เที่ยวไป..กินไป..ตามแต่ใจเราสองคน เป็นบล๊อกที่ทำขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางของเราทั้ง 2 คน และเป็นข้อมูลให้สำหรับผู้ที่สนใจจะเดินทางด้วยตัวเอง

Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add 's blog to your web]
Links
 

 

สิงคโปร์ กับ โปรฯ 0 บาท ตอนจบ

Singapore With Airasia Promotion 0 Bath ตอนจบ วันนี้วันที่ 24 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการเดินทางของพวกเรา โปรแกรมวันนี้ไม่มีอะไรมากเพราะพวกเราต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว ด้วยเครื่องบิน Airasia Fight FD3506 เวลา 20.40 น. พวกเราต้องมาเช็คอินเวลา 18.40 น. ก่อนเวลา 2 ชั่วโมง

วันนี้ตื่นสายกันเก็บข้าวของต่างๆ ใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเช็คเอาร์ค และเอากระเป๋าต่างๆ ฝากไว้ที่โรงแรม โรงแรมจะมีห้องเก็บกระเป๋าอย่างดีเปิดประตูออกมามีกระเป๋าที่ฝากเยอะมากๆๆ เวลาฝากกระเป๋าเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพียงแต่เอาใบรับฝากมาให้เราเขียนแล้วติดกระเป๋าไว้เท่านั้นเอง

ฝากกระเป๋าเรียบร้อยพวกเราก็เดินไปสถานีรถไฟ MRT เกลังเพื่อไปยังสถานี Bugis พอดีมีคนอยากได้กระเป๋า Kipling ถ้าไม่ได้กลับเมืองไทยสงสัยจะนอนไม่หลับ บรรยากาศบนรถไฟ MRT


อาหารเช้าวันนี้พวกเราฝากท้องไว้กับร้านข้าวมันไก่ ย่านบูกิต ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับ Bugis Juntion ความอร่อยผมว่าบ้านเราอร่อยกว่าเพราะมีน้ำจิ้ม แต่ที่สิงคโปร์เนื่อไก่จะนิ่มกว่าบ้านเรา สรุปแล้วมีดีคนละอย่าง สนมราคาชุดนี้ 4$S


กินอิ่มท้องแล้วเป้าหมายต่อไปก็คือร้าน Kipling ซึ่งอยู่ใน Bugis Juntion เท่าที่สอบถามหลายร้านและดูราคาจากเมืองไทยแล้วร้านนี้ผมว่าถูกมาก แถมมีลดราคาให้อีก เข้าไปอยู่นานสองนานก็ได้มา 1 กระเป๋าสมความอยากได้ ราคา 3 พันกว่าบาท บ้านเราขาย 6 พันกว่าบาท ที่ดิวตี้ฟรีสนามบินขาย 4 พันกว่า ได้มาแล้วขอถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน


ได้กระเป๋าแล้วดีใจจังเลย ไม่รู้จะไปไหนพวกเราตัดสินใจไปห้าง Suntec City เพื่อที่จะไปดูของฝาก นั่งรถไฟ MRT เช่นเดิม ไปลงสถานี Cityhall


ลงสถานี Cityhall แล้วเดิน Citylink ไปย้งห้าง Suntec City เหมือนเดิม เดินดูของฝากเพื่อรอเวลาไปสนามบิน


เดินกันจนเมื่อยก็เริ่มหิว ไปกินที่เดิมคือ Food Repulic หลานผม แคท ได้ของมาโชว์ด้วยครับ เป็นกระเป๋าลิง ไม่รู้ซื้อไปฝากน้องชาย คิงคอง หรือ ใช้เอง


ผมมาสิงคโปร์ยังไม่ได้กินอาหารสไตล์ของที่นี่ ต้องขอกินสักอย่างนั้นก็คือ Laksa หรือเรียกว่า ก๋วยเตี๋ยวสิงคโปร์ ผมว่าเหมือนก๋วยเตี๋ยวแกงบ้านเราดีๆ ครับ คือเอาเส้นใส่ในแกงกระทิ แต่ก็อร่อยดีครับ เห็นหน้าตาแบบนี้ไม่เผ็ดครับ ใส่กุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้นปลา ราคาชามละ 4.5 $S


ส่วน อี๊ด น้องร่วมทริปกินอาหารมาเลเซีย Nasi Lemak คือข้าวมันที่หุงกับกะทิ แล้วราดด้วยสารพัดกับข้าว แต่จานนี้ราดด้วยแกงไก่ กับผัดผัก และมีเกรียบกุ้ง ติดมาด้วย ราคา 5$S Nasi Lemak ของแท้ต้องใส่ใบตอง รดชาตแปลกๆ ดี


ส่วนอีก 3 สาวกินอาหารธรรมดาๆ เช่นบะหมี่แห้ง และ ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ส่วนผมหลังจากกิน Laksa เรียบร้อยแล้วก็ต้องตบท้ายด้วยขนมปังกับกาแฟ ร้านโปรคของผม คือ Toast Box ผมสั่ง โกปี่ 1 แก้ว ขนมปังหน้าหมูหยอง และขนมปังปิง 1 คู่ ร้านนี้เป็นร้านที่ดังอีกร้านในสิงคโปร์


หลังจากกินอะไรเรียบร้อยกันแล้วพวกเราก็กลับเดินทางมุ่งหน้าไปยังโรงแรมเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วกลับมานั่งรถไฟ MRT ไปยังสนามบินซางกี่ มาถึงสนามบินเวลา 18.00 น. คนเยอะมากๆ มาถึงก็เข้าไปเช็คอินตามปรกติ ได้ตั๋วเรียบร้อยก็ผ่าน ตม. สิงคโปร์ เพื่อไปเดินดูของที่ร้านดิวตี้ฟรี สนามบินสิงคโปร์ราคาจะถูกมากโดยเฉพาะน้ำหอม 2 สาวเดินดูของฝาก


ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ก่อนกลับขอถ่ายรูปที่งวงทางขึ้นเครื่องบินสักหน่อย เพื่อเป็นการยืนยันว่ามาถึงสิงคโปร์และพร้อมจะกลับแล้ววววววว


รูปสุดท้ายก่อนจะขึ้นเครื่องบิน กลับเมืองไทยแล้ว เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของหลานผม ต้องถ่ายรูปให้เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้ง การไปเมืองนอกของหลานผมครั้งนี้ผมถือว่าสอบผ่าน เพราะทุกอย่างผมจะให้เค้าทำเองหมด ไม่ว่าเป็นการเช็คอิน-เช็คเอาร์ค ฝากกระเป๋าที่โรงแรม ซื้อของต่าง ซื้ออาหาร เช็คอินที่สนามบินสิงคโปร์ เค้าต้องติดต่อพูดคุยเองหมด ส่วนผมได้แค่ยืนดูเท่านั้น ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีของหลานผม


ถ้าหลานผมมีผลการเรียนที่ดีเป็นที่น่าพอใจ ผมก็จะพาเค้าไปเที่ยวประเทศที่เด็กวัยรุ่นไทยอยากไปคือ เกาหลี เป็นข้อตกลงของผม



การเดินทางทริปสั้นๆ ของพวกเราก็ได้จบลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านและช่วยเม็นส์




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 18:46:59 น.
Counter : 5913 Pageviews.  

สิงคโปร์ กับ โปรฯ 0 บาท #4

Singapore With Airasia Promotion 0 Bath ตอน 4 เรายังอยู่ในวันที่ 23 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการเดินทางของพวกเรา และพวกเรายังคงอยู่ใน เกาะเซ็นโตซ่า ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของสิงคโปร์

พวกเราที่ง 5 คน รอเวลาเข้าชมการแสดง Song of the Sea พวกเราได้จองตั๋วเจ้าชมรอบ 19.30 น. ราคาคนละ 10S$ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 240 บาทต่อคน ช่วงระหว่างรอก็ถ่ายรูปคู่กับ ปลาออสก้า ที่เป็นสัญญาลักษณ์ของ song of the sea


มากัน 5 คนก็ผลัดกันถ่าย


ถ้าไม่ถ่ายเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเกาะเซ็นโตซ่า


ได้เวลาประมาณ 19.10 น. ก็เริ่มเปิดประตุให้เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของที่นั่ง สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ พวกเราต้องเลือกที่นั่งกลางๆ ด้านบนๆ เพื่อจะได้ถ่ายรูปให้มุมดีๆ ก่อนการแสดงก็มีรถมาขายขนม และมีคนเดินขายของที่ระลึกด้วย


ได้เวลา 19.30 น. ตรงการแสดงก็เริ่มขึ้นทันที โดยมีคนแสดงออกมาเต้นร้องเพลงให้เราชมก่อน หลังจากนั้นตัว ปลาออสก้า ออกมาแสดงเริ่มเรื่องราว


การแสดงนี้เป็นการแสดงแสงสีเสียงบนม่านน้ำพุ พร้อมกับยิงแสงเลเซอร์ประกอบเป็นเรื่องราว


ส่วนเรื่องราวของการแสดงนั้นไม่ค่อยได้ชมให้เข้าใจเพราะมัวแต่ถ่ายรูป
ชมภาพไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน


ยิงแสงเลเซอร์เข้าหาม่านน้ำพุ


สีของแสงเลเซอร์เปลี่ยนไปมา สวยงามมาก


ยิงแสงเป็นลวดลายต่างๆ


ตัวละครมีทั้งตัวร้ายและตัวดี การแสดงนี้จะเป็นภาษาอังกฤษ ก็เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องท่าไร


ไม่ใช่จะมีเฉพาะตัวร้ายกับตัวดี มีนางเอกด้วย สวยเชียว


นางเอกอีกมุม


ไม่เพียงจะมีถาพบนม่านน้ำพุเท่านั้น ยังมีการแสดงน้ำพุเต็นระบำ ประกอบสีเสียง ดูแล้วก็เพลินดี


น้ำพุเต็นระบำ


ไม่ใช่มีเพียงแต่น้ำพุเท่านั้นยังมีการยิง พลุ ประกอบด้วย


การแสดงใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็จบลง ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายของการแสดง นะครับ


การแสดงจบลงพวกเราก็ออกมานั่งรอขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปยังห้าง Vivo ไม่อยากไปแย่งขึ้นรถไฟฟ้ากลับ ช่วงรอมีคนเอากล้องถ่ายรูปเล่น แคท ฝีมือเป็นอย่างไรบ้าง


ให้ดูฝีมือแคทอีกรูป ว่าพอจะไปวัดไปวากับเค้าได้ไหม


พอคนน้อยลงพวกเราก็นั่งรถไฟฟ้ากลับไปยังห้าง ViVo ขากลับไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่นะครับ เพราะตั๋วที่เราซื้อมาตอนเข้ามาเป็นตั๋วแบบไปกลับ ถึงห้างก็หาอะไรกินกันแล้วก็กลับโรงแรมนอน



จบการเที่ยววันที่ 2 ของพวกเราในสิงคโปร์ ครับ ตามชมนะครับว่าตอนหน้าพวกเราจะไปเที่ยวที่ไหนกัน




 

Create Date : 22 มกราคม 2553    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 16:46:41 น.
Counter : 2030 Pageviews.  

สิงคโปร์ กับ โปรฯ 0 บาท #3

Singapore With Airasia Promotion 0 Bath ตอน 3 เป็นวันที่ 23 ตุลาคม 2552 เป็นวันที่ 2 ของการเดินทางของพวกเราทั้ง 5 คน โปรแกรมวันนี้คือ ช่วงเช้าเดินย่านไซน่าทาวร์ เที่ยงๆ ไปเดินห้าง ViVo บ่ายไปเที่ยวเซ็นโตซ่า อยู่รอชม Song Of The Sea รอบ 19.30 น. ซึ่งเป็นการแสดงเรื่องราวของเพลงประกอบม่านน้ำพลุ แสง สี สวยงามมาก ถ่ายรูปสวยๆ มาฝากแฟนบล๊อก ครั้งที่แล้วมาไม่ได้ถ่ายเพราะแบตเตอร์รี่ไฟหมด ก่อนเข้าชมเลยอดถ่าย

พวกเรานัดกันปรกติ 8 โมงเช้าพร้อมออกเดินไปยังสถานี MRT Kallang สายสีเขียว ไปลงสถานี Outram Park เพื่อจะต่อสายสีม่วงไปลงยังสถานี Chinatown ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีพวกเราก็ถึงสถานี Chinatown เดินออกมาจากสถานี ก็มาโผล่ตรงนี้พอดี


พวกเรามาเช้าไปหน่อยร้านค้าต่างๆ ยังเปิดไม่หมด แต่ก็ยังดีมีนักท่องเที่ยวเริ่มมาเดินเที่ยวกันบ้างแล้ว ถ่ายรูปกันก่อน


ย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่ของคนเชื้อชาติจีนที่มาอาศัยอยู่บนเกาะสิงคโปร์ พวกเรามาที่นี่เพื่อจะไปวัดที่มีความสำคัญมากของที่นี่คือ วัดและพิพิธภัณฑ์ทันตธาตุพระพุทธเจ้า (The Buddha Tooth Relic Temple & Museum) การเดินทางมาวัดนี้ก็ไม่ยาก ออกจาก MRTก็จะเจอถนน Pagoda Street เดินไปสุดถนนแล้วเลี้ยวขวา เดินไปอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะเจอวัดอยู่ทางขวามือ


วัดและพิพิธภัณฑ์ทันตธาตุพระพุทธเจ้า (The Buddha Tooth Relic Temple & Museum) คืออนุสรณ์ทางวัฒนธรรมที่มีชีวิต ตั้งอยู่ใจกลางไชน่าทาวน์ เป็นที่ประดิษฐานของสิ่งที่ผู้นำของศาสนาพุทธถือว่าเป็นพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า ใส่อยู่ในสถูปอัฐิอันงามสง่าซึ่งมีส่วนประกอบของทองคำหนัก 420 กก.ที่บริจาคโดยผู้มีจิตศรัทธา ทุกๆวันจะมีการเปิดผ้าม่านของห้องชั้นในตามเวลาที่กำหนด เพื่อประกอบพิธีกรรมโดยพระสงฆ์ที่ประจำอยู่ที่นี่และให้ประชาชนได้ชมสถูปอัฐิ
วัดนี้สร้างขึ้นแด่พระศรีอริยะเมตไตย เมื่อเดินเข้าสู่ห้องโถงกลางของวัดที่มีความสูงตระหง่านถึง 27 ฟุต ผู้มาเยือนจะมองเห็นพระพุทธศรีอริยะเมตไตยที่ทำจากไม้สลักอย่างงดงาม จากความยิ่งใหญ่และรายละเอียดอันวิจิตรที่เห็นได้ในห้องโถงนี้ ผู้มาเยือนจะสามารถชื่นชมผลงานของช่างฝีมือผู้อุทิศตนที่ได้แบ่งปันทักษะของตนในการสร้างวัดแห่งนี้ สถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน และประติมากรรมของสถานที่นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองในประเทศจีน ท่ามกลางยุคทองของความเฟื่องฟูทางศิลปะและวัฒนธรรม (ข้อมูลจากการท่องเที่ยวสิงคโปร์)


เดินต่อเข้าไปด้านในก็จะพบกับส่วนที่เป็นพระพุทธรูปติดตาฝาผนัง


ด้านหลังของห้องโถ่งใหญจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิม


การมาที่นี่ต้องแต่งกายสุภาพ ผู้หญิงห้ามใส่กางเกงขาสั้น (มีกระโปรงให้ยืมใส่ สังเกตุจากคนในรูป) มาแล้วก็ต้องมาไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


ใช้เวลาอยู่ที่วัดกันไม่นานประมาณ 1 ชั่วโมงก็ออกจากวัด เพราะตอนนั้นประมาณ 9 โมงกว่าๆ เริ่มจะหิวข้าวกันแล้วไปหาอะไรกินดีกว่า เดินออกมาทางด้านหลังวัดจะเป็นถนนเล็กๆ มีร้านขายอาหารอยู่หลายร้าน พวกเราเลือกกินอาหารเช้าแบบเบาๆ สั่งกันคนละอย่างสองอย่าง ร้านนี้ไม่รู้ชื่อร้านอะไรเพราะไม่ได้ถ่ายหน้าร้านมาให้ดู ราคาก็เอาเรื่องเหมือนกัน แต่อร่อยดี


กินอาหารเช้ากันเสร็จก็เดินเล่นๆ ชมบรรยากาศของย่านไซน่าทาวร์ ร้านค้าก็เริ่มเปิดกันบ้างแล้วเพราะ สิบโมงกว่าแล้ว


สถานที่ๆ พวกเราจะไปเที่ยวกันต่อคือห้าง VIVO ซึ่งเป็นห้างที่เปิดใหม่และเป็นห้างที่ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปยังเกาะเซ็นโตซ่า ดังนั้นพวกเราก็เดินไปยังสถานี MRT Chinatown NE4 เพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานี Harbour Front NE1 เป็นที่ตั้งของห้าง VIVO


นั่ง MRT 10 นาทีก็มาถึงสถานี Harbour Front NE1 สถานีนี้อยู่ภายใต้ห้าง Vivo เดินมาหน่อยก็จะเข้าห้างชั้น G จุดมุ่งหมายของพวกเราก็คือชั้น 3 ของห้างเดินขึ้นบันไดเลื่อนจากชั้น G จนถึงชั้น 3 ก็จะเจอที่ขายบัตรเข้า Sentosa บัตรค่าเข้ามีหลายประเภทมากแต่พวกเราซื้อเฉพาะบัตรผ่านประตูซึ่งรวมค่ารถไฟฟ้าเข้าเกาะแล้ว ราคาจำไม่ได้ครับแต่ไม่น่าจะเกิน S$10 ครับ การซื้อตั๋วสามารถซื้อที่เคาร์เตอร์ก็ได้หรือซื้อที่เครื่องขายตั๋วก็ได้


ได้ตั๋วเข้าแล้วก็ต้องโชว์กันหน่อย ส่วนตั๋วชม Song Of The Sea ต้องเข้าไปซื้อข้างใน


ได้ตั๋วเรียบร้อยก็รอเวลาช่วงบ่ายๆ ถึงจะเข้าไปเที่ยวเกาะเซ็นโตซ่า ไปเดินช๊อปปิ้งก่อนดีกว่า บรรยากาศห้าง


เดินไปเจอร้านขายกล้องมีหรือตากล้องอย่างเราจะไม่เข้าไปสำรวจราคากล้องและอุปกรณ์ต่างๆ ไปดูราคา Canon 7D รุ่นใหม่ล่าสุดว่าจะราคาเท่าไรแพงกว่าบ้านเราหรือไม่ สรุปแล้ว ราคาตัวกล้องไม่รวมเลนส์ 2699 S$ เงินไทยก็ 64,776 บาท(คิดที่ 24 บาท) บ้านเราขาย 59,000 บาท สรุปแล้วแพงกว่าบ้านเราครับ


มาสิงคโปร์ครั้งนี้ผมตั้งใจจะมาซื้อกางเกงใส่ทำงาน G2000 เพราะมาครั้งที่แล้วซื้อไป 2 ตัว ครั้งนี้ตั้งใจจะซื้ออีกสัก 2 ตัว ปรากฏว่าได้ดังใจราคาตัวละ 800 กว่าบาท ส่วนคุณผู้หญิงได้ทั้งหมด 6 ตัว (ไม่รู้ซื้อไปทำไมมากมายสงสัยซื้อไปเผา)


หลังจากเดินล่นห้างซื้อของ ผมได้กางเกง G2000 และ กางเกงยีน Gap ทั้งหมดที่ได้เป็นราคาที่ลดแล้ว ไม่แพงครับเพราะปรกติผมจะไม่ซื้อของที่ราคาไม่ลด เวลาประมาณ 14.00 น. ก็เริ่มข้ามเกาะเซ็นโตซ่า โดยขึ้นรถไฟฟ้าที่ชั้น 3 ของห้าง ViVo บริเวณที่ซื้อตั๋ว พวกเราไปลงที่สถานีสุดท้ายคือ Beach Station แล้วลงไปด้านล่างของสถานนี จะมีคาร์เตอร์ขายตั๋ว Song of The Sae พวกเราก็ต้องจองตั๋วไว้ก่อนราคาคนละ 10S$ จองรอบ 19.30 น. จองเสร็จพวกเราก็ไปรอขึ้นรถรับส่งเพื่อไปยังชายหาด Palawan Beach


รถจะวิ่งไปตามชายหาด และจะมีจุดจอดให้ขึ้นลงเป็นระยะ พวกเราลงที่หาด Palawan Beach เพื่อเดินเล่นชมบรรยากาศ มีเด็กวัยรุ่นมาเล่นกิจกรรมต่างๆ กันเยอะมาก


กิจกรรมต่างบริเวณชายหาดมีมากมาย เล่นกีฬาต่างๆ นอนอาบแดด และมีเกาะให้เดินเล่นทำได้อย่างสวยงามมาก


ถ้าต้องการจะข้ามเกาะต้องใช้สะพานเชือกเดินข้ามไป ผมลองเดินข้ามไปถึงเกาะไปยืนสูดอากาศ รู้สึกว่าเกาะจะสั่นนิดๆ เมื่อเวลามีลมพัดแรงๆ เดินกลับมาต้องถ่ายรูปไว่สักหน่อย


เดินเล่นกันย่านหาด Palawan เสร็จพวกเราก็ขึ้นรถกลับไปยังสถานี Beach Station ซึ่งเป็นจุดศุนย์กลาง เพื่อต่อขึ้นรถรับส่งไปยังหาด Siloso Baech ซึ่งเป็นชาดหาดอีกด้าน และเป็นที่เที่ยวอีกแห่งของเกาะเซ็นโตซ่า


ชายหาด Siloso Baech นี้จะได้รับความนิยมกว่าชายหาด Palawn เพราะว่ามีชายหาดที่ยาวและสวยงาม มีอุปกรณ์ เครื่องเล่นกีฬาต่างๆ มากมาย


มีผู้คนที่ชอบนอนอาบแดดกันเยอะมาก ถ่ายมาให้ดูสักหน่อยก็แล้วกัน


ขอถ่ายรูปคู่กันสักหน่อย ยิ้มไม่ค่อยออกเพราะอากาศค่อนข้างร้อน


เกาะเซ็นโตซ่ามีอะไรให้เที่ยวชมอีกเยอะ แต่ว่าพวกเราไม่อยากไป จึงเดินกลับไปยังสถานี Baech Station เพื่อรอเวลาในการเข้าชม Song of The Sea ในเวลา 19.30 น.

ตอนหน้าเราจะพาไปชมภาพ Song of The Sae สวยๆ เพราะว่าถ่ายมาเยอะมากๆ สวยๆ ทั้งนั้น




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2552    
Last Update : 20 ธันวาคม 2552 14:53:27 น.
Counter : 2240 Pageviews.  

สิงคโปร์ กับ โปรฯ 0 บาท #2

Singapore With Airasia Promotion 0 Bath ตอน 2 พวกเราทั้ง 5 คนยังอยู่ในวันแรกของการเดินทาง คือวันที่ 22 ตุลาคม 2552 หลังจากเดินเล่นย่านบูกิต กันพอสมควรพวกเราก็นั่งรถ MRT ไปอีก 1 สถานี ไปลงที่สถานี City Hall จุดมุ่งหมายต่อไปของพวเราก็คือ ห้าง Suntec City เพื่อไปช๊อปปิ้งเดินดูของ พวกเราลงที่สถานี City Hall แล้วต้องเดินทางเดินใต้ดินเพื่อไปห้าง Suntec City โดยใช้ทางเดิน Citylink ตลอดทางเดินก็ยังมีร้านต่างๆ ให้ได้ช๊อปปิ้งหรือร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้ได้นั่งพักผ่อน


ระยะทางไม่ไกลเดินเล่นเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ถึงห้าง Suntec City เป็นห้างที่ใหญ่อีกห้างบนเกาะสิงคโปร์ และเป็นศูนย์จัดแสดงนิทรรศการต่างๆ ของสิงคโปร์ด้วย พวกเราใช้เวลาเดินดูของตามที่แต่ละคนสนใจจนเหนื่อยก็ได้มานั่งพักที่ Food Republic แนะนำครับใครมาที่นี่ต้องมาลองชิมมีอาหารหลากหลายชนิด


เดินเล่น กินขนม ซื้อของตามที่ใจชอบเสร็จพวกเราก็ได้เดินกลับมายังทางเดิมคือทาง Citylink แต่เดินมาย้อนกลับมาได้นิดหน่อยก็จะเห็นป้ายบอกทางไปยังตึกทุเรียน Esplanade เดินตามป้ายบอกมาเรื่อยๆ ก็จะมาโผล่ที่หน้าตึกทุเรียนพอดี ขอถ่ายรูปโชว์ของที่ซื้อมากันคนละถุง


ตึกทุเรียนนี้อยู่บริเวณปากน้ำสิงคโปร์ หรือ Marina Bay ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นที่นั่งพักผ่อนของชาวสิงคโปร์


มาถึงกันแล้วก็ต้องถ่ายรูปให้มากๆ เพื่อเก็บไว้ดูยามแก่


บรรยากาศใกล้จะค่ำของที่นี่ ฝีมือการถ่ายรูปของอี๊ด


สถานที่บังคับของคนที่มาเยือนสิงคโปร์ ใครมาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์ Merlion

มาถึงสิงคโปร์แล้วต้องถ่ายรูปคู่กับ Merlion (ข้างบนเป็นสิงโตท่อนล่างเป็นปลา) ยืนพ่นน้ำ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ หน้าตาพวกเราทั้ง 5 คนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้


ขอเดียวด้วยคน


แคท หลานผมไม่ยอมแพ้พี่ตา ขอเดียวบ้าง


เจ้าสิงโตทะเล หรือ Merlion


ถ่ายหมู่ร่วมกันทั้ง 5 คนอีกครั้ง


อีกมุมของสิงโตทะเล


นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ บริเวณนี้ ถ้าต้องการถ่ายรูปวิวไม่อยากให้ติดผู้คนลงไปในภาพด้วยต้องรอเวลาอย่างมากๆ บรรยากาศยามค่ำคืน


อยู่ถ่ายรูปบริเวณนี้นานมาก ในรูปตึกที่กำลังก่อสร้างนั้นก็คือ บ่อนกาสิโน
ใหญ่มากๆ


มาทั้งทีถ่ายให้จุใจไปเลย สะพานข้ามแม่น้ำสิงคโปร์


ตึกต่างๆ ที่บริเวณนี้ยามค่ำคืนเปิดไฟแล้วดูสวยดี


พวกเรามาถึงที่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ประมาณ 5 โมงเย็น ถ่ายรูป นั่งเล่น อยู่กันจนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. พวกเราก็ต้องไปเที่ยวที่อื่นกันอีกนั้นก็คือ FOUNTAIN OF WEALTH หรือที่เรียกว่า น้ำพุแห่งความโชคดี จะไปชมน้ำพุต้องเดินกลับมาผ่านหน้าตึกทุเรียน เพราะต้องเดินกลับไปยังตึก Suntec


มาครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปขึ้น Singapore Flyer จึงได้แค่ดูแบบไกลๆ พวกเราเดินย้อนกลับมาทาง Citylink เพื่อไปยังตึก Suntec City เพราะน้ำพุจะอยู่ที่หน้าตึกนี้ ทุกวันจะมีการแสดงน้ำพุ 3 รอบ เวลา 20.30 21.00 21.30 สะดวกช่วงไหนก็สามารถรอชมได้


การแสดงจะเป็นน้ำพุเต้นระบำ ประกอบแสง สี เสียง สวยงามมาก


มีความเชื่อว่าถ้าใครได้สัมผัสน้ำพุนี้แล้วจะโชคดี


หลังจากดูน้ำพุเสร็จพวกเราก็หาอะไรกินกัน บริเวณรอบๆ น้ำพุนี้จะมีร้านอยู่รอบๆ ชอบกินอะไรก็เดินดูได้ แต่พวกเราอยากกินอาหารเกาหลี เป็นร้านเดิมที่เรามาครั้งที่แล้วก็มากินอร่อยดีครับ วันนี้เราเจอคนไทยหลายกลุ่มมานั่งกินก่อนหน้าเราครับ หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จพวกเราก็กลับโรงแรมกัน โดยอาศัย MRT เหมือนเดิมแต่ต้องเดินไปขึ้นที่สถานี Cityhall

การเที่ยววันแรกของพวกเราในสิงคโปร์ก็จบแล้วครับ ลองดูต่อไปว่าวันที่สองพวกเราทั้ง 5 คนจะไปเที่ยวที่ไหนกัน




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2552    
Last Update : 14 ธันวาคม 2552 21:18:35 น.
Counter : 2742 Pageviews.  

สิงคโปร์ กับ โปรฯ 0 บาท #1

Singapore With Airasia Promotion 0 Bath หรือแปลเป็นภาษาไทยคือ สิงคโปร์ กับ โปรฯ 0 บาท พอดีสายการบินของคนต้นทุนน้อยในการเที่ยวได้ออกโปรโมชั่น น่าสนใจมากๆ ค่าตั๋ว ไป-กลับ รวมคนละ 1400 บาท บวกกับค่ากระเป๋าคนละ 100 บาท รวมทั้งสิ้นที่ต้องจ่าย 1500 บาทเป็นอันจบ

ไม่รอช้ารีบจองกันเลย วันที่ 22-24 ตุลาคม 2552 จองไปทั้งหมด 5 คน คนละ 1500 บาท หลังจากนั้นก็จัดแจงจองโรงแรม พวกกเราเลือกโรงแรมที่คนไทยนิยมไปพักันย่านเกลัง นั้นก็คือ Fragrance Hotel Emerald จอง 2 ห้อง 2 คืน จองเสร็จเรียบร้อย ก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันเดินทาง

เช้า วันที่ 22 ตุลาคม 2552 05.00 น. พวกเราพร้อมกันทีเคาร์เตอร์เช็คอิน Airasia ซึ่งอยู่ที่แถว E ไฟล์ที่พวกเราไปกันคือ FD3501 07.05 น. พวกเรามาก่อนเวลา 2 ชั่วโมง ถือว่ามาไม่เร็วเกินไปนะครับเพราะเคาร์เตอร์ฯ จะเปิดก่อนเวลาบิน 2 ชั่วโมง และปิดก่อนเวลาบิน 45 นาที วันที่พวกเราไปคนเยอะมากๆ ต้องรอคิวประมาณ 30 นาทีถึงได้เช็คอิน พวกเราไม่ได้จองที่นั่งมาก่อนจึงได้นั่งแยกกัน ได้ตั๋วเรียบร้อยต่อไปเป็นขั้นตอนการผ่าน ตม. (ตรวจคนเข้า-ออกเมือง) วันนี้คนเยอะมากๆ และเป็นครั้งแรกของผมที่ต้องรอ ตม. นานเกือบชั่วโมง พอผ่าน ตม. ได้ก็เดินไปที่ gate ทันที่ เพราะเหลือเวลาไม่ถึง 20 นาที ผู้โดยสารเยอะมากนั่งรอขึ้นเครื่อง


ได้เวลาก็ขึ้นเครื่อง บินตรงสู่สิงคโปร์ทันที ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง 10 นาที เรื่อง การผ่าน ตม. บ้านเรา และ การเดินทางจากสนามบินชางกี่สิงคโปร์โดยรถไฟฟ้า MRT เข้าเมืองจะไม่ขอเล่าอีกครั้งเพราะผมเคยรีวิวไว้แล้วเมื่อมาสิงคโปร์ครั้งก่อน ตอน ไปเที่ยวง่ายๆ สบายๆ ที่สิงคโปร์ ตอน 1 ดูได้จาก //www.bloggang.com/mainblog.php?id=taorn&month=06-05-2008&group=7&gblog=1

แต่ผมจะรีวิววิธีเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า MRT Kallang (EW10) ไปยังโรงแรม Fragrance Hotel Emerald ซอย 6 เพราะเท่าที่รู้มาส่วนมากจะเดินทางจากสถานี MRT มายังโรงแรมไม่ถูกกัน แม้แต่วันที่พวกเราไปยังเจอเพื่อนๆ คนไทยเดินหาโรงแรมซะเหนือย แผนที่โรงแรม เส้นสีแดงคือ ทางเดินมายังโรงแรม


เมื่อออกมาจากสถานีฯ ให้เดินไปทางซ้ายมือ สังเกตุได้จากด้านซ้ายมือจะเป็นร้านขายขนม ด้านขวามือจะเป็นถนน Sims Ave และมองตรงออกไปจะเจอสี่แยกไฟแดง ดังรูป


เมื่อเดินมาถึง 4 แยก ให้ข้ามถนนตรง 4 แยกไปด้านขวามือ ข้ามถนนไปยังอาคารสีเหลืองๆ


ข้ามถนน Sims Ave เพื่อเข้าสู่ถนน Lorong 1 Geylang


เมื่อข้ามถนน Sims Ave แล้วพวกเราก็ข้ามถนน Lorrong 1 Geylang อีกครั้งเพื่อมาเดินทางด้านซ้ายของถนน และเดินในร่มต้นไม้จะได้ไม่ร้อน


ให้เดินตรงมาประมาณ 100 เมตรสุดถนน Lorong 1 Geylang ก็จะเจอ 4 แยกถนน Geylang Rd ตามรูป ให้เดินเลี้ยวซ้ายตามอาคารไป ไม่ต้องข้ามถนนนะครับ


เดินตามอาคารไปเรื่อยๆ ไม่ร้อนครับเพราะมีหลังคา


เดินตามอาคารมาประมาณ 100 เมตรจะเจอทางแยก ให้เดินตรงข้ามถนนไปเลย


เดินตรงมาไปถึง 50 เมตรก็จะเจอ 4 แยกใหญ่ข้างหน้า ตรงข้ามจะเป็นปั๊มน้ำมัน Shell


เดินมาถึง 4 แยกใหญ่พวกเราก็ต้องหยุดยืนรอไปเขียวเพื่อจะข้ามถนนตรงไปยังฝั่งตรงข้ามคือ ที่หน้าปั๊มน้ำมัน Shell พวกเราไปสิงคโปร์ครั้งนี้ 5 คนรวมทั้งผมด้วย มีผม อร(เสื้อสีชมพู) แคท(หลานสาวผม เสื้อสีดำ) อี๊ด(ผู้ชายในรูป) และ ตา(แฟนอี๊ด)


เดินข้ามถนนมาได้ก็มารอหน้าข้ามถนนอีกครั้งที่หน้าปั๊มน้ำมันฯ ในรูปห้องแถวสีฟ้าติดกับสีชมพู คือ Lorang 6 Geylang ทางเข้าไปยังโรงแรมฯ เราต้องเดินข้ามถนนตรงแยกนี้ เพราะปากซอย6 จะไม่มีทางม้าลาย นะครับ


เมื่อข้ามถนนได้ก็ให้เดินเลาะๆ ไปทางซ้ายมือ เดินไปประมาณ 50 เมตรก็จะเจอซอย 6 ซึ่งมีร้านขายผลไม้อยู่ปากซอย ให้เดินเข้าซอยไปเลยเพราะโรงแรมอยู่ในซอยนี้


เดินตรงเข้าซอยมาประมาณ 50 เมตร ก็จะเจอโรงแรมอยู่ทางขวามือ หน้าตาโรงแรม Fragrance Hotel Emerald พวกเราจองกันมาแล้วก่อนหน้านี้ ไปถึงเคาร์เตอร์ก็ยื่นใบยืนยันการจองห้องให้เจ้าหน้าที่ดู เมื่อตรวจสอบแล้วก้ไม่พูดอะไรพร้อมกับมีใบ register ให้ผมๆ ก็กรอกเป็นอันเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ยื่นกุญแจให้ ผมก็งงๆ ว่าทำไมให้ห้องพวกเราเร็วจัง โดยปรกติจะได้ห้องเวลาประมาณ 15.00 น. ทั้งที่พวกเราไปถึงโรงแรม 12.00 น. สอบถามแล้วใด้ใจความว่า ถ้ามีห้องว่างก็จะให้เลย


ผมจองโรงแรมผ่านทาง www.fragrancehotel.com โดยเข้าไปจองที่ Reservation แล้วใส่รายละเอียดต่างๆ ของเราเท่านั้นก็เสร็จ หลังจากนั้นจะทีเมล์ส่งกลับมาหาเราว่าได้รับข้อมูลการจองของเราแล้ว และจะตอบกลับเพื่อยืนยันว่าจองได้หรือไม่ได้อีกครั้ง ในการจองเราต้องใส่เลขและรายละเอียดของบัตรเครดิตด้วยนะครับ ห้องที่ผมจองเป็นห้องแบบ Family Room ราคาคืนละ $85 ต่อคืนหรือประมาณ 2040 บาท รวมทุกอย่างแล้ว ส่วนอีกห้องเป็นห้อง Superior Room ราคาห้องละ $63 ต่อคืน หรือประมาณ 1512 บาท ห้องนี้เป็นห้องแบบ Family Room มี 3 ที่นอน


รอประมาณ 1 วันก็มีเมล์จากโรงแรมตอบกลับมาเพื่อยืนยันการจอง พร้อมกับเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิตเราทันที่ แสดงว่าเราได้ห้องพักแน่นนอนแล้วไม่ต้องห่วงเรื่องไม่มีที่พัก ในเมล์จะส่งใบยืนยันการจอง ให้พิมพ์ใบนี้ไปยื่นตอนเช็คอินที่โรงแรม ภายในห้องน้ำมีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน ห้องสะอาดดี


เก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนชุดกันบ้าง ได้เวลาพวกเราก็ออกเที่ยวกันแล้ว เป้าหมายแรกของพวกเราย่านช๊อปปิ้งที่ทีวัยรุ่นเดินมากอีกแห่งของสิงคโปร์ บูกิต พวกเราเดินออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟ MRT Kallang เพื่อขึ้น MRT ไปลงยังสถานีรถไฟ MRT Bugis การขึ้นรถไฟฟ้าก็คล้ายบ้านเรา ไปที่ตู้ขายตั๋วเราก็เลือกที่จอด้านซ้ายมือว่าจะซื้อตั๋วแบบไหน พยกเราเลือกแบบเที่ยวเดียว กดเสร็จแล้วก็เลือกสถานีที่เราจะไป โดยกดลงไปที่ชื่อสถานี ในด้านขวาที่แผนที่สถานี จากนั้นก็เอาเหรียญยอดลงไปตามราคาที่แจ้งบนหน้าจอ บัตรก็จะหล่นมาด้านล่าง ถ้าเราใส่เหรียญเกินเครื่องก็จะทอนให้นะครับ


นั่งไป 2 สถานีเท่านั้นก็ถึง พวกเราเดินออกไปยัง Bugis Juntion ซึ่งเป็นห้างฯ ในย่านนี้ ผู้คนเดินกันมากเช่นกันย่านนี้


เดินไปเจอร้านขายของ Apple มีหรือวัยรุ่นอย่างเราจะไม่แวะ เข้าไปสำรวจราคาของ Iphone Ipod Macintosh และอุปกรณเสริมต่างๆ ปรากฏว่าราคาแพงกว่าบ้านเราประมาณ 10-20%


เดินดูของกันไปเรื่อยๆ เจอร้านถูกใจของคนในกลุ่ม Kipling มีหรือจะไม่แวะ ดูไปดูมามีคนเสียเงินจนได้ ซื้อกระเป๋าถือราคาถูกว่าบ้านเรามาก


เดินย่าน Bugis Juntion เสร็จพวกเราก้ได้ข้ามถนนไปยัง Bugis Street เป็นย่านช๊อปปิ้งอีกแห่งของย่านนี้


Bugis Street เป็นย่านขายของต่างๆ คล้ายๆ สวนจัตุจักรบ้านเรา


แต่ที่นี่ไม่เหมือนสวนจัตุจักรบันเราอ ที่นี่มีร้าน Sex Shop ขายแต่บ้านเราไม่มี ผมลองเขาไปดูข้างในปรากฏว่ามีทุกอย่างจริงๆ บางสื่งคิดว่าไม่มีขายก็มีขาย มีทั้งของใช้กับผู้หญิง และ ผู้ชาย


เดินที่ Bugis Street เสร็จพวกเราก็เดินเลยต่อไปเป้าหมายก็คือ ห้าง Simlim เป็นห้างขายอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ กล้อง คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เป็นห้างที่ขายสินค้าประเภทนี้มากที่สุดในสิงคโปร์ พวกเราจะไปดูกระเป๋า และสำรวจราคากล้องดิจิตอลว่าจะเป็นอย่างไร สรุปราคาแพงกว่าบ้านเรา ไม่ได้อะไรสักอย่าง



ยังไม่จบวันแรกนะครับ ติดตามดูว่าตอนหน้าเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2553 10:03:48 น.
Counter : 3817 Pageviews.  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.