|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วิกฤต เรียนภาษาจีน ในไทย ทำไม
ยังล้าหลัง !!
ตอนที่ผมหาพนักงานที่จะมาช่วยดูแลประสานงานตอนสัมภาษณ์ เด็กผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเรียนภาษาจีนมาแล้ว 1 ปี ผมก็เลยทดสอบด้วยการลองให้เขานับเลข ปรากฏว่าเขานับ 1-10 ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่พอถามว่าแล้ว 16 ภาษาจีนว่าอย่างไร เขากลับตอบไม่ได้ ศ.ดร.เขียน ธีรวิทย์ หนึ่งในผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องจีนมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ กล่าวติดตลก เมื่อพยายามจะฉายภาพปัญหาของมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยที่กำลังเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤต
เป็นวิกฤตที่ครั้งหนึ่ง วิโรจน์ ตั้งวานิชย์ อาจารย์สอนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เคยวิพากษ์ไว้ในรายการชีพจรโลกว่า จะหาคนไทยที่เรียนภาษาจีนในประเทศไทยดีพอที่สามารถนำไปใช้ได้น้อยมาก และหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว ไทยอยู่ในลำดับสุดท้าย
แม้ที่ผ่านมา รัฐบาลจะกำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา โดยเป้าหมายปลายทางที่ตั้งไว้ คือ การกำหนดให้นักเรียนและนักศึกษาในระบบโรงเรียนทุกคนได้เรียนภาษาจีน ได้ในสัดส่วนร้อยละ 20 ของนักเรียน นักศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี โดยจัดสรรงบประมาณระหว่างปี 2549-2553 ไว้เป็นจำนวนกว่า 528 ล้านบาท
แต่ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ที่มีอยู่ดีขึ้นเท่าใดนัก ในทางกลับกัน การเร่งรีบโดยขาดการเตรียมการก็ยิ่งทำให้บรรดาโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในทุกระดับเร่งรีบที่จะเปิดหลักสูตรโดยขาดความพร้อม
ปริมาณผ่าน คุณภาพตก
จากการศึกษาวิจัยการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย ที่ทำการเรียนการสอนภาษาจีนทั้งในและนอกระบบทุกระดับ ในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อศึกษาถึงจุดอ่อนและจุดแข็งที่จะนำไปสู่การปฏิรูปหลักสูตรต่อไปในอนาคตของศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้นพอจะทำให้เห็นภาพบางอย่างปรากฏชัด โดยเฉพาะการเร่งรัดที่ทำให้อาจารย์กว่าครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องภาษาจีน จำเป็นต้องกลายมาสอนในวิชานี้ เพราะขาดแคลนอาจารย์ที่มีความรู้จริงๆ ที่จะมาสอน รวมไปถึงปัญหาในตัวหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน ตำรา ที่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ส่งผลกับประสิทธิผลของการเรียนการสอนภาษาจีนในทุกระดับ
ดังนั้นปัญหาในวันนี้ของไทยจึงไม่ได้อยู่ที่ปริมาณที่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะจากงานวิจัยยกตัวอย่างว่า ในปี 2550 จากการสำรวจโรงเรียนระดับอาชีวศึกษา 122 โรงเรียนที่พบว่ามีจำนวนนักศึกษาที่เรียนภาษาจีนอยู่ถึง 44,425 คน 25.5% ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้แล้ว แต่ปัญหาในวันนี้กลับอยู่ที่การทำผลิตผลให้มีคุณภาพ
ในงานวิจัยตอนหนึ่งยังระบุด้วยว่า ได้มีการสอบถามผู้บริหารโรงเรียน 58 แห่งว่า นักเรียนที่จบภาคปกติแล้ว เอาไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด มีกว่า 50% ที่ตอบว่าเมื่อนักเรียนจบไปแล้วไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ใดๆ ได้เลย
ครูไร้คุณภาพ หลักสูตรไม่ต่อเนื่อง
ปัญหาที่วิกฤตที่สุดซึ่งเราพบขณะนี้ คือ รอยต่อของการศึกษาจีนของไทยในแต่ละระดับ ที่ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างกัน ซึ่งประเทศอื่นจะไม่มีปัญหาในลักษณะนี้ โดยทุกระดับการเรียนจะเริ่มจากศูนย์หมด ประถมศึกษาก็เริ่มจากศูนย์ พอไปถึง ระดับมัธยมศึกษา ก็เริ่มจากศูนย์อีก พอไปถึงอุดมศึกษาก็เริ่มเรียนกันใหม่จากศูนย์อีก ซึ่งทำให้เกิดความสูญเปล่า ฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหาก็ต้องเชื่อมรอยต่อเหล่านี้เข้ามาหากัน
พัชนี ตั้งยืนยง อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในคณะผู้วิจัย กล่าวและอธิบายด้วยว่า
เป้าหมายการเรียนการสอนเป็นไปคนละทิศคนละทาง เช่น ประถมศึกษา การตัดสินใจเรียนเป็นเจตนารมณ์ของ ผู้ปกครอง และมีการสอนทักษะทั่วไป พอถึงมัธยมศึกษา ก็มีปัญหาว่าในความเป็นจริงการเรียนภาษาต่างประเทศนั้นต้องสามารถเรียนทักษะเพื่อสำหรับสื่อสารได้ แต่พอระดับมัธยมศึกษา คนก็ไปให้ความสำคัญกับการจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้เรียนเพื่อเอาไปเป็นวิชาหนึ่งในการสอบมากกว่า เพราะเวลาทำข้อสอบก็ทำเป็นปรนัย ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะการสื่อสาร ภาษาจีนมีสอบครั้งแรกในการเข้ามหาวิทยาลัยในปี 2541 ฉะนั้นการเรียนการสอนก็จะเน้นไปที่ข้อสอบปรนัย จึงทำลายโอกาสในการพัฒนาทักษะทั้งด้านการพูด การฟัง แต่พอการเรียนเข้ามหาวิทยาลัย จะต้องไปทำงานและต้องสื่อสารให้ได้ ก็ไปเรียนอีกแบบ ฉะนั้นจะเห็นว่าเป้าหมายในการเรียนไปคนละทิศคนละทาง ดังนั้นถ้าเรามีเป้าหมายร่วมกันตั้งแต่ต้นว่าต้องการให้เด็กไทยมีความสามารถในการสื่อสารได้ ก็จะทำให้การเรียนมีประสิทธิผลมากขึ้น
ชี้จุดอ่อนก่อนปฏิรูป
ประสบการณ์ของนักศึกษาคนหนึ่งที่เคยไปเรียนภาษาจีน ที่กรุงปักกิ่ง เล่าไว้ว่า การเรียนการสอนจะมีสื่อที่หลากหลาย และนักศึกษาที่ปักกิ่งจะตั้งใจเรียนมาก และนอกห้องเรียนก็จะพยายามใช้ภาษาจีนในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยหลีกเลี่ยงภาษาอังกฤษ และไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ไปโบสถ์ ที่ทำให้พัฒนาการด้านภาษารวดเร็วมาก
ข้อจำกัดที่ค้นพบของการเรียนการสอนภาษาจีนในไทย ที่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการเรียนภาษาจีนในประเทศจีนที่จัดไว้สำหรับนักศึกษาต่างชาตินั้น พบว่าข้อจำกัดที่ทำให้การเรียนในไทยไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะการขาดโอกาสในการใช้ภาษาจีนอย่างเพียงพอในการสื่อสาร หรือการฟัง การอ่านหนังสือ ชมภาพยนตร์ อ่าน นิตยสารภาษาจีนนั้นมีน้อยมาก ขณะที่เวลาเรียนในชั้นเรียนมีน้อยเกินไป ไม่มีกิจกรรมส่งเสริมการใช้ภาษาจีนนอกห้องเรียน หลักสูตรการเรียนการสอนที่ไม่แยกวิชาเรียนในทักษะต่างๆ รวมถึงแบบเรียนที่ส่วนใหญ่ใช้แบบฮั่นยวี่เจี้ยวเฉิงที่ต้องใช้เวลาในการเรียนนานและต่อเนื่อง แต่ของไทยมีระยะการสอนเพียงสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้เทคนิคการสอนของครูที่ไม่น่าสนใจ และสุดท้ายคือความตั้งใจของผู้เรียนในไทยที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเท่านักศึกษาที่ไปเรียนภาษาในประเทศจีน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการสื่อสารได้และใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
การปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาจีนในวันนี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ขึ้นอยู่กับทุกภาคส่วน ตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการศึกษา ครู จนกระทั่งผู้เรียน ฯลฯ ที่ต้องร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้นแล้วถึงแม้จะมีคนเรียนภาษาจีนมากขึ้น ก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับผู้เรียนและประเทศ นอกจากความสูญเปล่า
ทำไมใครๆ ก็เรียนภาษาจีน !!
- ทุกวันนี้จีนไม่เพียงเป็นประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน ประมาณ 20% ของประชากรโลก GDP ยังอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 6% ของ GDP โลก ฉะนั้นถือเป็นตลาดใหญ่ ปัจจุบันการส่งออกจากไทยไปจีนก็ขยายตัวมากกว่าประเทศอื่น จีนยังมีนโยบายขยายการลงทุนมายังประเทศอื่นๆ ภาษาจีนจึงมีความสำคัญสำหรับการติด ต่อสื่อสารกับคนจีนในอนาคต ทุกวันนี้ ซีอีโอในสหรัฐหลายคนยังให้ลูกหลานเรียนภาษาจีน เช่น Robert Polet ประธานกลุ่มกุชชี่ Scott Cook ที่ให้ลูกชายเรียนภาษาจีน โดยฝึกให้ตีปิงปองกับครูเชื้อสายจีน ฯลฯ
- ปัจจุบันมีคนไทยเรียนภาษาจีนกว่า 5.67 แสนคน โดยส่วนหนึ่งเรียนในระบบ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเรียนในโรงเรียนสอนภาษาที่มีจำนวนเกือบครึ่งแสน ซึ่งกว่าครึ่งเชื่อว่าการเรียนภาษาจีนจะทำให้มีโอกาสค้าขายกับคนจีนและหางานทำที่ดีขึ้นในอนาคต ทำให้ 4-5 ปีที่ผ่านมามีโรงเรียนสอนภาษาจีนเกิดขึ้นมากมายกว่า 77 โรงเรียน และล้มหายตายจากไปในจำนวนที่ใกล้เคียงกันเพราะการแข่งขันสูง โดยโรงเรียนสอนภาษาจีนที่ใหญ่ที่สุดในไทย ได้แก่ วิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก หรือ OCA ของมูลนิธิไทย-จีน ที่มีนักศึกษากว่า 20,000 คน
- ปัจจุบันนักศึกษาไทยนิยมไปเรียนที่จีนมากขึ้น ที่นิยมที่สุดคือ กรุงปักกิ่ง และมหานครซ่างไห่ กว่างโจว และ คุนหมิง ฯลฯ โดยมหาวิทยาลัยสอนภาษาจีนที่มีคนไทยไปเรียนมาก ได้แก่ ม.ปักกิ่ง ม.ภาษาปักกิ่ง ม.ฟู่ตั้น ม. ซ่างไห่เจียวทง ม.จี้หนาน เมืองกว่างโจว ม.ครูหยุนหนาน ม.ชนชาติแห่งกว่างซี
source://www.wiseknow.com/blog/2008/10/30/1139/#axzz1R7xC15MH
Create Date : 04 กรกฎาคม 2554 |
Last Update : 4 กรกฎาคม 2554 16:50:50 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2814 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 4 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:00:44 น. |
|
|
|
โดย: pop IP: 180.210.216.74 วันที่: 4 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:33:26 น. |
|
|
|
โดย: -..- (tictin ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:22:17:13 น. |
|
|
|
โดย: Ivoryrose IP: 223.24.15.200 วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:18:28 น. |
|
|
|
โดย: kate IP: 115.87.30.229 วันที่: 14 มีนาคม 2555 เวลา:12:14:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Dalian(China),Guildford(UK),กทม.,สกลนคร United Kingdom
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
Edutainment International Business Bossa Nova& Easy Listening
ถ้าถามอะไรในนี้ไม่ได้ตอบ กรุณาส่งไปทางเฟซบุ๊คเลยนะคะ ไม่ค่อยได้เช็คบล็อกค่ะ ขอบคุณค่ะ
ยินดีต้อนรับ ณ บ้านชะเอมหวานค่ะ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนกันเสมอนะคะ จขบ.เป็นอาจารย์เล็กๆค่ะ ฟรีแลนซ์ พิธีกรงานแต่งงาน สะสมโปสการ์ดค่ะ ฟังเพลงสบายๆ ชอบแต่งหน้าแต่งตัว แต่งกลอน ขีดๆเขียนๆ ท่องเที่ยว ก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยค่ะ จุ๊บๆ
|
บ้านนี้จขบ.ต้องการสร้างสรรค์ให้เบา สบายๆค่ะ เอนทรี่เก่าๆเกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยวจะย้ายบ้านไปที่
Amiley lala(ท่องเที่ยวและอาหาร)
POSTCARD & International Business
ถ้าจะโหวตขอหมวดการศึกษา
และหมวดดนตรีค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ credit:::: photo by พี่เป็ดสวรรค์) Head blog กับของตกแต่งจาก
pk12th และ
คุณกุ้ง Kungguenter
|
|
|
|
|
|
|
|