เที่ยวไป..กินไป..ตามแต่ใจเราสองคน เป็นบล๊อกที่ทำขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางของเราทั้ง 2 คน และเป็นข้อมูลให้สำหรับผู้ที่สนใจจะเดินทางด้วยตัวเอง

Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add 's blog to your web]
Links
 

 

แบกเป้เที่ยวปักกิ่ง..พระราชวังฤดูร้อน#2

วันนี้เรายังอยู่ในระหว่างการเที่ยวที่ พระราชวังฤดูร้อน เดินไปเดินมาก็เวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ท้องเริ่มร้อง เราก็เดินมาสุดระเบียงยาว ก็จะเจอร้าน อาหารจักรพรรดิ อยู่ทางขวามือมีสัญลักษณ์ติดโคมแดงอยู่หน้าร้าน เปิดเวลา 11.00 ปิดเวลา 14.30 ไหนๆมาแล้วลองไปกินกันซักหน่อย


บริเวณของร้านนี้มีหลายห้องมาก มีทั้งเป็นแบบห้องรวม และห้องเดียว เมื่อเดินขึ้นไปด้านบนจะเจอพนักงานต้อนรับ จะถามเราว่าจะกินชุดไหน ราคาเริ่มต้นคือคนละ 108 หยวน และ 150 หยวน อย่างเราต้องราคาถูกสุดที่มี เราบอกว่าเราต้องการคนละ 108 หยวน พนักงานพาไปนั่งโต๊ะห้องรวม มีพนักงานแต่ตัวเป็นนางสนม เอาเมนูเครื่องดื่มมาให้ดูพร้อมกับพูดว่า "หนี่เหื้อเฉินเมอะ" คุณจะดื่มอะไร สำหรับเครื่องดื่มต่างๆ ต้องจ่ายเพิ่มนะครับ ผมเลยตอบกลับไปว่า "เหลียงเป่ยไป๋ไคสุ่ย" ขอน้ำเปล่า 2 แก้ว สักพักนางสนมก็เอาน้ำเปล่าอุ่นๆ มาเสริฟ 2 แก้ว ตามมาด้วยอาหาร


อาหารทั้งหมดนี้เป็นอาหารที่จักรพรรดิทรงเสวย มีไก่ต้ม รสชาดจืดๆ เย็นๆ เหมือนไก่ต้มใส่ตู้เย็นไว้, ผักเขียวๆ ผักอะไรก็ไม่รู้ ผัดใส่น้ำมันไม่มีรดชาดจืดๆ เย็นๆ, ขนมปัง 2 ก้อน มาพร้อมกับหมูสับ มีมีดเอาไว้ผ่าขนมปังแล้วเอาหมูสับใส่ตรงกลางขนมปัง รสจืดๆ , ขาวๆ 2 ก้อนคือหมั่นโถว, ตรงกลางเป็น ผัดหมูใส่พริกหยวก รสชาดอร่อยดีคล้ายบ้านเรา, 2 ถ้วยนั้นก็คือ ซุปเห็ดน้ำแดง อร่อยดี, จานไกลสุดคือขนมถั่ว 3 ชนิด เป็นถั่วเหลืองทั้งหมด


ผัดเห็ดกับผักกาดเขียว รสชาดอร่อยดีแบบจืดๆ ดูหน้าตาก็รู้, ผัดกุ้งใส่เม็ดมะม่วงหินมพานต์ อร่อยครับเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดบนโต๊ะนี้, ผักชุบแป้งทอด รสชาดใช้ได้คล้ายๆ บ้านเรา อาหารทั้งหมดมี 10 อย่าง ผลไม้ 1 จานเล็ก เป็นชุดที่เขาจัดไว้อยู่แล้ว ไม่ต้องสั่ง แต่ถ้าอยากจะกินอะไรเพิ่มสามารถสั่งได้


ใช้เวลาไม่นานในการกิน ค่าเสียหายทั้งหมดคือ 216 หยวน น้ำเปล่าไม่เสียเงิน หลังจากกินเสร็จเราก็เดินต่อไปอีกเพื่อไปดูสิ่งสำคัญของวังนี้นั้นก็คือ เรือหินอ่อน คนจีนเรียกว่า เรือของคนโง่ สร้างโดยพระนางซูสีไทเฮา ใช้งบประมาณของกองทัพเรือมาสร้าง จนทำให้กองทัพเรือพ่ายแพ้แก่กองทัพญี่ปุ่น เรือลำนี้ไม่สามารถเคลื่อนได้


เราเดินต่อไปทางด้านหลังของภูเขา เดินเลาะตามลำน้ำไปเรื่อยก็จะเจอ ตลาดจำลองซูโจว อยู่ทางด้านหลังของวัง เป็นตลาดที่จักรพรรดิเฉียนหลง ให้สร้างขึ้นเพื่อให้บรรดานางสนม ขันทีและตัวเองได้มีโอกาสเดินเที่ยวตลาดเหมือนสามัญชน และเล่นเป็นคนขายของ


ตลาดนี้ต้องเสียค่าเข้าชมอีกคนละ 10 หยวนสำหรับใครที่ไม่ได้ซื้อบัตรชุดแบบผม ตลาดจะมีร้านขายของที่ระลึกต่างๆ บางร้านปิดประตูเพราะร้านปิดไปแล้วก็มี หรือเลิกกิจการ แต่บางร้านก็ยังเปิดอยู่


น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด สามารถลงไปเดินเล่นได้ และมีม้านั่งเข็นเล่นกับน้ำแข็งให้เช่า คันละ 15 หยวน มีเด็กลงไปเล่นเห็นแล้วน่าสนุกแต่เราไม่ได้เล่น


ภาพมุมบนของตลาดจำลองซูโจว ตลาดนี้อยู่ติดทางประตูเข้า-ออกด้านเหนือของพระราชวังฯ


เดินออกจากตลาดฯ เดินต่อเป็นวงกลมเราก็มุ่งหน้าไปสู่ ทะเลสาบคุนหมิง บรรยากาศยาม 4 โมงเย็น หน้าหนาวก็จะมืดเร็ว


เรามาถึง พระราชวังฤดูร้อนเวลาประมาณ 11.00 น. ขณะที่เราเดินอยู่นี้เวลาประมาณ 16.00 น. กว่าๆ อากาศยังคงหนาวเลยหยิบเทอร์โมมิเตอร์มาดู 2.1 องศา C ความชื้น 27% ถ่ายรูปนี้ริมทะเลสาบฯ


จุดมุ่งหมายของเราต่อไปคือ สะพาน 17 ช่อง และ เกาะหนานหู ภาพนี้จะเห็นทะเลสาบฯ ส่วนที่เป็นน้ำแข็ง และ ส่วนที่ยังเป็นน้ำ


ทะเลสาบคุนหมิง สร้างโดยจักรพรรดิเฉียนหลง ใช้แรงงานคนขุดนับแสนคน ตรงกลางของทะเลสาบฯ เป็นเกาะหนานหู เป็นที่ตั้งของวัดหลงหวังเมี่ยว


ด้วยความเย็นจัดของกากาศจึงทำให้น้ำในทะเลสาบฯ กลายเป็นน้ำแข็งไปเกือบหมด มีคนนำจักรยานลงไปขี่เล่นในทะเลสาบฯ เห็นแล้วได้อารมณ์ไปอีกแบบ (ถ่ายจากบนสะพาน)


ช่วงเย็นๆ ของที่นี่จะมีประชาชนชาวจีนมาพักผ่อน มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย มีการเล่นว่าว


มีหลายกลุ่มด้วยกันที่มาเล่นว่าว กลุ่มนี้มีการเล่นว่าวแข่งขันกันด้วย ว่าใครจะชนใครได้ ยืนดูก็สนุกดีเหมือนกัน


กิจกรรมที่คนทำเยอะก็คือการลงไปเดินเล่นในทะเลสาบฯ มีทั้งลงไปถ่ายรูป ลงไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง เล่นล้อเลื่อน ผมก็อยากจะลงไปแต่มีคนห้ามไว้ กลัวน้ำแข็งแตก


ขอถ่ายรูปคู่กับสะพาน 17 ช่อง ยามพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หน้าถึงได้ออกมาสีแบบนี้


สะพาน 17 ช่อง ลองนับดูครับว่ามี 17 ช่องหรือไม่ เป็นสะพานโค้งสวยงาม มีความยาว 150 เมตร กว้าง 8 เมตร หัวเสาสะพานประกอบด้วยสิงโตหินอ่อน 544 ตัว เป็นสะพานที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป เรามาแล้วไม่ถ่ายได้งัย ต้องขอเก็บภาพสะพานยามเย็นมีแสงอาทิตย์ใกล้ตกดินมาช่วยส่องไว้เป็นที่ระลึก


มีคนลงไปเดินเล่นในทะเลสาบฯ เยอะมาก มีหรอคนอย่างเราจะไม่กล้าลง มีแต่อีกคนเท่านั้นที่ไม่กล้าลงกลัวข้ำแข็งแตก ลงไปได้มีสาวๆ ชาวจีนมาขอให้ถ่ายรูปให้ ถ้าไม่เกรงใจคนไปด้วยจะขอถ่ายรูปด้วยสักหน่อย หน้าตา OK


เห็นผมถ่ายรูปให้สาวชาวจีน อดใจไม่ได้ขอลงมาบ้างแต่กล้าๆ กลัวๆ รูปนี้ไม่กล้าไปไกลยืนถ่ายรูปอยู่ติดฝั่ง


ไม่กล้าไปไกลๆ ไม่เป็นไรผมไปเอง จากที่ก้มดูน้ำแข็งโอกาสที่จะแตกแทบไม่มี เพราะหนามากๆๆ หนาถึง 3 ชั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะหนาได้ขนาดนี้


ผมทั้งกระโดด กระทืบ ไม่รู้กี่รอบ น้ำแข็งยังไม่แตกเลย แข็งเหมือนหินอีกต่างหาก แต่ต้องระวังลื่นด้วยนะครับ ลื่นมากๆๆ


ขอถ่ายรูปคู่โดยให้คนอื่นถ่ายให้ เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่น ตอนแรกคิดว่าเป็นคนจีนเลยพูดจีนด้วย แต่พูดตอบมาไม่รู้ภาษาอะไร ผมเลยพูดภาษาอังกฤษ แกยังพูดกลับมาผมฟังไม่เข้าใจ ใช้ภาษาใบ้ดีกว่า เข้าใจกันอย่างดี เฮอ


กว่าจะถ่ายให้ได้ตั้งนาน เพราะต้องบอกว่าให้มองลงไปในช่องมอง กล้องรุ่นนี้มองที่จอภาพไม่ได้ บอกเสร็จคิดว่าได้ แกหาปุ่มกดไม่เจอ ผมก็บอกพร้อมกับตั้ง Focus และ ปรับกล้องให้เสร็จเรียบร้อย ให้แกกดอย่างเดียว แกกดใหญ่เลย ไม่หยั่ง


ได้รูปบ้างเสียบ้างเป็นธรรมดาไม่ว่ากัน เปลี่ยนมุมถ่ายบ้าง แกบอกมองไม่เห็นหน้าคน ผมบอกไม่เป็นไรมันย้อนแสง และใกล้จะมืดแล้ว ที่คุยกันทั้งหมดคือภาษาใบ้ครับ สรุปแล้วน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น มากัน 3 คน ต้องขอขอบคุณมากๆ ที่ถ่ายรูปให้เราถึงมันจะยากไปหน่อยแต่ก็ผ่านพ้นด้วยดี


หลังจากถ่ายมุมนี้เสร็จเราก็กลับ เพราะใกล้จะมืดมากแล้ว เราต้องเดินไปขึ้นรถเมล์สาย 374 ที่ตรงข้ามประตูที่เราเข้ามา เพื่อกลับไปลงป้ายที่เราขึ้นมาและนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับโรงแรม

เราใช้เวลาอยู่ในที่พระราชวังฤดูร้อนทั้งหมดเป็นเวลา 7 ชั่วโมงกว่าๆ เรียกว่าเดินเกือบทุกซอกทุกซอย เหนื่อยก็พัก หนาวก็เข้าไปหลบหนาวที่ร้านค้า ถือว่าคุ้มครับกับค่ารถเมล์ที่เสียแพงที่สุดในปักกิ่งวันนี้

ก็จบการเที่ยว พระราชวังฤดูร้อน ของเรา และก็จบวันที่ 4 ของการเดินทาง ตอนหน้าคือวันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เราจะพาไปไหว้พระเพื่อขอโชค ขอพรในวันเริ่มต้นของปี ที่ไหนนั้น รอติดตามชม




 

Create Date : 19 มกราคม 2552    
Last Update : 25 มกราคม 2552 13:53:36 น.
Counter : 3850 Pageviews.  

แบกเป้เที่ยวปักกิ่ง..พระราชวังฤดูร้อน#1

วันนี้วันที่ 31 ธันวาคม 2551 เป็นวันสิ้นปีของปี พ.ศ. 2551 และเป็นวันที่ 4 ของการเดินทางเที่ยวปักกิ่ง วันนี้เราตั้งโปรแกรมเที่ยวของเราก็คือ พระราชวังฤดูร้อน คนจีนจะเรียกว่า อี้เหอหยวน ชาวตะวันตกจะเรียกว่า Summer Palace เป็นสวนพักผ่อนของพระนางซูฉัไทเฮา และเป็นพระราชวังแห่งความหายนะ เพราะมีการสูญเสียอย่างมากไม่ว่าจะเป็นชีวิตของประชาชน และเงินทอง

วันนี้เราตื่นตามเวลาปรกติของเราคือ 8.00 น. เวลาที่ปักกิ่งจะเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง เราออกจากโรงแรมแล้วเดินออกมาที่ปากซอยจะมีร้านอาหารชื่อ Mr.Lee เป็นร้านอาหารเฟรนไชส์ของจีน ขายอาหารทั่วไปเช่น บะหมี่ ข้าวลาดแกง กาแฟ โค๊กอร่อย ราคาไม่แพง หลังจากกินเสร็จเราก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่ สถานี GongZhufen "กงจู่เฟิน" แล้วให้ออกทาง Exit D เมื่อออกประตู้ทางออกแล้วให้เดินไปทางขวามือใต้ทางด่วน แล้วไปซ้ายมือของทางด่วน ให้ข้ามถนนตามในรูป


เดินขามถนนไปอีกประมาณ 300 เมตรก็จะเจอป้ายรถเมล์สาย 374 แต่ระหว่างทางจะมีป้ายรถเมล์สายอื่น วิธีดูป้ายรถเมล์ก็ไม่ยากให้ดูที่ป้ายสีเขียว ป้ายรถเมล์ 374 ที่จะพาเราไปที่ วังฤดูร้อน ไปลงสุดสายเลยครับ


วันนี้เป็นวันที่เราขึ้นรถเมล์ที่ปักกิ่งแพงที่สุด สาเหตุมาจาก เท่าที่เราเก็บข้อมูลก่อนจะมาปักกิ่ง คือ รถเมล์โดยทั่วไปค่าโดยสารคนละ 1 หยวน และมีคนเก็บเงินอยู่บนรถ ก่อนขึ้นรถได้เตรียมเงินใบละ 10 หยวน เพื่อรอจ่ายให้คนเก็บเงิน ที่ไหนได้รถเมล์คนนี้ไม่มีคนเก็บเงิน เป็นรถเมล์หยอดเหรียญและไม่มีเงินทอนด้วย ผมขึ้นรถเมล์เป็นคนแรกของป้าย คนขับถามว่า "มีบัตรไหม" ผมตอบว่า "ไม่มี" คนขับชี้ไปตู้หยอดเหรียญ ผมตกใจเราไม่ได้เตรียมเงินเหรียญมา ผมจึงถามต่อไปว่า "หนี่จ่าวมา" มีทอนไหม เขาตอบ "เหมยโยว" ไม่มี เขาไล่ให้ผมลงไปแลกเงินข้างล่าง ผมเลยตัดสินใจเอาใบละ 10 หยวน หยอดลงตู้ไปเลย สรุปเราเลยเสียค่าโดยสารคนละ 5 หยวน จากคนละ 1 หยวน ดังนั้นรถเมล์ที่ปักกิ่งจะมีทั้งคนเก็บเงิน และไม่มีคนเก็บเงิน เราจึงต้องเตรียมเงินให้พอดีกับค่าโดยสาร ครับเจ้านายยยยยย บรรยายกาศในรถเมล์


รถเมล์วื่งประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาจอดที่ป้ายสุดท้าย อี้เหอหยวน รถเมล์ที่ปักกิ่งจะมีเสียงบอกว่าถึงป้ายไหนแล้ว และป้ายหน้าคือป้ายอะไร รอฟังดีๆนะครับ ประตูที่รถเมล์มาจอดเป็นประตูด้านทะเลสาบคุนหมิง ไม่ใช่ประตูใหญ่แต่สามารถเข้าได้เหมือนกัน เมื่อลงรถเมล์แล้วให้ข้ามถนนที่ไฟแดงนะครับ


ค่าเข้าชมวังนี้คนละ 20 หยวน แต่ต้องซื้อเพื่อเข้าชมสถานที่ต่างๆ ภายในอีกที่ละ 10 หยวน แต่ผมซื้อที่เดียวแบบเหมาจ่ายคนละ 50 หยวนไปเลยเข้าชมได้ทุกที่ ด้านหลังประตูเป็นทะเลสาบคุนหมิง


พระราชวังฤดูร้อน เป็นอุทยานที่มีทิวทัศน์สวยงามเป็นวังแปรพระราชฐานของราชวงศ์ เพื่อหลบร้อนจากพระราชวังต้องห้ามในหน้าร้อน พระนางซูสีไทเฮาชอบที่นี่เป็นพิเศษ วิธีมาก็นั่งเรือมาจากพระราชวังต้องห้ามมายังที่นี่

พระราชวังฤดูร้อน สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1750 ในสมัยพระจักรพรรดิเฉียนหลง เพื่อฉลองวันคล้ายพระราชสมภพของพระมารดา มีเนื้อที่ทั้งหมด 1,800 ไร่ ใช้เวลาสร้าง 15 ปี


เราเดินไปทางพระราชวังเพื่อชมภายในวัง ระหว่างทางเดินไปเห็น เป็ดแมนดาริน เล่นน้ำในส่วนที่ยังไม่ป็นน้ำแข็ง ได้แต่คิดในใจว่าเป็ดมันไม่หนาวหรืองัย ส่วนเราไม่ได้เล่นน้ำยังหนาวแทบแย่ 2 องศาในขณะนั้น นี่แหละหนาธรรมชาติสร้างมาให้ทุกสิ่งในโลกล้วนแตกต่าง


เดินไปเจอคนแก่ชาวจีนเอาฟองน้ำพันที่ด้ามไม้ จุ่มลงในน้ำเปล่าแล้วเขียนเป็นตัวอักษรจีน เขาเขียนเพื่อเป็นการออกกำลัง


น้ำในทะเลสาบคุนหมิง เย็นมากจนกลายเป็นน้ำแข็งเกือบทั้งทะเลสาบ


เดินต่อจากทะเลสาบเพื่อชม หน้าพระตำหนักเหรินโซ่วเตี้ยน เป็นสถานที่ว่าราชการของจักรพรรดิกวางชวีกับพระนางซูสีไทเฮา และใช้รับรองนักการฑูตต่างชาติ


หน้าพระตำหนักนี้จะมี กิเลน จุดประสงค์ใหญ่ที่เรามาที่พระราชวังฤดูร้อนนอกเหนือจากการเที่ยวชมคือ การได้มาไหว้กิเลนหน้าพระตำหนักนี้


เราต้องไหว้ให้ครับ 3 สิ่งเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต ตอนนี้เราไหว้ไปแล้ว 2 สิ่งคือ สิงห์หน้าวังต้องห้าม กับ กิเลนหน้าวังฤดูร้อน เหลือเพียงสิงห์หน้าวัดลามะ เท่านั้น


เดินออกจากพระตำหนักฯ ไปทางด้านข้างทะเลสาบ เดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบ ระเบียงฉางหลาง ซึ่งเป็นระเบียงยาว 728 เมตร ขนานไปตามแนวทะเลสาบ ตลอดระเบียงมีศาลา 4 หลังคั่นเป็นระยะ


เพดานและระเบียงจะเขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องเทพนิยายจีน และ ทิวทัศน์ต่างประมาณ 14,000 ภาพ มีความละเอียดและสวยงามมาก


ยาวไม่ยาวก็ดูได้จากภาพนี้


เดินตามระเบียงไม่นานเราก็ได้ออกมาเดินตากแดดเพื่อให้หนาวน้อยลง เลาะๆริมทะเลสาบ อากาศตอนนี้ยังหนาวอยู่เหมือนเดิม


เดินมาถึงทางเข้าพระตำหนักผายหยุนเตี้ยน ต้องเสียค่าเข้าอีกคนละ 10 หยวนแต่เราได้ซื้อตั๋วเหมาจึงสามารถเข้าได้เลยโดยไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่ กรุ๊ปทัวร์จะมายืนอยู่บริเวณนี้เยอะมาก หมวกแดงเป็นกรุ๊ปทัวร์ชาวจีน


พระตำหนักผายหยุนเตี้ยน ครั้งแรกสร้างโดยจักรพรรดิเฉียนหลง สร้างเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 60 ปีพระมารดา เวลาต่อมาจักรพรรดิกวางซวีได้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นมาแทนที่ มอบให้กับพระนางซูสีไทเฮาๆ คิดใช้พระตำหนักนี้เป็นที่บรรทม แต่ยังไม่ได้ใช้ก็เกิดป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เชื่อว่าเป็นไปได้ที่ตำหนักนี้ใกล้กับวิหารเจ้าแม่กวนอิม


ภาพด้านซ้ายเป็นบันไดขึ้นไปยัง หอคอยฝอเซียงเก๋อ จะเห็นว่าตามคานของหลังคาบันไดจะมีการเขียนลายต่างๆ สวยงามมาก ส่วนรูปทางขวาจะเป็นเตาเผากำยาน มีขนาดใหญ่มากๆ เพื่อให้มีกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณตำหนัก


ผมได้เดินต่อขึ้นไปยังหอคอยฝอเซียงเก๋อ ด้านหน้าของหอคอยฯ มองเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบคุนหมิง ทะเลสาบที่ใช้คนจำนวนนับแสนคนขุดขึ้นมา และ หลังคาของพระตำหนักฯ


หอคอยฝอเซียงเก๋อ เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ผมเข้าไปในหอคอยเห็นชาวทิเบต มาก้มกราบไหว้ และ พากันเดินรอบเจ้าแม่กวนอิม ผมก็ได้กราบไหว้เช่นกัน องค์เจ้าแม่กวนอิมสวยงามมาก แต่เสียดายเขาห้ามถ่ายรูป ผมสะพายกล้องเข้าไปเจ้าหน้าที่มองหน้าผมใหญ่ ผมเลยไปถามเขาว่า "มองหน้าผมทำไม" แกล้งถามเป็นภาษาไทย เขาไม่พูดตอบได้แต่ยกมือ 5 นิ้วโยกซ้ายทีขวาทีพร้อมส่ายหน้า ผมได้แต่นึกในใจเราอุตสาห์ถามกลับไม่ตอบเรา หรือว่าเขาคิดว่าเราถามเขาว่า "ถ่ายรูปได้ไหม" เลยยกมือชู 5 นิ้ว หรือว่าให้ถ่ายได้แค่ 5 รูปเห็นชู 5 นิ้ว ตกลงไม่ถ่ายดีกว่ากลัวโดนลบรูปหมด


ไม่รู้ตำหนักหรือว่าอะไร ปิดไม่ให้เข้า ตั้งอยู่ข้างๆ หอคอยฯ เป็นหลังสีดำสนิททั้งหลัง


ชมเรื่องราวในตำหนักต่างๆ ด้านบนอยู่นาน เลยเดินลงมาด้านล่าง และเดินต่อตามระเบียงยาวไปทางด้านขวามือ ถ่ายเกาะกลางทะเลสาบให้ดูเล่นๆ


ท่าเรือ มีไว้สำหรับเช่าเรือถีบ ล่องทะเลสาบ แต่วันนี้ปิดเพราะไม่สามารถล่องได้น้ำเป็นน้ำแข็งเกือบหมด ที่เห็นเป็นก้อนๆ ขาวนั้นคือน้ำแข็ง


เดินต่อไปตามทะเลสาบ และ ระเบียงยาว ผมชอบคนกวาดเก็บขยะและใบไม้ที่นี่มาก ทุกคนจะใส่ชุดสีน้ำเงินมีไม้กวาดกับที่เก็บขยะ สะพายเดินไปทั่ววังฯ มีหลายคนมาก จึงทำให้ที่นี่ดูสะอาดดีมาก ร่มรื่น




เรื่องราวของพระราชวังฤดูร้อน ยังไม่จบเพียงเท่านี้ นี้เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของเรื่องราวที่เราได้พบเห็น ตอนหน้าเรายังอยู่ที่พระราชวังนี้ จะพาไปดู อาหารของจักรพรรดิ เรือของคนโง่ ตลาดจำลอง และเรื่องราวของทะเลสาบคุนหมิง พาลงไปเดินเล่นในทะเลสาบด้วย ติดตามชมครับ




 

Create Date : 18 มกราคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2552 20:01:04 น.
Counter : 6277 Pageviews.  

แบกเป้เที่ยวปักกิ่ง.. กำแพงเมืองจีน

วันนี้วันที่ 30 ธันวาคม 2551 เป็นวันที่ 3 การเดินทางของเราในการแบกเป้เที่ยวปักกิ่ง โปรแกรมเที่ยวของเราวันนี้ก็คือ กำแพงเมืองจีน หรือที่คนจีนเรียกว่า หว่านลี้ฉางเฉิง คนทางด้านตะวันตกเรียก The Great Wall ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

เราตื่น 8.00 น. ไม่เช้ามากไม่สายมากกำลังพอดี เราเริ่มออกเดินทางจากโรงแรม 9.00 น. เป้าหมายของเราคือไปขึ้นรถเมล์สาย 919 ที่ประตู Deshengmen เพื่อเราจะไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนที่ด่านปาต้าหลิง ซึ่งเป็นด่านที่นิยมเที่ยวมากที่สุด เราขึ้นรถไฟฟ้า Subway มาลงที่สถานี Jishuitan ออกทาง Exit A เมื่อออกประตูทางออกแล้วให้หันหลังกลับเดินไปตามทางถนนอีกประมาณ 500 เมตร ระหว่างเดินไปจะมีป้ายรถเมล์หลายสาย และจะเจอรถเมล์สาย 919 จอดอยู่ด้วย ไม่ต้องไปสนใจนะครับ ก่อนมาเก็บข้อมูลมาแล้วว่า รถเมล์นี้ก็ไปกำแพงเมืองจีนเหมือนกันแต่จะไปที่ด่านใกล้ๆ และเป็นทัวร์ด้วยโดยจะเสียเงินเพิ่มอีกคนละ 50 หยวน แต่ด้วยความอยากจะคุยกับคนจีนเลยไปถามว่า "รถคันนี้ไปด่านปาต้าหลิงมั๊ย" เขาบอกว่า "ไม่ได้ไปด่านปาต้าหลิงแต่ไปกำแพงเมืองจีนเหมือนกันรถไปด่านปาต้าหลิงหมดแล้ว" เค้าก็ชวนไปกับเขา เราบอกว่า" ไม่ไป ขอบคุณ" แล้วเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ นึกในใจ " หลอกกูไม่ได้หรอก" เดินไปเรื่อยๆ ตามถนนให้มองหาประตูเมืองใหญ่ "นั้นงัยประตูเมือง" อย่าช้ารีบเดินจ้ำไปเลย เพื่อความชัวไปถามร้านขายน้ำอยู่ใกล้ๆ อีก " ที่จอดรถเมล์สาย 919 ไปด่านปาต้าหลังอยู่ที่ไหน" เขาชี้เลยไม่พูดซักคำโน้นงัย เราก็ขอบคุณเป็นธรรมดา เราจึงเดินไปถามคนเก็บตังส์ว่า "คันนี้ไปปาต้าหลิงใช่มั๊ย" คนเก็บตังส์บอกว่า "ใช่" เรารีบขึ้นรถไปเลยข้างบนเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมีทั้งฝรั่ง คนจีน นั่งเมไปหมด ไม่ผิดคันแล้ว

รถเมล์จะจอดอยู่หลังประตูเมือง คันสีเขียว หน้าตารถเมล์สาย 919 ที่เรานั่งไป


รอไม่นานรถเมล์ก็เริ่มออกขากท่ารถ ขับไปก็จะจอดรับคนประมาณ 2 ป้าย แล้วก็ขับเข้าทางด่วน ค่าโดยสารไปที่ด่านปาต้าหลิงคนละ 12 หยวน


รถวิ่งประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงกำแพงเมืองจีน ด่านปาต้าหลิง ก่อนถึงด่านนี้จะผ่านกำแพงเมืองจีนด่านซื่อหม่าไถ ซึ่งจะถึงก่อนด่านปาต้าหลิง เป็นด่านที่ไม่ค่อยนิยมเท่าไร ร้านค้าน้อย ทัวร์จากไทยบางคณะจะมาเที่ยวที่นี่ รถเมล์ก็มาจอดให้เราลงที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามกับประตูนี้


หลังประตูใหญ่คือทางเข้าไปนั่งกระเช้า ส่วนใครจะไปขึ้นกำแพงเมืองจีน ก็ให้ไปทางด้านขวามือ ดูจากป้ายเดินไปอีก 400 เมตร แต่เราจะไปนั่งกระเช้าขึ้นไปดูกำแพงเมืองจีน จึงเดินตรงไปผ่านประตูฬหญ่ที่เห็น


เราเดินผ่านประตูใหญ่เพื่อจะไปขึ้นกระเช้า เจอหิมะดีใจมาก เพราะเป็นหิมะแรกของเราทั้ง 2 ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็คือ ได้เจอหิมะตัวเป็นๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเศษหิมะก็ตาม


นั้นงัยกระเช้าที่เราจะไปขึ้น เพื่อไปกำแพงเมืองจีน


เราเดินไปใกล้จะถึงที่ขายบัตรขึ้นกระเช้า แม่ค้าขายของอยุ่ด้านหน้าบอกเราว่า "กระเช้าปิดแล้ว" เราไม่เชื่อจึงเดินไปดูให้รู้กันไป ปรากฏว่าปิดแล้วจริงๆ เจ้าหน้าที่บอกว่า "วันนี้ลมแรงมาก จึงต้องปิดกระเช้าเพื่อความปลอดภัยของคนนั่งกระเช้า" ค่าขึ้นกระเช้าขาเดียวคนละ 40 หยวน ถ้าไป-กลับ คนละ 60 หยวน ต้องรวมค่าเข้ากำแพงเมืองจีนด้วอีกคนละ 40 หยวน


ไม่ได้ขึ้นกระเช้าไม่เป็นไร เราก็เดินกลับมายังประตูใหญ่ แล้วจึงเดินต่อไปอีก 400 เมตร ตามที่ป้ายบอก ลมแรงมากๆ ดูจากคนในรูปก็รู้เพราะเอาผ้าพันคอปิดหน้าเหลือแต่ลูกตา หนาวสุดๆ ประตูนี้คือทางเข้าไปสู่ทางขึ้นกำแพงเมืองจีน เมื่อเดินลอดประตูเข้าไปแล้วให้เดินเลี้ยวขวา ก็จะเจอที่ขายตั๋ว


ที่ขายตั๋วเพื่อเข้าไปยังกำแพงฯ ค่าเข้าเสียคนละ 40 หยวน


กำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สมัยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นกำแพงที่ยาวที่สุดในโลกมีความยาวทั้งหมด 2,400 กิโลเมตร สร้างเพื่อป้องกันศัตรู พวกมองโกล พวกเติร์ก ที่คอยรุกรานชาวจีน ใช้แรงงานประชาชนนับล้านคนในการสร้าง เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ก่อนขึ้นไปเที่ยวขอถ่ายรูปคู่กับป้ายโอลิมปิก One World One Dream ป้ายที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อต้อนรับจีนเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก


ถ่ายรูปแล้วเราก็ต้องรีบขึ้นไปเที่ยวกำแพง เพราะเวลาล่วงเลยมามากแล้ว บ่ายโมงกว่าๆ เดินขึ้นมาก็จะเจอตัวกำแพงสามารถไปได้ทั้ง ซ้าย และ ขวา เราขอไปทางขวามือก่อนเพราะว่าสวยกว่าทางด้านซ้าย และถ่ายรูปไม่ย้อนแสงด้วย


เดินขึ้นไปได้สักหน่อยมองย้อนกลับมาไปทางด้านซ้ายมือ จะย้อนแสงหน่อย แต่ก็สวยไปอีกแบบ


อยู่บนกำแพงเมืองจีน ที่ใหญ่แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเราได้มาอยู่ในพงศาวดารจีน เป็นหนึ่งในนักรบจีน ที่อยู่ตระหง่านถือดาบคอยปกป้องประชาชน แต่ยืนไปยืนมาต้องสะดุ้งอย่าแรงเพราะมีลมมาปะทะที่ตัว ความหนาวเข้ามาชนอย่างจัง หนาวมากๆๆๆๆๆ ไม่น่าจะเกิน 1 องศา มีคนยืนท้าลมหนาว


มาถึงแล้วก็ขอถ่ายรูปคู่ให้กำแพงเมืองจีนเป็นสักขีพยาน รูปนี้ให้คนอื่นช่วยถ่ายให้


เราเดินผ่านป้อมที่ 3 แล้วก็มาหยุดถ่ายรูป หลังป้อมที่ 3 ซึ่งเป็นป้อมที่ไม่สูงไม่ต่ำกำลังได้มุมดีๆ และก็ไม่ไกลมาก ถ่ายบริเวณนี้ไปประมาณ 100 กว่ารูปมีทั้งภาพแนว Portrait และแนว Lanscape ภาพนีเป็นการผสมทั้ง 2 แนว


ภาพนี้ก็เป็นการผสมแนวเหมือนภาพก่อนหน้านี้


ภาพนี้ขอเดียวบ้าง ช่วงที่เราอยู่เวลาประมาณ เกือบๆ บ่าย 2 โมง แดดแรงมากๆ ลมก็แรง ชู 2 นิ้ว ไม่ใช่ ลิโพฯ นะครับ หมายถึง สู้โว๊ย จะไปให้ถึงป้อม 4 (ด้านหลังในรูป)


ถ่ายอยู่ที่บริเวณป้อม 3 นานเหมือนกัน เราตั้งใจจะเดินขึ้นไปอีกสักป้อมคือป้อมที่ 4 ซึ่งอยู่สูงสุดในภาพ เราจึงเดินต่อแต่ด้วยความสูงและความหนาวทำให้เราต้องมาหยุดพัก ดูจากคนในรูปแล้วท่าทางคงจะไปไม่ไหว


ไปไหวหรือไม่ไหว ต้องดูในรูปนี้จะบอกได้ว่าเป็นอย่างดี เพราะจะเห็นเสื้อสีชมพู่อยู่ลิบๆ นั่งด้วยสงสัยคงหมดแรงเดินจริงๆ แต่เราไม่ยอมแพ้ต้องไปให้ถึงสมกับเป็นนักรบชาวจีน เดินสำรวจตรวจตราข้าศึกไปทุกป้อม


ผมเดินถึงป้อมที่ 4 ซึ่งเป็นป้อมสูงสุดในช่วงนี้ ด้านหลังก็ยังมีทางเดิน หรือ กำแพงยาวต่อไปอีก และที่ป้อมนี้จะมีขายป้ายที่ระลึกเขาจะสลักชื่อให้เราด้วย ผมเลยซื้อมา 1 ป้าย ราคา 30 หยวน


เมื่อขึ้นมาถึงป้อมที่ 4 แล้ว ก็สามารถเดินต่อไปได้อีก รูปนี้คือกำแพงด้านหลังป้อม 4 ใจจริงก็อยากจะเดินต่อไปให้ถึงป้อมที่อยู่ไกลสุดในภาพ แต่เนื่องจากเวลาเราไม่มีเพราะรถเมล์คันสุดท้ายหมด 16.00 น. กลัวตกรถเมล์ ถ้าไม่มีรถเมล์ก็ต้องเหมารถแท็กซี่ป้ายดำเข้าเมืองปักกิ่งอีก ค่าเช่าประมาณ 500 หยวน


ภาพนี้ถ่ายด้านข้างของป้อม 4 กำแพงส่วนนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดิน และก็ไม่รู้ว่าเขาให้เดินหรือไม่ แสงกำลังดีเลยครับ


ด้านล่างของป้อม 4 นี้ จะมีรถรางสไลด์ให้นั่งขึ้น และ ลง ด้วย ราคาค่านั่งไม่รู้เท่าไร เหมาะสำหรับผู้ที่เดินขึ้นมาป้อมนี้ไม่ไหว


ถ่ายรูปรอบๆ ป้อม 4 นานเหมือนกันพอได้เวลาก็จะเดินลงทางเดิมแล้ว เพราะมีคนนั่งรออยู่ มุมสูงยืนถ่ายที่หน้าป้อม 4 ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นยังนั่งหมดแรงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน


ลงจากป้อม 4 ได้ก็เดินย้อนกลับทางเดิม เพื่อจะไปอีกด้านของทางเข้า คือด้านซ้าย มุมจากทางด้านซ้ายของทางเข้าจะมองไปเห็นป้อม 4 ที่อยู่ใกล้ๆ กับป้ายโอลิมปิก


มุมนี้ถ่ายภาพย้อนแสง แต่ใช้วิธีเอากำแพงบังแสงไว้ไม่ให้โดนกล้อง แล้ววัดแสงที่กำแพง


ถ่ายไปถ่ายมาทั้งเหนื่อยทั้งหนาวขอนั่งพักสักหน่อย เลยเอาป้ายที่ซื้อที่ป้อม 4 ออกมาโชว์ให้รู้ไปเลยว่าเรามาพิชิตกำแพงเมืองจีน แล้ว


เมื่อได้เวลาประมาณบ่าย 3 โมงเย็นนิดๆ เราต้องกลับไปขึ้นรถที่ท่ารถตรงข้ามกับประตูใหญ่ ตรงที่เราลงรถตอนขามา เดินผ่านเศษหิมะข้างๆ กำแพงฯ ขอเล่นและจับหน่อย หิมะที่กำแพงเมืองจีนตกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก่อนเรามา จึงเหลือแค่เศษให้เราเล่นเท่านั้น



เราก็เดินกลับไปขึ้นรถเมล์สาย 919 กลับเข้าปักกิ่ง รถเมล์ก็มาจอดที่เดิม คือที่ๆเราขึ้นตอนขาไป อยู่หลังประตูเมือง แต่ขากลับใช้เวลามากเป็นพิเศษเพราะเป็นช่วงเย็นรถติดมาก กว่าจะถึงก็มืดเข้าไปแล้ว

หลังจากลงรถเมล์เราก็ได้เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ลืมบอกครับว่าที่ปักกิ่งเขาเรียกรถไฟฟ้าใต้ดินว่า ตี้เถี่ย เพื่อไปลงที่สถานี Wangfujing



ตอนนี้ขอจบเท่านี้ครับ ตอนหน้าเราจะพาไปเที่ยว พระราชวังฤดูร้อน ชื่อที่คนไทยเรียก แต่ถ้าคนจีนจะเรียกว่า อี้เหอหยวน เป็นพระราชวังที่กว้างใหญ่มาก มีเรื่องราวมากมาย ติดตามชมนะครับ




 

Create Date : 15 มกราคม 2552    
Last Update : 18 มกราคม 2552 11:25:48 น.
Counter : 14836 Pageviews.  

แบกเป้เที่ยวปักกิ่ง.. ตงหัวเหมิน

วันนี้วันที่ 29 ธค ยังคงอยู่ในวันที่ 2 ของการเดินทาง ช่วงเช้าเราไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามกัน แล้วกลับไปนอนเอาแรงที่โรงแรม ช่วงเย็นๆ ประมาณ 5 โมง เย็นเราก็ออกจากโรงแรม เริ่มจะมืดเพราะเป็นหน้าหนาว เดินไปเที่ยวที่ ตงหัวเหมิน ต้าเจีย ซึ่งเป็นแหล่งขายของกินแปลกๆ เยอะไปหมด อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพัก

เดินออกจากโรงแรมมาทางทิศเหนือของถนนหว่างฟูจิน มุ่งสู่ทางใต้ของถนนหว่างฟูจิน เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอโบสถ์เก่าทางด้านซ้ายมือ ซึ่งตั้งอยู่ถนนหว่างฟูจิน ทางด้านเหนือ


ห่างจากโบสถ์มาไม่ไกลก็จะเจอสี่แยกใหญ่ มีห้างดังอยู่ตรงหัวมุมคื
อห้าง INTIME LOTTE ให้มองไปทางด้านถนนขวามือก็จะเจอ ตงหัวเหมิน ต้าเจีย


ตงหัวเหมิน ต้าเจีย ต้าเจีย คืออะไร ต้า แปลว่า ใหญ่ ส่วน เจีย หรือ ลู่ แปลว่า ถนน รวมกันแล้วก็น่าจะแปลว่า ถนนใหญ่ ดังนั้นก็คือ ถนนตงหัวเหมิน นั้นเอง กรุ๊ปทัวร์จากเมืองไทยก็จะมาที่นี่


ถนนเส้นนี้ทำเป็นร้านขายของกินแปลกๆ หลากหลายชนิดมาก อย่างเช่นในรูปเป็นการนำเอาผลไม้สดๆ ที่มีรสเปรี้ยวหลายชนิดมาจุ่มลงในน้ำตาลต้ม พอมันเย็นก็จะเคลือบหุ้มผลไม้สด ตัสน้ำตาลก็จะกรอบ ส่วนผลไม้ก็จะนุ่ม เป็นที่นิยมกินกันมากๆ ในปักกิ่ง เดินไปตรงไหนก็มีขายไปหมด เรียกว่า ถังหูลู่


ราคาของแต่ละผลไม้แตกต่างกันไป ที่นี่จะขายประมาณไม้ละ 5 หยวน แต่เขาจะบอกเราไม้ละ 10 หยวนก่อน สามารถต่อราคาได้ ถ้าไม่ให้ก็ใช้มุขเดิมคือเดินหนี แล้วเขาก็จะดึงมือเราไม่ให้ไป


ร้านขายของกินจะอยู่ติดๆ กันไปเรื่อยๆ ร้านนี้ขาย หอยนางลม ทรงเครื่อง นำมาปิ้งพร้อมกับเปลือกหอย แล้วใส่เครื่องปรุงลงไปในหอย ไม่รู้อร่อยหรือไม่ เพราะไม่ได้ลองกิน


ไม่รู้ร้านนี้ขายอะไร เป็นคล้ายๆ ตัวดักแด้ไหม หรือ หนอนตัวใหญ่ก็ไม่รู้ เอามาเสียบไม้ปิ้งขาย ราคาก็ไม่รู้เท่าไรไม่กล้าถาม เดี๋ยวแม่ค้าดึงมือให้ซื้อแล้วจะยุ่ง


ติดกันก็เป็นของแปลกอีกอย่างที่เห็นแล้วยังงัยก็ไม่กล้ากิน นั้นก็คือ แมงป่อง มีทั้งตัวเล็กสีอ่อนๆ ตัวใหญ่สีดำๆ เห็นแล้วไม่กล้าซื้อกิน ไม้ละ 10 หยวน


นี่ก็เป็นอีก 1 ในของแปลกที่เราเจอ ไม่รู้ว่าแมลงอะไร มาเสียบไม้ปิ้งขาย ว่าจะถามกลัวตอบมาแล้วก็ฟังไม่รู้อยู่ดี ว่ามันคือแมลงอะไร


เดินต่อมาก็จะเจอร้านขายหอยเม่น ข้างๆหอยเม่นจะเป็นตัวยาวๆ ดูแล้วคล้ายๆ กับปลาไหลทะเลเสียบไม้ทอด


ปูนึ่ง ตัวใหญ่มากๆ ไม่รู้ว่าปูอะไร


หนุ่มตี้คนนี้ขายผัดหมี่

ร้านนี้เด็ดสุดเท่าที่เดินดู ขายปลาดาวทอด หอยเม่น และของเสียบไม้ทอดอีกหลายอย่าง ชี้ไปทางคนที่มากับผมแล้วถามว่าเป็นใคร ผมตอบไปว่าเป็นภรรยา แกเลยยกปลาดาวมา แถมโฆษณาอีกว่ากินปลาดาวทอดแล้วจะทำให้คึกคัก นกเขาขัน รับรองว่าปลาดาวที่เมืองไทยไม่ดีเท่าปลาดาวเมืองจีน ผมเลยบอกไปว่าไม่ต้องกินก็ขันอยู่แล้ว หัวเราะกันใหญ่ ปลาดาวตัวละ 20 หยวน


ของกินมีเยอะมากๆ ไม่สามารถเอามาลงได้หมด เป็นร้านยาวตลอดถนนตงหัวเหมิน และไม่ค่อยกล้าซื้ออะไรกิน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวซื้อกินกันเยอะเหมือนกัน เดินมาเจอซาลาเปา 5 ลูก 10 หยวน ก็เลยซื้อกิน ใส้ในเป็นหมูสับเค็มมากๆ


กินซาลาเปาเสร็จ มาเจอร้านขาย ถังหูลู่ ก็เลยซื้อลองกินสักไม้ ราคาไม้ละ 5 หยวน เป็นลูกอะไรก็ไม่รู้สีแดง


ซื้อเสร็จเราก็เดินมาทางถนนหว่างฟูจิน ลองชิมกันข้างถนน อากาศหนาวได้ใจจริงๆ รสชาดกรอบนอกที่น้ำตาล และ นุ่มในที่ผลไม้ ผมไม่เคยกินขอบอกว่าอร่อยมากๆๆ ใครไปปักกิ่งแนะนำให้ซื้อกินนะครับ


กินถังหูลู่เสร็จก็เดินย้อนกลับมาที่ห้าง TIME LOTTE เพราะเห็นต้นคริสมาส สวยดีว่าจะมาถ่ายภาพแนว Night Portrait เตรียม Flash, Soft Box ถ้วยมาม่า ไปด้วยแต่เป็นอะไรที่ตลกมาก ไม่สามารถเอา Soft box ใส่ที่หัว Flash ได้สาเหตุมาจาก Soft Box แข็งตัวจากความเย็นของอากาศ เลยอดถ่าย Night Portrait


ถ่ายกับต้นคริสมาสยักษ์ หน้าห้างฯ


ขอหล่อด้วยคน


เดินไปเดินมาก็ใกล้จะ 3 ทุ่มแล้วต้องรีบกลับโรงแรม เพราะว่าที่ปักกิ่งถ้า 3 ทุ่มจะไม่ค่อยมีใครเดิน ร้านจะปิดหมด หรือคนจะน้อย ประกอบกับเป็นช่วงหน้าหนาวด้วย จะมืดไวมาก เราก็ใช้วิธีเดินกลับโรงแรม คือย้อนทางเดิมที่เรามา

อย่าลืมนะครับถ้าเปิดแล้วรูปไม่โชว์ ให้เอาเมาส์ไปคลิกขวาที่ว่างๆ แล้วเลือก Show Picture


ผ่านไปแล้วสำหรับวันที่ 2 ของการเดินทางของเรา วันที่ 3 เราจะพาไปเที่ยว กำแพงเมืองจีน หรือที่คนจีนเรียกว่า หว่านลี้ฉางเฉิง เราไปโดยการขึ้นรถเมล์ไปครับ อย่าลืมติดตามนะครับ




 

Create Date : 13 มกราคม 2552    
Last Update : 14 มกราคม 2552 20:48:58 น.
Counter : 6242 Pageviews.  

แบกเป้เที่ยวปักกิ่ง.. พระราขวังต้องห้าม

วันที่ 29 ธ.ค. เรายังอยู่ในวันที่ 2 ของการเดินทางของเรา และ ยังอยู่ในพระราขวังต้องห้าม เรายังเดินอยู่ในส่วนของพระที่นั่งไท่เหอ ข้างๆ พระที่นั่งไท่เหอจะมีนาฬิกาแดดไว้สำหรับบอกเวลาด้วย


เราเดินผ่านพระที่นั่งไท่เหอแล้ว ก็จะมาพบกับ พระที่นั่งจงเหอ ซึ่งตั้งอยู่หลังพระที่นั่งไท่เหอ พระที่นั่งจงเหอมีไว้เพื่อทรงงานของจักรพรรดิ ก่อนที่จะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีต่างๆ


พระที่นั่งจงเหอ ไม่ใหญ่ภายในจะมีบัลลังเล็กๆ ภายในมีสัตว์ในตำนานสีทองนามว่า ลู่ต้วน จักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงค์ชิง นำมาตั้งอยู่หน้าบัลลังเพื่อไว้จับเท็จพวกขุนนาง (ไม่รู้ว่าจะจับด้วยวิธีอะไร)


ดูพระที่นั่งจงเหอเสร็จก็เดินต่อไป มองย้อนกลับไปเห็นคนเยอะดีก็เลยถ่ายรูปไว้ดูเล่น ด้านขวาของภาพคือพระที่นั่งจงเหอ ส่วนไกลคือพระที่นั่งไท่เหอ


เดินต่อมาด้านหลังก็จะเจอพระที่นั่งสุดท้ายอีกแห่งชื่อ พระที่นั่งเป่าเหอ เป็นที่สำหรับเปลี่ยนเครื่องทรงจักรพรรดิ ก่อนที่จะไปประกอบพิธีต่างๆ เป็นที่จัดเลี้ยงขุนนาง และใช้สำหรับสอบจอหงวนระดับสูง


เดินต่อมาทางด้านหลังพระที่เป่าเหอก็จะมาเจอ บันไดหินอ่อนเก้ามังกร เป็นบันไดที่ใหญ่มากๆ เป็นหินอ่อนแกะสลักมังกรเก้าตัว ใช้เป็นทางเดินของจักรพรรดิ ประวัติที่เขียนไว้ข้างๆ บันไดนี้กล่าวว่า หินอ่อนก้อนนี้มีน้ำหนัก 250 ตัน ยาว 16.57 เมตร กว้าง 3.07 เมตร หนา 1.7 เมตร ถูกลากมาจากชะง่อนหินบนเขาเจียวฝังของปักกิ่ง การลากมาลำบากมากต้องขุดบ่อน้ำห่างกัน 500 เมตร เพื่อนำน้ำมาลาดถนนให้เป็นน้ำแข็ง แล้วเอาหินใส่เรือ เข็นมาเรื่อยๆ ใช้แรงงานคน 20,000 คนกับม้า 1,000 ตัว ใช้เวลา 1 เดือน


ถ้ามองในมุมสูงจะเห็นนักท่องเที่ยวยืนชมบันไดหินอ่อนกันเยอะมาก
และที่เห็นตรงกลางนั้นเป็นประตูชื่อ ประตูเฉียนชิงเหมิน เป็นประตูไปสู่พระตำหนักชั้นใน


เดินไปเดินมารู้สึกหนาวมากๆๆ ลมก็แรง หยิบเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นมาดู 2.6C ช่วงที่เราเดินอยู่ในตอนนี้ประมาณ 11.00 น. แดดก็แรงแต่กลับหนาว แปลกดีเหมือนกัน


เดินผ่านประตูเฉียนชิงเหมิน เพื่อเข้าสู่พระราชวังชั้นใน ก็จะพบกับ พระตำหนักเฉียนชิง เป็นที่ประทับของจักรพรรดิและฮองเฮา


หลังจากเดินชมพระราชวังชั้นใน และพระที่นั่งต่างๆ แล้ว เราก็ได้เดินออกทางด้ายซ้ายของพระราชวังต้องห้ามนี้ จะมีกำแพงสูงกั้นระหว่าง พระที่นั่ง พระตำหนัก กับ ที่อยู่ของเหล่าขุนนาง และพระสนมต่างๆ


ดูพระที่นั่งและพระตำหนักมาแล้ว มาดูที่อยู่ของเหล่าพระสนม เหล่าขุนนางต่างๆ จะอยู่กันเป็นหลังๆ ภายใน 1 หลังจะมี 2 ห้องนอนบ้าง 3 ห้องนอนบ้าง


ที่อยู่จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ โดยในแต่ละกลุ่มอาจจะมีหลายหลัง และมีลานตรงกลาง ภายในมี 1 ห้องนอนจะมีห้องนั่งเล่น 1 ห้องคู่กันไป เท่าที่เดินดูอยู่เป็นสิบๆ หลัง ไม่ยักจะเจอห้องน้ำ ไม่รู้อยู่ไหน จำนวนห้องของพระราชวังนี้มีทั้งหมด 9,999.5 ห้อง ส่วน .5 คืออะไรหนอ


หน้าที่พักจะมีอ่างทองเหลือใบใหญ่ๆ อยู่ทุกที สงสัยเอาไว้ต้มน้ำลงไปอาบน้ำสังเกตุจากด้านล่างจะมีเหมือนช่องไว้สำหรับใส่ฟืน หรือไม่ก็เก็บน้ำไว้เพือดับเพลิง


เดินดูในส่วนที่เป็นที่อยู่ของเหล่าขุนนาง และ พระสนม ไปแล้ว ถ้าดูในแผนที่ไกค์บรรยายก็คือส่วนทางเดินสีเขียวทางด้านซ้ายของรูปทั้งหมด ส่วนที่เป็นสีแดงคือส่วนที่เป็นพระที่นั่งเราเดินหมดแล้ว ต่อไปเราจะไปเดินส่วนที่เป็นสีฟ้าทางด้านขวาของภาพทั้งหมด ไปดูกันว่าจะเจออะไร


เราเดินจากส่วนที่เป็นสีเขียว ผ่านส่วนที่เป็นสีแดง และผ่านร้านขายอาหาร กาแฟ ขายของที่ระลึก ก็จะมาเจอลานกว้างมากๆๆๆ มีกำแพงสีแดงสูงๆ ล้อมอยู่


เดินตรงตามแผนที่ไปก็จะเจอประตูทางเข้า แต่ช้าก่อนต้องเสียค่าเข้าเพิ่มเติมอีกคนละ 10 หยวน เพื่อเข้าไปชมพระราชวังขั้นในอีกแห่ง มาแล้วไม่ต้องเสียดายครับแค่ 10 หยวน ดูแค่ กำแพงมังกร 9 ตัว ก็คุ้มแล้ว


กำแพงมังกร 9 ตัว เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1771 สมัยจักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงค์ชิง เพื่อสร้างบารมีให้กับจักรพรรดิ และ ปกป้องสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มีมังกรเก้าตัวอยู่บนท้องทะเลและก้อนเมฆ มีสีสันสดใสมาก แม้จะผ่านเวลามาเป็นเกือบพันปี


กำแพงยาว 29.4 เมตร สูง 3.5 เมตร ใช้กระเบื้อง 270 แผ่นในการสร้าง มีคนกำลังยืนฟังบรรยายแล้วดูกำแพงอย่างมีความสุข เหมือนได้ดูหนังจีนไปด้วย


มีเรื่องเล่าของการสร้างกำแพงนี้ด้วย คือ ช่างได้เอาอิฐของมังกรตัวที่ 3 ไปเข้าเตาเผา แต่เกิดท้องมังกรแตก ช่างกลัวความผิดเพราะมีโทษถึงประหารชีวิต จึงเอาไม้มาแกะทำท้องมังกร สามารถตบตาผู้ตรวจและจักรพรรดิได้เป็นอย่างดี พอนานเข้าสีเริ่มลอกจึงเห็นเป็นไม้อย่างชัดเจน


ตรงข้ามกับกำแพงมังกร 9 ตัว คือ ประตูเข้าไปสู่พระราชวังชั้นใน


ก่อนเข้าขอถ่ายรูปคู่กับประตูหน่อยนะครับ


เดินผ่านประตูมาก็จะพบกับ พระตำหนักหวงจี่ เป็นที่ประทับของจักรพรรดิเฉียนหลง หลังสละอำนาจ


มีคนชอบหัวเสาขอถ่ายรูปไว้ดูเล่นๆ แต่ละหัวเสาของพระราชวังต้องห้ามจะมีการแกะสลักเป็นรูปต่างๆ มีทั้งหัวเล็กหัวใหญ่


เดินต่อไปทางด้านหลังของพระตำหนักหวงจี่ ก็จะพบกับสวนเฉียนหลง และ โรงแสดงงิ้ว สร้างไว้ให้จักรพรรดิและฮองเฮา ได้เข้ามาชมกัน


เดินมาเรื่อยๆ จะผ่านตำหนักต่างๆ ภายในจะเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น หลายหลังจนมาถึงทางออก ก่อนทางออกก็จะมีเรื่องเล่าของบ่อน้ำข้างๆ สวนไฝ่ มีพระสนมนางหนึ่ง ซึ่งทั้งสวยและมีความรู้ความสามารถมาก เป็นที่โปรดปานของจักรพรรดิ จึงทำให้พระนางซูสีไทเฮาเกลียด จะหาเรื่องแกล้งสารพัด จับมาหย่อนลงในบ่อน้ำแห่งนี้จนตาย


เดินออกมาจากทางออกได้ก็จะเห็นกำแพงกั้น ระหว่างวังชั้นนอก กับ วังชั้นใน สูงมากๆ สงสัยกลัวคนจะปีนเล่น เลยทำซะสูงปี้


เดินออกประตูด้านหลังเสร็จ เพื่อที่จะไปเอาเครื่องบรรยายคืน จะได้เงินมัดจำคืนด้วย 100 หยวน เราใช้เวลาในการเดินเที่ยวชม และถ่ายรูป ทั้งหมดประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ ตั้งแต่ประมาณ 8.30 น. จนถึงเวลาบ่าย 2 โมงกว่า เดินกันเกือบจะทุกซอกทุกซอย ถ้ามากับทัวร์จะได้เดินชมประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น


ถ้าดูแล้วรูปไหนไม่ขึ้นให้คลิกขวาที่ว่างๆ บนรูป แล้วเลือก Show Picture รูปก็จะมาให้ชมครับ

การเที่ยวที่พระราชวังต้องห้ามนี้ เหมือนเราได้มาดูหนังจีน ยิ่งดูยิ่งเพลิน เดินไปเดินมา 5 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว บางสถานที่เราก็ไม่ได้พูดถึง เรื่องราวมีเยอะมากๆ เดินทั้งหนาวและเหนื่อย แต่ก็สนุกดี เดินไปเหนื่อยก็นั่งพัก หิวก็แวะหาอะไรกิน

หลังจากเที่ยวพระราชวังต้องห้ามเสร็จ บ่าย 2 โมงกว่าๆ เรานั่งรถเมล์ไปลงที่ Xidan (ซีตัน) เดินซื้อชุดลองจอน 1 ชุด แล้วเราก็ขึ้นรถไฟฟ้ากลับโรงแรมเพื่อไปพักผ่อนเพราะยังปรับตัวกับอากาศหนาวมากๆ ไม่ได้ เกรงจะไม่สบายเพราะต้องอยู่อีกหลายวัน


จบแล้วกับการเที่ยวพระราชวังต้องห้าม แต่ยังไม่จบวันที่ 2 ของการเดินทาง ตอนหน้าเราจะพาไปดูเขาขายอาหารแปลกๆ ที่ ถนนตงหัวเหมิน




 

Create Date : 11 มกราคม 2552    
Last Update : 15 มกราคม 2552 21:44:02 น.
Counter : 7537 Pageviews.  

1  2  3  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.