Group Blog
 
All Blogs
 

พาขึ้นพาหนะแห่งอนาคต ไปย้อนอดีตกันที่เมืองโบราณ

จริงๆ ทริปนี้ไปมาตั้งแต่ปลายๆ เดือนพฤศจิกายน แต่ด้วยปริมาณงานท่วมหัวท่วมหู เลยเพิ่งมีเวลามาทำรูปกะเรื่อง (แอบดูบล็อกล่าสุดที่อัพ ก็หลายเดือนแล้ว กรี๊ดดดดด T^T)


ปล: ขอบคุณน้อง tarokung ด้วยที่ให้ยืมภาพบางส่วนและกล้องสำหรับถ่ายภาพ เนื่องจากกล้อง จขบ. แบตหมด


ปลล: รูปเยอะพอควร โหลดโหดปานกลางจ้ะ


...Segway Tour @ Ancient City...



ครั้งนี้ไม่ใช่หนแรกที่เราได้ไปเที่ยวชมเมืองโบราณ แต่มีความพิเศษกว่าทริปก่อนๆ เพราะว่ามีเครื่องมือใหม่ ที่ทำให้การเดินทางของเราสนุกสนาน(มากกกกกกกกกกกกกกก) และเรียกความสนใจจากคนที่ผ่านไปผ่านมาได้เยอะทีเดียว ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ คุณพี่บิ๊ก บอสใหญ่แห่งเสกเวย์ ทัวร์ (ไทยแลนด์) ที่พาน้องๆ หนูๆ ไปเปิดหูเปิดตาด้วยการเดินทางรูปแบบใหม่ ที่ลองแล้วจะติดใจจริงๆ นะจ๊ะ



"จักรยานสามัคคี"



หลายคนที่เคยไป เมืองโบราณ ก็คงจะรู้ว่ามีพื้นที่กว้างขวางขนาดไหน แต่การจะเดินเที่ยวชมโบราณสถานจำลองต่างๆ ที่วางเรียงรายกันอยู่บนอาณาบริเวณขนาดใหญ่เกือบ 600 ไร่ นั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักอาทิตย์นึงเท่านั้นเอง (ฮา) นักท่องเที่ยวหัวดำหัวแดงและหัวทองทั้งหลายที่ได้ยินกิตติศัพท์และหมายมั่นปั้นมือจะมาชมสถานที่ที่อลังการงานสร้างแห่งนี้ จึงมักจะอาศัยพาหนะอื่นๆ ที่มากกว่าไปกว่าสองเท้า เพื่อให้สามารถเพลิดเพลินกับความอลังการตระการตาต่างๆ ได้แบบไม่เหนื่อยและใช้เวลามากจนเกินไป ถ้าไม่มีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ส่วนตัว ก็มักจะใช้บริการรถรางนำเที่ยวหรือเช่าจักรยานปั่นชมรอบเมือง แต่อย่างที่บอกไว้ว่า มาเมืองโบราณคราวนี้ เรามีดีแบบไม่ธรรมดา เพราะได้มาทัวร์กันด้วยเจ้าพาหนะที่มีชื่อว่า “เสกเวย์ พีที หรือชื่อเต็มว่า Segway Personal Transporter”




"โฉมหน้าผู้ก่อการ (เดินทาง)"




หลายคนอาจจะพอคุ้นเคยกับชื่อ เสกเวย์ มาบ้าง เจ้าเครื่องนี้ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดย นาย ดีน เคเมน นักประดิษฐ์ชายอเมริกัน ผู้มีผลงานประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรแล้วมากกว่า 100 รายการ หลายคนอาจจะเข้าใจว่ามันเป็นของเล่นเศรษฐีราคาแพง แต่จริงๆ แล้วในต่างประเทศเสกเวย์ เป็นที่กล่าวขวัญถึงในฐานะนวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อการเดินทางแห่งโลกอนาคต เพราะความคล่องตัวในการใช้งาน ไม่กินพื้นที่และควบคุมได้ง่าย ในต่างประเทศเลยเริ่มใช้เครื่องนี้เป็นพาหนะเดินทางกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเอามาใช้ในการพาทัวร์ แถมยังมีคนเอาประยุกต์ใช้งานในรูปแบบอื่นๆ เช่น ใช้งานในหน่วยจู่โจมเร็ว หรือการรักษาความปลอดภัยและการทหาร (วันก่อนแอบเห็น ตำรวจจราจรในเรื่อง Beverly Hills Chihuahua ใช้เจ้าเสกเวย์นี้ด้วยเหมือนกันนะ)








ฟังๆ ดูแล้วทริปนี้ก็เข้าขั้นเก๋เท่นำสมัยเอาการ เหมือนเอาไทม์แมชชีนมาเดินทางย้อนอดีต ประมาณนั้นเลย แต่ก่อนจะเริ่มการเดินทางนั้น ทางทีมงานมีภาคบังคับให้เราต้องดู safety vdo ชวนหวาดเสียว ซึ่งหลายๆ คน ดูแล้วอาจจะคิดว่า มันดูอันตรายและน่าจะบังคับยากโคตรๆ แต่ก็นะ...พวกฝรั่งก็ชอบทำให้ดูอันตรายเวอร์ๆ เข้าไว้ ..แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้เป็นการเตือนไม่ให้ประมาท โดยเฉพาะสำหรับคนที่คึกคะนองและชอบเล่นผาดโผนใช้เครื่องมือผิดวิธี





หลังจากหลอนพวกเรากันสัก 10 นาที จนขาสั่นว่ามันปลอดภัยขับง่ายสมคำร่ำรือจริงๆ เหรอฟระ ชาวคณะก็จะต้องมีการฝึกหัด “ขับ” เสกเวย์กันก่อน แต่พอได้ลองไอ้ที่เคยคิดว่าจะยากและน่ากลัว เอาเข้าจริงไม่ถึง10 นาที ทุกคนก็สามารถใช้งานกันได้แล้วอย่างคล่องปรื๋อสนุกสนานกัน ที่ควบคุมง่ายเพราะระบบของเสกเวย์ถูกออกแบบมาให้สามารถควบคุมทิศทางและการเคลื่อนที่ด้วยการทรงตัวและสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ให้มีอิสระและคล่องตัวในการใช้งานมาก เราว่าขั้นตอนยากสุด คือการขึ้นลงเครื่อง เพราะจังหวะที่ก้าวขึ้นลง ตัวเครื่องมันจะไม่ได้หยุดนิ่งสนิท หลายคนเลยกล้าๆ กลัวๆ เวลามันไถลไปข้างหน้าหรือข้างหลัง แต่สักพักพอประคองตัวได้ (คล้ายๆ ประคองตัวบนจักรยานแต่ง่ายกว่านั้นนะ) และเริ่มจับจังหวะการเคลื่อนที่ของเครื่องได้ ก็ฉลุย


"จอดนิ่งๆ อย่างนี้ ก็ไม่ล้ม แถมยืนถ่ายรูปได้ด้วย"






อาจจะไม่ได้เขียนถึงเมืองโบราณมาก เพราะเห่อเสกเวย์มากกว่า เราได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนในไฮไลท์กันทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นปราสาทพระศรีสรรเพชร เขาพระวิหาร ตลาดน้ำ หรือหอคำหลวง ซึ่งเรื่องความสวยงามและอลังการของที่นี่ ก็ยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วน แต่เสกเวย์ทำให้การเดินทางของเราเป็นไปด้วยความสนุกมากขึ้น นอกจากจะเดินทางได้เร็วกว่าและไม่ต้องปั่นให้เมื่อยน่องแบบจักรยานแล้ว ขนาดกระทัดรัดของเครื่องยังมีประโยชน์ตรงที่สามารถหาจุด “จอด” รวมทั้งวิ่งซอกแซกไปตามตรอกซอกซอย หรือทางแคบๆ ได้ดีและง่ายกว่ารถยนต์ เรียกว่าทั้งคล่องและสะดวก อ่อ อีกอย่างเจ้าเครื่องนี้ใช้ไฟฟ้า เพราะงั้นจะไม่มีควันหรือไอเสีย เป็นมิตรกับคุณสิ่งแวดล้อมสุดๆ จ้ะ (แต่อาจเปลืองไฟ)



"จอดง่าย แค่พิงไว้เท่านี้ล่ะ แถมมีระบบล็อคกันขโมยด้วย"





ข้อดีข้อหนึ่งของนักประดิษฐ์ฝรั่งคือ เขาก็มักจะคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยในสิ่งประดิษฐ์ของเขาควบคู่มาด้วยเสมอ นายฝรั่งคนต้นคิดไอ้เจ้าเสกเวย์ก็มีการพัฒนาระบบเซฟตี้กันเหนียวเอาไว้หลายชั้น เช่น ถ้าเร่งความเร็วเกินอัตราที่ตั้งไว้ เครื่องจะชะลอตัวเองลงอัตโนมัติ เป็นต้น (แต่จังหวะมันชะลอ อาจจะเกิดการกระชากให้เสียการทรงตัวได้นิดหน่อย) ซึ่งหากไม่ใช้งานแบบนอกลู่นอกทางโลดโผนสุดๆ แล้ว โอกาสเกิดอันตรายจะต่ำมาก (แล้วยังมีระบบล็อคตัวเองอัตโนมัติกันขโมยอีกต่างหาก) เสกเวย์สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สำหรับขั้นเริ่มต้น เขาจะแนะนำให้เราล็อคความเร็วไว้ที่ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จขบ. บอกไว้เลยว่า ยิ่งเล่นยิ่งมันส์ หลายๆ คนพอคุ้นและคุมเครื่องได้ดีแล้ว ก็จะร้องขอทีมงานให้ปลดล็อคเต่าซิ่งกันสนุกสนาน (ท่ามกลางสายตาที่ดูอิจฉาของคนที่ผ่านไปมา บางคนถึงกะเดินเข้ามาถามว่าหาเช่าได้ที่ไหน หุหุ )



"ฮัดช่าๆ เสกเวย์ ทัวร์มาแล้วจ้า" :P


"เริ่มซิ่ง"





แต่ถึงแม้ความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง เสกเวย์ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างเช่นเดียวกับพาหนะประเภทอื่นๆ เจ้าหน้าที่แนะนำว่า คนที่ใช้งานเครื่องนี้ควรอายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป อาจจะไม่จำกัดส่วนสูง แต่ก็ไม่ควรจะตัวเล็กเกินไป ที่สำคัญกว่าคือน้ำหนักตัวไม่ควรต่ำกว่า 45 กิโลกรัม เพราะน้ำหนักตัวจะมีผลในควบคุมเครื่องมากกว่า และถ้าน้องๆ คนไหนอายุต่ำกว่า 18 ปี อยากจะไปร่วมทริป ก็ต้องได้กับการยินยอมจากผู้ปกครองด้วยนะจ๊ะ




"ไม่ลืมหมวกกันน็อค เพื่อความปลอดภัยด้วยจ้ะ"



"แฮปปี้ๆ"



ทริปเมืองโบราณของเรา เริ่มกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงๆ จนมาเสร็จกันเกือบๆ 5 โมงเย็น หลังจบทริป ชาวคณะ 90 % ต่างก็เกิดกิเลสอยากจะได้กลับไปใช้งานจริงกันที่บ้านสักเครื่อง เสียแต่ว่าราคาเสกเวย์นั้นน้องๆ รถยนต์คันนึงเลยทีเดียว ตอนนี้ก็เลยขออาศัยใบบุญใช้งานในระหว่างการทัวร์กันไปก่อนดีกว่า



ใครที่อยากลองของใหม่ ก็ขอเชิญได้ที่ เสกเวย์ ทัวร์ (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการนำเที่ยวด้วยเสกเวย์ ในเมืองไทย อันที่จริงเขาทำทัวร์ในเส้นทางหลักอยู่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ราคาทัวร์ก็...(แอบถอนใจนิดนึง) ประมาณ 3500 บาทต่อครึ่งวัน มีไกด์นำเที่ยวและเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดทริป (จำไม่ได้ว่ารวมอาหารหรือเปล่านะคะ แต่ถ้าเอาตังค์จ่ายค่าทัวร์ไปหมดแล้ว ก็อ้อนสตาฟฟ์เลี้ยงข้าวเอาละกัน พี่ๆ เขาใจดี หุหุ) อาจจะดูว่าแพงไปนิด แต่ถ้าเทียบกับมาตรฐาน การจัดการและบริการแล้ว เราก็ว่าคุ้มนะคะ ซึ่งนอกเหนือจากเกาะรัตนโกสินทร์ ก็ยังออพชั่นอื่นๆ ให้เลือกได้ อย่างเช่น ไปทัวร์เมืองโบราณ อยุธยา หรือบางกระเจ้า เป็นต้น หรือใครสนใจจะเช่นไปทำงานอีเว้นท์ หรือขับเล่นๆ ที่บ้าน เขาก็มีให้เช่าเหมือนกัน ซึ่งราคาก็อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่รายละเอียดค่ะ

ออฟฟิศเสกเวย์อยู่แถวท่าเรือมหาราช (ระหว่างท่าช้าง และท่าพระจันทร์) ติดกับร้าน S& P
โทร. 02 221 4525, 085 476 7917
website: //www.segwaytourthailand.com




...Ancient City Gallery...


นิดๆ หน่อยๆ เรื่องเมืองโบราณ


เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2506 โดยนายประไพ วิริยะพันธุ์ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทวิริยะประกันภัย เป็นสถานที่รวบรวมวัฒนธรรม ของไทย อาทิ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515

เมืองโบราณตั้งอยู่ในเขตตำบลบางปูใหม่ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 33 ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ห่างจากตัวจังหวัด 8 กิโลเมตร มีพื้นที่ 800 ไร่ ลักษณะที่ดินมีผังบริเวณคล้ายรูปขวาน เหมือนกับอาณาเขตของประเทศไทย ภายในจะมีโบราณสถาน ปูชนียสถาน วัดโบราณ พระราชวัง ต่างๆ เป็นต้น และยังมี ส่วนรังสรรค์เป็นสถานที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของไทย มีไว้จัดแสดงที่นี่ด้วย

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย, เมืองโบราณ



หลากหลายสไตล์ในเมืองโบราณ




"สถาปัตยกรรมไทย"





"สถาปัตยกรรมสไตล์จีน"




"สถาปัตยกรรมอินเดีย"




"สถาปัตยกรรมเขมรก็มา"




"เขาพระวิหารจำลอง"




"ส่วนรังสรรค์ แสดงภูมิปัญญาและฝีมือคนไทย"




"อลังการงานสร้างแบบไทย"




"หนึ่งในไฮไลท์ของเมืองโบราณ ปราสาทศรีสรรเพชร"








 

Create Date : 14 มกราคม 2552    
Last Update : 16 มกราคม 2552 16:52:27 น.
Counter : 2926 Pageviews.  

:::::::::: SWISS SENSATION (1) ::::::::::

...Swiss Sensation...









ฤดูฝนตกหนักที่เมืองไทย ...แต่เป็นปลายหน้าร้อนที่สวิส


นั่นคือช่วงเวลาที่ฉันได้เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก และไม่เพียงแต่เป็นการเปิดบริสุทธิ์สวิสเท่านั้น แต่ยังเป็นการเจาะไข่แดงดินแดนยุโรปของฉันอีกด้วย (อิอิ) และแม้จะมีประสบกาม เอ้ย การณ์ในการเดินทางไกลด้วยตัวคนเดียวมาบ้าง แต่หัวใจดวงเล็ก (ในร่างใหญ่ๆ) ก็ยังอดเต้นตูมตามไม่ได้ หลังจากเครื่องการบินไทยในนามของสวิสแอร์ เชิดหน้ากางปีกและยกล้อเก็บ มุ่งหน้าสู่ใจกลางยุโรปที่เคยแอบใฝ่ฝันจะได้ไปเยือนสักครั้ง...แล้ววันนี้ฝันก็กำลังจะเป็นจริง


หลังจากพยายามนั่งซบไหล่ผู้ชายข้างๆ (แต่ไม่สำเร็จ) มาสิบกว่าชม. เครื่องก็ร่อนลงแตะพื้นสนามบินซูริค ฉันพยายามปั้นหน้าให้ดูขึงขังเป็นงานเป็นการขณะเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ด้วยความกริ่งเกรงอยู่บ้างเนื่องจากถือพาสปอร์ตไทยแลนด์ แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อ ก็แค่เอียงคอมองเล็กน้อยแต่ว่าไม่ได้ซักถามอะไร อาจเป็นเพราะว่ามีหลักฐานการเดินทางมาทำงานระยะสั้นที่การท่องเที่ยวสวิสรับรอง เขาก็เลยปล่อยให้ฉันผ่านเข้าไปอย่างไม่ยากเย็น


แอบมีเรื่องระทึกขวัญเล็กน้อย อีตอนที่ออกมารอกระเป๋าเดินทางด้านนอก เพราะรอยังไง กระเป๋าก็ไม่ยอมมา จนหมดสายพาน เดินไปถามเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าของลงมาจากเครื่องหมดแล้ว ...เอาล่ะสิ คิดว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์กระเป๋าหายแน่แล้ว (แอบมีลางสังหรณ์ตอนเช็คอินเมืองไทยว่าเขาเอากระเป๋าเราขึ้นเครื่องแน่เหรอ....) ก็เดินไปด้อมๆ มองๆ ที่เคาน์เตอร์ Lost & Found ที่อยู่ใกล้กันอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปถาม แต่ดูเจ้าหน้าที่ก็วุ่นวายกับผู้ใช้บริการก่อนหน้า ซึ่งดูเหมือนจะประสบชะตากรรมเดียวกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทั้งเจ้าของกระเป๋าและเจ้าหน้าที่ เราก็เลยแอบถอยมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่ห่างๆ...แล้วทันใดนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าใบโตแสนคุ้นตาวางอยู่บนพื้นข้างรางที่โหลดกระเป๋า! ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นมันไม่อยู่จริงๆ! เลยสันนิษฐานว่า มีคนหยิบไปโดยไม่เจตนา พอรู้ตัวเลยรีบเอามาคืน... ก็นับว่ายังโชคดีที่ไม่ต้องไปทดลองใช้บริการของ Lost & Found สนามบินซูริคว่าบริการดีจริงหรือเปล่า


การเดินทางเข้าเมือง หรือจากเมืองไปยังสนามบินนานาชาติซูริคนั้นสะดวกสบาย ชั้นล่างของอาคารสนามบินนั้นคือ สถานีรถไฟ ที่พานักท่องเที่ยวไปยัง main station ซึ่งรถไฟที่ให้บริการมาทุกๆ 10 นาที


ใช้เวลาไม่นาน ฉันก็มาถึงที่ main station เพื่อรอพบกับเพื่อนร่วมทางต่างสัญชาติ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่แท้จริง ซูริคสำหรับฉันเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น และตลอดการเดินทางตั้งแต่วันไปจนถึงวันกลับ เราก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ไม่รู้ว่าเธอจะเสียใจไหม เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่เห็นเธอเป็นเป้าหมายสำคัญของการมาสวิส...เพราะชื่อของเธออาจจะโด่งดังเสียยิ่งกว่าเมืองหลวงของประเทศ อย่างบอร์น แต่สำหรับฉัน เธอเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น.... ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะไปยลโฉมเธอ แต่เพราะเวลาของเราไม่เคยตรงกัน เลยได้แต่แอบหวังไว้ในใจว่า คราวหน้าฉันคงได้มีโอกาสรู้จักกับสาวเปรี้ยวแห่งสวิสผู้นี้ให้มากขึ้น


จุดหมายการเดินทางนั้น อยู่ไกลออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ คณะเดินทางเล็กๆ ของเรา ออกจากซูริคตอนสายๆ มุ่งหน้าไปยัง เซอร์แมตต์ (Zermatt) เมืองเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเพราะภูเขาที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ซึ่งมีนามว่า Matterhorn ในเวลาบ่ายๆ







ระบบขนส่งมวลชนของสวิตเซอร์แลนด์ โดยเฉพาะรถไฟ ขึ้นชื่อว่าดีเด่นติดอันดับโลก อาจจะเป็นรองเฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้น เนื่องจากเครือข่ายการให้บริการที่กว้างขวางและครอบคลุมในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ แม้บนเขาสูงชัน (ที่เราได้มีโอกาสพิสูจน์ความสามารถด้านวิศวกรรมโยธาของช่างสวิสในหลายต่อหลายเส้นทาง) ความสะดวกรวดเร็ว การบริการและการตรงต่อเวลา


รถไฟสวิสนั้น ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี แม้จะเป็นรถเก่าแต่รับรองเรื่องของความสะอาด ตู้ขบวนรถไฟมีหลายแบบ รุ่นใหม่หน่อยเป็นเหมือนตู้ปลาที่ออกแบบให้มีพื้นที่กระจกใสมากทั้งด้านข้างและด้านบนหลังคา เปิดให้ผู้โดยสารได้มองเห็นทิวทัศน์ได้มากขึ้น แต่จะเปิดหน้าต่างไม่ได้ กับอีกแบบจะเป็นตู้ธรรมดา ที่ดูไม่ทันสมัยเท่า แต่สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปน่าจะชอบขบวนที่เปิดกระจกได้แบบนี้มากกว่า (ยกเว้นในเวลาหน้าหนาว)







สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเองและต้องการเดินทางไปหลายๆ เมืองแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ ตั๋ว Swiss Pass ซึ่งเป็นบัตรผ่านในการใช้บริการขนส่งมวลชนของ Swiss Travel System ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถเมล์ หรือเรือ แบบไม่จำกัดระยะทางและยังได้ส่วนลดอีกมากมายในการใช้บริการขนส่งอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน อาทิ กระเช้าไฟฟ้า หรือรถไฟบางสายที่ไม่รวมอยู่ในโปรแกรมนี้


Swiss pass มีให้เลือกแบบ 4 วัน 8 วัน 15 วัน 22 วันและ 1 เดือน ตามความต้องากรและวันเวลาในการท่องเที่ยว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักท่องเที่ยวจะซื้อ Swiss Pass ได้เฉพาะที่ตัวแทนจำหน่ายนอกประเทศสวิสเท่านั้น







... Other important tidbits…


Visa

ผู้ต้องการยื่นขอวีซ่าทุกประเภทของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อน โดยโทรที่หมายเลข 1-900 222 340 (นาทีละ 9 บาท) โดยหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวใช้ได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น การนัดหมายสามารถทำได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตั้งแต่วันจันทร์- วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00 น. – 19.00 น. และผู้นัดจำเป็นต้องแจ้งชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิดให้ครบถ้วนด้วย

หลักฐานที่ผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าต้องนำไปแสดงที่สถานทูตด้วยด้วยตนเอง มีดังต่อไปนี้

• ใบคำร้องขอวีซ่าที่กรอกและลงลายมือชื่อโดยผู้ยื่นคำร้องเรียบร้อยแล้ว
• หนังสือเดินทาง พร้อมสำเนา (หลังจากเดินทางกลับจากสวิตเซอร์แลนด์แล้ว หนังสือเดินทางควรมีอายุใช้งานเหลืออย่างน้อย 3 เดือน)
• รูปถ่ายปัจจุบัน ขนาดติดหนังสือเดินทาง 1 รูป
• ตั๋วโดยสารเครื่องบินไป-กลับ พร้อมสำเนา 1 ชุด
• หลักฐานประกันการเดินทาง/สุขภาพ ที่คุ้มครองสำหรับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมสำเนา 1 ชุด
• ต้นฉบับหนังสือรับรองการทำงานของผู้ยื่นคำร้อง (ถ้ามี)
• หลักฐานการเงินของผู้ยื่นคำร้อง ซึ่งแสดงว่าสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในระหว่างการพำนักในสวิตเซอร์แลนด์ได้ (อาทิเช่น สมุดคู่ฝากเงินธนาคารของผู้ยื่นคำร้อง)
• ค่าธรรมเนียมวีซ่า 1,540 บาท (* ค่าธรรมเนียมอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบก่อนและเตรียมเงินเพื่อชำระค่าวีซ่าให้พอดี)

รายละเอียดและหลักฐานที่ผู้ยื่นคำร้องต้องนำมาแสดงที่สถานทูตด้วยตนเอง สามารถเช็คได้จาก โทร 1-900 222 340.

สามารถยื่นขอวีซ่าได้ที่ Embassy of Switzerland 35 ถนนวิทยุ (เหนือ) กรุงเทพ 10330

เวลาทำการ (สำหรับประชาชนทั่วไป) วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 9.00 น.-11.30 น ปิดทำการวันเสาร์และอาทิตย์

โทร. 02 253 01 56-60 หรือ 02 254 45 96 (วีซ่า) โทรสาร 02 255 44 81, 02 254 48 04 (วีซ่า)



เวลา

เวลาที่สวิตเซอร์แลนด์ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง


กระแสไฟฟ้า

สวิตเซอร์แลนด์ใช้กระแสไฟฟ้า 220 โวลต์ และปลั๊กไฟเป็นแบบ 3 รู ขากลม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //kropla.com/electric2.htm



เงินตรา
สวิสมีหน่วยเงินเป็น ฟรังก์ สวิส (Swiss franc) ตัวย่อคือ CHF และโดยเงิน 100 รัพเพน (Rappen) มีค่าเท่ากับ 1 ฟรังก์ และแม้ว่าจะสามารถใช้เงินสกุลยูโรหรือดอลล่าร์ได้แต่แนะนำให้แลกเงินเป็นเงินฟรังก์จะใช้สะดวกมากกว่า นักท่องเที่ยวสามารถนำเงินท้องถิ่นหรือต่างชาติเข้าสวิตเซอร์แลนด์ได้โดยไม่จำกัดจำนวน เนื่องจากไม่มีข้อห้ามว่าด้วยการนำเข้าส่งออกและแลกเปลี่ยนเงินตราสวิส

เช็คเดินทางเป็นวิธีการนำเงินติดตัวในขณะเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด และสามารถแลกเป็นเงินสดได้โดยสะดวกตามธนาคาร และสถานที่ซึ่งมีสัญลักษณ์รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ส่วนบัตรเครดิตหลักสามารถใช้ได้เกือบทุกที่












 

Create Date : 27 ตุลาคม 2550    
Last Update : 27 ตุลาคม 2550 10:09:04 น.
Counter : 1844 Pageviews.  

กินๆ เที่ยวๆ เปรี้ยวในหัวหิน (2) : CoCo 51

อีกหนึ่งร้านอาหารอร่อยและบรรยากาศดี ริมถนนแนบเคหาสน์ หัวหิน ค่ะ ^-^




...CoCo 51 ...






ร้านอาหารเก๋ไก๋ริมหาดหัวหิน ในซอย หัวหิน 51 สำหรับผู้ชื่นชอบบรรยากาศสบายๆ ริมทะเล ที่ Coco 51 นี้มีอาหารให้เลือกรับประทานหลากหลาย ทั้งอาหารไทยและยุโรป ซึ่งเมนูได้รับการคิดค้นและพัฒนาให้เป็นสไตล์และสูตรเฉพาะของ Coco จากเชฟผู้มีประสบการณ์ และได้ผ่านการทดลองและรับรองจากนักชิมทั้งหลายแล้วจึงได้นำมาบรรจุไว้ในเมนู





















บรรยากาศร้านยามเย็น









เมนูเด็ดของที่นี่คือ ปลาทอดกับมันบด กุ้งเจ็ดสี และ ยำกุ้งฟู ก่อนปิดท้ายมื้อค่ำภายใต้แสงเทียนด้วยของหวาน อย่างเครปหรือกล้วยหอมทอด Banana Fliter เสิร์ฟพร้อมไอศครีมก็อร่อยหวานเย็นชื่นใจ









ปลาทอดกับมันบด





สลัด Coco style ใส่เบคอน อร่อย ยัมๆ






กุ้งเจ็ดสี







ร้านมีส่วนที่เป็นทั้ง indoor และ outdoor ยามเย็นใกล้พลบค่ำพระอาทิตย์ตกดิน ในเวลาที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ชมพูและฟ้า คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงบรรเลงเป็นแบคกราวน์ เป็นบรรยากาศที่ทั้งสวยงามและโรแมนติกเกินบรรยาย Coco 51 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 16.00 - 01.00 น.



Coco 51
Soi Hua Hin 51, Hua Hin, Prachuabkirikhan 77110
Tel: 032 515 597





(published : Honeymoon+Travel Magazine # 64 issue, September 2007 © all rights reserved)











 

Create Date : 23 กันยายน 2550    
Last Update : 23 กันยายน 2550 11:48:18 น.
Counter : 3475 Pageviews.  

กินๆ เที่ยวๆ เปรี้ยวใน หัวหิน (1) : Dune Pub & Restaurant

ไปทำงาน+เปรี้ยวอยู่หัวหินหลายวันเมื่อเดือนที่แล้ว เลยเอาข้อมูลที่กินที่เที่ยวบางแห่งมาฝากค่ะ เผื่อเป็นไอเดียสำหรับคนที่กำลังจะไปเที่ยว และหาที่พัก+ที่ทานอาหารแถวๆ นั้น




...Dune Pub & Restaurant ...








ร้านอาหารและผับสุดฮิป บนชั้น 4 และชั้นดาดฟ้าของโรงแรม DUNE hua-hin ด้วยทำเลที่อยู่สูงและเปิดแบบโอเพนแอร์ ทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทั้งทะเลและภูเขาที่โอบล้อมโรงแรมไว้ได้รอบทิศ ให้ความรู้สึกและบรรยากาศที่แปลกตาไปจากร้านอื่นๆ ในแถบเดียวกันอย่างเด่นชัด








บรรยากาศบนชั้นดาดฟ้า มองเห็นทะเลเป็นฉากหลัง














บันไดทางขึ้น-ลง ที่เอาไว้คอยเตือนสติว่าควรจำกัดปริมาณแอลกอฮอลล์ในเส้นเลือดว่าไม่ควรมีมากเกินไป :P









ร้านถูกออกแบบให้โปร่งโล่ง ดูสบายเป็นกันเอง แต่ก็ยังแฝงความเรียบแบบเท่ห์ๆ ไว้ ยามเย็นอยากนั่งทานอาหารค่ำชมพระอาทิตย์ตก จะพาคนรักมานอนดูดาว หรือจะจัดปาร์ตี้เล็กๆ ในหมู่เพื่อนฝูง พนักงานที่นี่ก็ยินดีให้บริการและปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของลูกค้า




ที่นั่งริมสระน้ำบนชั้น 4






ที่นั่งภายในร้าน เป็นกระจกใสเห็นวิวภายนอกได้ชัดเจน





บรรยากาศยามค่ำคืนบนชั้นดาดฟ้า




อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารยุโรป แต่นำมาปรับเปลี่ยนให้เป็นสูตรและสไตล์ Dune ซึ่งรับรองความพิเศษและรสชาติที่ไม่เหมือนใคร หากไปถึง Dune แล้ว อยากให้ลองสั่ง superb chicken, crab dib, และ dune salad มาชิม หรือจะลอง cocktail สูตรเฉพาะที่ทางร้านแนะนำอย่าง Sand Dune และ Pink Satin สั่งมาจิบ พลางเอนกายชมดาวบนดาดฟ้า เคล้าเสียงเพลงในบรรยากาศสุดโรแมนติกที่ไม่เหมือนใครในหัวหิน









dune salad มีปลาแซลมอนและหนังปลาแซลมอนทอดกรอบเป็นพระเอก




crab dip ที่ทำให้แขกหลายๆ คนติดใจ





เมนูพิเศษประจำวัน superb chicken ที่ทำแบบ limited edition 3 จานต่อวัน ช้าหมดอดรับประทาน





ข้างนอกเป็นครัวซองค์อบหอมๆ สอดได้ด้วยเนื้อไก่คัดพิเศษหนานุ่ม เสริมความอร่อยด้วยซอส+ชีส ทานแกล้มกับผัก เสิร์ฟร้อนๆ อร่อยมากๆ





Dune Pub & Restaurant
5/1 Naebkhehars Road, Hua Hin, Prachuabkirikhan 77110
Tel: 032 515 051
//www.dunehuahin.com/







(published : Honeymoon+Travel Magazine # 64 issue, September 2007 © all rights reserved)











 

Create Date : 22 กันยายน 2550    
Last Update : 23 กันยายน 2550 10:19:57 น.
Counter : 1438 Pageviews.  

:::: หัวใจเดินทาง ::::

เจ้าของบล็อกหายหน้าหายตาไปนาน หาใช่การอู้อัพบล็อกเช่นเคยไม่ (แม้จะทำอยู่เป็นประจำก็ตาม อิอิ) แต่ด้วยติดภารกิจเดินทาง+หน้าที่การงานใหม่ที่ทำให้ไม่ได้อยู่เฝ้าหน้าจอคอมเป็นประจำเช่นเดิม แต่ต้องสวมรองเท้า สะพายเป้และกล้องคู่ใจ (ของคนอื่น) ไปปฏิบัติการกิจแทน

มีเรื่องราวที่ได้เจอะเจอมากมาย และอยากบอกเล่าสู่กันฟัง แต่ดูจากสถิติการขยันเขียนบล็อกเสียเหลือเกินของจขบ. ก็คงต้องบอกว่า อาจจะต้องคอยกันจนเมื่อยนะคะ ยังไงก็หาเก้าอี้มานั่งรอ นอนรอไปพลางๆ ก่อนเด้อ

ส่วนใครที่อยากรู้ว่าจขบ. หายร่างอวบๆ ไปไหน...บอกใบ้ไว้ในภาพถ่ายค่ะ ไว้เจอกันหลังปั่นต้นฉบับเสร็จ....

















ปล. ใครที่สงสัยว่าจขบ. อินเลิฟ หรือเปล่า....ก็....ไม่บอก...อิอิ ...แต่แอบทำหัวใจหล่นไว้แถวๆ ที่ไปทำงานน่ะล่ะค่ะ





 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 13:55:20 น.
Counter : 479 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เดอะ กั้ง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Some magic from above
Made this day for us, just to fall in love

Just love me tenderly
And I'll give to you every part of me

Be always true to me
Keep this day in your heart eternally






free-counter
counter


Image hosting by Photobucket
หลังไมค์หา เดอะ กั้ง




...Reading...





เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน- ใบพัด




คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ พ.1 : Kafka on the Shore - ฮารุกิ มุราคามิ



***********

ข้อความข้างล่างนี่จริงๆ ไม่อยากเขียนไว้เลย แต่ใส่ไว้กันหลายๆ คนอ้างว่าไม่รู้กฎหมายและมารยาท ก็แล้วกันนะคะ


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add เดอะ กั้ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.