ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
29 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+"ลิงกับข้าวโพดหวาน" บทความของคุณประภาส ชลศรานนท์+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+

ช่วงนี้ ผมอยู่ในช่วง "คุณประภาส ชลศรานนท์" ฟีเวอร์ครับ


หลังจากได้ไปดูคอนเสิร์ต เพลงแบบประภาส และได้อ่าน a day ฉบับคุณประภาสจบไป


ทำให้ผมเดินกลับไปที่ตู้หนังสือ หยิบหนังสือชุด คุยกับประภาส ทั้ง 8 เล่มมาปัดฝุ่น อ่านทบทวนใหม่อีกรอบ


ไม่ได้เป็นหน้าม้าแต่อย่างใด แต่อยากบอกว่า
ใครที่ไม่เคยสัมผัสกับผลงานมาสเตอร์พีซชุดนี้ รีบไปหามาอ่านโดยด่วนครับ
คุณภาพหนังสือ จัดอยู่ในระดับ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง


มีบทความนึงที่พอผมนำกลับมาอ่านใหม่แล้วรู้สึกเหมือนหัวใจถูกสะกิด
ไม่รู้ว่า ที่เพิ่งมารู้สึกสะกิดใจเอาตอนนี้
เกิดขึ้นเพราะดันไปอ่านบทความนี้รอบแรกแบบผ่านๆ ไม่ค่อยใส่ใจ
หรือเพราะตอนนี้ สถานการณ์รอบข้างมันชวนให้เรารู้สึกกับบทความนี้มากขึ้นกว่าเดิม


ว่าแล้วก็ลองอ่านกันดูนะครับ อ่านจบแล้วก็อย่าลืมอุดหนุนหนังสือของแท้มีลิขสิทธิ์ด้วยนะครับ แหะๆๆ


ส่วนท่านผู้อ่านที่อ่านบทความนี้แล้ว ท่านจะคิดถึงใคร แทนสถานการณ์ในเรื่องด้วยสถานการณ์จริงอะไร ถือว่าเป็นจินตนาการส่วนบุคคล จขบ.ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยประการทั้งปวงนะครับ 555








**********************************************


คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์


มวลวิกฤต




สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ทำให้ผมนึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมา ผมเคยเขียนถึงไว้ครั้งหนึ่งเมื่อต้นปีที่แล้ว

มวลวิกฤตนะครับ ไม่ใช่ มวลชนวิกฤต

เรื่องที่เขียนไว้เมื่อปีที่แล้วชื่อตอน ลิงกับข้าวโพดหวาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทดลองทางพฤติกรรมมวลชนของสัตว์สังคมว่า อะไรทำให้เกิด หรือเมื่อไรจะเกิดกระแสการตัดสินใจไปในทางเดียวกันทั้งสังคม ผมตั้งชื่อเป็นไทยๆ คราวนั้นว่าทฤษฎีไม้กระดก เพราะนึกตามแล้วเห็นภาพเป็นไม้กระดกตามสนามเด็กเล่นทุกที

ศัพท์แสงทางวิชาการเรียกว่า มวลวิกฤต โดยแปลมาจากคำว่า Critical Mass คำคำนี้พบได้ทั้งวิชาเศรษฐศาสตร์และฟิสิกส์

ขออนุญาตเล่าย่อๆ อีกครั้งสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน

สี่สิบปีก่อน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ไปที่เกาะโคชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเกาะที่มีลิงอาศัยอยู่จำนวนมาก เพื่อหาข้อสนับสนุนทฤษฎีไม้กระดกที่ว่า

การทดลองเริ่มขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์นำเม็ดข้าวโพดหวานไปหว่านไว้บนพื้นทราย เจอของโปรดอย่างนี้ ฝูงลิงก็พากันมาเก็บเม็ดข้าวโพดกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

จุดน่าสนใจอยู่ตรงที่นักวิทยาศาสตร์จะหว่านเม็ดข้าวโพดไว้บริเวณที่มีทรายเท่านั้น เพื่อให้เม็ดข้าวโพดเปรอะเปื้อนทราย เวลาจะกินแต่ละที ลิงก็ต้องคอยเอามือปัดออก หรือไม่ก็ต้องคอยบ้วนทรายออก

แล้วก็มีลิงอยู่ตัวหนึ่งอายุประมาณหนึ่งขวบที่ไม่ทำอย่างตัวอื่นเขา

ทุกครั้งที่เจ้าลิงน้อยเก็บเม็ดข้าวโพดที่เปื้อนทรายได้ มันจะนำไปล้างน้ำที่ลำธารใกล้ๆ ก่อนแล้วจึงนำมากิน ไม่ต้องบ้วนไม่ต้องปัด

นักวิทยาศาสตร์ยังคงจับตาดูพฤติกรรมของลิงทั้งฝูงต่อไปว่าจะมีลิงตัวไหนเอาอย่างบ้าง แล้วพวกเขาก็เริ่มเห็นพี่น้องและเพื่อนลิงตัวน้อยๆ บางตัวเริ่มทำตาม

ที่ลิงทั้งฝูงไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำอย่างเจ้าลิงน้อยนั้นนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์กันว่า อาจเป็นเพราะวิธีนี้มันก็ไม่ถึงกับเห็นได้ชัดว่าดีกว่าวิธีเก่า นั่นคือถึงแม้จะไม่ต้องบ้วนไม่ต้องปัดทรายออกจากข้าวโพด แต่ก็ต้องเสียเวลาเดินไปยังลำธารอยู่ดี

เวลาผ่านไปหลายเดือน

มีลิงเพิ่มเพียงวันละตัวสองตัวเท่านั้นที่เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างข้าวโพด แล้วก็ไม่ใช่ว่าลิงทั้งฝูงจะไม่เห็นวิธีที่เจ้าลิงน้อยกับเพื่อนๆ ทำนะครับ เห็นครับแต่ไม่ทำตาม

การทดลองดำเนินไปอย่างนี้อยู่เป็นปี นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเอาเม็ดข้าวโพดไปหว่านไว้บริเวณที่มีทรายทุกวันไม่มีขาด ฝูงลิงก็ยังคงมาเก็บข้าวโพดกินอย่างสม่ำเสมอ และถ้ามองด้วยสายตาก็สามารถแบ่งลิงออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ล้างเม็ดข้าวโพด กับกลุ่มที่ไม่ล้าง แม้ปริมาณลิงที่ล้างข้าวโพดจะเพิ่มจำนวนขึ้นจนเริ่มใกล้เคียงกับพวกที่ไม่ล้าง แต่ลิงที่เหลือก็ยังสมัครใจที่จะกินข้าวโพดด้วยวิธีเดิมๆ

แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจก็เกิดขึ้น

มันเกิดขึ้นภายในวันเดียว โดยไม่รู้จะอธิบายด้วยตรรกะง่ายๆ อย่างไรดี เช้าวันนั้นมีลิงวัยรุ่นตัวหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมไปล้างเม็ดข้าวโพดอย่างเจ้าลิงน้อยเข้า แล้วบ่ายวันนั้นลิงทั้งฝูงก็เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างเม็ดข้าวโพดกันหมด

นักวิทยาศาสตร์สงสัยทันทีว่าเจ้าลิงตัวที่เปลี่ยนพฤติกรรมในเช้านั้น มันมีความสำคัญขนาดไหนกัน หลังจากที่ดูจากบันทึกและตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่ามันก็เป็นแค่ลิงธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่ได้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นลิงที่แข็งแรงดุร้ายกว่าตัวอื่นอย่างใด

แล้วทำไมฝูงลิงจึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมด


เจ้าของทฤษฎีนี้มีคำอธิบายครับ ลองฟังเขาดู

เมื่อในสังคมเกิดภาวะมวลวิกฤต (Critical Mass) และเกิดจำนวนวิกฤต (Critical Number) ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเป็นจำนวนเท่าไรของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสังคม สังคมก็จะเริ่มยอมรับในพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็จะเกิดการตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในกลุ่มที่เหลือทั้งหมด

อย่างที่บอก ถ้าให้ผมนึกตามง่ายๆ ผมก็คงนึกถึงไม้กระดกที่เด็กๆ เขาเล่นกัน เวลาที่ฝั่งหนึ่งมีจำนวนเด็กมากกว่าจนมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝั่ง ฝั่งที่น้อยกว่านอกจากจะกระดกลอยสูงแล้ว บางครั้งเราก็อาจจะเห็นเด็กฝั่งที่น้อยไหลมาสู่ฝั่งที่มาก จนกลายเป็นมาอยู่ฝั่งเดียวกันได้

ผมว่าพวกเราก็คงจะเคยเจอสภาพเช่นนี้ เพื่อนฝูงหกเจ็ดคนหาร้านอาหารจะไปกินกัน แรกๆ ก็ถกเถียงว่าร้านเจ๊อ้อยบ้าง ร้านอาโกบ้าง เถียงกันอยู่สักพักแล้วก็มีคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดว่าจะไปกินร้านไหนเลยพูดขึ้นว่าไปกินเจ๊อ้อยดีกว่า จู่ๆ ทุกคนก็กลายเป็นเปลี่ยนมาเทใจให้กับร้านเจ๊อ้อยกันหมด

แล้วผมก็ตั้งคำถามครับ น้ำหนักสุดท้ายที่ย้ายข้างนี่ ผมชักอยากรู้ว่ามันจำเป็นต้องหนักกว่าอีกข้างหนึ่งไหม

ทฤษฎีนี้ตอบว่า ไม่เกี่ยวกับการเอียงข้าง น่าสนใจนะครับประโยคนี้

เขาเน้นไปที่จำนวนหนึ่งที่วิกฤต และไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นสัดส่วนเท่าไรของสมาชิกทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมากกว่าครึ่งด้วย

จำนวนนี้นั่นแหละที่เขาเรียกกันว่า มวลวิกฤต

มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Critical Mass : how one thing leads another ที่เขียนโดย ฟิลิป บอล (ขออนุญาตแปลว่า มวลวิกฤต วิถีที่แห่งการกระดก) ในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้พี่ฟิลิปแกสามารถอธิบายพฤติกรรมของการเลือกตั้งที่ชนะถล่มทลายได้ว่ามาจากอะไร พี่แกให้ความเห็นว่าลักษณะของการเลือกและการตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้พรรคใดและใครนั้นไม่ได้มาจากเหตุผลอย่างเดียว เพราะถึงจุดหนึ่งเวลาที่ใกล้วันเลือกตั้ง คนจะหยุดคิด หยุดวิเคราะห์ แต่จะดูกระแสคนหมู่มากว่าจะไปทางไหน แล้วก็กระโจนตามกันไป ซึ่งเขาจะเรียกว่า มวลวิกฤต หรือ Critical Mass ที่น่าสนุกก็คือคุณพี่ฟิลิป แกใช้ทฤษฎีควอนตัมอธิบายได้อย่างชัดเจนและเป็นวิทยาศาสตร์

นักเรียนที่เรียนเรื่องปฏิกิริยานิวเคลียร์ก็คงเห็นคำว่า มวลวิกฤต อยู่บ่อยๆ อธิบายด้วยภาษาที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็คือ เชื้อเพลิงพวกยูเรเนียมจะถูกผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นอย่างมาก และจะถูกเก็บไว้ภายใต้สภาวะมวลใต้วิกฤต นั่นคือยังไม่วิกฤต แต่ใกล้มาก

และตรงตำแหน่งที่มันพร้อมจะแตกตัวแล้วส่งผ่านพลังงานอันมหาศาลออกมาเป็นระเบิด เป็นไฟฟ้า เป็นความร้อน ตำแหน่งนั้นแหละครับคือตำแหน่งเดียวกับที่ลิงทั้งฝูงเปลี่ยนวิธีกินข้าวโพด

ตรงนั้นแหละครับ ตำแหน่งของมวลวิกฤต

สมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็มีการใช้คำพูดกันว่า ได้เกิดมวลวิกฤตของการย้ายถิ่นของนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือนักวิจัยอัจฉริยะจำนวนมากมายนับพันคนพร้อมใจกันอพยพจากเยอรมนีและยุโรปไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

ประเทศอินเดียก็เคยใช้กระบวนยุทธ์มวลวิกฤตเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้านไอทีในประเทศของตน ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาทำได้ผล เห็นผู้คนยากจนขนาดนั้น บางเมืองอย่างบังกาลอร์นี่ถือเป็นมหานครแห่งไอทีเลยนะครับ

รัฐบาลเขาเน้น การเชื่อมต่อ ระหว่างประชาชนกับอินเตอร์เน็ต โดยตั้งเป้าไว้ที่การเชื่อมต่อ 100 ล้านจุดภายในห้าปี และสำหรับคนที่ไม่มีปัญญาจะให้รัฐมาเชื่อมต่อที่บ้าน ก็สามารถที่จะเข้ามาเชื่อมต่ออย่างเป็นครั้งเป็นคราวได้ ตาม ไอทีจีฉ่อย หรือ IT Kiosks

อินเดียเขาฝันจะพัฒนาประเทศให้เป็นมหาอำนาจทางไอทีของโลก (Global IT Superpower) ภายในห้าปีข้างหน้าให้ได้ เงี่ยหูฟังเขาบ้างก็ดีนะครับ

ผมมองว่าทั้งเรื่องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าบ้านและองค์กรให้มากที่สุด หรือการสร้าง IT Kiosks ก็ดี ล้วนเป็นยุทธศาสตร์ที่จะเข้าถึงผู้คนตามทฤษฎี มวลวิกฤต นั่นคือเมื่อคนชั้นกลางของประเทศบริโภคไอทีเป็นอาหารหลักจนเป็นกระแสแล้ว ผู้คนทั้งประเทศก็จะเทใจเทชีวิตมาทางเดียวกันเอง

อย่างที่บอกไว้ในบรรทัดแรก สถานการณ์บ้านเมืองเราเป็นอย่างทุกวันนี้ คำว่ามวลวิกฤตก็ลอยขึ้นมาในหัวผมไม่หยุดหย่อนเลย

ไหนจะเป็นห่วงเป็นใยว่าจะทำอย่างไรให้วัยรุ่นในบ้านเราเกิดมวลวิกฤตหันมามีค่านิยมดีๆ เกี่ยวกับเรื่องความรักความใคร่ให้ดีงามกว่านี้ ไหนจะวิเคราะห์วิจารณ์เอาเองไปเรื่อยว่าตอนนี้ในสนามของการเมืองบ้านเรา ไม้กระดกกำลังทำงานอยู่หรือเปล่า แล้วมันกระดกไปทางไหนแล้วหรือยัง ไหนจะเป็นห่วงว่าบ้านเมืองเราอยู่ในสภาพสุญญากาศอย่างนี้ เราจะไปสู้กับเกาหลี สู้กับอินเดียหรือสู้กับเพื่อนๆ เราแถวนี้ไหวหรือ

ที่เป็นห่วงที่สุดก็คือ ยูเรเนียม มันกำลังเข้มข้น และอยู่ใต้สภาวะมวลใต้วิกฤตอยู่หรือเปล่า แล้วมันจะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นหรือเปล่า

ขอพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทย





Create Date : 29 กรกฎาคม 2551
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 0:21:22 น. 12 comments
Counter : 2479 Pageviews.

 
ชอบพี่จิกค่ะ ชอบพี่จิก

(ไม่รู้จะเมนท์ไรอ๊า 555)


โดย: เเอม IP: 58.9.227.70 วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:33:57 น.  

 
ตั้งแต่อ่านเล่ม 95
ก็เริ่มหลงรักประภาสเหมือนกันแหะ

ต้องเริ่มที่จะตามคนอื่นให้ทันแร่ะ

555


โดย: tani IP: 125.24.74.92 วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:03:20 น.  

 
จริงครับ การกระทำของคนเราไม่จำเป็นต้องเกิดจากเหตุผลเสมอไปแต่เกิดจากการตามกลุ่มเสียเป็นจำนวนมาก สังคมไทยปัจจุบันเห็นได้ชัด


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:55:07 น.  

 

ชอบคุณประภาส มาก
เป็นคนที่เขียนหนังสือแล้วเข้าใจง่าย ตรงประเด็น ใช้คำไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ

เหมาะกับคนสมาธิสั้น ความจำสั้นอย่างเราแฮะ อ่านแล้วไม่วนไปวนมา เข้าประเด็นเลย

ขอบคุณ จขบ. ที่ทำบทความดีๆ มาให้อ่าน ชอบมากเลย

เดี๋ยวจะแวะเข้ามาอ่านอีก กั๊บ




โดย: มาเฟียหัวใจง้องแง้ง วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:50:36 น.  

 
หนึ่งในฮีโร่ของเราค่ะ

ฉลาด เก่ง น่ารัก คนอะไรน่าหลงรักจริงๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:00:33 น.  

 
ชอบพี่จิกเช่นเดียวกันค่ะ เฮ้อ อยากเห็นคนไทยสบายดี


โดย: TaMaChAN (narumol_tama ) วันที่: 30 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:22:38 น.  

 
มาลงชื่อว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้พี่จิกเช่นเดียวกันครับพี่
ตอนนี้กำลังอ่าน a day อยู่ครับ
อ่านสนุกจนไม่อยากให้นิตยสารจบเล่มครับ 555



โดย: ก๋า เก็กเสียง (กะว่าก๋า ) วันที่: 30 กรกฎาคม 2551 เวลา:5:55:22 น.  

 
สวัสดีอีกรอบค่ะ

จะรอรีวิวเวียดนามกลางนะคะ วางแพลนว่าปีหน้าจะไปเหมือนกัน แหะๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 30 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:41:03 น.  

 
แต่แปลกแฮะ เราไม่ยักกะชอบอ่านหนังสือของประภาสสักเท่าไหร่เลย


แต่เราชอบหนังสือทำมือของคุณนะ
ทำอีกนะ อยากอ่านอีก

ยินดีที่ได้พบกันจ้ะ


โดย: กากีซ่าส์ IP: 203.147.0.42 วันที่: 1 สิงหาคม 2551 เวลา:15:19:02 น.  

 
ยังไม่เคยอ่านของนักเขียนท่านนี้เลยค่ะคุณฟ้าดิน


โดย: fonrin วันที่: 2 สิงหาคม 2551 เวลา:21:17:43 น.  

 
แม่ค้าหนังสือมือสอง ตามมาดู อยากรู้ว่านิยมอ่านอะไรกันบ้างค่ะ


โดย: หนังสือมือสอง (AngelTomorrow ) วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:1:17:00 น.  

 
"ขอพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทย"

คงคุ้มไม่ไหวแล้วมั้งท่าน....


โดย: calcium_kid วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:15:37:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.