Group Blog
 
All Blogs
 
ครั้งที่ ๔ ความรู้จักอริยสัจ ๔ (๒)

สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ

ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร


--------------------------------------------------------------



ครั้งที่ ๔ ความรู้จักอริยสัจ ๔ (ต่อ)

บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงท่านพระสารีบุตรอธิบายสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ในขั้นที่อธิบายนี้ก็คือรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และได้แสดง กิจในอริยสัจทั้ง ๔ คือ

ทำปริญญา ความรู้รอบคอบกำหนดรู้ในทุกข์
ทำปหานะ การละสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ทำสัจฉิกรณะ กระทำให้แจ้งความดับทุกข์
ทำภาวนา อบรมปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นมาและเป็นข้อปฏิบัติที่พึงปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น

ละความยึดถือในขันธ์ ๕

การปฏิบัติพุทธศาสนาก็ปฏิบัติในกิจ ๔ อย่างนี้ในอริยสัจนั้นเองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นผู้ปฏิบัติธรรมะก็พึงศึกษาสดับตรับฟังว่าทุกข์คืออะไรตามที่ตรัสไว้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์เป็นต้น และเมื่อสรุปเข้าขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์ดั่งนี้ กำหนดพิจารณาให้มีความรู้ความเข้าใจ และสำหรับข้อข้างต้น ๆ ก็พิจารณาเห็นได้โดยไม่ยากนัก
ส่วนข้อที่ว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์โดยย่อ ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ขันธ์คือกองทั้ง ๕

รูปขันธ์ ก็คือรูปกาย อันประกอบด้วยธาตุดินน้ำไฟลมนี้
เวทนาขันธ์ กองเวทนา ก็ได้แก่ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งทางกายทั้งทางใจ
สัญญาขันธ์ ก็คือกองแห่งสัญญา ความจำได้หมายรู้ เป็นต้นว่า จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง จำธรรมะ คือเรื่องราวที่คิดหรือที่รู้ทางมโนคือใจ
สังขารขันธ์ กองสังขาร ก็คือความคิดปรุงหรือความปรุงคิดต่าง ๆ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ และในธรรมะ คือเรื่องราวที่จำได้
วิญญาขันธ์ กองวิญญาณ คือความรู้เห็นรูปทางตา ความรู้ได้ยินเสียงทางหู ความรู้ทราบกลิ่นรส โผฏฐัพพะทางจมูกทางลิ้นทางกาย และความรู้เรื่องที่คิดหรือที่นึกที่รู้ทางมโนคือใจ

รูปก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเรียกว่านาม รูปนาม แต่เรียกลับกันเสียว่านามรูป ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเหล่านี้เป็นทุกข์ ก็เพราะยึดถือจึงเป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดถือ ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ก็เป็นสภาพธรรมดา ซึ่งมีชาติคือความเกิดเป็นเบื้องต้น มีชราความเก่าตลอดจนถึงชำรุดทรุดโทรมโดยลำดับ และมีมรณะความตายเป็นที่สุด ก็เป็นสภาวะเป็นธรรมดา เมื่อบุคคลไม่ยึดถือ ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ก็เป็นไปตามสภาพธรรมดา เกิดแก่ตายหรือเกิดแก่เจ็บตาย แต่เมื่อบุคคลไปยึดถือเพราะมีตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากเป็นเหตุปัจจัยให้ยึดว่าเป็นของเรา เป็นอัตตาตัวตนของเรา บุคคลโดยตรงคือจิตใจจึงต้องเป็นทุกข์ ต้องมีโศกะ มีปริเทวะเป็นต้น ซึ่งรวมเข้าก็เป็น ๒ คือ

ประจวบกับสิ่งหรือสัตว์สังขารที่ไม่เป็นที่รัก
พลัดพรากจากสิ่งหรือสัตว์สังขารซึ่งเป็นที่รัก
ย่อเข้าอีกก็เป็นหนึ่งคือ ปรารถนา ไม่ได้สมหวัง


และทั้งหมดนี้ก็สรุปเข้าย่อเข้าในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเหล่านี้นั่นแหละ

รู้วัฏฏะของกิเลส กรรม วิบาก

เพราะฉะนั้น จึงมีความสำคัญอยู่ที่ความยึดถือ ยึดถือว่า

เอตํ มม นี่เป็นของเรา
เอโสหมสฺมิ เราเป็นนี่
เอโส เม อตฺตา นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา

ที่ยึดถือก็เพราะมีตัณหา ความอยากความดิ้นรน ความทะยานอยากของจิตใจ เพราะฉะนั้น จึงศึกษาให้รู้จักว่าตัณหานี้เป็นตัวสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ นอกจากให้เกิดทุกข์ทางจิตใจ มีโศกะปริเทวะเป็นต้นดังกล่าว ยังเป็นเหตุก่อภพชาติต่อไป ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ความเวียนว่ายตายเกิดต่อไปนั้นเรียกว่า สังสาระ หรือ สงสาร อันแปลว่า ความท่องเที่ยวไป และความท่องเที่ยวไปนั้นก็ท่องเที่ยวไปโดยอาการที่เป็น วัฏฏะ อันแปลว่า วน วัฏฏะคือวนนั้น ก็พูดกันง่าย ๆ ว่าเวียนเกิดเวียนตาย หรือเวียนเกิดแก่เจ็บตาย คือเมื่อเกิด ก็แก่ก็เจ็บก็ตาย ตายแล้วก็เกิดก็แก่ก็เจ็บแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ก็เวียนอยู่ดั่งนี้ ความเวียนอยู่ดังนี้เรียกว่า วัฏฏะ คือความวนหรือความเวียนซึ่งพูดกันเข้าใจง่าย ๆ

แต่เมื่อจะแสดงถึงวัฏฏะคือความวนตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก็มี ๓ อย่าง คือ

กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส
กรรมวัฏฏะ วนคือกรรม
วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก ผลของกรรม

อันหมายความว่า กิเลสก็เป็นเหตุให้ทำกรรม กิเลสจึงเป็นเหตุ กรรมจึงเป็นผลของกิเลส และกรรมนั้นเองก็เป็นตัวเหตุให้เกิดวิบากคือผล กรรมจึงเป็นเหตุวิบากจึงเป็นผล และวิบากนั้นเองก็เป็นตัวเหตุก่อกิเลสขึ้นอีก เมื่อเป็นดังนี้ วิบากนั้นก็เป็นเหตุ กิเลสก็เป็นผลของวิบาก และกิเลสก็เป็นเหตุให้กระทำกรรม กิเลสก็เป็นเหตุ กรรมก็เป็นผลของกิเลสและกรรมนั้นเองก็เป็นเหตุส่งวิบาก เมื่อเป็นดังนี้ กิเลสก็กลับเป็นเหตุ วิบากก็เป็นผล และวิบากคือผลนั้นก็กลับเป็นเหตุก่อให้เกิดกิเลสขึ้นอีก

เพราะฉะนั้น กิเลส กรรม วิบาก จึงวนอยู่ดั่งนี้ ก็โดยที่บุคคลนี้เอง หรือจิตนี้เองที่วนอยู่ในกิเลส กรรม วิบาก แล้วก็กลับเป็นเหตุก่อกิเลส กิเลสก็ก่อกรรม กรรมก็ก่อวิบาก วิบากก็ก่อกิเลส เพราะฉะนั้น สัตว์บุคคลจึงวนอยู่ในกิเลส กรรมวิบากทั้ง ๓ นี้ นี้เป็นวัฏฏะ วัฏฏะคือความวนนี้ ก็วนอยู่ในปัจจุบันนี้นี่เอง และวนอยู่เรื่อยไป ในอดีตก็วนมาดั่งนี้ ในปัจจุบันก็วนมาดั่งนี้ ในอนาคตก็จะวนต่อไปดั่งนี้

เพราะฉะนั้นวัฏฏะคือความวนนี้ จึงวนอยู่ในกิเลศ กรรม วิบาก หรือในกงของกิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบากนี้เป็นกำ เมื่อเทียบกับล้อ จะเป็นล้อเกวียนหรือล้อรถก็ตามซึ่งประกอบด้วยกง ประกอบด้วยกำ ก็มีอยู่ ๓ กำ ก็คือกิเลส กรรม วิบาก ปิดประกอบอยู่ในกงอันเป็นวงกลม วัฏฏะคือความวนก็วนเป็นวงกลมอยู่ดั่งนี้

พิจารณาดูความเป็นไปของจิตในปัจจุบัน ก็จะพึงเห็นได้ว่าก็วนอยู่ใน ๓ อย่างนี้ เป็นต้นว่าเกิดตัณหาขึ้นในรูป ตัณหานั้นก็เป็นกิเลส ก็เป็นเหตุให้ประกอบกรรมคือจงใจที่จะดูรูป และเมื่อเป็นกรรมคือประกอบการดูรูป เช่น ขวนขวายไปดู มองดู ดั่งนี้ก็เป็นกรรม ก็ได้วิบากคือผล คือเป็นรูปที่จงใจจะดูด้วยรูปตัณหา การเห็นรูปนี่เป็นวิบากคือผล ผลของกรรมคือการที่จงใจดู และเมื่อเห็นรูป รูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็ก่อให้เกิดรูปตัณหายิ่งขึ้นไปอีก รูปตัณหานั้นก็เป็นเหตุให้ประกอบกรรมคือการดูยิ่งขึ้นไปอีก ดูก็เห็นซึ่งเป็นผล รูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจก็ก่อให้เกิดรูปตัณหายิ่งขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้น ทุก ๆ อย่างในปัจจุบันนี้ จิตของสรรพสัตว์คือจิตที่ยังมีความข้องความเกี่ยว มีสังโยชน์คือความผูกพัน ก็วนอยู่ในกิเลสกรรมวิบากทั้ง ๓ นี้ตลอดเวลาไม่ออกไปนอกจากวงแห่งกิเลสกรรมวิบากทั้ง ๓ นี้ ก็เป็นไปอยู่ดังนี้

ตัดวัฏฏะด้วยการดับตัณหา

และเมื่อว่าถึงวงกว้างคือเกิดแก่ตายในชาติหนึ่ง ๆ เกิดคือชาติ ก็เป็นตัววิบากคือ ผลของกิเลสที่เป็นมาแต่อดีต ก็คือตัณหานั่นเอง ยกตัณหาขึ้นเป็นประธาน แต่ที่ท่านอธิบายนั้นท่านมักอธิบายว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ในที่นี้ก็ยกเอาเพียงข้อกิเลสคือตัณหาอย่างเดียว เพราะตัณหานั้นเป็นตัวก่อภพชาติ และเมื่อมีชาติคือความเกิดขึ้นมา ก็แก่ก็เจ็บก็ตายในที่สุด และเมื่อยังมีตัณหาอยู่ ก็ดับตัณหาไม่ได้ ตัณหาก็เป็นชนกกิเลสชนกกรรม นำก่อภพก่อชาติใหม่ขึ้นมาอีก และเป็นชาติขึ้นก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ตายแล้วก็มีปฏิสนธิคือเกิด เกิดก็แก่ก็เจ็บก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ก็เป็นอันว่าแม้ในวงกว้างก็วนเวียนอยู่ดั่งนี้ สัตว์ บุคคล หรือจิต อันนี้จึงท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะคือวนดังที่กล่าวมานี้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า วัฏสงสารท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในกิเลส กรรม วิบาก ท่องเที่ยววนเวียนเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นไปอยู่ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นอันศึกษาให้รู้จักตัวสมุทัยคือตัณหาซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ เมื่อดับตัณหาเสียได้ก็เป็นอันว่าหักวัฏฏะคือวนดังกล่าว ดับกิเลส ดับทุกข์ ทางจิตใจในปัจจุบัน วิบากขันธ์ยังอยู่ก็อยู่ไปเหมือนดังวิบากขันธ์ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย และเมื่อดับขันธ์ในที่สุด ไม่เกิดอีก ก็เป็นอันว่าเป็น ปรินิพพาน คือ ดับรอบ สิ้นทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ก็เป็นอันศึกษาให้รู้จักทุกขนิโรธ คือความดับทุกข์ จึงมาถึงศึกษาให้รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ซึ่งก็รวมเข้าในมรรคมีองค์ ๘ ย่อเข้าก็เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

หัดดูให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นทุกข์

เมื่อศึกษาให้รู้จักดังนี้ ก็ปฏิบัติหัดที่จะกำหนดรู้จักทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และกำหนดเข้ามาดูทุกข์อันมีอยู่ที่ตัวเราเอง คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ซึ่งเป็นตัวสภาวทุกข์ หัดดูให้รู้จักทุกข์ทางจิตใจที่บังเกิดขึ้น มีโศกะปริเทวะ เป็นต้น และกำหนดให้รู้จักว่า

ที่ต้องมีทุกข์โศกกันอยู่ดั่งนี้ ก็เพราะว่ายังมีที่รัก ยังมีไม่เป็นที่รัก เมื่อประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ขึ้นมา พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ขึ้นมา รวมเข้าก็คือว่าเพราะยังมีความปรารถนา และความปรารถนานั้นไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ขึ้นมา

อันความปรารถนาไม่สมหวังนั้นย่อมมีอยู่ เพราะความปรารถนาที่สมหวังที่เรียกว่าสมหวังนั้น ก็คือความที่ได้มาตามที่ต้องการตามที่หวัง แต่ความที่ได้มาตามที่ต้องการตามที่หวังนั้นเรียกว่าเป็นความประจวบ เมื่อประจวบกับสิ่งที่เป็นที่รักก็ย่อมจะมีความสุข แต่ว่าอันความสุขที่ได้จากความประจวบกับสิ่งที่เป็นที่รักนั้นก็เป็นการเริ่มต้นของความพลัดพรากเหมือนอย่างเมื่อได้ชาติคือความเกิดมา ตนเองเกิดมาก็ดี ลูกหลานเกิดมาก็ดี ก็เรียกว่าเป็นความตั้งต้นการได้ แต่ว่าความตั้งต้นการได้นี้ ก็เป็นความตั้งต้นของความเสื่อมความดับเพราะเมื่อเกิดมาก็ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในทางขึ้นและในทางเสื่อมจนถึงดับในที่สุด แต่ว่าเมื่อยังมีตัณหา มีความยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา ก็ย่อมจะไม่ต้องการให้สิ่งที่ยึดถือนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไปต้องดับไป ซึ่งเป็นการฝืนสภาพธรรมชาติอันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้ การได้นั้นเองและยึดถือจึงเป็นตัวต้นเหตุที่ให้เกิดทุกข์ต่าง ๆ ความได้ที่ทุกคนพอใจดีใจร่าเริงนั้น ทุกอย่างเป็นความตั้งต้นแห่งความทุกข์ เพราะจะต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต้องพลัดพรากไป การได้ลาภได้ยศที่ทุกคนพอใจดีใจร่าเริงนั้น คือความเริ่มต้นของความพลัดพรากซึ่งเป็นตัวทุกข์เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะในที่สุดก็จะต้องพลัดพราก ถ้าลาภยศนั้นไม่พลัดพรากไปก่อน ชีวิตนี้ก็ต้องพลัดพราก เพราะชีวิตนี้ก็ต้องเกิดต้องดับ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ หัดกำหนดพิจารณาให้รู้จักสัจจะคือความจริงดั่งนี้ คือให้รู้จักว่าทุกข์เป็นทุกข์ อันนี้เป็นข้อฝึกทางปัญญาที่จะให้รู้จัก

รู้จักว่าทุกข์เป็นทุกข์นั้น นอกจากที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตามที่ได้แสดงแล้ว ก็กำหนดให้รู้จักว่า

ทุก ๆ สิ่งที่ได้จะเป็นลาภเป็นยศเป็นอะไรก็ตาม ที่ได้นั้นชื่อว่าเป็นการได้ที่เป็นความตั้งต้นของความพลัดพราก เพราะฉะนั้น เมื่อได้ก็ดีใจ รู้สึกเป็นสุข แต่ความดีใจความสุขนั้นตั้งอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว และเมื่อสิ่งที่ได้นั้นต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปดับไป เมื่อมีความยึดถืออยู่ว่าเป็นตัวเราของเรา ยึดถือไว้เท่าไรก็ต้องเป็นทุกข์มากเท่านั้น ยึดถือมากก็ทุกข์มาก ยึดถือน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ยึดถือเลยจึงจะไม่เป็นทุกข์

เพราะฉะนั้น ก็ต้องศึกษาให้รู้จักว่าทุกข์ก็เป็นทุกข์ รู้จักว่าสิ่งที่ได้จะเป็นลาภเป็นยศก็ตาม เป็นความสุขเป็นความรื่นเริงเป็นความหัวเราะความบันเทิงต่าง ๆ นั่น เป็นตัวทุกข์เป็นตัวทุกข์ทุก ๆ อย่าง เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่จะดำรงอยู่ หัดรู้จักทุกข์ รู้จักตัวทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์ดังนี้ และความที่กำหนดให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์ดั่งนี้ ก็พึงหัดกำหนดให้รู้จักทุก ๆ อย่างที่ประสบทางอายตนะทั้งสิ้น แม้ตัวความสุขความร่าเริงความเพลิดเพลินต่าง ๆ เอง ก็กำหนดให้รู้จักว่านั่นแหละก็เป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ สิ่งทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งของความสุขความเพลิดเพลินเหล่านั้นก็เป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ ทำความรู้เท่าไว้ตั้งแต่ในเบื้องต้น เมื่อจะมีความสุขก็มีความสุขไป มีความเพลิดเพลินมีความร่าเริงมีความหัวเราะก็หัวเราะไปร่าเริงไปเพลิดเพลินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ทำความรู้เท่าทันไว้ด้วยว่านั่นคือตัวทุกข์ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

รู้ว่าทุกข์คือสังขารสิ่งผสมปรุงแต่ง

ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างเหล่านี้ล้วนเป็นสังขาร คือ สิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น เป็นสิ่งผสม ปรุงแต่งทุก ๆ อย่าง ตากับรูป หูกับเสียง เป็นต้น ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง และเมื่อตากับรูปประจวบกัน เห็นรูปที่เรียกว่าวิญญาณก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง เวทนา สัญญา สังขารต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง ทุก ๆ อย่างเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น ซึ่งมีความรวมกันเข้ามาประจวบกันเข้ามา ที่เรียกว่าชาติ คือความเกิดก็ได้เป็นเบื้องต้น แล้วก็ต้องมีความแตกมีความดับในที่สุด เรียกว่าเกิดดับ เกิดเป็นเบื้องต้น ดับเป็นที่สุด ทุกอย่างต้องเป็นไปดังนี้ และสิ่งที่มาผสมปรุงแต่งอันมีลักษณะดั่งนี้นี่แหละเรียกว่า สังขาร สิ่งผสมปรุงแต่ง ทำความรู้จักว่านี่คือสังขาร คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งอันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ

รู้จักลักษณะของสังขาร

และเมื่อเป็นสังขารอันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับดั่งนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้รู้จักลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งอันเรียกว่า สังขตลักษณะ ลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งหรือลักษณะของสิ่งที่เรียกว่าเป็นสังขารว่า

อุปฺปาโท ปญฺญายติ ความเกิดขึ้นปรากฏ
วโย ปญฺญายติ ความเสื่อมไปปรากฏ
ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ เมื่อตั้งอยู่ ความที่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปปรากฏ

รู้จักทุกข์คือวิปริณามะ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง

ความเปลี่ยนแปลงไปนี้ของชีวิตของทุก ๆ สิ่งมีอยู่ตลอด เหมือนอย่างกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะไม่มีหยุด กาลเวลาไม่มีหยุดที่จะล่วงไป ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไปสังขารชีวิตร่างกายทุก ๆ สิ่งในโลกนี้ก็ไม่มีหยุด ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

เพราะฉะนั้น เมื่อกำหนดให้รู้จักสังขาร จึงต้องกำหนดให้รู้จัก วิปริณามะ อันเป็นลักษณะของสังขาร อันได้แก่ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง นี่เป็นวิธีพิจารณา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนวิธีกำหนดให้รู้จักทุกข์ไว้ ๓ อย่าง

ข้อหนึ่ง ก็คือ ทุกขทุกขะ ให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์
ข้อสอง สังขารทุกขะ ให้รู้จักว่าทุกข์ก็คือสังขาร สิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งหมด
ข้อสาม วิปริณามทุกขะ ให้รู้จักวิปริณามทุกข ทุกข์คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เกิดจนถึงดับ มีเกิดเบื้องต้น มีดับเป็นที่สุดดั่งนี้

ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม

เพราะฉะนั้น ท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อฟังเทศนาของพระพุทธเจ้า ดังท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อฟังปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแสดงอริยสัจ ท่านฟังแล้วท่านเข้าใจจับประเด็นอันสำคัญได้ คือท่านเห็นทุกข์ เห็นทุกขทุกขะตัวทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์ เห็นสังขารทุกขะ ทุกข์คือสังขาร สิ่งผสมปรุงแต่ง เห็นวิปริณามทุกขะ ทุกข์คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ต้องเกิดต้องดับ ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ของท่านจึงมีแสดงไว้ว่า ท่านเห็นว่า

ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สพฺพนฺตํ นิโรธธฺมํ สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ดั่งนี้

คือ ท่านเห็นทุกขทุกขะ เห็นสังขารทุกขะ เห็นวิปริณามทุกขะ ทุก ๆ สิ่งที่เป็นสังขารสิ่งผสมปรุงแต่งเป็นตัวทุกข์ เป็นตัวสังขาร และเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับทั้งสิ้น อันนี้แหละเป็นธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ฟังเทศน์อริยสัจ ท่านเกิดธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมดั่งนี้ และท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรมดั่งนี้ ท่านแสดงว่าท่านได้โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นโสดาบันบุคคล อันเป็นอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบไป

๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗

--------------------------------------------------------------

หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์ถวายเป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

คัดลอกจาก หนังสือสัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ ที่ โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ๑๒๙ หมู่ ๓ ถ.ศาลายา – นครชัยศรี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม



Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2555 9:13:44 น. 0 comments
Counter : 671 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sirivajj
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง

ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
Friends' blogs
[Add sirivajj's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.