|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
+-+-+-+-+-+ข้อคิดจากการอ่านหนังสือของอ.เสกสรรค์ "อันตรายของการทำความดี"+-+-+-+-+
เพิ่งอ่านหนังสือของอ.เสกสรรค์เล่มใหม่ "ผ่านพ้นจึงค้นพบ" จบไปครับ รู้สึกสะกิดใจกับหลายตอนของหนังสือเล่มนี้ ที่สะกิดใจที่สุดก็คงเป็นคำพูดของอาจารย์ท่อนนี้
ภาพจาก //www.tinhub.net
ผู้ถาม ช่วงหลัง อาจารย์มักเขียนถึงอันตรายของการทำความดีหรือกระทั่งสิ่งที่เป็นอุดมคติ เสกสรรค์ เรื่องนี้มีความซับซ้อนอยู่ ในเบื้องต้นขอให้เข้าใจว่าผมไม่ได้ต่อต้านความดี ในความหมายของความรักความเมตตาที่มนุษย์มอบให้กัน แต่สิ่งที่ผมเขียนถึงเป็นระยะๆ คือ ท้วงติงการอ้างความดีมาปกปิดการครอบงำ หรือการเอารัดเอาเปรียบซึ่งบางคนทำไปโดยไม่รู้ตัว
โลกเดือดร้อนมามาก เพราะการอ้างถึงความดี โอเค คนชั่วไม่จริงใจกับความดี อ้างความดีมากลบเกลื่อนการกระทำของตน อันนี้เราเข้าใจได้ไม่ยาก แต่มีบ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมคนดีถึงไปทำสิ่งที่ไม่ดี หรือถึงขั้นทำร้ายคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย คำตอบมีอยู่ว่า เพราะเขาไปผูกตัวตนไว้กับความคิดเรื่องดีชั่วอย่างกลไกตายตัว เมื่อโลกไม่เป็นไปตามความคิด ก็รู้สึกมีความชอบธรรมที่จะไปขัดแย้ง ไปต่อต้าน กระทั่งไปเปลี่ยนแปลงเอาตามใจชอบ เพราะว่า เขาคิดว่าเขาทำดี
ด้วยเหตุนี้ผมถึงบอกว่า อุดมคติมันเป็นอัตตาชนิดหนึ่ง ผมเคยผ่านมาแล้วในสมัยเป็นนักปฏิวัติ เราถูกสอนว่าฆ่าศัตรูไม่ผิด ทำไปเพื่อโลกที่ดีกว่า
ในโลกของปัญญาชน นักวิชาการก็เช่นกัน ถามว่านักวิชาการมีผลประโยชน์ทางวัตถุไหม ไม่ค่อยมีหรอก แต่ผลประโยชน์ทางจิตใจทางปัญญานี่มีมากมายโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันถูกไปหมด พอถูกไปหมด ใครไม่เห็นด้วยก็โกรธ พอโกรธก็เริ่มหาทางทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ด่าทอ คัดค้าน ปฏิเสธ หาทางเอาชนะ นี่เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วไม่ต่างอะไรจากอัตตาในเรื่องอื่นๆ
บางครั้งสิ่งที่ถูกอ้างว่าเป็นความหวังดี มันมาในรูปของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เช่น ระหว่างคนที่รักกัน ระหว่างพ่อ แม่กับลูก คนเหล่านี้ก็ใช้ความรักความใกล้ชิดขยายตัวตนของตัวเองไปครอบงำอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว รักพ่อรักแม่ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ไม่งั้นพ่อแม่เสียใจ คือจับลูกไปเรียกค่าไถ่เลยทางจิตวิญญาณ
พอเผชิญหน้าข้ออ้างเรื่องความรัก ลูกก็ไม่กล้าแย้ง กลัวว่าตัวเองทำความผิดด้วยการทำร้ายจิตใจพ่อแม่ ทว่าลึกๆ ถามว่าฝืนไหม ฝืน เพราะว่าไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่ต้น สภาพอย่างนี้ยิ่งทำให้โลกเต็มไปด้วยความบอบช้ำมากมาย คนรักกันทำร้ายกันเพราะเราเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง การเอาตัวเองเป็นตัวตั้งไม่ว่าจะพูดในนามความดี หรือว่าเกิดจากความหวังดีอะไรก็ตาม มันคือการครอบงำคนอื่น แล้วคนที่ไม่เข้าใจก็จะทำทั้งชีวิต โดยหลงเชื่อว่าตัวเองทำความดี
คนที่หลงเชื่อว่าตัวเองทำความดีนั้นน่ากลัวมาก เพราะว่าเขาจะไม่ยอมเปลี่ยน ทั้งๆที่อาจไปทำร้ายคน อาจจะไปรังแกคนอื่นอย่างไม่ยุติธรรม
อันที่จริงเรื่องความดีความชั่วที่เราพูดถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสัมพัทธ์ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องตายตัว มันเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัยตามกาลเทศะ ถ้าไปยึดติดตายตัวมากก็จะทะเลาะกันโดยไม่จำเป็น หลายเรื่องที่เราไม่พอใจสิ่งที่คนอื่นทำ มันไม่จำเป็นต้องโกรธกัน ถ้าเราเข้าใจว่าลึกๆ ไม่ใช่เรื่องผิดถูก เราเพียงแต่ทนไม่ได้ที่คนอื่นไม่ทำตามความคิดเรา พอมีสติมองเห็นอัตตาของตัวเองแล้วโลกจะลดความขัดแย้งลงไปอีกเยอะ
อัตตาเป็นสิ่งที่สวนทางกับความจริง เพราะสรรพสิ่งในจักรวาลมันเป็นอนัตตา
ผ่านพ้นจึงค้นพบ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พิมพ์ครั้งที่1 :มีค. 2551
ผมอ่านข้อความนี้หลายรอบซ้ำไปซ้ำมา เพราะมันสามารถตอบปัญหาคาใจของผมที่ว่า ทำไมเพื่อนมนุษย์ถึงทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ถึงขนาดนี้ (พูดรวมๆ นะครับ ไม่ได้เจาะจงถึงใครเป็นพิเศษ) ที่ผ่านมาผมอาจจะมองโลกเป็นละคร คือ ตัวเองเป็นคนดี และภารกิจที่ควรต้องทำก็คือ กำจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปให้สิ้นซาก ที่น่าขำคือ คงมีไม่น้อย อาจจะทุกคน ที่คิดแบบเดียวกับผม ก็ในเมื่อทุกคนเป็นคนดี แล้วอย่างนี้จะเหลือความชั่วที่ไหนให้เรากำจัดได้ใช่ไหมล่ะ การที่คนเรามีเรื่องกระทบกระทั่งหรือผิดใจกันทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นความขัดแย้งระหว่างความดีกับความชั่วหรอก แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ต่างคิดว่าตัวเองดี เหมือนคำคมที่ว่า There are few wars between good and evil, Most of them are between one good and another good.
ซึ่งการที่เราทำสิ่งไม่ดีแล้วไปทำร้ายคนอื่น มันยังมีข้อดีตรงที่ อย่างน้อยมันก็ส่งผลให้เกิดความละอายต่อคนทำ และเกิดความรู้สึกอยากปรับปรุงตัวเองในครั้งต่อไป แต่การที่ตัวเองไปทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัวเพราะคิดว่าตัวเองทำดีนั้น น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะนอกจากจะไม่ปรับปรุงตัวแล้ว คนทำยิ่งจะมั่นใจว่าตัวเองทำถูก แล้วทำในสิ่งเดิมต่อไปเรื่อยๆ
ดังนั้นสิ่งที่เราควรไตร่ตรองก่อนทำอะไร นอกเหนือจาก
สิ่งที่เราทำมันดีหรือเปล่า
ก็คือ
สิ่งที่เราทำมันดี จริง หรือเปล่า?
สุขสันต์วันปีใหม่ไทยครับทุกคน
ปล.บทความในบลอกนี้ดัดแปลงมาจากจม.ฉบับหนึ่งที่จขบ.เขียนให้เพื่อน ที่เอามาลงในนี้เพราะรู้สึกว่าจม.ฉบับนี้ตัวเองเขียนดีเป็นพิเศษ (เพราะไปลอกบทความจากหนังสือของอ.เสกสรรค์มาทั้งดุ้น 555) และถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เขียนทีเดียว ได้ทั้งจม. ได้ทั้งบลอก (ความโฉดเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ)
ถ่ายที่น้ำตกตาดกวางสี หลวงพระบาง
Create Date : 12 เมษายน 2551 |
Last Update : 12 เมษายน 2551 4:14:06 น. |
|
17 comments
|
Counter : 2408 Pageviews. |
|
|
|
โดย: grappa IP: 58.9.191.245 วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:7:51:36 น. |
|
|
|
โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:8:36:18 น. |
|
|
|
โดย: นางฟ้าอรชร วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:9:57:00 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:13:39:13 น. |
|
|
|
โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:14:28:25 น. |
|
|
|
โดย: แซนด์ซี วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:19:38:52 น. |
|
|
|
โดย: calcium_kid วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:19:47:01 น. |
|
|
|
โดย: calcium_kid วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:19:55:50 น. |
|
|
|
โดย: Brooklyn-fah IP: 64.80.129.214 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:9:07:31 น. |
|
|
|
โดย: nanoguy IP: 125.26.133.100 วันที่: 17 เมษายน 2551 เวลา:5:01:41 น. |
|
|
|
โดย: แป้ง IP: 110.49.205.19 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:19:59:07 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Most of them are between one good and another good.
ชอบอันนี้ ถ้าคิดได้แบบนี้ เราคงไม่ต้องทะเลาะกันมากมาย