[[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 2nd Episode:: The WHITE Spirit of Japanese
>> กระทู้บันทึกนักเดินทางใน pantip@blueplanet >> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ในอัลบั้มเต็มของบล็อคนี้ใน SkyDrive >> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด Episode 1 จบไป แต่เรื่องราวของ White Sakura ยังไม่จบลงง่ายๆค่ะ ก็มันเป็นดอกไม้ที่ใกล้ชีวิตประจำวันในญี่ปุ่นของเรามากที่สุดนี่นะคะ ก็ต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องเยอะนิดนึง ขอจัดให้ไปอีกหนึ่งบล็อคค่ะสำหรับสีขาวๆประจำฤดูใบไม้ผลิ 2011 ของเรา สำหรับลิงค์รวมทุก Episode ของ The Colors of Spring in Japan 2011 จะอยู่ที่ด้านล่างสุดของหน้านี้นะคะ . . . . หลังจาก Episode 1 ที่ไปชมซากุระแบบเหงาๆคนโล่งๆที่สวนชินจูกุแล้ว รุ่งเช้าวันถัดมาวันเสาร์ที่ 9 เมษา 2011 แม้ฝนจะตกแต่คุณพี่ชายก็หาได้หวั่น ออกไปเที่ยวอาซาคุสะกันค่ะ เริ่มต้นกันจาก Sensoji ในวันฝนฉ่ำก่อนเลย จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ค่อยมีภาพวิวฝนตกในญี่ปุ่นเท่าไหร่เลยค่ะ ฝนตกทีไรเก็บตัวอยู่บ้านทุกที(ถ้าไม่จำเป็นต้องออกหรือโดนลากออกมาอย่างนี้ ) จุดหมายของพวกเราวันนั้นไม่ใช่วัดหรอกค่ะ เพราะมากันคนละหลายรอบจนขี้เกียจจะนับแล้ว แต่หนนี้คุณพี่ชายเค้าจะมาเก็บของกินอร่อยๆรอบวัดนี้ต่างหาก เราเองก็อยากมาลองกินของอร่อยแถวนี้ที่เห็นในรีวิวเหมือนกัน ก็ได้ลองกันหนนี้ล่ะค่ะ (สารภาพว่าของอร่อยๆของญี่ปุ่นที่ดังๆกันในรีวิวของห้อง blueplanet นี่ เรายังไม่เคยกินอีกเพียบเลยค่ะ) เพื่อความง่ายในการไป เริ่มตั้งต้นกันที่ถนนฝั่งตรงข้ามด้านหน้า Kaminari-mon อย่างนี้ก่อนค่ะ จากที่หันหน้าเข้าหา Kaminari-mon ให้เดินต่อมาทางซ้ายเรื่อยๆโดยจะเป็นการเดินหันหลังให้ Tokyo Sky Tree ที่อยู่(หลังเมฆ)ลิบๆอย่างในภาพนี้ค่ะ เดินผ่านไม่กี่แยก เห็นวิวข้างหน้าประมาณนี้ให้หยุดเลยค่ะ แล้วเลี้ยวเข้าซอยที่สองคนในภาพเพิ่งเดินออกมานี่ล่ะ ตรงนี้นี่คุณพี่ชายคนนำทางมีแอบงงเดินเลยไปเล็กน้อย เห็นว่าร้าน 100yen ที่เขียนบอกในโพยห้อง blueplanet ที่ควรจะอยู่หน้าปากซอยนี้มันหายไปไหนไม่รู้แล้วค่ะ เข้าซอยมาแล้วทีนี้ตรงอย่างเดียวเลยนะคะ ร้านอยู่ลึกเข้าไปหน่อยถ้ามองไม่เห็นจากต้นซอยก็อย่าเพิ่งตกใจไป เดินลึกเข้าไปจนเห็นตึกสีเขียวๆในภาพนี่ล่ะค่ะใช่เลย เห็นภาพล่างนี้แล้วหลายๆคนน่าจะอ๋อว่าพวกเราจะมากินอะไรกัน...แน่นอนค่ะ ประเดิมหนแรกก็ต้องเป็นของดังติดอันดับต้นๆของรีวิวอยู่แล้วกับร้านข้าวหน้าปลาไหล หรือ Unagi-don うなぎ丼 ชื่อดังร้าน Irokawa 色川 ที่เปิดขายมากว่า 150 ปีแล้วนั่นเองค่ะ ถึงจะเป็นวันเสาร์ แต่ฝนมันตก แถมต้นเมษาคนต่างชาติก็ยังหายเกลี้ยงโตเกียวอยู่ ทีแรกเราก็นึกว่าสงสัยคงได้เข้าไปนั่งกินสบายแน่ๆงานนี้ แต่ที่ไหนได้ค่ะ ไปถึงตอนเกือบเที่ยงก็ต้องรอ 4-5 คิว(คนญี่ปุ่นล้วน)แล้ว กว่าจะได้เข้าไปนั่งในร้านดูคุณลุงปลาไหลรุ่นที่ 7 กำลังย่างปลามือระวิง...แต่อย่างน้อยเห็นเค้ายังขายได้ (ดูเหมือน)ขายดีอยู่ เราก็ดีใจมากกว่าไปแล้วเห็นร้านโล่งๆน่ะนะคะ ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่ขายดีแต่ไม่คิดจะขยับขยายพื้นที่ Irokawa (สาขานี้)เป็นห้องเล็กๆ เข้าไปแล้วต้องนั่งตัวลีบๆเล็กๆอยู่กับเก้าอี้ตัวเอง จะมานั่งกร่างๆ หรือวางข้าววางของกินที่ไปที่นั่งอื่นนี่ไม่ได้เลยค่ะ ใครที่ไม่ชอบนั่งตัวลีบๆแบบนี้ก็อาจไม่ค่อยชอบสไตล์ร้านแบบนี้ก็ได้ (เราเองก็วางกล้องและกระเป๋าถือทั้งหมดบนตักนี่ล่ะค่ะ ดีว่าไม่ทำกล้องหล่นเอา) อ่านรีวิวมาว่าข้าวปลาไหลมีสามไซส์ แต่มาครั้งแรกเค้าบอกว่ามีสี่ไซส์ก็งงเลยค่ะ มีไซส์ใหญ่ กลางใหญ่ กลางเล็ก เล็ก แถมร้านนี้ตัวช่วยรูปภาพหรือภาษาอังกฤษอะไรก็ไม่มีจริงๆ(สมคำร่ำลือ) สุดท้ายเราก็อาศัยใช้ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆสื่อสารจนได้กล่องขนาดกลางใหญ่มากันคนละกล่องกับคุณพี่ชายค่ะ (คุณป้าเค้าบอกว่าแต่ละไซส์ต่างกันที่ขนาดปลาไหลน่ะค่ะ ถ้าเนื้อเยอะเราโอเค แต่ถ้าข้าวเยอะนี่เราคงเอากลางเล็กแทน) จะว่าไปรูปบนนี่บนป้ายผ้าทางขวามือ เค้าเขียนว่ารุ่นที่ 5 นี่นา? แต่ในรีวิวเขียนกันว่าคุณลุงคนนี้คือรุ่นที่ 7...เอ หรือว่าป้ายผ้านี้คุณลุงปลาไหลเค้าใช้ต่อกันมาตั้งแต่รุ่นที่ 5 ถึงปัจจุบันก็ไม่รู้ค่ะเนี่ย ระหว่างรอข้าวมาก็ถ่ายรูปโน่นนี่ไปเรื่อยค่ะ แต่ก็ถ่ายมากไม่ได้เพราะร้านก็เล็กๆ ที่นั่งก็แคบๆ หมุนไปหมุนมาเดี๋ยวชนคนรอบๆกับชนคุณป้าที่เดินรับออเดอร์เดินเสิร์ฟไปๆมาๆกันพอดีค่ะ เห็นคุณป้าเดินไปเดินมาวุ่นๆอย่างนี้ล่ะค่ะ ตอนสั่งเราก็พลอยลนไปด้วยเพราะกลัวทำเค้าเสียเวลาสื่อสารกับเรานาน มาหนแรกนี้พวกเราได้นั่งกันหน้าเคาเตอร์ค่ะ ก็เลยได้เห็นเตาย่างปลาอยู่ใกล้ๆ (ถ้าไม่ได้นั่งตรงนี้เราคงถ่ายภาพเตาย่างปลามาไม่ได้ค่ะ วันนั้นดันเอาเลนส์ฟิกซ์ 35mm ติดกล้องไปตัวเดียว) ดีอย่างว่าร้านนี้ไม่มีโชว์แล่ปลาไหลให้ดูสดๆนะคะเนี่ย แค่บังเอิญไปเห็นเข้า(ดันนั่งโลเคชั่นดีเกิน)ตอนไปกิน Sushi-zanmai ก็ยังติดตาหยองๆมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ภาพปลา(ไม่ใช่ปลาไหล)ตั้งแต่ตอนยังเต็มๆดัวดิ้นหลุดมือพ่อครัว...กระทั่งโดนแล่ จนตรงตัวเห็นเหลือแต่ก้าง...แล้วก็โดนเอาไม้กลัดหัวติดกับหาง วางเรียงไว้บนเขียงหลายๆหัว(สงสัยเตรียมไปทำหม้อไฟต่อ) ...ไอ้ที่หยองก็คือปลาทั้งหลายบนเขียงนั่นล่ะค่ะ ทั้งๆที่มีแต่ก้างและโดนกลัดอยู่อย่างนั้นแต่มันยังกระดึบๆเด้งๆบนเขียงได้อยู่เลย นี่ก็สดเกินไปค่ะ ไม่ไหวๆ ตั้งใจเลยว่าจะไม่ไปนั่งเคาเตอร์มุมนั้นอีกแล้ว เข็ดค่ะ ครั้งเดียวพอ นอกเรื่องไปนิด...กลับมาที่ที่นั่งแคบๆของเราที่ร้าน Irokawa กันค่ะ ระหว่างรอไม่รู้จะถ่ายอะไรดีก็เลยถ่ายพัดสุดเก่าที่ร่ำลือกัน จนเหมือนเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของร้านมาด้วยค่ะ ก็ดูเก่าจริงสมที่เล่ากันมานะคะ ไม่รู้ว่าเก่าๆนี่มันมีผลช่วยให้พัดไฟติดถ่านได้ดีขึ้น หรือที่เห็นว่าเก่านี่จริงๆของใหม่แต่แค่มอมแมมเพราะฝุ่นถ่านก็ไม่รู้ค่ะ เนื่องจากเตาย่างปลาทั้งร้านมีอยู่แค่เตาในภาพที่โชว์ไปนั่นล่ะค่ะ เล็กยิ่งกว่าโต๊ะทำงานอันแสนแคบของเราที่แล็บเสียอีก คนย่างก็มีอยู่คนเดียว ตอนที่พวกเราไปก็คนเต็มทุกที่นั่ง(แต่ร้านก็แคบๆน่ะนะคะ)เลยต้องรอกันแป๊บนึงค่ะกว่าจะได้กล่องนี้เสิร์ฟมา ทั้งร้านทุกโต๊ะเห็นมาเป็นกล่องหน้าตาแบบนี้หมดเลย อย่างนี้ถ้าสั่งกันคนละไซส์ตอนมาเสิร์ฟน่ากลัวต้องมีเปิดกล่องวัดขนาดปลากันค่ะว่ากล่องไหนปลาชิ้นใหญ่กว่า (ไม่งั้นก็ต้องถามคุณป้าคนเสิร์ฟ) เปิดกล่องมาก็เจอปลาไหลย่างเสร็จใหม่ๆ(เห็นกับตา) ร้อนๆหอมๆ นอนแอ้งแม้งมาชิ้นเบ้อเริ่มอย่างนี้เลยค่ะ ที่เห็นดำๆนี่ก็ไม่ใช่ย่างไหม้ด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน แต่กินแล้วไม่มีกลิ่นไหม้อะไรเลยค่ะ (จะว่าไปคุณพี่ชายเรานี่มาจากไทยแท้ๆ แต่ไม่มีกลัวรังสีอะไรเลยค่ะ ดื่มนม กินผัก ซัดผลไม้ ทานปลาดิบปลาสุกเฉ๊ย) สมัยมาญี่ปุ่นใหม่ๆยังกินปลาดิบไม่เป็น เราก็อาศัยกินซูชิหน้า Unagi หรือ Anago นี่ล่ะค่ะ แต่ตั้งแต่ดิดปลาดิบเข้าไปก็แทบไม่ได้กินปลาไหลอีกเลย แบบว่าครั้งสุดท้ายนี่นานจนจำไม่ได้เลยค่ะว่าเมื่อไหร่ ได้หวนกลับมากินอีกครั้งก็ที่ร้านชื่อดังนี้เลย สำหรับการกินครั้งแรกกับความคาดหวังที่สูงจากการอ่านรีวิว ก็ต้องบอกว่ารสชาติใช้ได้สมอายุร้านและคำร่ำลือค่ะ ปลาไหลไม่หวานเกินไป ไม่มีก้างให้ระคายคอ เข้ากับข้าวญี่ปุ่นร้อนๆนิ่มๆได้ดีจริงๆ จะตินิดนึงก็ตรงว่าเราไม่น่าโรยเจ้าผงสีเขียวในกระปุกรูปน้ำเต้านี่เลยค่ะ ไม่รู้คืออะไรแต่พอกินโดนแล้วมันรู้สึกลิ้นชาๆเสียรสปลาไหลช่วงแรกๆไปเลย กินอิ่มแล้ว(เกลี้ยงไม่มีเหลือ) ก็แวะเดินย่อยที่วัด Sensoji ซะหน่อยค่ะ ไหนๆมาถึงนี่แล้ว (ถ่ายรูปมุมนี้แล้วอ๊วนอ้วน คุณพี่ชายก็ไม่มีบอกกันเล้ยยย เราจะได้จับเสื้อโค้ตอะไรให้มันกระชับเข้ามาอีกหน่อย ) วันเสาร์จะว่าคนเยอะก็เยอะนะคะขนาดว่าฝนตก แต่ก็เป็นคนญี่ปุ่นล้วนๆเลย (แปลว่าถ้าคนต่างชาติไม่หาย คนต้องยิ่งแน่นกว่านี้อีกค่ะ) บรรดาร้านค้าที่ขายพวกของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าๆก็เลยพลอยจะดูเหงาๆหงอยๆกันไปค่ะ (แต่ก็ยังเปิดขายกันอยู่) โดยปกติที่ที่เป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวโตเกียวอย่างวัดนี้น่าจะเป็นที่ๆมีคนต่างชาติมาเที่ยวเยอะที่สุด แต่นี่ขนาดในช่วงซากุระบานกลับมีแต่คนญี่ปุ่นมากัน แม้จะดีอย่างว่าคนไม่เบียดดี แต่ส่วนตัวเราอยากจะเห็นบรรยากาศคึกคักแบบเดิมๆกลับมามากกว่าค่ะ...แบบว่าเห็นใจคนที่เค้าขยันทำมาหากิน (กลับกันเราจะไม่ค่อยเห็นใจคนที่ไม่แสดงความพยายามอะไรให้เห็น เอาแต่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างเดียว) ในบริเวณวัดก็มีซากุระกำลัง full bloom สวยหลายต้นเลยค่ะ แต่ก็ด้วยลมด้วยฝนพัดซะหัวกระจุยกระจาย ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์เล็งภาพเท่าไหร่ ได้มาเบลอๆภาพนึงแบบนี้ล่ะค่ะ ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าถ่ายจากวัดนี้ ถึงพวกเราสองพี่น้องจะมาวัดนี้กันคนละหลายรอบแล้ว แต่รอบนี้พิเศษกว่ารอบอื่นตรงที่ได้ลองนั่ง Jinrikisha 人力車 กันเป็นครั้งแรกเลยค่ะ ขึ้นจากตรงแถวๆหน้า Kaminari-mon เราอยู่ญี่ปุ่นมาเกือบ 5 ปีแล้ว ไปเที่ยวเจอรถลากแบบนี้มาไม่รู้กี่จังหวัดในญี่ปุ่นแต่ก็ไม่เคยคิดจะนั่งเลยสักครั้งค่ะ...รู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองเกินไป หนนี้นี่คือด้วยความอยากจะช่วยทดแทนนักท่องเที่ยวที่หายไปบ้างเลยตกลงลองนั่งกันสักครั้งค่ะ นอกจากเรื่องอยากช่วยอุดหนุน อีกเหตุผลก็คือ...เราชอบและชื่นชมน่ะค่ะ . ชอบที่เห็นเค้ายังตั้งอกตั้งใจตะโกนร้องเรียกลูกค้ากันอย่างเต็มที่อยู่ . ชื่นชมที่เค้าไม่ได้ทำท่าเบื่อโลกสิ้นหวังหรือท้อแท้แต่อย่างใดในสถานการณ์ลูกค้าต่างชาติ(ที่น่าจะเป็นรายได้หลักในเวลาปกติ)หายเรียบแบบนี้ . ในเมื่อเค้าตั้งใจและไม่ยอมแพ้เราก็ยิ่งอยากจะช่วยสนับสนุนเท่าที่จะทำได้ค่ะ ในภาพด้านล่างนี่ถ้าดูหน้าเค้าชัดๆจะเห็นประกายตาฉายความกระตือรือล้นอยากจะให้บริการแบบเต็ม 1000% เลยค่ะ ไม่มีวี่แววความท้อแท้เลยสักนิด ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เราประทับใจแบบสุดๆเลย เราเองก็เพิ่งจะเคยเห็นด้านในรถนี่ชัดๆเป็นครั้งแรกค่ะ แปลกใจเล็กน้อยว่าข้างในหรูเลิศขนาดนี้เชียว เบาะเป็นสีแดงนิ่มๆบุกำมะหยี่ มีหมุดเหล็กติดอย่างหรูหรา ตัวรถก็ดำขลับเงาวับ ตอนจะขึ้นเค้าก็เอาเก้าอี้มารองให้ขึ้นแล้วช่วยจับเก้าอี้ไว้อย่างดี นั่งแล้วก็มีผ้าห่มกำมะหยี่นิ่มๆสีแดงให้วางตัก สุดท้ายก็ยังมีผ้าร่มสีแดงปิดมาจนถึงอกช่วยกันฝนด้วยค่ะ (จริงๆก็ไม่ชอบผ้ากันฝนนี่เท่าไหร่ค่ะเพราะบังตัวรถ แต่วันนั้นมันฝนตกก็ช่วยไม่ได้นะคะ เราเองก็ไม่อยากเปียกเหมือนกัน) จากที่เค้าแนะนำมาวันนั้นซากุระกำลังบานเต็มที่พอดี พวกเราเลยเลือกเส้นทางเลียบแม่น้ำ Sumida ที่มีแนวต้นซากุระตลอดแนวค่ะ มาฤดูใบไม้ผลิทั้งทีก็ต้องเลือกไปทางที่จะเห็นสัญลักษณ์ประจำฤดูชัวร์อยู่แล้วนี่เนอะคะ ได้เวลาออกรถ คนลากก็หันมาบอกให้พวกเราเตรียมตัว แล้วค่อยๆยกรถขึ้นอย่างนิ่มนวลสุดๆเลยค่ะ นิ่มกว่าเวลาเครื่องบิน take off หรือ landing แบบเทียบไม่ติด (ก็แล้วมันเทียบกันได้ซะที่ไหนล่ะเนอะ ) เห็นคนลากตัวเล็กๆอย่างนี้แต่ลากเราสองคนพร้อมรถไหวสบายๆ(รึเปล่า?)เลยค่ะ เค้าบอกว่าคนลากรถนี่คือถ้าใครทำไหว จะหญิงหรือชายก็ทำได้หมด ไม่ต้องสอบใบอนุญาตอะไรด้วย ที่เส้นทางเลียบแม่น้ำ Sumida มองไปเห็น Tokyo Sky Tree อยู่ในหมอกด้านหลังแบบนี้ด้วยค่ะ เอาหัวเป็นประกันเลยว่าแถวนี้อนาคตจุดชมวิวยอดนิยมแน่นอน เล่นเห็นทั้งซากุระ ทั้งแม่น้ำ ทั้ง Sky Tree พร้อมกันซะขนาดนี้ แต่เนื่องด้วยวันนั้นอากาศไม่เป็นใจเราเลยได้ภาพ(ถ่ายจากบนรถลาก)มาแค่ประมาณนี้เองค่ะ แถมไม่ได้ลองล่องเรือตามแม่น้ำชมดอกซากุระด้วย (แต่วันรุ่งขึ้นที่เป็นวันอาทิตย์ที่อากาศดี เห็นจาก FB เพื่อนในญี่ปุ่นมุมบันไดนี้เลยค่ะ คนอย่างเพียบ) อันนี้ไม่เกี่ยวกับทริปแต่พูดถึง Sky Tree แล้วก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ค่ะ เราเพิ่งรู้เมื่อเดือนก่อนนี้เองว่าจริงๆ Tokyo Tower นี่ไม่ได้ชื่อว่า Tokyo Tower มาแต่แรก ชื่อจริงๆแต่เดิมคือ Nippon-denpato 日本電波塔 หรือแปลกันตรงๆประมาณว่าว่าหอส่งสัญญาณของญี่ปุ่นค่ะ กลับมาที่รถลากนะคะ...ระหว่างที่ลากเราสองคนไป คนลากเค้าก็คอยหันมาอธิบายเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆให้เราฟังเรื่อยๆอย่างกระตือรือล้น(ภาษาญี่ปุ่นล้วนค่ะ) เช่น เดี๋ยวนี้งานที่เป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นคือ รับมานั่งจองเสื่อสำหรับฮานามิให้ (ที่ญี่ปุ่น ถ้าใครเอาเสื่อเปล่าๆมาปู ไม่มีคนอยู่นั่งจอง เสื่อจะโดนคนดูแลสวนเก็บไปค่ะ) อันนี้ขอเดาต่อเองเลยว่าตอนงานฮานาบิ หรือ ดอกไม้ไฟก็คงครือๆกัน (เสียดาย..ลืมถามมาค่ะว่าได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่กันบ้าง) แม้อากาศไม่เป็นใจฝนตกไม่หยุด แต่มาถึงแถวนี้นั่งรถแบบนี้ทั้งทีก็ต้องขอที่ระลึกกันบ้างค่ะ คนลากเค้าก็ค่อยๆหย่อนรถลงอย่างเบามือสุดๆ แล้วช่วยเอากล้องเราไปเล็งถ่ายให้อย่างดีเลยค่ะ (ส่วนเราก็ได้แต่เขกหัวตัวเองอยู่ในใจว่าไม่น่าเอาเลนส์ฟิกซ์มาวันอย่างนี้เลย ไม่งั้นเค้าคงซูมอะไรให้ได้มุมกว้างๆสวยๆได้มากกว่านี้ ดูสิคะไม่ได้รถมาเต็มๆคันเลย) ออกจากริมแม่น้ำ Sumida กลับมาที่ถนนแล้ว ลากๆไปเค้าก็หันมาบรรยายเกร็ดความรู้อีกว่า รู้ไหมทำไมแถวนี้ถึงมีร้านรองเท้าเยอะ?? เออ..นั่นสิเนอะคะ ถ้าเค้าไม่บอกเราก็ไม่ทันสังเกตเลยค่ะว่าร้านรองเท้าเรียงกันเป็นตับเชียว เห็นว่าสาเหตก็เพราะแต่ก่อนคนเค้าแต่งตัวสวยๆมาเที่ยวที่นี่กัน แต่รองเท้าเกี๊ยะเจ้ากรรมก็ดันพังง่าย ลงเอยคนเลยต้องมาซื้อใหม่กันแถวนี้เอง (แต่งตัวสวยแล้วจะปล่อยให้เดินเท้าเปล่าได้ไงล่ะเนอะคะ จะให้เดินลากๆหรือกะเผลกๆก็คงไม่งามสมชุด อย่ากระนั้นเลยซื้อคู่ใหม่มันที่นี่ล่ะ) จากร้านเกี๊ยะสมัยก่อนตอนนี้ก็พัฒนามาเป็นร้านรองเท้าเรียงกันฉะนี้แหล่ะค่ะ กำลังจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนหน้า Kaminari-mon เค้าก็หันมาแนะนำ 神谷バー Kamiya bar ที่ตรงหัวมุมนี้อีกค่ะว่า highly recommend สำหรับใครที่ดื่มแอลกอฮอล์ เห็นว่ามีทั้งเหล้าญี่ปุ่นและต่างประเทศเพียบเลยนะคะ (แต่สองพี่น้องไม่ดื่มกันสักคน เป็นอันตกไปค่ะ) เกร็ดความรู้สุดท้ายคือเจ้าฟองเบียร์สีทองนี่ค่ะ คิดว่าหลายๆคนคงรู้จักฟองเบียร์นี่ดีอยู่แล้ว(โดยเฉพาะในชื่อเล่นว่า อุนจิ ) แต่ฐานข้างใต้นี่เราเพิ่งรู้ค่ะว่าเค้าตั้งใจออกแบบมาให้มีรูปร่างเหมือนกับฐานคบเพลิงโอลิมปิคด้วย เนื่องด้วยฝนตกน่ะนะคะ รถก็เลยติดบ้างนิดหน่อย แม้จะเป็นรถลากก็ไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษค่ะ ตอนไฟแดงทุกคันต้องหยุดรอสัญญาณไฟหมดไม่มีไปซิกแซกซอกซอนตามช่องไฟระหว่างรถคันอื่น ลงท้ายกว่าจะวนกลับมาแถวๆหน้า Kaminari-mon อีกครั้งก็เกินเวลาไปซะแล้วค่ะ จริงๆซื้อแบบ 2คน/10นาที/3000เยน แต่ไปๆมาๆกลายเป็น 17 นาทีแทน ภาพล่างนี้คือก้นรถลากของบริษัท Ebisu ที่พวกเรานั่งค่ะ ไม่มีป้ายโฆษณาแปะเหมือนยี่ห้ออื่นที่ภาพด้านบน เราว่าดูสวยคลาสสิคกว่านะคะ เนื่องด้วยเค้าบริการดีมากกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ แบบว่ามี 100 ใส่มาให้พวกเราซะ 1000 ทั้งสุภาพ กระตือรือล้น ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยระวังตอนขึ้นลงให้อย่างดี อย่างกับพวกเราเป็นแขกระดับ Super Platinum Diamond VIP อะไรอย่างนั้นเลยค่ะ (ทั้งที่จริงๆแล้วซื้อแค่คอร์สถูกสุดของเค้า ) เจอบริการดีสุดๆแบบนี้เข้า เรากับคุณพี่ชาย(ที่มาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยมากๆ ได้เที่ยวประเทศนี้ทั่วกว่าและเยอะกว่าเราอีกค่ะ)นี่เกรงใจเค้ามากเลยว่ามันเลยเวลานะเนี่ย แต่เค้าก็บอกว่ามันฝนตกเลยรถติดไม่เป็นไรๆ คือไงดีล่ะคะ เค้าบริการดีมากกกกกกกกก จนเราอยากจะขอจ่ายเงินเพิ่มให้ตามเวลาที่ใช้บริการจริงๆเลยน่ะค่ะ (เพราะธรรมเนียมให้ tip ไม่มีที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วตามปกติ) คนอยู่โตเกียวมาเข้าปีที่ห้าอย่างเรา แน่นอนว่ามาตรฐานการบริการของคนญี่ปุ่นน่ะชินแล้วค่ะ แต่มันก็มีบางครั้งเหมือนกันนะคะที่รู้สึกว่ามันดีมากจนคาดไม่ถึง ดีจนถึงขั้นว่าประทับใจไม่มีวันลืมเลยว่าขนาดไม่ได้มีทิปหรืออะไรให้ ยังบริการคนต่างชาติอย่างเราซะขนาดนี้เชียว อยู่โตเกียวมาถึงปัจจุบันบริการรถลากนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นค่ะที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกประทับใจในบริการอย่างสุดๆอย่างนี้ได้ ส่วนครั้งแรกเคยเขียนไว้ที่ บล็อคนี้ ค่ะ (เราไม่ได้ประทับใจขนาดนี้กันบ่อยๆนะคะบอกไว้ก่อน ) บริการนี้เป็นแบบนั่งก่อนจ่ายทีหลังค่ะ หลังจากเอาเก้าอี้มารองอย่างดีให้พวกเราเหยียบลงแล้ว เค้าก็หันไปพับผ้าห่มเก็บซะเรียบร้อยอย่างไม่กลัวลูกค้าชิ่งหนีไม่จ่ายเงินค่าบริการเลย (ผู้หญิงอย่างเรานี่ หลายหนที่รู้สึกอายว่าเราเรียบร้อยไม่เท่าผู้ชายคนญี่ปุ่นเค้าด้วยซ้ำ เช่น บนเครื่องบิน JAL, ANA ที่คนญี่ปุ่นม้วนสายหูฟังก่อนยื่นคืนให้แอร์ แถมพับผ้าห่มเก็บอย่างดีก่อนลงจากเครื่อง ส่วนเรา.....เอ่อ..... ......ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะคะ) ภาพล่างคือใบเสร็จค่ะ มีติดคูปองลดราคา 10% ของรถลาก Ebisu ที่สามารถใช้ได้ทั่วประเทศภายในระยะเวลา 3 ปีด้วย นอกจากนั้นก็มีแบบสอบถามและประเมินเรื่องว่าบริการดีมั๊ย ซึ่งเราจัดการเขียนชมซะเว่อร์(แต่ก็ตามจริงนะคะ)ส่งไปให้เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ นอกจากบิลก็มีของที่ระลึก(ฟรี)เป็นสติกเกอร์ตามฤดูค่ะ ไปตอนใบไม้ผลิก็ได้สีแดงนี้มาคนละอัน (เค้ามีคอร์สของเค้านะคะ ถ้าซื้อคอร์สอื่นๆแพงกว่านี้ก็มีของที่ระลึกพิเศษเฉพาะให้เพิ่มอีก) สำหรับสติกเกอร์ที่ระลึกฤดูอื่นๆก็ตามในภาพเลยค่ะ ส่วนตัวชอบของฤดูร้อนว่าภาพดูตลกดี วิ่งลากรถกันเหงื่อตกเชียว แถมโบชัวร์ชัดๆของรถลากบริษัท Ebisu สาขา Kaminari-mon ให้อีกค่ะ จริงๆรถลากบริษัทอื่นก็น่าจะบริการดีเหมือนกัน แต่เราปลื้มและประทับใจกับบริการของคนนี้ที่บริษัทนี้ไปมากๆๆๆซะแล้ว จากคนที่ไม่เคยคิดจะนั่งรถพวกนี้กลายเป็นตั้งใจไว้เลยค่ะว่าจะต้องกลับมาช่วยใช้บริการอีกให้ได้เลย อยากเห็นตอนช่วงหน้าร้อนด้วยค่ะว่าร้อนอยากตายแบบที่ญี่ปุ่นนี่ยังลากกันไหวจริงๆอ้ะ ช่วงบ่ายฝนหยุดก็ไปต่อกันที่ Akihabara ค่ะ ขนาดว่าคนต่างชาติหายแล้ววันเสาร์ก็ยังคนเยอะขนาดนี้เลย ในภาพนี่คือ สาวๆกระทิงแดงสาขาญี่ปุ่นเค้ามาแจกอะไรสักอย่างค่ะ เห็นต่อคิวกันยาวเลย ก็ไม่รู้ว่าของมันน่าสนใจ หรือ คนแจกน่าสนใจกันแน่นะคะเนี่ย โดยปกติถ้ามาอากิบะเรามักจะอยู่แต่ใน Yodobashi Camera ค่ะ(ก็คือมาจากทางเชื่อมสถานีรถไฟเข้าที่นี่เลย ไม่ได้ออกไปเดินข้างนอก) เพราะสาขานี้ถือเป็นร้านเครื่องไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว ขายของเยอะ ประมาณว่าถ้าของที่เราอยากได้ไม่มีขายที่สาขานี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่สาขาอื่นแล้วล่ะค่ะ ปกติเราอยู่แต่ชั้นขายกล้อง เพิ่งเคยได้สำรวจชั้นอื่นครบๆวันนั้นเองค่ะ ชั้นบนๆนี่เรียกว่าครบวงจรจริงๆ น้ำหอมราคาถูกเพียบ(คุณพี่ชายบอกว่าถูกยิ่งกว่า duty free ซะอีก แถมไม่ใช่พวกตกรุ่นขายไม่ออกด้วยนะคะ) เครื่องสำอางเหมือนยกร้านขายยามาตั้ง แล้วก็ยังมีของเล่นของใช้ในบ้านน่าสนใจอีก เราว่าเป็นอีกทางเลือกที่ดีนะคะ มาที่เดียวมีอะไรให้ดูกันได้ทุกเพศทุกวัยเลย ไม่ได้มีแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างที่คิดกัน เหนื่อยๆมาก็มีร้านอาหารร้านขนมให้นั่งกินนั่งพัก ข้างนอกจะฝนตกหรือแดดออกก็ไม่เกี่ยวกันค่ะ (อีกที่ที่เราคิดว่าน่าสนใจพอๆกันคือ Tokyu Hands ค่ะ เดินเพลินดี) สำหรับวันนั้นเราได้ของน่าสนใจในภาพนี้มาค่ะ เห็นครั้งแรกก็ว่า เออนะ...ไอเดียดีจังช่างคิดดีแท้ๆ คือ มันเป็นอะไรที่ผลิตไม่ยากนะคะ ปัญหาคือใครจะเป็นคนต้นคิดไอเดียออกมานี่สิ อันนี้ใช้ไปเสียบกับที่เสียบฝักบัวแล้วแขวนซอง refill พวกสบู่และแชมพูได้โดยไม่ต้องกรอกใส่ขวดค่ะ ลองใช้แล้วก็ชอบเลย ช่วยลดพื้นที่ในการวางขวดต่างๆในห้องน้ำไปได้ แขวนไว้อย่างนี้ไม่มีหลุดไม่มีหล่นไม่มีรั่วเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ (อันนี้ไม่ใช่ของ 100yen นะคะ ประมาณพันเยนนิดๆค่ะ) เขียนไปเขียนมาชักจะนอกเรื่องซากุระไปไกลซะแล้ว ไหนๆแล้วขอนอกเรื่องอีกนิดแนะนำร้านอาหารนี้อีกร้านค่ะชื่อร้าน Saizeriya (ในภาพล่างคือสาขาที่อากิบะค่ะ) ร้านนี้มีสาขาเยอะ แถมแต่ล่ะที่ก็คนเยอะซะด้วย ถ้าไปตอนวันหยุดช่วงทานข้าวนี่ก็ต้องรอคิวกันบ้างแต่มักไม่นานเพราะร้านกว้าง ที่นั่งเยอะ นั่งแยกโต๊ะวางของกันสบายๆได้ค่ะ (หลายโต๊ะก็เห็นนั่งคุยกันนานเลย เพราะ soft drink เติมได้เรื่อยๆไม่มีจำกัดเวลา) เท่าที่เห็นมาร้านนี้ส่วนใหญ่จะเปิดถึงดึกนะคะ บางสาขาก็เปิด 24 hours ด้วยให้สังเกตป้ายสีเขียวๆอย่างนี้ไว้ค่ะ ในย่านคนเยอะๆเราเจอร้านนี้ประจำเลย (สาขาที่อุเอโนะ มีอยู่ที่ชั้นสองของร้าน Sushi-zanmai พอดีเป๊ะค่ะ) อาหารที่นี่เป็นแนวฟิวชั่น ฝรั่ง+ญี่ปุ่น ค่ะ ชื่อจะฟังดูฝรั่งจ๋ามากๆอย่างซุป พาสต้า พิซซ่า สเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ เค้ก เป็นต้น แต่รสชาติเป็นแบบที่ปรับมาให้เข้ากับคนญี่ปุ่นแล้วนะคะ ยิ่งถ้าในกลุ่มที่มาด้วยกันเกิดมีคนไม่ทานของดิบ ไม่ชอบราเม็งหรืออะไรขึ้นมา เราว่าร้านนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่า นั่งสบายกว่า อาหารอร่อยกว่า(สำหรับเรานะคะ) เทียบกับพวกร้าน 24hours อื่นๆตระกูลๆ Sukiya, Yoshinoya, Matsuya น่ะค่ะ ส่วนตัวเราชอบว่าอาหารที่นี่อร่อยดี ราคาก็ไม่ค่อยแพง บรรยากาศนั่งสบายๆ มี drink bar ให้กดเติม soft drink กันได้ไม่อั้นด้วย ปีก่อนๆเคยชวนคุณพี่ชาย(ที่มาเที่ยว)มากินเค้าก็ร้องไม่เอาๆ เพราะมาญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นมากกว่า แต่พอได้ลองมากินจริงๆแล้วเค้ากลับชอบค่ะ เพราะรสชาติมันก็คือรสแบบญี่ปุ่นดีๆนี่เอง เรื่องอาหารนี่จริงๆเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมากค่ะ โดยเฉพาะเวลา(คนจากไทย)มาเที่ยวกันหลายคน ต้องมีปัญหากันเรื่องกินทุกทีไป คนนึงจะกินนู่น อีกคนไม่เอาจะกินนี่ เราคนกลางนี่ก็ได้แต่เซ็งค่ะถ้าเป็นไปได้ก็ให้แยกกันไปกินซะให้รู้แล้วรู้รอดเลย แต่บางทีมันก็แยกกันไม่ได้น่ะค่ะต้องไปด้วยกัน ลงท้ายก็ต้องมีคนนึงเสียอารมณ์เรื่องเลือกร้านอาหารทุกที กลับมาที่สถานีอากิบะค่ะ ใกล้ๆสถานีเห็นร้าน Sushi-zanmai เลยแชะมาซะหน่อย(ภาพล่าง) ดูเหมือนสาขานี้จะมีรีวิวแนะนำกันไว้ในรีวิวชูชกที่ blueplanet มั้งคะ แต่เท่าที่เราเห็นผ่านๆดูเล็กกว่าสาขาอุเอโนะพอควรเลย ถ้า Sushizanmai สาขาที่อุเอโนะก็ใหญ่อย่างภาพล่างนี้เลยค่ะ(ร้านอยู่ชั้น 1) ข้างในก็กว้างดูโอ่อ่าดี ส่วนร้านที่เห็นอยู่ชั้นสองในภาพก็คือ Saizeriya นะคะ(เรายังไม่เคยทานสาขานี้เลยอธิบายข้างในไม่ถูกค่ะ) วันนั้นช้อปเสร็จอะไรเสร็จก็ขึ้นรถไฟ(สถานีเดียว)กลับ Okachimachi กันค่ะ ระหว่างทางก็เจอป้ายทัวร์ไปเช้าเย็นกลับ มีเก็บสตรอเบอรี่ แช่ออนเซ็น และ อาหารกลางวันด้วย ปลายทางอยู่ที่จังหวัด Yamanashi 山梨 ค่ะ ดูแล้วน่าไปเหมือนกันแต่ช่วงนั้น(จนถึงปัจจุบัน)เรายุ่งจริงๆค่ะแค่เท่าที่แอบไปมานี่ก็เต็มที่แล้ว ไปมาทีก็ต้องเอาวันเสาร์อาทิตย์เราไปทำงานทดแทนที แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านนอนสบายๆเลยค่ะหลายเดือนนี้ ว่าไปแล้ววันนั้นเป็นอะไรที่กินแหลกมากค่ะ เที่ยงกินปลาไหล เย็นๆกินสเต๊ก ค่ำมายังไม่พออุตส่าห์ไปกินข้าวปลาดิบร้านโปรด Minatoya ที่ Ameyoko อีก จริงๆก็กะไม่กินแล้วนะคะแต่เดินผ่านแล้วเห็นร้านมันอดไม่ได้น่ะค่ะ คนมันชอบกินปลาดิบม๊ากมาก (ป้ายหน้าอาเมโยโกะเขียนไว้ว่า Minna-de-ganbaro-nippon) ร้าน Minatoya นี่ถ้าเป็นช่วงใกล้ๆปิดร้าน (ทุ่มกว่าๆ) เค้าจะมี mini-don ไซส์จิ๋วราคาพิเศษ 500 yen ด้วยนะคะ เลือกสั่ง mini-don จากเมนูปกติอันไหนของร้านก็ได้ค่ะ (ทางไปร้านลองจิ้มดูที่ บล็อคนี้ นะคะ สั้นๆคือเป็นร้านข้าวปลาดิบที่เราแนะนำค่ะ ทั้งอร่อยกว่า ถูกกว่า ให้เยอะกว่าร้านข้าวดิบอื่นๆที่เราเคยกินมาค่ะ) เทียบกับขนาดแก้วกระดาษใบเล็กๆให้ดูค่ะ ชามจิ๋วน่ารักเชียว(ข้าวน้อยดีด้วยค่ะ) จะว่าไปแซลมอนส่วนที่สีออกขาวๆนี่มันคือส่วนไหนก็ไม่รู้ค่ะ เราชอบแบบสีส้มมากกว่า จำไม่ได้ว่าเริ่มมีสีขาวๆนี่มาปนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน (แบบว่าหลังๆงานยุ่งกินแต่เบนโตะ Lawson ตลอดเลยค่ะ ไม่ได้เดินไปหาของโปรดของอร่อยกินเท่าไหร่) . . . . ถึงตรงนี้คนเขียนเหนื่อยแล้ว และคาดว่าคนอ่านก็คงเหนื่อยเช่นกัน เลยขอตัดจบบล็อคนี้ไว้ตรงนี้ที่หมดทริปสั้นๆหนึ่งวันในโตเกียวนี้นะคะ ออกจะเน้นไปทางกินมากกว่าซากุระเสียอีก สำหรับ The WHITE of Spring in Japan 2011 ยังเหลือบทสรุปอีกหน่อยนึงขอยกยอดไปบล็อคหน้าแทนหน้านี้จะได้ไม่ยาวยืดยาดไปยิ่งกว่านี้นะคะ (มีวี่แววว่ากว่าจะเขียนครบทุกสีของใบไม้ผลิ คงเกือบหมดหน้าร้อนแล้ว เผลอๆจะน็อครอบไปใบไม้ร่วงที่รูปจากปีก่อนยังดองอยู่ใน HDD นี่ยังไม่พูดถึงทริปหน้าร้อนปีก่อนที่ยังเขียนบล็อคค้างๆคาๆไว้ที่โกเบอีกนะคะเนี่ย )The Colors of Spring in Japan 2011 1. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 1st Episode:: The WHITE of Plum Flower and Sakura 2. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 2nd Episode:: The WHITE Spirit of Japanese 3. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 3rd Episode:: The WHITE of Sakura-Panda 4. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 4th Episode:: The YELLOW of Nanohana กับประสบการณ์โดนน้องแกะ... 5. 6. ภาพในบล็อคนี้ถ่ายด้วย Canon EOS KissX3 + ef 35mm f/1.4L (มีภาพจาก Sony NEX-5 ปนมาสองภาพ) แต่อยากบอกว่าภาพอัลบั้มนี้หลายภาพไม่สมคุณภาพของ 35L เลยค่ะ แบบว่าอาจหาญถือกล้องถ่ายกันมือเดียว(อีกมือถือร่ม) ฝนก็ตกแสงไม่ค่อยมี ภาพเบลอโฟกัสไม่เข้าเพียบเลย สรุปส่วนตัวว่า เลนส์ฟิกซ์นี่ไม่ค่อยเหมาะกับการถ่ายแบบสักแต่กดจริงๆค่ะ ต้องแบบ..ตั้งใจถ่ายกันหน่อย ถึงจะดึงคุณภาพออกมาได้ หนนี้พลาดไปแล้วเลือกเลนส์ไม่เหมาะกับสถานการณ์(=วิ่งไปถ่ายไป)เลยค่ะ>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ในอัลบั้มเต็มของบล็อคนี้ใน SkyDrive >> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด
Create Date : 08 มิถุนายน 2554
Last Update : 22 มีนาคม 2556 18:27:47 น.
1 comments
Counter : 4120 Pageviews.
โดย: kirofsky วันที่: 9 มิถุนายน 2554 เวลา:22:01:07 น.
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [? ]
บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ
ชอบมากกกกกกกกครับ