โดย เกษียร เตชะพีระ
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ และจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างก็ตาม การเคลื่อนไหวประท้วงของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รอบ ๒ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมศกนี้เป็นต้นมา นับเป็นปรากฏการณ์น่าสนใจชวนขบคิดวิเคราะห์
โดยที่ยังไม่อาจคิดเรียบเรียงเป็นระบบครบถ้วนกระบวนความ ผมขออนุญาตตั้งข้อสังเกตขั้นต้นบางอย่างเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะและแนวโน้มของม็อบพันธมิตรฯในที่นี้: -
๑) การชุมนุมมาราธอนของพันธมิตรฯที่ยืดเยื้อมาได้นานร่วม ๑๐๐ วันเพราะได้แรงความชอบธรรมหรืออย่างน้อยก็อดกลั้นอดออมจากสาธารณชนที่ตระหนักเห็นความบกพร่องพิกลพิการของระบบการเมืองประชาธิปไตยรัฐสภาจากการเลือกตั้งดังที่เป็นอยู่
จะว่าไปแล้วตลอด ๑๐๐ วันที่ผ่านมานั้น ตัวรัฐบาลสมัครและระบบรัฐสภาเองนั่นแหละที่ราวกับเปิดช่องชงเรื่องตั้งลูกจุดประเด็น ไม่ว่าโดยจงใจหรือไร้เจตนา ไม่ว่าโดยแผนการหรือเป็นไปตามระบบ - ให้พันธมิตรฯ หยิบไปเปิดโปงตีกินขยายความปลุกระดมความไม่พอใจและไม่ไว้วางใจของสาธารณชนได้เรื่องแล้วเรื่องเล่าไม่หยุดหย่อน
ตั้งแต่กรณีผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างปิดแคบรีบร้อนรวบรัด, คำปราศรัยในอดีตของรมว.จักรภพ, มรดกโลกเขาพระวิหาร, การปรับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท. ทักษิณและครอบครัว, แผนเมกะโปรเจกต์บางโครงการ, การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับควบคุมตลาดหลักทรัพย์และธนาคารแห่งประเทศไทย, ไปจนถึงโครงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่เบียดขับรุกรานเด็กนักเรียนและชาวบ้าน ฯลฯ
พูดอีกอย่างก็คือ โดยไม่ต้องเห็นด้วยกับเป้าหมายและวิธีการทั้งหมดทุกอย่างของพันธมิตรฯ แต่สาธารณชนก็รู้สึกได้ว่าระบบประชาธิปไตยรัฐสภายังแสดงอาการรวมศูนย์อำนาจและผูกขาดอธิปัตย์ (centralism & monism ในการวิเคราะห์ของอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์) เรื้อรังออกมาไม่หยุดหย่อนเหมือนดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่ จึงต้องการพลังอะไรสักอย่างไปคัดคานถ่วงดุลตรวจสอบมันไว้
หากศาลตุลาการและองค์กรอิสระเป็นพลังถ่วงดุลตรวจสอบภายในระบบ พันธมิตรฯก็ทำตัวเสมือนเป็นพลังถ่วงดุลตรวจสอบหนุนเสริมอยู่นอกระบบ - ในกรณีที่พลังภายในระบบทัดทานไม่ไหวหรือไม่ทันกาล
มองเฉพาะแง่มุมเดียวนี้ พันธมิตรฯจึงดูเหมือนแสดงบทบาทหน้าที่จำเป็นบางอย่างสำหรับระบบการเมืองแบบนี้ (systemic function)
๒) ม็อบมาราธอนของพันธมิตรฯน่าจะเป็นการชุมนุมประท้วงครั้งแรกของโลกที่ถ่ายทอดสดทางทีวีดาวเทียม, วิทยุและอินเทอร์เน็ต ๒๔/๗ (วันละ ๒๔ ชั่วโมง/สัปดาห์ละ ๗ วัน) ต่อเนื่องกันนานนับ ๑๐๐ วัน
ทำให้มันมีลักษณะผสมผสานอย่างพิสดารระหว่าง reality show กับการรณรงค์ต่อสู้ทางการเมือง
ซึ่งเปลี่ยนขยายปรากฏการณ์ audience democracy (ประชาธิปไตยของผู้ชมในตะวันตกช่วงหลังนี้ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นแค่ผู้ชมผู้ฟังบรรดานักการเมืองอาชีพเล่นบทบาทกันไปบนเวทีการเมืองแล้วก็ให้เรตติ้งคะแนนนิยมผ่านการสำรวจหยั่งเสียง) ออกไป
ให้สามารถมี virtual participants นอกสถานที่ชุมนุม (ผู้เสมือนเข้าร่วมจริง - ไปม็อบได้โดยไม่ต้องออกนอกบ้านหรือออฟฟิศ) มากมายเหลือคณานับกว่าที่พบเห็นในที่ชุมนุม โดยเสียบหูฟังวิทยุคลื่น FM 97.75 หรือเปิดโฮมเธียเตอร์ช่องเอเอสทีวีดังสนั่นลั่นห้อง ให้ความรู้สึกเหมือนร่วมรับฟัง/รับเห็น/รับรู้/รู้สึกอยู่ในที่ชุมนุมตลอดเวลาไม่ว่ากำลังทำงาน ทานข้าวหรือเข้านอน
ทว่าผลด้านกลับของมันคือทำให้การชุมนุมของพันธมิตรฯน่าจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายรายวันแพงที่สุดในโลกด้วย เพราะไม่เพียงค่าเช่าเวทีอุปกรณ์แสงเสียง ค่าน้ำมันปั่นเครื่องไฟ ค่าสวัสดิการอาหารของคณะทำงาน วิทยากรและศิลปิน ยังมีเงินเดือนและค่าดำเนินการถ่ายทอดสดจากที่ชุมนุมของทีม เอเอสทีวีอีกต่างหาก รวมแล้วตกถึงวันละ ๕ แสน ๑ ล้านบาทแล้วแต่จำนวนผู้ชุมนุม ขณะเงินบริจาคและรายได้จากการขายเสื้อยืดสิ่งของเครื่องใช้เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงเข้ามาประมาณวันละ ๓ แสน กว่า ๑ ล้านบาท
ด้วยเงินงบประมาณรายวันขนาดนี้คงพอให้การชุมนุมประท้วงปกติธรรมดาของชาวบ้านหรือแม้แต่ของ นปก. ที่ย่อมเยากว่ายืนยาวไปได้นานเป็นสัปดาห์ทีเดียว
ปรากฏว่าใน ๒๕ วันแรกของการชุมนุม พันธมิตรฯมีรายได้ ๒๖ ล้านบาท ใช้จ่ายไป ๒๔ ล้านบาท (สุริยะใส กตะศิลา), ในการชุมนุมกว่า ๓ เดือน พันธมิตรฯผลิตเสื้อ ลูกจีนรักชาติ ออกขาย ๙ หมื่นตัว ได้เงินกว่า ๒๕ ล้านบาท (ชัยอนันต์ สมุทวณิช), จนหลังบุกยึดทำเนียบ พันธมิตรฯก็ยังมีเงินเหลือในบัญชี ๖.๖ ล้านบาทและทองคำแท่งหนัก ๘๐ บาท (จำลอง ศรีเมือง)
การชุมนุมแบบพันธมิตรฯ จึงมีภาระทางการเงินหนักเป็นพิเศษ ความข้อนี้บ่งชี้ลักษณะด้านฐานะเศรษฐกิจสังคมและวิถีชีวิตของฐานผู้สนับสนุนและเข้าร่วมได้พอสมควร
๓) พูดอย่างรวบยอด การชุมนุมของพันธมิตรฯคือพลังฝ่ายค้านทางการเมืองตัวจริงเสียงจริงในปัจจุบัน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแค่ตัวประกอบ (ใครยังจำได้ว่ามีพรรคฝ่ายค้านนี้อยู่บ้าง
?)
เพียงแต่ข้อต่างที่มีนัยสำคัญคือพันธมิตรฯ เป็นพลังฝ่ายค้านที่ต่อต้านทั้งระบบการเมือง (ในความหมาย a force of resistance to the whole political system) ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านปกติธรรมดาในระบบการเมือง (ในความหมาย an opposition party in the political system)
พูดเพื่อเข้าใจง่ายๆ ได้ว่าพันธมิตรฯคือ พรรค ราชาชาตินิยมฝ่ายค้านตัวจริงนอกระบบรัฐสภา ที่ไม่ลงเลือกตั้งเพราะถึงลงก็คงแพ้พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นซึ่งทุนหนาและกุมเสียงส่วนใหญ่ในชนบทแน่นกว่า
ทางเดียวที่ พรรค พันธมิตรฯจะชนะและยึดอำนาจรัฐได้จึงไม่ใช่ผ่านการเลือกตั้ง แต่ต้องโดยวิถีทางอื่น ดังได้พิสูจน์ให้เห็นซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด ๓ ปีที่ผ่านมา - ไม่ว่าโดยการชุมนุมประท้วง, รัฐประหาร, หรือลุกขึ้นสู้ (general uprising ปราโมทย์ นาครทรรพ) ในครั้งนี้ก็ตามที
การดำรงอยู่ของพันธมิตรฯรวมทั้งพลังทางการเมืองและสังคมซึ่งมีพวกเขาเป็นตัวแทนในฐานะขั้วหนึ่งของคู่ขัดแย้งหลักทางการเมืองปัจจุบันจึงเป็นปัจจัยแห่งความไร้เสถียรภาพในระบอบการเมืองอยู่แล้วโดยตัวของมันเองเป็นธรรมดา
ยิ่งกว่านั้นการที่พันธมิตรฯ เข้าใจว่าตนเองเป็นเครื่องมือแบบการเมืองมวลชนเพื่อไปบรรลุสิ่งซึ่งตนเองเข้าใจว่าเป็นพระราชประสงค์ขององค์พระประมุข โดยก้าวข้ามช่องทางสถาบันการเมืองทางการทั้งหมด (คำปราศรัยบนเวทีก่อนเป่านกหวีดบุกยึดทำเนียบของสนธิ ลิ้มทองกุล, พิภพ ธงไชย เป็นต้น) จึงน่าวิตกว่าจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิอาจทำงานตามครรลองกลไกกระบวนการปกติของมันได้ เกิดอาการไฟช็อตลัดวงจร กระทั่งหมดสภาพลง
กรณีตัวอย่างที่พอยกมาเปรียบเทียบได้ในบางแง่มุมคือสถานการณ์ในเมืองจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม
๔) ในสายตาผม แนวโน้มน่าห่วงที่สุดของม็อบพันธมิตรฯ คือท่าทีต่อปัญหาจริยธรรมว่าด้วยวิธีการ (the ethics of means)
เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองที่ตนเห็นว่าถูกต้องดีงาม พันธมิตรฯไม่เลือกวิธีการที่ใช้ จะใช้วิธีการอะไรก็ได้ จะชอบหรือไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมหรือหลักการทางการเมืองอย่างไรก็ได้ ขอแต่ให้บรรลุเป้าหมายได้เป็นพอ เข้าทำนอง The end justifies the means. หรือเป้าหมายให้ความชอบธรรมกับวิธีการ
เหตุผลที่พันธมิตรฯอ้างมักมี ๒ ประการด้วยกัน คือ
ก) ศัตรูที่เราสู้ด้วยเป็นคนสกปรกเลวทรามต่ำช้าถึงขนาดฝ่ายมันเองก็ไม่เลือกวิธีการเวลาสู้กับเรา ฉะนั้น จัดการกับคนชั่วช้าแบบนี้ ก็ไม่ต้องเลือกหรือจำกัดรูปแบบวิธีการเหมือนกัน มิฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อมัน (ประพันธ์ คูณมี, และชุดคำอธิบายเหตุที่พยายามบุกยึดสถานี NBT ของผู้นำพันธมิตรฯ)
ข) สิ่งที่เรามุ่งพิทักษ์ปกป้องไว้นั้นสำคัญสูงสุดเสียจนกระทั่งกดลบกลบทับหลักเกณฑ์หลักการอื่น ๆ ทั้งหมด หลักเกณฑ์หลักการอื่นจึงชาชืดจืดจางลงสิ้นเมื่อนำมาเปรียบด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อรักษาสิ่งสำคัญสุดยอดไว้ แม้จะต้องละเมิดหักรานหลักเกณฑ์หลักการอื่นไปบ้าง ก็ต้องทำ (สนธิ ลิ้มทองกุล)
พันธมิตรฯจึงพร้อมหยิบฉวยประเด็นร้อนแรงแหลมคมต่าง ๆ ไม่ว่าข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ปลุกความคลั่งชาติเรื่องดินแดน ฯลฯ มาเป็นยุทธวิธีปลุกเร้าผู้คนให้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลและทักษิณ
ผมไม่เห็นด้วยกับท่าทีเช่นนี้ ผมเห็นว่ามันสุ่มเสี่ยงอันตรายที่จะปลุกพลังรุนแรงที่อาจควบคุมไว้ไม่อยู่ขึ้นมาจนพลอยไปทำร้ายทำลายผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องหรืออย่างเกินกว่าเหตุ อีกทั้งยังเห็นมนุษย์คนอื่นเป็นเครื่องมือ เป็นเหยื่อและเป็นเครื่องบูชายัญสังเวยเป้าหมายความเชื่อของตนเอง
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ว่า วิธีการคือหน่ออ่อนที่จะเติบใหญ่ขยายตัวกลายเป็นเป้าหมายในอนาคตข้างหน้า (Means is the end in the process of becoming.) ฉะนั้นหากเลือกวิธีการเลวร้ายตอนนี้แม้ในนามของเป้าหมายที่ดีงามในอนาคต แต่ในที่สุดแล้ววิธีการเลวร้ายที่เลือกก็รังแต่จะเติบใหญ่ขยายตัวลงเอยกลายเป็นเป้าหมายที่เลวร้ายในบั้นปลายนั่นเอง
ฐานคิดทางปรัชญาของปฏิบัติการไม่รุนแรงและอารยะขัดขืนที่แท้จึงได้แก่หลักความเป็นเอกภาพของคุณค่าทางศีลธรรมระหว่างเป้าหมายกับวิธีการ (moral unity of the end and the means) เป้าหมายดี ต้องเลือกใช้วิธีการดีด้วย, หากเลือกใช้วิธีการเลว เป้าหมายจะออกมาดีนั้นเป็นไปไม่ได้
๕) ตอนนี้บ้านเมืองของเรากำลังอยู่ตรงริมเหวแห่งการลุกขึ้นสู้ทั่วไปของประชาชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านรัฐบาล
เป็นจุดเดียวกับที่บ้านเมืองเราเคยเดินมาถึง ณ วันสุกดิบก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
.และแล้วเราก็ถลำลึกลงไป
เราเดินมาถึงจุดนี้วันนี้ได้ก็เพราะความผิดพลาดใหญ่บ้างเล็กบ้างและที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย
จากจุดนี้ไปอีกนิดเดียว น่ากลัวว่าไฟจะลุกเผาบ้านเผาเมือง เลือดไทยจะนองถนนด้วยฝีมือไทยกันเองอีก
จะหยุดและหลีกพ้นหุบเหวนี้ได้
-ฝ่ายรัฐต้องถอนกำลังฝ่ายความมั่นคงหลีกห่างออกมาจากการเผชิญหน้ากับมวลชนพันธมิตรฯ ทุกที่ทุกแห่งอย่างเร่งด่วน
-ผู้นำพันธมิตรที่ถูกออกหมายจับทั้ง ๙ คนต้องมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเพื่อเข้าสู่การต่อสู้ในกระบวนยุติธรรมตามกฎหมายทันที
จากนี้กระบวนการทางการเมืองและกฎหมายจะได้ดำเนินต่อไปตามกฎเกณฑ์กติกาของมัน แทนที่จะเดินหน้าสู่การทำร้ายทำลายกันที่ทุกฝ่ายล้วนพ่ายแพ้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นำมาจาก
//www.fringer.org/?p=381
ความเห็นสั้นๆ ต่อสถานการณ์การเมืองไทย & เหตุผลที่สมัครควรยุบสภา
คนชายขอบ
ยังรู้สึกหดหู่ใจกับการเมืองมาก ขอโพสความเห็นสั้นๆ เพื่อแสดงความชัดเจนว่าคิดอย่างไร เพราะตอนนี้เจ้าของบล็อกถูกประณามจากทั้งสอง ขั้ว ในสังคมไทยแล้ว ตอนนี้บ้านเมืองเราแตกแยกกันรุนแรงน่ากลัวมากๆ
ก่อนอื่น ในฐานะคนที่เคยไปร่วมชุมนุม กู้ชาติ กับพันธมิตรเมื่อปลายปี 2548 (สมัยที่ยังเป็น เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่สวนลุมฯ อยู่) ต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2549 ผู้เขียนยังยืนยันและยึดมั่นในสิ่งที่เคยเขียนในบล็อกนี้แล้วว่า เหตุผลหลักที่ไปประท้วงคือ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลของทักษิณหมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมือง เพราะเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง แทรกแซงและครอบงำองค์กรอิสระและกลไกต่างๆ ในระบอบประชาธิปไตยจนทำงานถ่วงดุล ตรวจสอบ และเช็กบิลไม่ได้เต็มที่ ตัวอย่างโพสก่อนๆ จากช่วงนั้นคือ
หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ สองปีกว่าผ่านไป พฤติกรรมทุจริตต่างๆ ก็ทยอยขึ้นสู่ชั้นศาล และศาลก็จะทยอยอ่านคำพิพากษาไปเรื่อยๆ
กระบวนการยุติธรรมกำลังดำเนินไป ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีการประท้วง จะมีหรือไม่มีการนองเลือด
ตอนนั้นผู้เขียนไม่เคยคิดว่าพันธมิตรฯ มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเปลี่ยนไปใช้ ระบอบ อื่นใดที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ผู้เขียนเพียงแต่คิดว่าพันธมิตรเป็น กลไกคัดง้าง นอกรัฐสภา (หรือที่หลายท่านเรียกว่า พรรคฝ่ายค้านนอกสภา) ที่ทำงานได้ดี และช่วยเปิดโปงกรณีไม่ชอบมาพากลทั้งหลายให้สาธารณชนได้รับรู้และตื่นตัว และดังนั้นจึงสมควรสนับสนุน
(จริงๆ ตอนที่พันธมิตรเริ่มอ้างมาตราเจ็ดขอ รัฐบาลพระราชทาน ผู้เขียนก็เริ่มรู้สึกตะหงิดๆ แล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่คิดมากอะไร เพราะคิดว่าถึงอย่างไรเราก็กำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ (ที่ต่อมา กกต. ประกาศว่าเป็นโมฆะ) อยู่แล้ว ถ้าใครจะด่าว่าผู้เขียนตอนนั้น โง่ และ ไร้เดียงสา ที่มองไม่เห็นวาระที่แท้จริงของพันธมิตร ผู้เขียนก็ขอน้อมรับคำด่าแต่โดยดี)
แต่มาถึงตอนนี้ ผู้เขียนคิดว่าเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของพันธมิตรไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การเปิดโปงและตรวจสอบการคดโกงในระบบอีกต่อไป การประกาศ การเมืองใหม่ ของพันธมิตร เท่ากับเป็นการประกาศความต้องการที่จะล้างไพ่หรือล้มกระดานอีกครั้งหนึ่งโดยไม่สนใจว่ากลไกในระบบปัจจุบันกำลังทำงานอย่างไร และความต้องการที่จะ รื้อระบบ ใหม่ทั้งยวง ให้เป็นระบบอะไรสักอย่างที่เป็นประชาธิปไตยน้อยลง (เช่น เสนอว่าระบบเลือกตั้งควรเป็นแบบ 70/30 ฯลฯ)
ถ้าจะต้อง ล้างระบอบทักษิณ ด้วยการเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยน้อยลง ผู้เขียนคิดว่าเราจะได้ไม่คุ้มเสีย และจริงๆ เราก็ไม่ควรจะต้องเลือกด้วย เพราะตอนนี้ศาลก็กำลังทยอยพิพากษาคดีความผิดต่างๆ ที่เกิดในสมัยทักษิณ ซึ่งนั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วมิใช่หรือว่า กลไกในระบบอย่างน้อยบางส่วนก็กำลังทำงาน?
การชุมนุมในรอบนี้นั้น แรกๆ ก็ทำท่าว่าจะเข้าท่า เพราะพันธมิตรประกาศต่อต้านความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อ ฟอก ความผิดให้กับรัฐบาลชุดก่อน (ซึ่งเป็นจุดยืนที่ผู้เขียนเห็นด้วย คือถึงแม้ว่าจะไม่ชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อเทียบกับฉบับปี 2540 ก็ไม่อยากเห็นรัฐบาลแก้เพื่อฟอกใคร)
พันธมิตรจึงมี ความชอบธรรม ทางสังคมที่จะชุมนุม และก็น่าปลื้มใจที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
แต่วันที่พันธมิตรประกาศ ยกระดับ การชุมนุมไปเป็นการ ไล่รัฐบาล วันเดียวกับที่สมัครประกาศถอนญัตติแก้รัฐธรรมนูญตามที่พันธมิตรต้องการ นั่นคือวันที่ ความชอบธรรม ทางสังคมของพันธมิตรเริ่มถึงจุดเสื่อมถอย
เพราะการเป็น นอมินี ให้ใครของรัฐบาลสมัคร ถึงจะน่าเกลียดแค่ไหน ก็ไม่ใช่ความผิดทางกฎหมาย
ประเด็นร้อนที่สุดและมีความไม่ชอบมาพากลที่สุดที่พันธมิตรหยิบขึ้นมาโจมตีรัฐบาล คือประเด็นเรื่องเขาพระวิหาร แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าขอบเขตที่รัฐบาลทำ ผิด จริงๆ นั้น อยู่ตรงไหน (เพราะต้องยอมรับว่าพันธมิตรกระพือเรื่องนี้ไปเยอะมาก) และ ความผิด นั้นสมควรต้องทำให้ ครม. ลาออกทั้งคณะเพื่อรับผิดชอบเลยหรือเปล่า
ประเด็นอื่นๆ ผู้เขียนไม่คิดว่ามี เหตุผล เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุผลในการขับไล่รัฐบาล จริงอยู่ รัฐบาลนี้ดำเนินนโยบายแย่ๆ หลายเรื่อง และ หน้าด้าน ค่อนข้างมากในการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง เช่น การแทรกแซงและความไม่โปร่งใสในการแต่งตั้งผู้บริหารของ ธปท. ก.ล.ต. ตลท. ฯลฯ
แต่ ความร้ายแรง ของเรื่องเหล่านี้ แย่ จนถึงขนาดที่ประชาชนควรจะออกมาบุกทำเนียบ บุกทีวี ปิดสนามบิน ฯลฯ เรียกร้องให้นายกฯ ลาออกเลยหรือ?
ใครกล้ายืนยันหรือไม่ว่าระดับการ ครอบงำ และ แทรกแซง องค์กรอิสระและกลไกในระบบต่างๆ ของรัฐบาลนี้ (รวมทั้งศาลด้วย) เลวร้ายยิ่งกว่าหรือพอๆ กับในสมัยของทักษิณ ชินวัตร ช่วงกลางปี 2548?
ถ้าทักษิณสมัยนั้น ลุแก่อำนาจ และครอบงำระบบยิ่งกว่าสมัครสมัยนี้ เหตุใดตอนนั้นการประท้วงของพันธมิตรจึงกระทำอย่างสันติและอหิงสาได้ ไม่เห็นต้องไปบุกทำเนียบ บุกทีวี และการกระทำอื่นๆ ที่เป็น อนารยะขัดขืน มากกว่า อารยะขัดขืน ไปแล้ว?
ผู้เขียนคิดว่า การดื้อดึงชุมนุมในทางที่ ไม่เป็นอารยะ ขึ้นเรื่อยๆ ของพันธมิตร โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่บุกทำเนียบเป็นต้นมานั้น ไม่มีความชอบธรรมเพียงพอ และไม่มี เหตุผล อะไรที่อธิบายได้จริงๆ ยกเว้นแต่เหตุผลข้อเดียวที่ว่า พันธมิตรจงใจยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เพื่อ สร้างเงื่อนไข ให้ทหารออกมาทำรัฐประหารหรือจัดตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะเรียกการกระทำที่จงใจเอาชีวิตประชาชนไปเสี่ยงกับความรุนแรง (โดยเฉพาะในเมื่อผู้ชุมนุมหลายคนเป็นคนแก่ เด็ก และผู้หญิง) เพื่อมุ่งไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลนอกกลไกการเลือกตั้ง ว่าเป็น ประชาธิปไตย ได้อย่างไร?
(ประเด็นนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นประเด็นที่แยก แฟนพันธุ์แท้พันธมิตร ออกจากกลุ่มอื่นๆ ได้ดี คือแฟนพันธุ์แท้ดูจะไม่สนใจว่าพันธมิตรจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็น เพราะไม่เชื่อว่าประชาธิปไตย เหมาะสม กับประเทศนี้อยู่แล้ว อยากได้ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ มากกว่า แฟนพันธุ์แท้จึงคิดว่าถึงอย่างไรพันธมิตรก็มีความชอบธรรม แตกต่างจากผู้สนับสนุนแบบ แฟนขาจรที่ยินดีร่วมอุดมการณ์เมื่อมีเป้าหมายเฉพาะหน้าตรงกัน อย่างผู้เขียน ที่พร้อมจะถอนตัวออกจากการชุมนุมเมื่อใดก็ตามที่มองว่าพันธมิตรเริ่มใช้วิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือตั้งเป้าที่ระบอบอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ประชาธิปไตยเจือจางลง)
ถ้าเราทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป้าหมายเร่งด่วนที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ 1) ระงับสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจปะทุได้อีกทุกเมื่อระหว่างคนไทยด้วยกัน อันจะนำไปสู่การสูญเสียเลือดเนื้ออย่างแน่นอน และ 2) หลีกเลี่ยงเงื่อนไขใดๆ ก็ตามที่อาจนำไปสู่การเกิดรัฐประหารหรือรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากข้อแรก)
ทางออก ที่ดีที่สุดที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ (ซึ่งอาจแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อดูจากนิสัยและพฤติกรรมที่ผ่านมาของสมัครและรัฐบาล แต่อย่างน้อยผู้เขียนคิดว่ามันก็เป็นไปได้ที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ที่เป็น อุดมคติ ยิ่งกว่า) คือ สมัคร สุนทรเวช ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่กุมอำนาจรัฐไว้ในมือ ควรตัดสินใจเสียหน้าและเสียสละเพื่อชาติ ยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ระบอบประชาธิปไตยจะได้เดินต่อไปได้
ตอนนี้การรักษาเลือดเนื้อคนไทยด้วยกัน สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
อะไรจะเกิดขึ้นในระยะยาว ก็ค่อยมาว่ากันอีกที.
ในขณะที่ข้อเสนอของ fringer ในตอนท้ายที่เรียกร้องให้ยุบสภานั้น ออกจะแปร่งๆไปสักหน่อย เพราะผมไม่คิดว่าการยุบสภาจะสงบกลุ่มพันธมิตร ที่กระทำตนเสมือนเป็นเจ้าของประเทศอยู่ในขณะนี้ได้เลย ผมเลยงงๆ กับความคิดคุณสฤณีเธออยู่เล็กน้อย เพราะการสรุปลงท้ายดูจะขัดกับการบรรยายที่ผ่านมาทั้งหมดของเธอ
ในขณะที่ภาพรวมของม็อบพันธมิตรฯ ที่อ.เกษียรสรุปไว้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน
ตอนนี้บทความ อ.ชาญวิทย์ ที่พี่ส่งมาในเมลยังไม่ได้อ่านเลยครับ ขอเวลาอีกสักหน่อยดีกว่า