The Cabinet of Dr.Caligari(1920) โลกวิปริตของคาลิการี่
The Cabinet of Dr.Caligari โลกวิปริตของคาลิการี่- พล พะยาบ - คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 2 กรกฎาคม 2549 ระหว่างติดตามข่าวคราวบ้านเมืองชวนวุ่นวายสับสนและดูตีบตันหนทาง ผู้เขียนลองตั้งโจทย์คิดเองเล่นๆ ว่า ถ้าเปรียบสถานการณ์ตอนนี้กับฉากในภาพยนตร์จะได้ภาพออกมาเป็นเช่นไร คิดไปคิดมา สุดท้ายภาพที่คิดว่าใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นภาพจากหนังสกุล เยอรมัน เอ็กเพรสชั่นนิสม์ (German Expressionism) ยุคทศวรรษที่ 20 ที่มีสีทึบทึม แสงเงาแปลกประหลาด สิ่งของประกอบฉากผิดเพี้ยนไม่ได้รูปทรง เป็นโลกเหนือจริงที่ให้ความรู้สึกอึดอัด คับข้อง และน่าหวาดหวั่น... เมื่อคิดต่อไปก็จะพบว่า หนังในกลุ่มนี้หลายเรื่องมีเจตนาวิพากษ์ชนชั้นผู้ปกครอง-นักการเมืองเสียด้วย ในเมื่อเข้ากันได้เช่นนี้จะเก็บไว้คนเดียวก็ใช่ที่ ว่าแล้วก็หยิบเรื่อง The Cabinet of Dr.Caligari ที่คิดว่าเหมาะเจาะคล้องจองกับสถานการณ์บ้านเรามาแนะนำบอกต่อกันดีกว่า หนังเงียบ ขาว-ดำ ความยาว 72 นาที ปี 1920 เรื่องนี้ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกแนวทาง เยอรมัน เอ็กเพรสชั่นนิสม์ เป็นหนังเรื่องแรกๆ ที่ใช้วิธีเล่าเรื่องซ้อนเรื่อง และที่สำคัญคือ เป็นหนังที่ส่งอิทธิพลให้เกิดแนวทางหนังนัวร์และหนังสยองขวัญ เช่นงานของ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก จนกลายเป็นต้นแบบให้แก่หนังมากมายนับไม่ถ้วนมาถึงปัจจุบัน The Cabinet of Dr.Caligari หรือในชื่อดั้งเดิมว่า Das Kabinett des Doktor Caligari เกิดขึ้นในยุคที่วงการหนังเยอรมันกำลังเฟื่องฟู แต่เนื่องจากเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเยอรมนีต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมากจนเศรษฐกิจภายในประเทศย่ำแย่ ประกอบกับต้องแข่งขันกับหนังฮอลลีวู้ดซึ่งหรูหราอลังการ ผู้สร้างหนังชาวเยอรมันจึงหาทางออกให้แก่หนังตนเองด้วยการสร้างสรรค์แนวทางใหม่โดยไม่ต้องใช้ทุนมากนัก แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แทนที่จะไปแข่งความหรูหราตระการตากับหนังฮอลลีวู้ด แนวทางใหม่ดังกล่าวได้แก่ เน้นการใช้สัญลักษณ์และการจัดองค์ประกอบภาพซึ่งส่งผลต่อความลึกของเนื้อหาเรื่องราว ออกแบบฉากให้ดูเหนือจริงด้วยการวาดแสงและเงาให้ดูผิดแปลก วาดหรือใช้วัตถุที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูปทรง ขณะที่เนื้อหาก็มักเกี่ยวพันกับภาวะความสับสนผิดปกติ ความลวง อันเป็นแนวทางศิลปะที่เรียกว่า เอ็กเพรสชั่นนิสม์ ซึ่งแพร่หลายระหว่างปี 1919-1925 เริ่มตั้งแต่การละคร วรรณกรรม จิตรกรรม กระทั่งมาสู่ภาพยนตร์ ขณะนั้น เยอรมนีอยู่ในภาวะสับสนยุ่งเหยิงอย่างหนัก ทั้งการสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ กบฏสปาร์ตาซิสต์ การแก่งแย่งแบ่งฝักฝ่ายทางความคิด ศิลปะที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จึงถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอทัศนคติของศิลปินต่อสังคมเยอรมันโดยไม่อาจเลี่ยงพ้น จนเมื่อนาซีปกครอง คนทำหนังกลุ่มนี้หลายคนจึงโยกย้ายตนเองไปอยู่ต่างประเทศ รวมถึงมาทำงานในสหรัฐ พร้อมกับนำเอาสไตล์หนังเอ็กเพรสชั่นนิสม์มาใช้จนแพร่หลายและงอกเงยเป็นหนังนัวร์และหนังสยองขวัญรุ่นต่อๆ มานั่นเอง ผลงานเด่นๆ ของเยอรมัน เอ็กเพรสชั่นนิสม์ นอกจาก The Cabinet of Dr.Caligari ยังมี Nosferatu(1922) Faust(1926) ของ เอฟ.ดับเบิลยู.เมอร์เนา Metropolis(1927) และ M(1931) ของ ฟริตซ์ ลัง สำหรับ The Cabinet of Dr.Caligari โดยผู้กำกับฯ โรแบร์ต วีเนอ เขียนบทโดย ฮานส์ จาโนวิตซ์ และคาร์ล เมเยอร์ เล่าถึงเรื่องที่ชายชื่อฟรานซิสเล่าให้ชายอีกคนฟัง เกี่ยวกับบุคคลแปลกประหลาดที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้ว ณ โฮลเทนวอลล์ เมืองเชิงเขาในเยอรมนี ดร.คาลิการี่ ชายวัยกลางคนท่าทางลึกลับ มายังเมืองนี้พร้อมกับ ซีซาเร่ ร่างหลับใหลของชายหนุ่มซึ่งคาลิการี่อ้างว่าไม่เคยตื่นมากว่า 20 ปี ยกเว้นเมื่อเขาสั่ง ทั้งยังอวดอ้างว่าซีซาเร่หยั่งรู้ทุกเรื่อง สามารถตอบได้ทุกคำถาม อลัน เพื่อนสนิทของฟรานซิส จึงถามว่าเขาจะมีชีวิตถึงเมื่อไร คำตอบชวนอกสั่นขวัญแขวนว่า ย่ำรุ่ง ทำให้อลันแทบทรุดลงกับพื้น คืนนั้น อลันถูกฆาตกรรมเสียชีวิตจริงๆ แต่ด้วยฝีมือของเจ้าของคำทำนายนั่นเอง เหยื่อรายต่อมาคือ เจน คนรักของฟรานซิส แต่ความงามของเธอหยุดการกระทำของซีซาเร่ได้ เจนจึงรอดพ้นความตายหวุดหวิด ฟรานซิสตามสืบจนพบว่า ซีซาเร่คือผลงานการทดลองของผู้อำนวยการโรงพยาบาลประสาท ซึ่งอยากเข้าถึงงานทดลองเก่าแก่ของหมอชาวอิตาเลียนชื่อคาลิการี่ จึงสมมุติตนเองไปตามเรื่องราวที่ได้ศึกษา สุดท้าย ดร.สติเฟื่องจึงต้องเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลนั้นเสียเอง ก่อนจบ หนังหักมุมอีกชั้นหนึ่งด้วยการเฉลยว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นจินตนาการเพ้อฝันของคนไข้ชื่อฟรานซิส ส่วน ดร.คาลิการี่ผู้ลึกลับกลับกลายเป็นหมอที่กำลังหาทางรักษาคนไข้รายนี้ อันที่จริง บทจบหักมุมที่ว่าเหตุฆาตกรรมทั้งหมดไม่มีจริง หากเป็นเพียงอาการหลงเพ้อของคนไข้โรคประสาทนั้นไม่มีในบทดั้งเดิม แต่ เอริค พอมเมอร์ โปรดิวเซอร์ ไม่อยากให้หนังดูน่าสะพรึงกลัวเกินไปจึงคิดเพิ่มฉากจบใหม่เข้าไป ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้หนังเพิ่มความซับซ้อนยิ่งขึ้น อีกทั้งการหักมุมเรื่องเล่ายังถือเป็นกลวิธีแปลกใหม่ในยุคนั้น มีผู้ตีความว่า เรื่องราวและวิธีการนำเสนอของ The Cabinet of Dr.Caligari มุ่งวิพากษ์ความเลวร้ายของผู้ปกครองของเยอรมนี ซึ่งนำพาประเทศเข้าสู่สงคราม ฉากหลังอันบิดเบี้ยวสื่อถึงภาวะผิดเพี้ยนที่สังคมต้องเผชิญ ส่วนตัวละครอย่าง ดร.คาลิการี่ก็คือตัวอย่างของชนชั้นปกครองที่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นเพราะความเห็นแก่ตัว หนังสื่อถึงระบบชนชั้นด้วยการให้ผู้ปกครองหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอื่นๆ เช่น คาลิการี่ และตำรวจ มีสำนักงานอยู่ชั้นบน ประชาชนทั่วไปต้องขึ้นบันไดหลายขั้นกว่าจะได้เข้าพบ ทั้งยังให้ตำรวจและนายกเทศมนตรีนั่งทำงานอยู่บนเก้าอี้สูงกว่าปกติหลายเท่า นอกจากนี้ ความพยายามจับฆาตกรและฉีกหน้ากากคาลิการี่ยังเป็นผลงานของคนธรรมดาอย่างฟรานซิสและชาวบ้านคนอื่นๆ มิใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อพวกเขาจับกุมคาลิการี่ได้ก็เหมือนว่าล้มล้างระบอบอันเลวร้ายลงได้สำเร็จ การเปลี่ยนฉากจบไม่ว่าจะเพราะถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือไม่ก็ตาม จนทำให้เจตนาเบื้องต้นเฉไฉไป แต่ฉากจบใหม่ที่มีภาพสุดท้ายเป็นภาพใบหน้าดีใจของหมอ(หรือ ดร.คาลิการี่) พร้อมคำพูดว่า รู้วิธีรักษาแล้ว ก็อาจจะยิ่งเพิ่มภาพพจน์ของผู้ปกครองให้ดูน่าชิงชังมากขึ้นได้เช่นกัน หนังน่าตื่นตาด้วยฉากหลังประหลาดล้ำ ราวกับนำภาพศิลปะเคลื่อนไหวได้จำนวนมากมาร้อยเรียงกัน แม้เป็นเพียงภาพขาว-ดำแต่ก็ดึงดูดความสนใจแทบทุกฉาก ไม่เว้นแม้ภาพคำบรรยายและตัวหนังสือที่ถูกออกแบบให้เข้ากับฉากหลังได้อย่างกลมกลืน เมื่อรวมกับคุณค่าเนื้อหาที่ไม่มีวันตกยุคแล้ว ดร.ชราวัย 86 ปีเรื่องนี้...หยิบมาดูเมื่อไรก็ไม่เชยโดยเฉพาะเมื่อมองตรงประเด็นที่ว่า คนอย่าง คาลิการี่ มีอยู่ทุกที่จริงๆ ...ไม่เว้นแม้ในเมืองไทย!
Create Date : 04 สิงหาคม 2549
Last Update : 9 สิงหาคม 2549 15:17:52 น.
5 comments
Counter : 10338 Pageviews.
โดย: PINN IP: 125.25.93.181 วันที่: 30 กันยายน 2551 เวลา:23:41:26 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
สำหรับหนังเรื่อง The Cabinet of Dr. Caligari ผมจำได้ว่าได้ดูที่หอศิลป์ มช. ครับ ดูด้วยจอแบบโรงหนังก็ได้สัมผัสบางอย่างที่ดีกว่าการดูบนจอทีวีหรือคอมพิวเตอร์
ผมชอบการใช้ฉากในหนังเรื่องนี้จัง มันบิดเบี้ยวและเป็นเหลี่ยมจนพิกลอย่างไรไม่รู้