[--เที่ยวไปกับ Canon Kiss X3--] ตามล่าใบไม้แดงที่นิกโก้ (เชยจังป่านนี้เพิ่งจะเคยไปกะเค้า)
ได้จังหวะพี่ชายมาเที่ยวญี่ปุ่น(คนเดียว)ทริปใบไม้แดง เลยขอเกาะไปนิกโก้ด้วยวันนึง จุดประสงค์หลักๆคืออยากไปดูใบไม้แดงที่โน่นกะเค้าบ้าง ก็เห็นใครๆเวลาไปดูใบไม้แดงแบบไปเช้าเย็นกลับชอบไปที่นี่กันทั้งนั้นเลย คนมาเที่ยวกันนี่ก็เคยไปนิกโก้กันหมดทุกคนแล้ว เราอยู่โตเกียวมาสามปีกว่าไม่เคยไปเลยสักครั้งเชยน่าดู วันนี้ขอไปสักหน่อยเหอะนะ อยากเอากล้องใหม่ไปลองออกสนามจริงด้วย ช่วงก่อนไปก็นั่งเช็คเว็บทุกวันว่าเหลือใบไม้แดงเท่าไหร่ ปีนี้อากาศหนาวเร็วจุดหลักๆฮิตๆนี่แดงจนโกร๋นไปเรียบร้อยแล้ว งานนี้ตั๋วทุกอย่างคุณพี่ชายจัดการให้(ผู้ชำนาญการตัวจริง เค้ามานิกโก้รอบที่สี่แล้ว) ตอนซื้อตั๋วเห็นพนักงานก็บอกว่าตรง Chuzenji lake เนี่ยมันพีคไปเมื่ออาทิตย์ก่อน(ได้ยินว่ารถบัสกว่าจะขึ้นลงรอบนึงใช้เวลากว่า 2-3 ชั่วโมง) ส่วนตรง World heritage ก็ยังไม่ค่อยแดงดี ตรงน้ำตก Ryuzu ไม่ต้องพูดถึงโกร๋นไปตั้งแต่กลางๆตุลาแล้ว จังหวะไปไม่ค่อยดีเลยโอกาสแห้วไม่เห็นใบไม้แดงสูง แต่ทำไงได้ล่ะ นอกจากวันเสาร์อาทิตย์เราก็ไม่สะดวกโดดงานไป(ไม่งั้นเกาะพี่ชายไปขึ้นเหนือ ดูใบไม้แดงแบบเต็มๆตามจังหวัดต่างๆแล้ว) ครั้นจะให้ลุยเดี่ยวเลยก็ยังไม่มีเวลาหาข้อมูลเพราะต้องปั่นงานอีกอย่างให้เสร็จก่อนไปอังกฤษตอน พย สรุปแล้วไปก็ไปนิกโก้ ไปลุ้นเอาข้างหน้าละกัน เช้าวันฮาโลวันก็รีบตื่นนั่งรถไฟไปอาซาคุสะ ทันรถรอบแปดโมงเช้าพอดี #pic1 สถานีปลายทางที่จะไปลงคือ Tobu-Nikko เท่าที่สังเกตคนที่นั่งรถคันนี้มานี่ส่วนใหญ่ก็ปลายทางเดียวๆกันทั้งนั้นเลย แถมช่วงนี้ที่ไทยมีวันหยุดยาวด้วยคนไทยมาเที่ยวญี่ปุ่นกันเยอะในตู้รถไฟเนี่ยเจอคนไทยเข้ากลุ่มเบ้อเริ่มเลย #pic2 ที่นั่งในรถไฟเป็นแบบสองที่หันหน้าเข้าหากัน ดูเผินๆเหมือนจะโอเค แต่นั่งนานๆนี่ไม่สบายตัวเหมือนชินคันเซนเลย พนักตรงเป๊ะไม่มีปรับเอียง แถมต้องนั่งเข่าชนเข่ากับคนตรงข้ามอีก เมื่อยมากๆ #pic3 งวดนี้เราอยากลองเสี่ยงขึ้นไปดูด้านบนด้วย มันเพิ่งจะพีคไปเมื่ออาทิตย์ก่อนน่าจะยังเหลือแดงอยู่พอสมควรล่ะน่า ดังนั้นสรุปหลักๆจะไป Chuzenji lake กับ World heritage ไปสองที่คุณพี่ชายจัดการซื้อตั๋ว Nikko pass มาให้เรียบร้อย ถ้าไม่ขึ้นไปทะเลสาปก็จะได้ซื้อแต่ตั๋ว World heritage pass (พวกนี้เนี่ยเราไม่รู้เรื่องเลย ถ้าไปเองอาจเดินดุ่มๆขึ้นรถไฟไปเลย) #pic4 รถไฟวิ่งนานหน่อย ตอนที่ตื่นอยู่เกิดเบื่อๆก็หยิบกล้องมาแชะรูปสักหน่อย ไร้สาระไปเรื่อยๆ #pic5 พี่ชายบอกว่านั่งคันนี้ไปจนสุดสาย แต่ไหงหลับๆอยู่ดีๆคนลุกกันพรึ่บพรั่บวิ่งไปขึ้นรถไฟอีกคัน แถมมีเสียงภาษาไทยตะโกนอีกว่า "คันโน้นๆ" เราก็เลยตื่นเลยวิ่งไปกะเค้ามั่ง ไปถามเจ้าหน้าที่รถไฟอีกทีค่อยอ๋อ เค้าบอกว่าเปลี่ยนไปคันโน้นจะเร็วกว่านั่นเอง (เจ้าหน้าที่รถไฟรู้งานมาก ใช้วิธีมือชี้ๆไปคันโน้นแล้วบอก quicker quicker คนถามก็พูดแค่ Nikko แล้วก็ชี้มือไป แค่นี้แหล่ะรู้เรื่องกันแล้ว) #pic6 พอถึงสถานี คุณพี่ชายเดินนำทางอย่างรวดเร็วออกไปที่ป้ายรถบัส ขอคารวะเลยเดินคล่องมากๆรวดเดียวถึงเลยไม่มีหยุดชะงัก เป็นเรามาคนเดียวเหรอคงเอ๋ออยู่พักนึงว่าต้องออกไปทางไหนเนี่ย มาถึงตอนราวๆสิบโมงครึ่งแดดยังดี ฟ้ายังใสอากาศดีมากๆ (กลุ่มคนในรูปนี่คนไทยทั้งกรุ๊ปเลย เค้าต่อคิวรถบัสไป World heritage กัน) #pic7 แต่เรากะพี่นั้นจะขึ้นไป Chuzenji lake ก่อน รีบขึ้นแต่เช้าๆเผื่อบ่ายๆจะเจอรถติด รอที่ป้ายรถบัส 2B นี้เลยใช้ Nikko pass ขึ้นลงรถไม่ต้องหยิบเงินให้เสียเวลา โชว์บัตรอย่างเดียว #pic8 ขนาดว่ารถไม่ติดเลยก็ใช้เวลานั่งรถประมาณ 45 นาทีกว่าจะถึงป้ายปลายทางที่เบอร์ 24 Chuzenjikohanmeguri ช่วงขึ้นเขานี่รถเอียงไปเอียงมามากๆ นับไม่ถ้วนเลยว่าเลี้ยวโค้งไปกี่โค้ง ถ้าคนมึนๆมาเนี่ยเมารถอ้วกแน่ๆ #pic9 ถึงด้านบนแล้วฟ้าก็ยังใส อากาศยังดี เจอต้นแดงๆส้มๆหนึ่งต้นใกล้ป้ายรถบัส คุณพี่ชายเลยช่วยแชะภาพที่ระลึกให้หน่อย อยากบอกว่าภาพนี้เป็นภาพ(ตัวเอง)ที่สวยที่สุดในทริปนี้เลย ฟ้าก็ใสต้นไม้ด้านหลังก็แดงกำลังดี แสงแดดตกกระทบหน้ากำลังเหมาะ ภาพออกมานี่ถ้าไม่ใช่กล้องตัวเองถ่าย คงนึกว่ามีการรีทัชนะเนี่ยหน้าเนียนเว่อร์ๆ (แต่รูปอื่นๆหลังจากนี้หรือ หน้าดูไม่จืดเลย) #pic10 ถ่ายรูปกับป้ายยอดฮิตสักหน่อยเห็นใครๆก็ถ่ายกัน ขอเซนเซอร์คุณพี่ชายสักนิดเค้าขี้อาย สองคนในภาพก็คนไทยอีกนั่นแหล่ะได้ยินเสียงคุยภาษาไทยกันไวๆเลยทักกันนิดนึง แ้ล้วก็ผลัดกันถ่ายรูปให้กัน #pic11 ถ่ายรูปฟ้าใสๆกันต่อ ต้นไม้แดงก็มีไม่เยอะแต่ก็ยังพอเห็นเหลือหย่อมโน้นหย่อมนี้บ้าง แดดตอนนั้นกำลังดีเลยไม่ร้อนไปถ่ายรูปออกมาส่วนใหญ่ In focus หมดมีไม่กี่รูปที่โฟกัสวืดไปบ้างนิดๆ #pic12 คุณพี่ชายหิวข้าวเลยขอแวะทานข้าวกันสักหน่อยค่อยไปเดินดูรอบๆ (ไม่ทันนึกเลยว่าออกมาอีกทีแดดจะเกลี้ยงแล้ว T_T) ให้ดูโฉมหน้ากล้องใหม่ที่ทำเอากลับจากทริปนี้แล้วปวดข้อมือมาสองวันยังไม่หายดีเลย ถือแป๊บๆไม่เท่าไหร่แต่ถือทั้งวันเนี่ยยังไม่ชินน้ำหนัก ต้องหาท่าบริหารข้อมือสักหน่อยแล้วเนี่ย #pic13 ออกจากร้านอาหารมาเมฆบังแดดหด ฟ้ากลายเป็นขาวๆไม่มีแดดซะแล้ว รูปนี้กำลังจะลงไปที่ Kegon waterfall กันลงไปแบบบันไดธรรมดานี่ล่ะ พี่ชายผู้ชำนาญการบอกว่าเสียเงินลงลิฟท์ไปก็แค่ใกล้กว่านิดเดียวไม่ได้สวยกว่าเท่าไหร่หรอก #pic14 หลังจากออกจากร้านอาหารมาแล้ว เศร้าใจมากๆมาดูรูปแล้วพลาดไปเกินครึ่ง ทั้งๆที่ถ่ายโหมดเดียวๆกันกับตอนแรกแท้ๆ แต่รูปออกมาแทนที่จะชัดตื้นหรือชัดลึกสักอย่าง กลายเป็นว่าส่วนใหญ่ไม่ชัดทั้งตื้นและลึกเลย สีก็ตุ่นๆจืดๆเหมือนมีหมอกขาวๆบังภาพ แถมไงไม่รู้ถ่ายมาหน้าขาวเว่อร์จนมองแทบไม่เห็นจมูก(ที่ไม่ค่อยจะมี)อยู่แล้ว มาถึงแล้วก็ถ่ายซะหน่อยน่ะ น้ำตก Kegon ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใบโกร๋นๆ ภาพน้ำตกนี้ถ่ายจากไกลๆเท่าที่เลนส์ 18-55 mm นี้จะถ่ายได้ #pic15 ภาพนี้ถ้าไม่ดึง contrast ขึ้นด้วย PS นี่สีตุ่นมากๆไม่มีความสวยเอาซะเลย ดีว่าพอ PS แล้วดูดีขึ้นเยอะพอเอามาโชว์ได้ อีกสักภาพกับน้ำตก เอาต้นไม้มาบังๆช่วยหน่อยเผื่อจะดูดีขึ้น (เทียบกับน้ำตกที่ Oirase @Aomori ที่พี่ชายไปดูไม่ได้เลย อันนั้นถ่ายรูปน้ำตกกันใกล้ๆ ใบไม้แดงเหลืองเขียวสลับกัน ขนาดถ่ายจาก iPhone รูปยังสวยเป็นบ้าขนาดทำให้พวกเฉยอย่างเราอยากไปดูกับตาให้ได้ ไว้ปีหน้าต้องแพลนไปมั่งแล้ว) #pic16 น้ำตกหมดแค่นั้นไม่มีอะไรให้ดูให้ถ่ายแล้ว มาเดินดูรอบๆนอกดีกว่า เพิ่งพ้นช่วงพีคมาอาทิตย์เดียวก็ยังพอมีต้นใบแดงๆให้เห็นประปรายตามรายทาง #pic17 ต้นนี้สวยหน่อยมีทั้งเขียว ทั้งแดง ทั้งส้มๆในต้นเดียวกัน แต่ก็น้อยนะที่จะเป็นอย่างต้นนี้ #pic18 ต้นนี้ก็โอเคสวยดี ถ้าทุกต้นได้ประมาณนี้หรือแดงมากกว่านี้(แต่ยังไม่น้ำตาลหรือโกร๋น)ก็คงจะดีหรอกนะ #pic19 ใบไม้แดงบนนี้ส่วนใหญ่ ดูสภาพใบก็รู้ว่ากรำศึกมาพอควรแล้ว ไม่ได้แดงกันใหม่ๆสดๆซิงๆ #pic20 ตรงทะเลสาป Chuzenji ไม่มีอะไรเลย ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีถ่ายออกมาเหมือนหมอกขาวๆบัง แถมต้นไม้ก็โกร๋นกันหมดแล้ว ได้แต่ภาพนี้มาแทนยังพอมีต้นแดงๆส้มๆให้ชื่นใจบ้าง(ตั้งหนึ่งต้น) #pic21 ผิดหวังนิดหน่อยว่าข้างบนนี้ไม่ค่อยแดงเลย แถมอากาศก็ไม่เป็นใจให้ได้รูปฟ้าใสๆมาชดเชย ประมาณบ่ายโมงก็เลยไปต่อคิวนั่งรถบัสลงไป World heritage ที่ต่อไป งานนี้เกือบไปแล้ว เกือบโดนตัดแถวเพราะรถเต็มซึ่งถ้าพลาดคันนี้ต้องรอนานเลย โชคยังดี(หรือเปล่า)สุดท้ายได้นั่งที่นั่งเสริมตรงกลางทางเดิน (นั่งไม่สบายเลยเก้าอี้เล็กๆ แต่ก็เอาน่ะได้นั่งยังดีกว่ารอคันต่อไป) ทั้งๆที่เลยช่วงพีคมาแล้วแท้ๆ แต่ขากลับยังอุตส่าห์เจอรถติด(ตรงช่วงลงเขามาแล้ว) เลยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆสำหรับการลงจาก Chuzenji lake มาที่ทางเข้าวัดที่เป็น World heritage โปรดอย่าถามนะว่าวัดเหล่านี้ชื่ออะไรประวัติยังไง เราไม่รู้เรื่องเลยงานนี้มีคุณพี่ผู้ชำนาญการพาเดินหมด เราเดิน(กึ่งวิ่ง)ตามลูกเีดียว หนึ่งในความสามารถพิเศษที่ได้จากการอยู่ญี่ปุ่นคือ สามารถวิ่งตามสถานที่ท่องเที่ยวได้ทั้งวันโดยใส่บู๊ตส้นสูง (แต่ว่าก็ว่าคู่นี้พื้นรองเท้าบางไป เดินถนนขรุขระแอบเจ็บฝ่าเท้านะเนี่ย) #pic22 เดินๆตามคุณพี่ชายไป ตอนเรามัวแต่ถ่ายรูปทางเข้าคุณพี่ก็ไปซื้อตั๋วให้เีรียบร้อย แล้วก็เข้าไปวัดแรกกันเลย ป้ายเขียนว่า Taiyuin ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร งานนี้อยากมาดูใบไม้แดงอย่างเดียวไม่ได้สนใจวัดอะไรเท่าไหร่ (จริงๆคือไม่สนใจเลยมากกว่า) #pic23 สิ่งที่ต้องเตรียมตัวสำหรับการมา Nikko world heritage คือ การเดินขึ้นๆลงๆบันได ทำไมบันไดมันเยอะอย่างนี้นะเนี่ย ค่อนข้างชันด้วย ขึ้นทีมือนึงต้องเกาะราวไว้ตลอดเลย กลัวจะเกิดหน้ามืดหรือชักกระตุกกระทันหันแล้วหงายหลังร่วง กล้องหล่นพัง(เสียดายกล้องนั่นเอง) ว่าแล้วก็แอบอายคุณลุงคุณป้าคนญี่ปุ่นเหมือนกัน ขนาดอายุมากแล้วยังเดินกันฉับๆ #pic24 ไปๆมาๆดูแล้ว ข้างล่างนี้ใบไม้แดงยังสวยกว่าข้างบน(ทะเลสาป)อีกนะ สรุปเอาเองว่ามาดูตอนช่วงมันกำลังจะแดง สวยกว่าช่วงที่มันกำลังจะโรยนะเนี่ย ถึงปริมาณที่แดงแล้ว(หรือยังแดงอยู่)จะพอๆกัน แต่เห็นใบเขียวๆกำลังจะแดงบ้างก็ยังดีกว่าเห็นแต่กิ่งโกร๋นๆล่ะน่า #pic25 แถวๆแท่นหินนี้สวยดี ตัดกับใบไม้แดงและเหลืองข้างหลังมากๆ เลยจัดมาหลายแชะหน่อย #pic26 ด้านหลังแท่นหินด้านบนก็มีน้ำตกเล็กๆ ถ่ายมุมนี้ก็ออกมาแปลกดี ใบไม้แดงที่ร่วงที่พื้นยังไม่โดนเหยียบเละเท่าไหร่ โอเคยังพอจับมาออกงานได้ #pic27 ผ่านไปกันที่บันไดอันต่อไป (อันที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ขึ้นจนจำไม่ได้) รู้สึกด้านหลังนี้จะมีที่ให้เข้าไปไหว้พระด้วย แต่เราไม่เข้าแค่เดินผ่านเฉยๆ (ไม่อยากถอดรองเท้าด้วยล่ะ บู๊ตถอดยาก) #pic28 เดินขึ้นๆลงๆบันไดไปๆมาๆก็มาเจออันนี้น่าสนใจ เห็นเดินเวียน วนลอดกันอยู่สิบกว่าคนได้ (แต่คนที่ยืนมุงดูอย่างเดียวน่ะมากกว่า) รู้สึกว่าถ้าเดินลอดตามทิศที่กำหนดคงจะมีอะไรดีๆมั้ง เช่น จะโชคดีหรืออะไร เห็นลอดกันใหญ่ดูเผินๆหยั่งกะเวียนเทียนแน่ะ #pic29 มุ่งหน้าไปยังวัดสุดท้าย (วัดที่มีลิงปิดหูปิดตาปิดปาก) ถ้าใครมีเงินก็เดินทางไปอย่างไฮโซได้เลย มีรถม้าพาไปถึงที่ ส่วนเราเหรอโลโซอ่ะเดินเอาดีกว่า แพงแหงๆรถม้านี่ #pic30 ตามที่คุณพี่ชายบอกวัดนี้แหล่ะดังสุด ก็คงจะจริงแหล่ะคนงี้เพียบเชียว ต่อคิวอะไรกันไม่รู้อย่างยาว เราได้อยู่ถ่ายรูปตรงด้านหน้านี้นานหน่อย เพราะดันทำบัตรส่วนเข้าวัดนี้หาย -"- (ก็แหม เดินมาตั้งนานไม่เห็นจะใช้เลย ก็เลยกำตั๋วทั้งชุดไว้ในมือ ดูเผินๆหยั่งกะกระดาษทิชชู่ใช้แล้ว ผลคือตั๋วส่วนริมขาดตกหายไปตอนไหนไม่รู้ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้เข้าวัดนี้ด้วย หาตั๋วไม่เจอก็เลยยืนรอคุณพี่อยู่ตรงจุดตรวจตั๋วนั่นแหล่ะ) #pic31 วันนี้ว่าเจอคนไทยเยอะแล้วแต่คนจีนนี่เจอเยอะยิ่งกว่า มากันเป็นกรุ๊ปทัวร์แถวยาวเลยเชียว หลังจากคนเข้าประตูซาลง(เดาว่ากลุ่มทัวร์คงเข้าไปหมดแล้ว) คุณคนตรวจตั๋วเลยหันมาบอกให้เราเข้าไปได้ (ขอบคุณมากๆนะคะ) สุดท้ายเลยได้เข้าจนได้ (เค้าคงเห็นมั้งว่าเราซื้อเป็นตั๋วชุดมา ซึ่งต้องมีส่วนเข้าวัดนี้อยู่แล้วแต่มันหายจริงๆ) รูปลิงปิดหูปิดตาปิดปากใครๆก็ลงกันแล้วเลยไม่ลงละกัน(จริงๆคือถ่ายออกมาดูไม่ได้นั่นเอง) ถ่ายอย่างอื่นๆแทน ก็นิดๆหน่อยๆประสาคนไม่ซาบซึ้งกับวัฒนธรรมเท่าไหร่ สำหรับเราวัดก็คือวัดนั่นแหล่ะไม่รู้สึกอะไร #pic32 #pic33 ตรงที่ทางเดินออกจากวัดสุดท้ายนี้ เจอมุมนึงขาตั้งกล้องอย่างเพียบ ใครดูก็รู้ล่ะว่าจุดนี้เป็นจุดถ่ายรูปใบไม้แดงที่ดี(ที่สุด)แถวนี้ตอนนี้แน่ๆ เราก็เอาบ้างสิแชะกะเค้าซะหน่อย #pic34 ออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าเดินๆๆมาทั้งวัน จนตะวันคล้อยแล้วกว่าจะเสร็จน้ำตกกับวัดทั้งหมด คราวนี้ลงบันไดชันอันสุดท้ายแล้วเดินต่อไปดูสะพานแดงอีกอย่างเป็นอันหมดภารกิจนิกโก้คราวนี้ #pic35 เห็นพี่ชายบอกว่าสะพานนี่เป็นหนึ่งใน World heritage เลยนะ แต่ก็สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน คือ ต่างคนต่างดูแล้วไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยก็แค่สะพานสีแดงๆอันนึง เห็นที่ญี่ปุ่นก็มีสะพานสีนี้อยู่ทั่วไปหมด(โดยเฉพาะแถวศาลเจ้า) แต่ถ้าเป็นตอนแดดดีๆใบไม้แดงๆ หรือตอนซากุระเต็ม หรือหิมะปกคลุมก็คงสวยน่ะนะ (แต่ ณ ตอนนี้มันไม่สามารถกระตุกต่อมการชื่นชมความงามธรรมชาติของเราและพี่ได้แม้แต่นิดเดียว) #pic36 #pic37 หมดสะพานนี้แล้วก็ได้เวลานั่งบัสกลับสถานี Tobu-Nikko กันสักที รูปสุดท้ายขออุทิศให้แยกไฟแดงนี้ เป็นไฟแดงที่นานมากๆยืนรอตั้งแต่คนเดียวจนมีคนมายืนรอพร้อมกันเป็นสิบ รถบัสกลับสถานีผ่านไปแล้วสองคันกว่าจะได้ข้าม คุณป้าคนญี่ปุ่นพึมพำกันใหญ่ว่า ไฟแดงนี้น๊านนาน #pic38 การตามล่าใบไม้แดงที่นิกโก้คราวนี้จบลงแบบผิดหวังหน่อยๆ ไม่ได้เห็นแดงเท่าที่อยากจะเห็น(สองปีก่อนที่เกียวโต เห็นแดงเต็มที่เลยจริงๆ) จบทริปด้วยรถไฟขากลับที่คนแน่นยิ่งกว่าขามา(แถมนั่งนานกว่าด้วย) เมื่อยๆอยู่แต่กระดิกตัวไม่ค่อยจะได้เลย นั่งๆไปนึกถึงเวลาต้องนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดนานๆอารมณ์เดียวๆกันเลย โดนที่นั่งและคนรอบข้างล็อคจนกระดิกตัวแทบไม่ได้ -------------------------------------------------------------------------- บทเรียนจากการเอากล้อง DSLR ออกสนามจริงครั้งแรก คือ ถ่ายรูปคนนี่ยากจริงๆอ่ะ รูปวิวอะไรไม่ค่อยมีปัญหาโอเวอร์บ้างอันเดอร์บ้างแต่ก็ยังดูได้ดูโอเค แต่เมื่อไหร่ที่มีคนเป็นตัวแบบเข้ามาแบบจริงๆจังๆ ถ้าไม่ออกมาดีไปเลยก็(มัก)เละไปเลย ยิ่งพอแดดไม่มีด้วย ไม่รู้ไงพอมาดูภาพเต็มๆในคอม รู้สึกเหมือนภาพไม่คมสักจุด ดูยังกับโฟกัสวืดวาดไปหมด ทั้งๆที่บางรูปก็จำได้ว่าจับโฟกัสให้ตรงตัวคนแล้วนะ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าโฟกัสมันวืดจริงๆหรือเพราะว่าค่า sharpen ที่ตั้งตอนนี้ต่ำเกินไปเลยดูเป็นอย่างนั้น ปัญหาหลักๆนอกจากโฟกัส(เหมือนจะ)วืด ก็คือส่วนตรงผิวหน้าที่มักจะขาวจนดีเทลหายเกือบหมดเลยเห็นแต่คิ้วกะลูกกะตา มานั่งดู exif ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก หลักๆเราก็ใช้โหมด Av กับปรับช่วงซูมเข้าออกเท่านั้น มีชดเชยแสงบ้าง แต่ที่เหลือไม่ได้ปรับอะไรกล้องทำให้ แต่ไหงมันออกมาหน้าว่อกอย่างนี้หนอ ณ ปัจจุบันใช้ Evaluate metering mode มันจะเกี่ยวกันไหมเนี่ย เราถ่ายรูปจะเน้นแนว candid หรือ life มากกว่าไม่ได้เน้นเจาะแต่ตัวแบบ แต่จะเอาให้เห็นทั้งคนทั้งวิวข้างหลัง รูปภาพส่วนใหญ่(หลังจากแดดหมด)จะดูไม่ค่อยคม(จนไม่แน่ใจว่าโฟกัสวืดหรือเปล่าเนี่ย) เหมือนมีม่านหมอกสีขาวบางๆกั้น สีก็จะตุ่นๆเหมือน saturation ของสีน้อยเกินไป ส่วนใหญ่ต้องเอามาเข้า PS เพื่อดึง contrast ขึ้นและบางรูปก็ต้องปรับคืนดีเทลให้ส่วนที่ติด Highlight ด้วย ยังดีว่ารูปวิวส่วนใหญ่พอปรับ contrast ให้ก็ดูดีขึ้นเยอะ นึกอยู่ว่าถ้าตั้งค่ากล้องใหม่ให้ sharp และ saturation เพิ่มขึ้นจะดีกว่าไหมนะ แต่ที่ยังเป็นปัญหาคือรูปที่มีคนนี่ล่ะ สีผิวสีหน้าขาวเว่อร์เพี้ยนไปมากจนกู้คืนไม่ค่อยจะได้ ปัญหาสุดท้ายก็กำลังคิดอยู่คือ เวลาไปเที่ยวแบบนี้ที่เน้นเดินเร็วๆไม่ค่อยมีเวลาหยุดเพื่อเล็งรูปกันนานนัก(แถมผ่านแล้วก็ไม่ย้อนกลับไปอีกด้วย) แถมหลายๆครั้งต้องให้คนอื่นช่วยกดชัตเตอร์ให้ด้วยอย่างนี้ควรจะใช้โหมดอะไรถ่ายดีนะ จะใช้โหมดพวกที่ต้องปรับค่าโน่นนี่ หาจุดโฟกัสที่ถูก วัดแสงให้พอดี ก็ไม่ไหว แค่เค้ายอมช่วยกดชัตเตอร์ให้นี่ก็ดีถมไปแล้ว แต่ถ้าจะใช้โหมดออโต้เลยนี่ก็ยังไม่ค่อยชัวร์ เพราะหนนี้เวลาให้พี่ชายหรือคนอื่นๆถ่ายให้ ก็ตั้ง auto focus แล้วแต่ถ่ายออกมาก็ยังไม่ค่อยชัดยังกะโฟกัสไม่อยู่ยังไงหยั่งงั้น(แต่ตอนแดดดีน่ะชัดเชียว auto focus เหมือนกันแท้ๆ) สรุปพูดไปพูดมาตัวเองก็งงเอง ตอนนี้มีหลายตัวแปรมากที่ไม่แน่ใจ ทั้ง Evaluate metering mode ว่าเกี่ยวกันไหมที่ทำให้หน้าว่อก(เพราะรอบๆแสงไม่ค่อยมี), ทั้งค่า sharpen และ saturation ว่าถ้าปรับขึ้นมันจะดูคมขึ้นสีตุ่นน้อยลงรึเปล่า(หรือจริงๆเพราะสภาพอากาศไม่ดีและโฟกัสมันวืดจริงๆกันแน่), ทั้งว่าเกี่ยวกันไหมว่าที่รูรับแสงกว้างๆภาพจะไม่ค่อยคม (อ่านมาจากพันทิป เห็นบางคนเค้าพูด) ยิ่งอ่านกระทู้ยิ่งมึน ตัวแปรเยอะไปหมดดูไม่ถูกไปไม่เป็นเลยว่าเพราะอันไหนกันแน่นะ หรือว่าเวลาไปไหนสำคัญๆควรใช้ออโต้ไปก่อนดีเพื่อความชัวร์ ปัญหาหนักก็เวลาถ่ายคนนี่ล่ะ เฮ้อ ขนาดไม่ได้กะให้สวยเหมือน portrait เอาแค่ให้เห็นคนชัดเห็นวิวด้านหลังชัดก็พอนี่ ตอนนี้ยังทำไม่ค่อยได้เลย ปล ภาพแรกๆย่อธรรมดาไม่ค่อยได้ปรับอะไรเลย แต่ภาพหลังๆจะดึง contrast ขึ้นประมาณ +13 และใช้ action ย่อเสต็ปละ 500 pixels (แบบ Bicubic sharpen) รู้สึกว่าถ้าย่อด้วยแบบนี้ทุกๆเสต็ปภาพจะดูคมแข็งเกินไป(อย่างที่เห็นหลายๆรูปด้านบน) แต่คราวนี้ก็ทำไปแล้วขอยกยอดไปแก้ตัวคราวหน้าละกันนะ
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 7 ธันวาคม 2552 1:14:29 น.
8 comments
Counter : 2582 Pageviews.
โดย: tukuta IP: 126.116.254.154 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:40:30 น.
โดย: mame (@FirstblusH ) วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:42:52 น.
โดย: nLatte วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:56:40 น.
โดย: NEKKI (Fire Bomber !! ) วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:16:14 น.
โดย: น้าอุ้ย IP: 124.121.127.155 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:18:51 น.
โดย: น้าอุ้ย IP: 124.121.127.155 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:39:57 น.
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [? ]
บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ
หลายภาพในบล็อคสวยมากนะคะ สวยหลายๆภาพเลย (จริงๆ มันจะมีเรื่องที่เกี่ยวกับว่า ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพบางภาพบางคนชอบ บอกสวย บางคนไม่ค่อยชอบ ก็บอกว่าเฉยๆ )
น่าจะมีภาพวิว(น้ำตก) รึเปล่า ที่ดูดรอปไปนิดนึง เพราะศักยภาพของเลนส์ด้วย แล้วก็สภาพแสงตามความเป็นจริงด้วยนะพี่ว่า แต่ภาพที่โมมิจิหล่นที่พื้น(ฉากหลังเป็นน้ำตก) อันนี้นำเสนอน่าสนใจมาก แต่โฟกัส(ใบไม้ร่วง) สว่างมากเกินไป ภาพเลยถูกดึงความสนใจไปที่ฉากหลังก่อน แต่ฉากหลังก็มืดเกินไปอีก
ส่วนภาพที่มีคน(ตัวนางแบบ)ติดโอเวอร์ไปนิดเดียว ทำให้ดูแบนเพราะว่าโดนแย่งแสงไปด้านหลังหมด แต่ถ้าเอามาปรับคอนทราสตัวแบบก็จะลอยขึ้นจากฉากหลังมากเกินไป คือดูรู้ว่าเอามาปรับทีหลัง ภาพเลยไม่นุ่มเท่าที่ควร
ภาพที่ถ่ายบรรยากาศรวม(คนเยอะๆ) บางภาพสว่างไปนิดนึง และหลายๆภาพยังนำเสนอความต้องการของคนถ่ายได้ไม่พอนะพี่ว่า คือดูแล้วไม่ทราบว่าคนถ่ายต้องการเน้นหรือนำเสนออะไรในภาพนั้น (เช่นภาพ หน้าลานวัด ที่ยืนรอพี่ชาย) แต่พี่ชอบภาพรถม้า กับภาพที่ถ่ายมุมเสยของ YASHA MON GATE นะ สวยมากเลย ภาพน้ำในลำธารก็สวย สะพานแดงก็สวย
ภาพที่เอาลงเน็ทมันโดนดรอปคุณภาพลงไปเยอะแล้ว บางทีเราว่าสวยแต่พอย่อแล้วกลับรู้สึกแปลกๆก็เป็นได้นะคะ
เรื่องตัวกล้องพี่คิดว่า เกดลองปรับโหมดเรื่อยๆ ถ่ายไปเรื่อยๆ มันจะเจอโหมดนึงที่เรารู้สึกว่าเราคล่องและถนัดกับโหมดนั้นๆที่สุด มิเตอร์ริ่งก็ลองปรับทั้งแบบเฉลี่ยหรือแบบเฉพาะจุดลองดูว่าเราชอบและถนัดแบบไหนกว่ากันและลองถ่ายไปเรื่อยๆหลายๆแบบ บางคนก็ชอบถ่ายวิว บางคนชอบพอร์ทเทรท บางคนชอบถ่ายโคลสอัพ แต่ถ้าถ่ายได้ดีหมดทุกแบบก็คงจะดี ฮา...
เรื่องโฟกัสวืดนั้นพี่ว่าเป็นได้เรื่อยๆนะคะเกด กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อมาเช็คกับจอคอมที่บ้าน (พี่เป็นบ่อยมาก บางภาพก็พอรับได้ แต่บางภาพรู้สึกเสียดายย้อนหลัง ก็มีบ่อยๆเลยเคสนี้...)
ต้องขอโทษที่เมนท์ยาวไปหน่อย อาจจะตอบคำถามที่เกดถามไม่ได้นัก โดยเฉพาะเรื่องโฟโต้ช็อปนี่พี่ไม่รู้เรื่องเลย ไม่เคยใช้เลย (ไม่ได้ลงในเครื่องเลยใช้ไม่เป็นซักที)
ทำได้แค่ย่อรูปกับใส่กรอบง่ายๆที่โฟโต้สเคป