนของครูเลย ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างเห็นทีจะไม่ได้’

‘ถ้าอย่างนั้น ฉันจะก้มหัวขอขมาคุณประชา’ พูดจบร่างสูงวัยก็เดินตรงไปหาบิดาของคู่กรณีเด็กในปกครองอย่างทุลักทุเลเพราะขาที่ยาวไม่เท่ากัน จากนั้นก็ค่อยๆ ย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นดิน
‘อย่านะครูเพ็ญ ผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องก่อน!’ ต้นกล้าเดือดขึ้นมาทันที แต่ดูเหมือนจะห้ามคนเป็นครูไม่ได้ ศีรษะของครูจึงแนบกับพื้น แล้วพร่ำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา

‘คุณประชาได้โปรดให้โอกาสเขาเถอะนะคะ เขายังเด็กไม่รู้จักยั้งคิด ฉันผิดเองที่สั่งสอนเขาไม่ดี’
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เจ็บแค้นที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองรอยยิ้มเย้ยหยันของไอ้คนลวงโลก ส่วนพ่อของมันก็ได้แต่ยืนนิ่งมองด้วยใบหน้าเรียบสนิท จนในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ได้อีก ทรุดร่างสูงเทียบเท่าคนเชื้อสายตะวันตกของตนลงแล้ววางฝ่ามือกับพื้นดินก่อนก้มหัวแนบพื้น

‘ขออภัยครับ!’ ต้นกล้าตะเบ็งเสียงลั่น ในใจนั้นก็สั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินพิโรธ

คงสมแก่ใจแล้วนั่นแหละ จึงได้ยินเสียงนายประชาพูดออกมา ‘ลุกขึ้นเถอะครูเพ็ญ จริงๆ แค่เรื่องเด็กท้าตีท้าต่อยกัน คนอย่างผมไม่ถือสาอะไร เพียงแต่อยากให้ครูเพ็ญตักเตือนเด็กในปกครองเสียหน่อยก็เท่านั้น’

เท่านั้นจริงหรือ ต้นกล้าอยากพูดออกไปเหลือเกินว่า ตัวนายประชาก็ร้ายพอกัน หากใครอื่นรู้ความจริงว่าเบื้องหลังพ่อค้าน้ำเมาคนนี้คือเจ้าพ่อบ่อนการพนันผิดกฎหมายและเป็นเอเยนต์ค้ายารายใหญ่ของพัทยา ยังจะมีคนนับหน้าถือตาอยู่หรือ

แต่ครูฝ่ายปกครองที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาสมเพชก็รู้แก่ใจ แถมยังยกย่องนายประชาในฐานะผู้สนับสนุนเงินแก่สถานศึกษา เลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

‘คุณประชาไม่ถือสาต้นกล้าแล้วใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นต้นกล้าก็ไม่ถูกไล่ออกแล้วใช่ไหมคะ’ น้ำเสียงอ้อนวอนของครูเพ็ญบาดใจเด็กหนุ่มเหลือเกิน

‘ก็อยู่ที่เขาล่ะครับว่าจะทำตัวอย่างไร’ นายประชาพูดเสียงเรียบ แล้วตบเท้าเดินออกไป แต่ผู้เป็นลูกไม่วายทิ้งรอยแค้นเพิ่มเติมด้วยการแอบเหยียบเท้าลงบนปลายนิ้วของเขาที่ยังวางแนบบนพื้นลับหลังทุกคน

แน่นอนว่ามันต้องไม่จบเรื่องกับเขาแค่นี้แน่ ต้นกล้ารู้ดีว่าต้องเจอการกลั่นแกล้งจากมันต่อไป แม้จะไม่เคยรู้ว่ามันจงเกลียดจงชังเขาเพราะอะไรก็ตามที

‘ลุกขึ้นเถอะต้นกล้า แล้วบอกครูหน่อยว่าทำไมเสื้อนักเรียนของพวกเธอกับถุงอาหารไก่ถึงยับเยินแบบนั้น’

ประเด็นเรื่องชกต่อยจบแต่ประเด็นเรื่องต่อมากำลังเริ่ม ต้นกล้าลุกขึ้นยืนแล้วหันไปสบตากับสัญชัย แต่เห็นแววความไม่พอใจแสดงออกชัดเจน คงโกรธที่เขาระงับอารมณ์ไม่ได้อีกครั้ง

‘คือว่าถนนตรงทางเข้าโรงเรียนมันลื่นครับ มอเตอร์ไซค์ผมเลยเสียหลักล้ม ถุงอาหารไก่เลยขาด เสื้อก็เปื้อนโคลน’ เด็กหนุ่มก้มหน้าพูด

‘เสียหลักล้มอย่างนั้นหรือ’ ครูเพ็ญพูดเสียงเบาปานกระซิบ เดินกะเผลกเข้ามาหา จ้องหน้าเขาด้วยดวงตาหม่นเศร้า

‘คุณประชาบอกครูว่าเห็นเธอใช้คัตเตอร์กรีดถุงอาหารไก่ตรงริมถนน ทำแบบนั้นเพราะอะไรกันฮึ หรือเพื่อจะได้โกหกครูว่าไม่ได้ไปมีเรื่องชกต่อยกับเขามาอย่างนั้นรึ’

พอถูกจับได้ก็สลดใจ รีบสารภาพความผิด ‘ผมเองครับครู ผมเป็นคนต้นคิด สัญชัยไม่เกี่ยว’
‘จะใครเป็นคนต้นคิดก็เถอะ แต่พวกเธอก็ร่วมรับร่วมรู้กัน ทำไมนะ ทำไมถึงสอนให้ดีแต่ไม่เอาดี แล้วก็เลิกเสียทีที่มักใช้อารมณ์แก้ปัญหา!’

‘แต่ผมถูกกลั่นแกล้งก่อนนะครับครู ผมไม่เคยไปรุกรานมันก่อนเลยสักครั้ง’

เรียวปากทั้งคู่ของครูชราเม้มแน่น มองเขาเหมือนอยากร้องไห้ ‘แล้วจำเป็นหรือที่ต้องตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง

ไม่จำเป็น...’ เด็กหนุ่มกัดฟันพูด ‘แต่ก็ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้กับพวกที่ชอบข่มขู่เราเหมือนกัน’
‘ต้นกล้า...’ เหมือนคำพูดของครูชราสิ้นหายไปในอากาศ เว้นแต่ร่องรอยความเจ็บช้ำที่อยู่ในแววตาของครูเท่านั้นที่ยังหลงเหลือ

ผมขอโทษ ขอโทษที่ทำให้ครูผิดหวัง ผมคงเป็นคนดีอย่างที่ครูสอนสั่งไม่ได้’

ถ้าไม่ใช่ด้วยการกระทำ เขาก็มักจะสร้างแผลใจให้ผู้มีพระคุณด้วยวาจา เขาไม่อาจเป็นนักเรียนดีเด่น ไม่แม้กระทั่งประพฤติตนอยู่ในโอวาท จนใครๆ ตราหน้าว่าเป็นเด็กกำพร้าเกกมะเหรกเกเรหมดหนทางเยียวยา

ครูเพ็ญสูดลมหายใจเข้าลึก ‘พวกเธอคงเคยได้ยินสุภาษิตว่า คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ใช่ไหม’

ต้นกล้าไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าผู้ถาม เพราะเกรงว่าจะเห็นน้ำตา

‘พวกเธอรู้ไหมว่าครูคิดอย่างไรกับสุภาษิตนี้’

‘ความดีจะปกป้องคนดีให้รอดปลอดภัย’ สัญชัยเป็นฝ่ายตอบ

‘ไม่ใช่เลยสัญชัย ไม่ใช่เลย’ ครูชราส่ายหน้า มองทั้งสองด้วยแววตาเลื่อนลอยแล้วหมุนเดินด้วยไม้เท้ากลับเข้าสู่อาคารเรียน ทิ้งคำถามคาไว้ในใจเด็กหนุ่ม

‘เราน่าจะห้ามนายให้เด็ดขาดกว่านี้’

‘เราขอโทษ จะไถ่โทษให้นายด้วยการให้อาหารไก่แทนก็แล้วกัน’ บอกแล้วก็แบกถุงอาหารไก่มอมแมมขึ้นพาดบ่า

‘ไม่ต้อง’ แต่น้ำเสียงของเพื่อนสนิทเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำฝน

สัญชัยหันหลังกลับเดินเข้าอาคารเรียนไปโดยไม่มีคำพูดใด ทิ้งเขาไว้ยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางฝนที่โปรยสายพร่างพรมลงมาอีกครั้ง ต้นกล้ายกแขนปาดน้ำฝนที่ไหลเข้าตา แบกอาหารไก่ไปเก็บยังห้องเก็บเครื่องมือในโรงเรือนกุหลาบ ก่อนทรุดตัวนั่งลงกับพื้นดินมองดอกไม้ที่ครูเพ็ญรักและฟูมฟักให้มันออกดอกเป็นผลผลิตเพื่อจำหน่ายแก่แผงดอกไม้ในตลาด แล้วนำรายได้เข้าสู่โรงเรียนตามอัตภาพโดยไม่มีเงินถุงเงินถังของใครมาหนุน

แต่ดูเหมือนผลผลิตที่เคยทำรายได้กลับหดหาย เพราะกุหลาบที่ปลูกตามวิธีธรรมชาติดอกใหญ่สู้กุหลาบจากสวนที่ใช้สารเคมีไม่ได้ กระนั้นเจ้ากุหลาบทั้งหลายก็ยังคงครองที่ดินส่วนใหญ่ของโรงเรียน รองลงมาเป็นผักสวนครัว และเล้าไก่ที่ครูเพ็ญยกไข่ไก่ให้เด็กๆ ใช้ปรุงอาหารกลางวัน โดยผู้ดูแลวัตถุดิบอาหารของเด็กๆ ทั้งหมดก็คือเขากับสัญชัย ที่เต็มใจทำเพื่อให้ครูไม่ตรากตรำลำบาก

‘ถ้าคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยคนดีอย่างครูล่ะครับ’ ต้นกล้ารำพึงคำพูดออกมาพลางทอดตาสีน้ำผึ้งที่ไม่เคยรู้ว่าใครเป็นผู้มอบมรดกทางพันธุกรรมให้ แล้วก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งคำถามที่เขาท้อแท้เกินกว่าจะหาคำตอบว่าแม่ผู้ให้กำเนิดเอาเขาที่ยังนอนแบเบาะมาวางทิ้งไว้หน้าโรงเรียนชุมชนทำไม

เด็กหนุ่มถอนลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืน ได้เวลาที่ต้องไปทำงานพิเศษแล้ว แต่จังหวะนั้น เขาเห็นกุหลาบดอกโตสีแดงสดสวยชูช่อเด่นดึงดูดใจ จึงเด็ดออกจากต้นแล้วห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ใส่ตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ก่อนเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนที่ถูกสร้างแยกจากอาคารเรียน แล้วคว้ากีตาร์โปร่งที่ได้บริจาคมาใส่กระเป๋าสะพายหลัง ควบมอเตอร์ไซค์มุ่งสู่ผับแห่งหนึ่งใจกลางเมืองพัทยา

เด็กหนุ่มเล่นได้ทั้งกีตาร์และร้องเพลง แขกสาวหลายคนก็ติดใจเขานัก คืนนี้เขาจึงได้ทิปหนักเหมือนทุกวัน แค่เล่นเพลงไม่กี่เพลงก็ถูกใจลูกค้าสาว บางคนสอดเงินใส่ซองมาให้เป็นปึกแลกกับการขอหอมแก้มหรือจับเนื้อต้องตัว แต่ต้นกล้าก็ไม่คิดรังเกียจ เพราะมันทำให้เขามีรายได้จ่ายค่าเทอมเองโดยไม่ต้องเดือนร้อนใคร แถมยังได้ซื้อขนมกับของเล่นไปฝากเด็กนักเรียนของครูเพ็ญหลายคน ส่วนเกินจากนั้น เขาเก็บไว้เป็นเงินทุนในอนาคตข้างหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ตั้งแต่เล็กจนโตต้นกล้าไม่เคยคิดมักใหญ่เกินตัว ไม่เคยฝันถึงบ้านใหญ่ ไม่เคยอยากได้รถสปอร์ตคันงาม ที่เขาต้องการคือใครสักคนที่อยู่เคียงข้างกันในวันที่ท้อแท้ แต่ก็ไม่คิดอีกว่าจะมีใครคนนั้นจริง

จนกระทั่งได้พบอันนา หญิงสาวชาวรัสเซียที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ
ต้นกล้ารับค่าจ้างรายวันมาแล้วรีบเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ หยิบกุหลาบที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์จากตะกร้าหน้ารถออกมาแกะอย่างเบามือ ลิดหนามแหลมกับใบรกรุงรังออก เพื่อให้กุหลาบสีแดงสดสวยพร้อมส่งมอบ แต่พอมีมือนุ่มของใครบางคนลอบปิดตาทั้งสองจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงคำถามภาษาอังกฤษสำเนียงเสนาะหูเหมือนโน้ตดนตรีว่า

‘นี่ใคร ให้ทาย’

เด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้าง ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษที่ร่ำเรียนมาจากมิชชันนารีฝรั่ง ‘คงเป็นนางฟ้าคนสวยที่จะพาผมขึ้นสวรรค์’

หญิงสาวหัวเราะพึงใจ คลายมือนุ่มกลิ่นหอมของโคโลญจน์ออก จากนั้นเคลื่อนตัวย้ายมายืนอวดโฉมสะคราญเหมือนอัปสรสวรรค์ในเทพนิยายกรีก

‘ผิด’ หล่อนเชิดหน้าพูด ‘ฉันเป็นซาตานที่จะพาคุณลงนรกต่างหาก’

‘ยอม ถ้าเป็นคุณ’ ต้นกล้ายิ้มทั้งดวงตา แล้วยื่นกุหลาบสีแดงให้เป็นของกำนัล

‘พูดแบบนี้ เดี๋ยวพวกแฟนคลับจะร้องไห้กันระงมนะหนุ่มน้อย’

เขาหัวเราะในลำคอ ‘อันนา คุณก็รู้นี่ว่า...’ แล้ววาดแขนรวบเอวบางให้เข้ามาแนบชิดฉับพลัน ก่อนกระซิบข้างใบหู ‘... ผมไม่น้อย’

หล่อนหัวเราะเสียงใส ‘ใช่... ฉันรู้’

เขาชอบดวงตาหวานฉ่ำของหล่อน จะยิ่งชอบมากขึ้นถ้าหล่อนใช้ดวงตาคู่นั้นมองเขาทั้งคืน ‘คืนนี้ผมขออยู่กับคุณจนเช้าได้ไหม’

‘ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้เช้าคุณต้องไปเรียนไม่ใช่หรือ แล้วคืนนี้ฉันก็รับงานแล้วด้วย’ หล่อนปฏิเสธเสียงอ่อน

‘ทำไมไม่เลิกทำงานนี้เสียที’ คิ้วเข้มขยับเข้าชิดกัน

‘ไม่เอาน่า อย่าโกรธกันสิ เราคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนี่’

แววตาของเขาบอกหล่อนชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่แค่ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ยังไม่มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเองให้รอด จะไปห้ามหญิงสาวให้ทำตามความต้องการได้อย่างไร แล้วรายได้ต่อชั่วโมงของหล่อนก็น่าสนใจมากกว่าเสียเวลาอยู่กับผู้ชายอายุคราวน้อง

‘ผมรู้ว่าห้ามคุณไม่ได้ ที่ผมพูดไปก็แค่... อยากอยู่กับคุณ’

เรียวปากอิ่มสวยเคลือบสีไวน์แดงขบเม้มเข้าหากัน ‘ยังพอมีเวลาสักสองสามชั่วโมงก่อนฉันเริ่มงาน...’

ได้ยินแล้ว หัวใจของเด็กหนุ่มพองโต แม้จะเป็นเสี้ยวโมงยามที่หล่อนเจียดให้ เขาก็เปรมปรีด์ที่จะได้คลอเคลียผู้หญิงคนมอบความสุขล้นให้ อันนาไม่เคยรังเกียจชาติกำเนิดของเขา ไม่เคยพูดจาดูหมิ่น และไม่เคยเรียกร้องสิ่งของใดๆ นอกจากความสุขสมที่แบ่งปันให้กันและกันแล้ว หล่อนจะขอให้เขาร้องเพลงให้ฟังในคืนที่อยู่ด้วยกัน

 ทว่าคืนนี้หล่อนมีเวลาไม่มาก ต้นกล้าบรรงจงกระซิบบทเพลงแผ่วข้างใบหูหลังหล่อนเติมเต็มความสุขครั้งสุดท้ายให้เขา

‘ผมรอคุณที่นี่ได้ไหม ผมยังไม่อยากกลับ’ วงแขนแกร่งยังก่ายกอดหล่อนแน่นราวยังไม่อยากปล่อยมือ

‘ไม่ได้หรอก ฉันไม่แน่ใจว่าจะเสร็จงานกี่โมง เห็นว่าเป็นแขกสำคัญ ฉันต้องรีบไปก่อนเวลา’ หล่อนบอกแล้วก้าวขาลงจากเตียง หยิบชุดเดรสผ้ากำมะหยี่สีดำขึ้นสวมคลุมร่างงาม จากนั้นใช้ลิปสติกสีแดงเข้มแต้มบนเรียวปาก

‘ถ้าผมรวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้านเมื่อไร  ผมจะจ้างคุณให้อยู่กับผมคนเดียว’
เขาจริงจัง แต่หล่อนเห็นเป็นเรื่องขบขัน จึงช่วยไม่ได้ที่เด็กหนุ่มจะทำหน้าบึ้งใส่หล่อนที่มองเขาผ่านบานกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง

         ‘ไม่เอาน่า’ อันนาเดินกลับมาบนเตียง โน้มใบหน้าเข้าใกล้ ใช้ปลายนิ้วเรียวไล้ตามสันกราม ก่อนแยกหัวคิ้วที่ชนกันของเขาให้ออกห่าง

‘อย่าทำหน้าเครียด ผู้ชายทรงเสน่ห์อย่างคุณเหมาะกับรอยยิ้มหวานๆ มากกว่า’ จากนั้นก้มลงประทับจุมพิตบนริมฝีปากหยัก ก่อนหยิบกุหลาบที่เขามอบให้ติดมือเดินออกจากห้องไป
เป็นภาพสุดท้ายของอันนาที่ยังตราตรึงอยู่ในใจ แล้วจากนั้นหล่อนไม่หวนคืนกลับมาหาเขาอีกเลย
 


“ครูกล้า ครูกล้า!”
เสียงตะโกนแหลมเล็กดังแทรกเข้าโสตประสาท ปลุกชายหนุ่มจากการหลับไหลให้เปิดเปลือกตามองฝ้าเพดานสีขาวมอซอกับหลอดไฟนีออนบนเพดาน
“ครูกล้า!”

เสียงเรียกยังดังอยู่ ต้นกล้าจึงคว้าเสื้อยืดมาสวม แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตู เห็นร่างเล็กของเด็กชายวัยประถมห้ามาหยุดขากึกตรงหน้าด้วยอาการหายใจเหนื่อยหอบและดวงตารื้น
“มีอะไรหรือจ้อย ส่งเสียงโหวกเหวกแต่เช้า เดี๋ยวชาวบ้านแถวนี้เขาจะโกรธเอานะ” ชายหนุ่มกล่าวตำหนิ

“นางจ๋อม นางจ๋อมตายแล้วครู!”

ครูหนุ่มได้ยินก็รีบรุดไปกรงเลี้ยงสัตว์แบบมีหลังคาขนาดใหญ่ที่สร้างไว้ใช้เป็นโรงเรือนให้แม่ไก่ฟักไข่ ส่วนนางจ๋อมที่มาด่วนจากไปคือแม่ไก่บ้านที่นอนแอ้งแม้งตาเหลือกมีเลือดไหลจากแผลเหวอะตรงลำคอ

“ผม... ผมมาให้อาหารไก่ แล้วเห็นว่าในรางไม่เหลือน้ำ เลยวิ่งออกไปตัก แต่ไม่ได้ล็อกกรง ไอ้ลายคงแอบจ้องอยู่ เลยวิ่งผลุบเข้าไป” น้ำตาที่เหือดไปแล้วของเด็กชายกลับมาเอ่อนองอีกครั้ง  “โธ่... นางจ๋อม เลี้ยงแกมาตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบ เพราะไอ้ลายทีเดียว ไอ้หมาเลว!”
“นางจ๋อมมันก็ตายแล้ว ไปด่าไอ้ลาย นางจ๋อมก็ไม่ฟื้นหรอก รีบเอานางจ๋อมไปฝังเสียเถอะ” คนเป็นครูลูบหัวปลอบใจ

“นางจ๋อมไม่อยู่แล้ว ไข่ไก่เราจะพอกินไหมครู” จ้อยยังไม่คลายความโศกเศร้า
ครูหนุ่มระบายยิ้มอ่อนโยน ย่อตัวนั่งชันเข่ากับพื้นให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กชาย “ไข่ไก่ไม่พอ เราก็ยังมีผักคะน้าที่กำลังงอกงาม และอีกสองวันต้นอ่อนทานตะวันได้เวลาเก็บเกี่ยว อย่าห่วงไปเลยนะจ้อย เราปลูกผักกิน เลี้ยงไก่ไข่เองให้ผลผลิตดีจนเหลือขายทุกเดือนไม่ใช่หรือ”

“แล้วเราจะไม่ทำอะไรกับไอ้ลายมันเลยหรือครู”

ดวงตาของเด็กน้อยยังเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคืองต่อสุนัขจรจัดคู่ปรับ เห็นเช่นนั้นแล้วครูหนุ่มก็ลอบถอนหายใจ จ้องตาเด็กชายแน่วนิ่งนานหลายนาทีถึงได้พูดต่อว่า
“ไอ้ลายมันเกิดมาจากกรรมที่มันก่อ ให้มันชดใช้กรรมของมันไปตามยถากรรมของมันเถอะ เราเป็นมนุษย์ มีจิตใจสูงส่งกว่า เราต้องมองมันอย่างเมตตา”

“ทำไมเราต้องเมตตากับสิ่งที่ไม่ดีด้วยครู ถ้าไอ้ลายไม่ใช่หมาแต่เป็นคน ครูจะให้ผมเมตตาคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลยหรือ”

ต้นกล้านิ่งงันไปชั่วขณะ ไม่อาจให้คำตอบเด็กชายได้ในทันที ด้วยเพราะเข้าใจความรู้สึกสูญเสียดียิ่งกว่าใคร แม้จ๋อมจะเป็นแค่ไก่ แต่รักก็คือรัก จะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์ประเสริฐก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่แพ้กัน กระนั้น เขาก็ไม่อยากให้จ้อยเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้นาน เพราะมันจะยิ่งสั่งสมความทรมานให้แก่จิตใจเหมือนอย่างที่เขาเป็น

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเจอไอ้ลายผมจะตีมันให้ตาย!” จ้อยยืนกรานความคิด อุ้มศพนางจ๋อมวิ่งไกลออกไป
คนเป็นครูจึงได้แต่ถอนหายใจ มองตามหลังเด็กชาย รำพึงออกมาด้วยความรู้สึกหดหู่ “... เพราะเข้าใจน่ะสิ เลยไม่อยากให้จ้อยเป็นแบบครู”  

“ปล่อยให้จ้อยได้เรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างเถิด”

แต่เสียงเย็นที่ดังจากด้านหลังทำให้ร่างสูงต้องรีบหมุนตัวกลับไปประคองหญิงชราผู้เคารพรักที่กำลังก้าวขาเดินย่องแย่งด้วยไม้เท้าเข้ามาหา

“เสียงของเจ้าจ้อยทำให้ครูตื่นหรือครับ”

“เปล่า แต่ครูไม่ได้นอนเลยต่างหาก”

ได้ยินแล้วคนฟังก็ถอนหายใจ “วันหยุดแบบนี้ ครูน่าจะพักผ่อนให้มาก หรือไม่ก็ผมจะไม่ให้จ้อยมาให้อาหารไก่วันหยุด จะได้ไม่รบกวนครู”

“ไม่ต้องหรอก จ้อยมันรักโรงเรียน รักไก่ของมันอย่างกับอะไร ไปห้ามก็สงสารมันเปล่าๆ นี่ได้ยินว่าเจ้าจ๋อมถูกไอ้ลายกัดตายแล้วหรือ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า “แค้นเจ้าลายน่าดูเชียวล่ะ ไม่ฟังที่ผมสอนเลย”

“ต้นกล้าเอ๋ย แต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้แตกต่างกัน อย่าให้พูดถึงต่างวัยเลย วัยเดียวกันก็หาเหมือนกันเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วได้ยาก บางคนรับรู้และเข้าใจเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ แต่สำหรับบางคน ต้องให้เขาได้พบกับตัวเองถึงจะเข้าใจถ่องแท้”

ต้นกล้าถอนลมหายใจเสียงยาว สบตาชราของครูเพ็ญนิ่ง พยักหน้ายอมจำนนกับคำพูดไม่กี่คำ ครูเพ็ญจึงยิ้มให้เแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในอาคารชั้นเดียวที่มีป้ายเหนือประตูทางเข้าเขียนด้วยสีทาบ้านแบบง่ายๆ ว่าโรงเรียนของชุมชน แต่พอเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูรั้วเข้ามา ครูชราก็หยุดรอรับแขกที่นำเอาใบหน้าเคร่งเครียดมาเป็นของฝาก

“สวัสดีครับคุณประชา” ต้นกล้าเป็นฝ่ายยกมือไหว้ก่อนตามวัยวุฒิ แต่ความนอบน้อมก็ไม่ได้ส่งผ่านทางน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย

“สวัสดี... ครูกล้า” อีกฝ่ายทักทายกลับน้ำเสียงเรียบปานกัน แล้วมองเขาด้วยดวงตาพินิจพิเคราะห์ ก่อนหันไปทางครูเพ็ญ “ฉันขอคุยกับครูเพ็ญสักหน่อย... แบบส่วนตัว”

เขาเห็นสีหน้าของครูเพ็ญไม่ดีนัก แต่เพราะคำว่าส่วนตัวที่ระบุในประโยคทำให้ต้องอดกลั้นยืนอยู่กับที่ แม้ใจอยากจะตามไปฟังบทสนทนาของทั้งสองมากแค่ไหนก็ตาม

นานทีเดียวกว่าที่นายประชาจะเสร็จธุระกับครูเพ็ญ เพราะเขารดน้ำแปลงผักไปได้สามแปลงแล้วถึงได้เห็นนายประชาเดินมาหยุดยืนมองมาก่อนสับขาเดินออกจากโรงเรียนไปโดยไม่มีคำพูดคำจา ต้นกล้าจึงวางถังน้ำลงแล้วเดินตรงเข้าไปในอาคารเรียนชั้นเดียวที่ใช้เรียนร่วมกันตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเด็กโต

ภายในนั้นมีโต๊ะและเก้าอี้หลากหลายขนาดที่ได้มาจากการบริจาคบ้าง หรือไปเก็บได้ตามที่ทิ้งขยะแล้วนำมาซ่อมแซมใช้ใหม่บ้าง ตรงด้านหน้าห้อง มีเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ตัวเดียวสำหรับให้ครูคนเดียวของโรงเรียนนั่งสอนวิชาความรู้แก่ลูกศิษย์ และในตอนนี้เจ้าของเก้าอี้ไม้ก็กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่
“ครูครับ” เขาส่งเสียงเรียกแล้วเข้าไปย่อเข่านั่งลงบนพื้นข้างๆ

“ดูนั่นสิกล้า เทอมที่ผ่านมามีผู้ปกครองส่งเด็กมาเรียนเยอะเลย”

ชายหนุ่มมองตามสายตาฝ้าฟางของครูชรา เห็นผนังด้านหลังชั้นเรียนสีฟ้าขุ่นที่ผ่านการซ่อมแซมมาหลายครั้งแต่ก็ยังมีจุดชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลามากมาย และที่ตรงนั้นมีภาพวาดหัวข้อโรงเรียนในฝัน ฝีมือของเด็กๆ หลายแผ่นเป็นเครื่องยืนยันคำพูด

“ความฝันของครูเป็นจริงแล้วเห็นมั้ย ครูทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนเห็นความสำคัญของการเรียนได้แล้ว”

ถึงจะยอมรับว่าจำนวนภาพวาดระบายสีมีมากขึ้นจริง แต่ถ้าให้เทียบกับโรงเรียนแห่งอื่นก็ถือว่าน้อยนัก แม้รัฐบาลจะมีนโยบายเรียนฟรี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายจิปาฐะตามมา อย่างค่าอุปกรณ์การฝีมือยี่สิบสามสิบบาทก็เทียบเท่ากับอาหารสามมื้อของครอบครัวยากจนบางครอบครัว ถ้าให้เลือกละก็ พวกเขาเลือกอิ่มท้องก่อนทั้งสิ้น และเมื่อลูกหลานโตขึ้นก็จะถูกเกณฑ์ไปช่วยทำงานหาเงินกันหมด
ดังนั้นครูเพ็ญจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นจำนวนกระดาษบนฝาผนังที่เป็นความฝันของอดีตครูสาวคนหนึ่ง เป็นความฝันที่กินเวลานานกว่าสี่สิบปี

“ครูทำสำเร็จแล้ว ต่อให้ไม่มีโรงเรียนอยู่ตรงนี้ ครูก็ไม่เสียดายอะไรในชีวิตแล้วล่ะ”

“ทำไมครูพูดแบบนั้น นายประชาคุยอะไรกับครู” ชายหนุ่มถามเสียงเครียด

“ก็คุยเรื่องสิทธิ์ตามสัญญาที่เขาต้องได้น่ะ” ครูชราตอบเสียงเรียบ “ที่ตรงนี้กับอาคารเรียนจะเป็นของนายประชาตามสัญญากู้ที่ครูใช้ที่ดินของโรงเรียนนี้ค้ำประกัน นี่ก็ครบกำหนดตามสัญญาแล้ว เขาก็เลยมาทวง”

“แต่โรงเรียนนี้เป็นเงินส่วนตัวที่ครูสั่งสมมาสร้างเพื่อให้ความรู้กับพวกเด็กๆ ผมไม่อยากให้คนที่ไม่รู้ค่าได้ไป” ต้นกล้าค้านเต็มที่ “ผมยินดีช่วยเหลือ ผมจะจ่ายหนี้แทนให้ โรงเรียนจะได้อยู่ต่อไป”
หญิงชราหันมาส่งยิ้มเย็น “ถึงจะทำอย่างนั้นแล้วครูยังมีโรงเรียนเป็นของครู แต่ต้นกล้าเอ๋ย สังขารครูไม่สามารถฝืนทำต่อไปได้อีก แค่ไม่สร้างหนี้สินให้ใครเดือดร้อนก็ดีพอสำหรับชีวิตที่เหลือ ส่วนผืนดินผืนนี้ มันจะมีค่ากับใครนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องยึดถือให้เกิดทุกข์”

“แล้วเจ้าจ้อยล่ะครับครู ไหนจะพวกเด็กๆ ในชุมชนที่พ่อแม่หาเช้ากินค่ำล่ะครับครู แล้วยังมีเด็กกำพร้าพวกนั้นอีก ถ้าไม่มีโรงเรียนครูเพ็ญแล้ว พวกเขาคงไม่ได้เล่าเรียนวิชาหาความรู้เพียงพอที่จะเอาตัวให้รอดในสังคม”

ครูชรายกมือขึ้นแตะบ่าชายหนุ่ม “พวกเขาจะอยู่ในสังคมได้ถ้าพวกเขาหมั่นดูแลเมล็ดพันธุ์ที่โรงเรียนแห่งนี้ปลูกฝังในตัวให้เติบโตงอกงามต่อไปในวันข้างหน้า แต่ถ้าไม่ ต่อให้เราบอกเราพูดอย่างไร ก็ไม่มีทางได้เห็นต้นอ่อนเติบโตจากหัวใจพวกเขา”

ต้นกล้าข่มกลืนความรู้สึกขมที่เกิดขึ้นฉับพลัน เพราะคำพูดของครูเพ็ญนั้นสะกิดแผลร้ายในใจให้แสบระบมอีกครั้ง

‘ฉันสามารถแก้คดีให้เป็นการป้องกันตัวได้ และถ้าศาลยังไม่เรียกตัวเธอ ก็หมายความว่าประวัติของเธอถูกล้างหมดจด แต่เธอต้องไปอังกฤษกับฉัน ไปอยู่กับฉันในฐานะลูกบุญธรรม เธอจะได้ชีวิตใหม่ เป็นชีวิตที่เธอมีทุกอย่างตามที่ใจต้องการ’

คำพูดของท่านโธมัสเป็นเรื่องจริงหาได้เป็นโฆษณาชวนเชื่อไม่ แต่หากเขาเลือกชีวิตใหม่ก็เท่ากับทิ้งหญิงชราที่เลี้ยงดูเขาไม่ต่างจากลูกในไส้ แล้วถ้าเขายอมรับข้อกล่าวหา อนาคตที่มืดมนอยู่แล้วของเด็กกำพร้าอย่างเขาก็จะยิ่งไร้แสงสว่างไปตลอดชีวิต

‘ลองคิดให้ดีนะหนุ่มน้อย ระหว่างฉันที่ยื่นมือให้เธอจับเพื่อไต่ขึ้นสู่ยอดเขา กับการปล่อยตัวเองให้ตกลึกสู่ก้นเหว เธอจะเลือกอะไร’

ความทรงจำในอดีตกลับมาฉายชัดราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวาน เขาเลือกเดินจากครูเพ็ญไปใช้ชีวิตใหม่ ทิ้งให้ครูผู้มีพระคุณต่อสู้คนเดียวตามยถากรรม ไม่เคยได้กลับมาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้งตามคำสั่งห้ามของท่านโธมัส

แต่ในตอนนี้ แม้จะกลับมาเพื่อทำตามวัตถุประสงค์ส่วนตัว แต่เขาจะปล่อยปละความฝันของผู้ก่อรากสร้างชีวิตคนแรกให้ล้มหายตายจากไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
 
 




 

Create Date : 22 มีนาคม 2566
6 comments
Last Update : 22 มีนาคม 2566 20:35:47 น.
Counter : 363 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณtoor36

 

สวัสดีครับ

ชื่อต้นกล้า
ทำให้นึกถึงชื่อโรงเรียนของลูกชายเลยครับ
เพราะชื่อโรงเรียน้ตนกล้าเหมือนกัน

 

โดย: กะว่าก๋า 23 มีนาคม 2566 19:22:55 น.  

 


อรุณสวัสดิ์ครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 24 มีนาคม 2566 4:58:58 น.  

 

ลองค่อยๆหาข้อมูลดูนะครับ
ผมเห็นหลายที่เค้าจะขายเป็นคอร์สเลยครับ
ทำ 10 ครั้ง หมื่นสองหมื่น
แบบนั้นผมว่าแพงไปหน่อย
ที่นี่ทำทีละครั้ง เลยตัดสินใจง่าย
ทำแล้วรู้สึกว่ามันใช่กับอาการที่เราเป็นด้วยครับ
หายเจ็บเลย
ตอนนี้คนไทยมีอาการออฟฟิศซินโดรมเยอะด้วยนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 27 มีนาคม 2566 15:20:20 น.  

 


อรุณสวัสดิ์ครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 28 มีนาคม 2566 5:21:43 น.  

 

เรามักจะเผลอทำร้ายใจตัวเองโดยไม่รู้ตัวเสมอๆนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 29 มีนาคม 2566 22:33:09 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 30 มีนาคม 2566 5:51:55 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ชลบุรีมามี่คลับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เป็นนัก(หัด)เขียนนิยายพาร์ทไทม์ เป็นคุณแม่ทำงานที่ชอบฝันกลางวันแบบฟูลไทม์ด้วย

บล็อกนี้มีเรื่องเล่ามากมาย เข้ามาค้นหาสิ่งที่อยากรู้ได้ตามสบาย


ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ติดตามนิยายของ จขบ
สามารถอานได้ทั้งทางเวบ

Hongsamut : https://hongsamut.com/writerdetail.php?writerid=3992

และทางเว็บ Dek D ค่ะ
https://my.dek-d.com/redapplels/


เนื้อหา ภาพถ่าย ในบล็อกนี้
ได้รับความคุ้มครอง
ตามกฏหมายพ.ร.บ.
สิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ห้าม
นำไปใช้ คัดลอก ดัดแปลง
แก้ไขส่วนหนึ่งส่วนใดโดย
เด็ดขาดนะจ๊ะ

คนดี...


New Comments
Friends' blogs
[Add ชลบุรีมามี่คลับ's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.