มาร์คชอบอวด แต่ทวดชอบแฉ คนกรุงชอบตอแหล แต่รากหญ้าชอบความจริง
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
1 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
มีคนถามผมว่า เมื่อผมได้รัฐบาลตามที่ต้องการ แล้วทำไมผมยังไม่หยุด

ทำไมจึงยังคงเขียนราวกับว่า ยังไม่ได้ประชาธิปไตย ทำไมยังคงเขียนตำหนิฝ่ายค้าน ทำไมยังคงเขียนติเตียนเหล่านักวิชากร เหล่านักหนังสือพิมพ์ โดยไม่ยอมแตะต้องรัฐบาล ทั้งๆที่ควรจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลได้แล้ว

วันนี้ผมจึงอยากขออนุญาตเปิดใจ เพื่อไขข้องใจสำหรับผู้ที่ยังคงสงสัยในพฤติกรรมของผม บางคนอาจสงสัยว่าผมเป็นคนของรัฐบาลหรือเปล่า ผมถูกซื้อตัวมาทำหน้าที่เชียร์รัฐบาลหรือเปล่า หรือว่า ผมถูกเขาปั่นหัวจนไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดี วันนี้ผมจึงอยากจะเล่าความเป็นมาถึงการมาเป็นคนเสื้อแดงของผม ซึ่งคิดว่าน่าจะยาวซักหน่อย ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ในคนอีกกลุ่ม แต่อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระของคนอีกกลุ่ม ได้แต่หวังว่าทุกฝ่ายยินดีเปิดโอกาสให้ผมได้เปิดใจสักครั้งนะครับ

เรื่องราวของผมที่จะพูดถึงต่อไปนี้ ผมคงต้องเริ่มต้นจากอดีตที่นานมาก ย้อนขึ้นไปก่อนรัฐประหารปี 49 ย้อนขึ้นไปก่อนรัฐบาลคุณชาติชายปี 31 และย้อนขึ้นไปอีกก่อนหน้านั้นอีกหลายรัฐบาล

ชีวิตผมก็คงเหมือนคนอื่นๆที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สังคมไทยเรียกว่า “กลุ่มพลังเงียบ” คือไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนักกับการเมืองไทย ไม่ค่อยได้สนใจกับเรื่องการเมือง ไม่เคยไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง เพราะมองว่า “ประชาธิปไตย”แบบไทยๆ ก็คือการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างนักการเมือง ผลัดกันขึ้นครองอำนาจ โดยไม่แตะต้องซึ่งกันและกัน จนได้มีคำนิยามในทางการเมืองว่า ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรทางการเมือง ดังนั้นไม่ว่าใครได้เป็นรัฐบาล ใครได้เป็นนายกฯมันก็ครือๆกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากการทุจริตคอรัปชั่น ส่วนผมก็ทำงานตามปกติ ไม่เห็นจะดีขึ้นหรือเลวลง ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล

จนกระทั่งรัฐบาลคุณชาติชาย คนที่ใช้นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ตอนนั้นผมก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับว่า ท่านมีนโยบายอะไร แต่ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเริ่มดีขึ้น ช่วงนั้นผมฟู่ฟ่ามากเลยครับ ใส่สร้อยคอทองคำเส้นละ 10 บาท พระเลี่ยมทองอีก 9 องค์ เลสข้อมือทองอีก 5 บาท แหวนทั้งเพชรและทองใส่มันทั้ง 8 นิ้ว บางนิ้วใส่ถึง 3 วงด้วยซ้ำไป (บางคนคงจำได้ ตอนนั้นนิยมใส่แหวนเกลี้ยงๆซ้อนกันหลายวง) แม้แต่นิ้วโป้ง ถ้าไม่ติดว่านิ้วไม่สวย ผมคงใส่เต็มทุกนิ้วไปแล้วล่ะครับ บางท่านที่เกิดไม่ทัน อาจรู้สึกเป็นเรื่องน่าหัวเราะ แต่ความจริงแล้วในยุคนั้น เขาใส่แข่งกันอย่างนี้จริงๆนะครับ ใส่กันเหลืองอร่าม เดินกันตามท้องถนน แล้วก็ไม่ค่อยได้ยินมีการปล้นการจี้มากมายนัก ผิดกับสมัยนี้ ทองแค่สลึงเดียว ผมยังไม่กล้าใส่เลยครับ ไม่ใช่เพราะกลัวโจรที่ชุกยังกับดอกเห็ด แต่เป็นเพราะไม่มีปัญญาซื้อต่างหากครับ แหะๆ

แต่ถึงจะอยู่ดีกินดีแค่ไหน เมื่อรัฐบาลถูกทำรัฐประหารด้วยข้อหาคอรัปชั่น ผมก็เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ก็อย่างที่บอกแต่ต้นไงครับ ไม่ได้สนใจหรอกว่า ใครจะอยู่ใครจะไป และออกจะยินดีด้วยซ้ำไป ที่ได้กำจัดนักการเมืองที่คอรัปชั่น (ตามที่เขาบอกว่าจะทำให้ชาติเสียหายร้ายแรงมากมาย) ออกไป ต่อไปชาติคงจะเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน

ผมขอข้ามเหตุการณ์นองเลือดตอนพฦษภาทมิฬไปนะครับ เพราะช่วงนั้นก็ยังคงไม่รู้เรื่องอะไร นอกจากสงสารประชาชนที่ถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยม แต่เมื่อเหตุการณ์ยุติไปด้วยดี ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย โดยไม่ได้สนใจอะไรกับมันอีก

แต่ว่าหลังจากนั้น ประเทศไทยที่เคยรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยคุณชาติชาย เปรียบเหมือนรถยนต์ก็คงวิ่งกันเต็มสปีด ประชาชนยิ้มย่องผ่องใสกันถ้วนหน้า กลับกลายมาเป็นรถไฟไทยที่วิ่งกันแบบจะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง หงึกๆหงักๆ จังสิมันต้องถอน เอ๊ย นอกเรื่องไปนิด เราก็กลับสู่วังวนเดิมๆเหมือนเมื่อก่อนคุณชาติชาย แต่คอรัปชั่นในหมู่นักการเมืองก็ไม่เห็นจะหมดไป แต่ผมก็ยังไม่ได้เอะใจอะไรสักนิด คิดว่านี่คือประชาธิปไตยแบบไทยๆไงครับ

จนกระทั่งเรามีนักการเมืองคนใหม่ ที่ร่ำรวยมหาศาล อาสาจะมาทำงานช่วยให้คนจนหายจน ใช่แล้วครับ มาถึงยุคแรกของคุณทักษิณ แม้จะฟีเว่อร์ไปกับนักการเมืองคนนี้ แต่ผมก็ยังคงเป็นผมคนเดิม ที่คิดว่า หนึ่งเสียงของตัวเองก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สู้เอาเวลาที่จะไปต่อคิวเลือกตั้งมาทำมาหากินดีกว่า

แต่แล้วคุณทักษิณก็ทำผลงานมากมาย ไม่ใช่แค่ผลงานจากนโยบายที่สามารถทำได้ตามที่หาเสียงได้เท่านั้น ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบข้าราชการอย่างเห็นได้ชัด จากเช้าชามเย็นชามในอดีต กลายเป็นกระตือรื้อร้นในการทำงานรับใช้ประชาชน ทุกหน่วยงานทำงานอย่างคล่องตัว อีกทั้งรายได้เข้ารัฐก็มากมาย สามารถใช้หนี้ก่อนกำหนด และยังเป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศ ในตอนนั้นนอกจากความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ผมยังรู้สึกถึงความภาคภูมิของความเป็นคนไทยอีกด้วย

ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งที่สอง ผมจึงถีบตัวออกจาก “กลุ่มพลังเงียบ” มาเป็นกลุ่มเชียร์คุณทักษิณ บัตรถูกใบในครอบครัว จึงต้องเป็นเบอร์ของคุณทักษิณและพรรคเท่านั้น และก็ใช่จะมีแต่ผมคนเดียว จำได้แม้กระทั่งกรุงเทพ เมืองที่ถูกยกย่องว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้มากที่สุด ฉลาดที่สุด ใกล้ชิดกับข้อมูลข่าวสารที่สุด ก็ยังเลือกคุณทักษิณจนพรรคการเมืองพรรคอื่นแทบจะสูญพันธุ์ไปจาก กทม.

แต่แล้วก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเริ่มออกมาชุมนุมกดดัน ก็เรื่องเดิมๆการคอรัปชั่นของนักการเมือง แต่ครั้งนี้เน้นที่คุณทักษิณเพียงคนเดียว ต่อมาก็มีพวกนักวิชาการต่างๆ พวกสื่อฯต่างๆ รวมทั้งกลุ่มองค์กรต่างๆออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ จากตอนแรกแค่การใช้อำนาจมากเกินไป จากตอนแรกแค่คอรัปชั่น แล้วเลยเถิดถึงขั้นขายชาติ คิดล้มสถาบัน ถึงตอนนั้น กระแสสร้างความเกลียดชังอย่างเป็นระบบ จนทำให้แม้แต่เด็กนักเรียนที่ไม่เคยรู้เรื่องการเมือง ไม่เคยใส่ใจกับหน้าที่และยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ยังออกมาชุมนุมขับไล่ ตอนนี้ผมชักรู้สึกตะหงิดๆแล้วนะครับ แต่ก็ยังคงมองโลกในแง่ดีว่า รัฐบาลชุดนี้มาอย่างชอบธรรมและเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศเสียด้วย คงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก ผมคิดของผมอย่างนั้น

และแล้วผมเริ่มได้ยินคำว่า “ผู้บารมีนอกรัฐธรรมนูญ” เป็นครั้งแรก แต่ผมก็ยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าจะมีจริง แม้จะเป็นคำพูดของคุณทักษิณก็ตาม จะเป็นไปได้อย่างไรกันว่าจะมีคนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญไปได้ คงเป็นเพราะคุณทักษิณไม่มีทางออก ก็เลยหาคำมากล่าวเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ผมยังมองโลกในแง่ดีต่อไป

จนกระทั้งเกิดการรัฐประหาร แถมยังเป็นการทำรัฐประหารในขณะที่นายกฯกำลังทำภารกิจสำคัญยังต่างแดน ผมเริ่มรู้สึกแปร่งๆกับการแต่งตั้งองค์กรอิสระอย่าง คตส.ที่มีอำนาจล้นฟ้ามาตรวจสอบคุณทักษิณ ผมเริ่มรู้สึกสงสัยที่มีองค์กรอิสระต่างๆไม่ว่าจะเป็น สตง. ปปช.หรือแม้กระทั่ง ตลก.ที่แต่ละคนล้วนแต่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณทั้งสิ้น แล้วอย่างนี้มันจะมีความยุติธรรมหลงเหลือให้กับคุณทักษิณอย่างนั้นหรือ? ผมคิดของผมอย่างนั้น

แต่เมื่อผมหันมาหาข้อมูลจากสื่อฯต่างๆ ไม่ว่าจากทีวีหรือจากหนังสือพิมพ์ ก็ล้วนแต่นำเสนอแต่ข่าวด้านเดียวเท่านั้น นั่นคือ ความผิดของคุณทักษิณ ราวกับว่า คุณทักษิณไม่ใช่คนเสียแล้ว กลายเป็นปีศาจในชั่วค่ำคืน กลายเป็นบุคคลน่ารังเกียจที่สุดของประเทศ ทั้งๆที่พึ่งจะได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทลายเป็นประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ดังนั้นมันต้องมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ มีอะไรที่ปิดบังเราอยู่และต้องมีอะไรที่ไม่ใช่ภาพที่เราเห็นอย่างแน่ๆ ผมเริ่มอยากรู้ความจริง เริ่มหาช่องทางที่จะต้องรู้ความจริงให้ได้ จนกระทั่งมาพบอีกช่องทางหนึ่งจนได้ นั่นคือสื่อฯจากอินเตอร์เนท จำได้ว่าตอนนั้นได้ยินคุณสรยุทธ์พูดถึงพันทิพห้องราชดำเนินแห่งนี้ แต่จำไม่ได้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร รู้แต่เพียงว่า ห้องราชดำเนินแห่งนี้ในตอนนั้นเป็นห้องการเมืองที่มีคนเข้ามาพูดคุยกันเรื่องการเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวปบอร์ดการเมืองที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศ

ตอนนี้เอง จากที่ไม่เคยเล่นอินเตอร์เนท ผมก็หาคนมาช่วยสอน จากคนที่พิมพ์ดีดไม่เป็น ผมก็ไปซื้อหนังสื่อเกี่ยวกับการสอนพิมพ์ดิด ฝึกไปเรื่อยๆ ใช้เวลากว่าเดือนกว่าจะพิมพ์ได้คล่อง ตอนนั้นเอง “ทวดเอง”จึงได้เกิดขึ้นเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชดำเนินแห่งนี้ ซึ่งใหม่ๆก็ได้แต่อ่านจากผู้รู้ ศึกษาจากข้อมูล ตามลิงค์ที่มีคนนำมาแปะให้ จนกระทั่งวันหนึ่งอดรนทนไม่ไหว จึงต้องขอเป็นส่วนร่วมในการทวงคืนความเป็นธรรม

และจากการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ผมยิ่งตกใจกับข้อมูลมากมายที่ผมจะไม่มีวันรู้ ถ้าไม่รู้จักสื่อฯจากอินเตอร์เนท ยิ่งรู้มากยิ่งห่วงบ้านเมืองมาก ทำไมประเทศไทยที่เคยเป็นสยามเมืองยิ้ม จึงมีอีกมุมที่ผมไม่เคยมองเห็นไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม ประชาธิปไตยที่มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง การบังคับใช้กฎหมายอย่างสองมาตรฐาน และที่น่าตกใจสำหรับผมก็คือ การเข่นฆ่าประชาชกลางเมืองหลวงโดยที่ยังหาคนรับผิดชอบไม่ได้ ผมเริ่มคิดถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”ในสังคมไทยน่าจะมีอยู่จริงเสียแล้ว

อย่างนี้แล้ว ผมจึงคิดว่า คงไม่ได้การอย่างแน่นอน ถ้าจะปล่อยให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้ต่อไป และถ้าเราไม่สู้ตั้งแต่วันนี้ ต่อไปก็ต้องเป็นภาระของลูกหลานต่อไป เพราะความก้าวหน้าในยุคโลกาภิวัฒน์ คงไม่มีอะไรที่จะมาต้านทานพลังของประชาชนไปได้ ว่าแต่เราจะสูญเสียอีกเท่าไรกันจึงจะไปให้ถึงวันนั้น วันที่ประชาชนต้องเป็นใหญ่จริงๆในระบอบประชาธิปไตย วันที่เราจะเห็นความยุติธรรมในทุกหมู่ชนชั้น วันที่เราจะเห็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน และวันที่ประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้นที่จะกำหนดทิดทางของประเทศ ดังนั้นเราจึงควรที่จะสู้ต่อไป ตราบใดที่ยังไม่ได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

เอาล่ะครับ อารัมภบทนิดๆหน่อยๆถึงความตัวตนของ “ทวดเอง” เพื่อให้รู้ถึงความเป็นมา คราวนี้ก็มาเข้าถึงคำถามที่ว่า ทำไมผมจึงยังไม่ยอมหยุดเขียน ในเมื่อได้รัฐบาลตามที่ใจต้องการ

ก็เป็นเพราะผมเชื่อว่า เรายังไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงไงครับ ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ยังไม่ใช่เป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศได้ไงครับ ดังที่เราได้เห็นกลุ่มเดิมๆเริ่มทยอยออกมาเอาเท้าราน้ำกันอีกแล้ว เหมือนภาพยนตร์ม้วนเดิม ภาพยนตร์ตอนเดิม ตอนก่อนเกิดการรัฐประหารเริ่มออกมาฉายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

เราได้เห็นฝ่ายค้านที่ออกมาค้านทุกเรื่องทั้งที่รัฐบาลยังไม่ทันทำงานด้วยซ้ำไป
เราได้เห็นกลุ่มนักวิชาการกลุ่มเดิมออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล ทั้งที่พึ่งจะทำงานกันไม่ถึงเดือน
เราได้เห็นสื่อฯต่างๆลงข่าวแต่ด้านลบ ส่วนด้านบวกของรัฐบาลแทบจะไม่ปรากฏในสื่อหลัก
เราได้เห็นเหล่านักกฎหมายที่ไม่ยอมให้มีการแก้กฎหมาย ทั้งที่กฎหมายหลายมาตรามีปัญหา
เราได้เห็นความพยายามใส่ร้ายป้ายสีในเรื่องหลายเรื่องที่พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง
และเรายังได้เห็นการไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประเทศทั้งๆที่พึ่งผ่านการเลือกตั้งมา

อย่างนี้จะให้ผมรามือได้อย่างไรกัน ผมไม่ยอมที่จะเอามือซุกหีบเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อน แล้วต้องมาเจอกับประเทศที่มีแต่ความแตกแยกอีก 5 ปีต่อไปหรืออาจจะมากกว่านั้นก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นกว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว

ดังนั้นผมจึงไม่ยอมแน่ๆที่จะให้ฝ่ายค้านมาใช้วาทกรรมหลอกลวง “กลุ่มพลังเงียบ”อีกต่อไป
ผมไม่ยอมที่จะให้เหล่านักวิชาการที่ขาดจิตสำนึกมาชี้นำประเทศโดยไม่มีหลักวิชาการรองรับ
ผมไม่ยอมให้นักกฎหมายที่จะใช้กฎหมายเพียงหวังผลทางการเมือง
ผมไม่ยอมให้องค์กรอิสระต่างๆใช้อำนาจตามอำเภอใจ
ผมไม่ยอมให้สื่อฯหรือคอลัมน์นิสต์ต่างๆ อาศัยน้ำหมึกและการสื่อสารมาทำให้ประเทศแตกแยกหนักยิ่งขึ้น

และตราบใดผมยังรู้สึกถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไม่ว่าจะกลุ่มใดก็ตาม ผมก็จะเขียนของผมไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้กับกลุ่มคนที่ต้องการหาข้อมูลเฉกเช่นเดียวกับผมเมื่อ 5 ปีก่อน จะถูกหรือผิด คนอ่านจะเป็นผู้ตัดสินเอง ส่วนตัวผม ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่ ผมก็ได้พยายามแล้วครับ ไม่ใช่ปล่อยลมหายใจทิ้งไปวันๆ โดยไม่ยอมทำอะไร แล้วก็ปล่อยให้ชีวิตและโอกาสอยู่ในเงื้อมมือของคนกลุ่มหนึ่งบงการ แล้วก็มาโทษโชคชะตาในภายหลัง

สุดท้ายผมก็เข้าใจนะครับสำหรับผู้ที่อ่านมาไม่ถึงบรรทัดนี้ เพราะขนาดผมเอง เมื่อมาอ่านทวนอีกทีผมยังตาลายเลยครับ และก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้พยายามอ่านมาจนจบ และจะขอบคุณยิ่งขึ้น ถ้าทุกๆท่านจะกรุณาร่วมมือกันต่อไป เพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะตอนนี้พวกเราชนะกันมาแล้วส่วนหนึ่ง หนทางข้างหน้า แม้จะยังอีกยาวไกล แต่พวกเราก็ยังคงจับมือการต่อสู้การให้ถึงที่สุด เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า คนไทยก็มีหัวใจประชาธิปไตยเหมือนกับชาติอื่นๆที่พัฒนาแล้ว ขอบคุณอีกครั้งครับ

ปล. ยังไม่ยอมจบง่ายๆ เพียงแค่อยากบอกว่า บทความนี้ผมเขียนขึ้นจากความทรงจำเพียงอย่างเดียว อาจจะจำผิดไปบ้าง อาจจะตกหล่นไปบ้าง แต่เป็นความตั้งใจจริงที่จะเขียนขึ้นมา ดังนั้นผิดพลาดประการใดก็จะไม่ขอโทษ เพียงแต่ขออภัยคงจะพอมั่งครับ



Create Date : 01 ตุลาคม 2554
Last Update : 1 ตุลาคม 2554 16:47:28 น. 1 comments
Counter : 572 Pageviews.

 
ติดตามๆๆ.................


โดย: aodblo22 วันที่: 1 ตุลาคม 2554 เวลา:18:34:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ทวดเอง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทวดเอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.