เที่ยวไป..กินไป..ตามแต่ใจเราสองคน เป็นบล๊อกที่ทำขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางของเราทั้ง 2 คน และเป็นข้อมูลให้สำหรับผู้ที่สนใจจะเดินทางด้วยตัวเอง

Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add 's blog to your web]
Links
 

 

เท็นเดย์อิน เนปาล. กาฐมาณฑุ-กรุงเทพ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2552 วันนี้ก็ครบ 10 วันของการเดินทางของพวกเราทั้ง 4 คน 9 วันช่างผ่านไปได้อย่างเร็ว โปรแกรมของพวกเราวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากเป็นวันสบายๆ ของผมกับภรรยา 2 คน แต่อีก 2 คน อาจจะไม่ธรรมดาจะคิดว่าเป็นวันพิเศษก็ได้ เป็นวันที่ตื่นตาตื่นใจก็ได้ เป็นวันที่เลียวๆ ก็ได้ เพราะทั้ง 2 คนคือ พี่ชาลี กับ ทอย ต้องไปบิน Moutian Flight ชมเทือกเขาหิมาลัย ชมยอดเขาสูงๆ หลายยอด และยอดที่สูงที่สุดในโลกคือ ยอดเขาเอเวอร์เรส บินในช่วงเช้า สายๆ พวกเราจะไปเดินซื้อของฝาก บ่ายๆ พวกเราก็ต้องเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้ว

วันนี้ทั้ง 2 คนคือพี่ชาลี และ ทอย ต้องตื่นแต่เช้ามืดนั้นก็คือ ประมาณตี 4 เพื่ออาบน้ำแต่งตัว ส่วนผมกับอร ก็นอนตื่นสายได้ไม่ต้องรีบร้อนเพราะไม่ได้ไปบินกับเค้า ทั้ง 2 คนนัดรถแท็กซี่ให้มารับที่โรงแรมตอนประมาณตี 5 เดินทางไปสนามบินตรีภูวัน ซึ่งเป็นสนามบินเดียวกันกับที่เครื่องบินการบินไทยมาลง แต่จะเป็นอาคารผู้โดยสารในประเทศ สาเหตุที่ต้องไปแต่เช้าก็เพราะว่าจองไฟล์บินเวลา 6.00 น. ต้องเช็คอิน 5.30 น. ราคาตั๋วในการบินครั้งนี้ 150$US คิดเป็นเงินไทยในตอนนั้นก็ประมาณ 5,250 บาท จองของสายการบิน Yeti Airlines โดยจองผ่านทางโรงแรมที่พักครับ


เช็คอินได้แล้วก็ขึ้นเครื่องได้เลยครับ เจ้าหน้าที่บนเครื่องก็แจกเส้นทางการบินให้ดูว่าจะเป็นไปชมยอดเขาอะไรบ้าง และเพื่อเป็นข้อมูลในการชมยอดเขาต่างๆ จะเห็นว่ายอดเขาเอเวอร์เรสมีความสูงถึง 8,848 เมตร


ได้เวลา 6.00 น. ตรงเครื่องบินก็เริ่มออกบินมุงหน้าสู่ยอดเขาเอเวอร์เรส เครื่องบินสามารถจุผู้โดยสารได้ 30 คน แต่ในไฟล์นี้มีประมาณ 20 คน ก็ถือว่ากำลังพอดีไม่แน่นมาก สามารถเลือกที่นั่งได้ตามชอบใจ


ใช้เวลาบินประมาณ 20 นาทีจากสนามบินก็ถึงแนวเป้าหมายเทือกเขาหิมาลัย ไม่ขอบอกว่ายอดใดเป็นยอดใดนะครับ เพราะกลัวว่าจะให้ข้อมูลผิดพลาดให้ชมภาพสวยๆ จาก พี่ชาลี เป็นผู้ถ่ายครับ


ด้านบนของยอดเขาต่างๆ จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เพราะมีความหนาวเย็นมากๆ จึงทำให้หิมะไม่ละลาย


บนยอดก็ยังมีหิมะปกคลุมตลอด หิมะไม่ละลายเพราะยอดเขาสูงๆ จะมีอากาศเย็นมากๆ


ยอดเขาสูงเสียดเมฆเทียมฟ้า ได้ดูแค่รูปผมก็รู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจ ในความสวยงามของธรรมชาติ ถ้ามีโอกาสได้มาอีกเมื่อไรคราวนี้คงไม่พลาด


ยอดเขาแหลมๆ ไกลๆ ทางซ้ายของภาพน่าจะเป็นยอดเขาเอเวอร์เรส หรือเปล่าครับไม่แน่ใจ แต่คิดว่าใช่ เพราะใกล้ยอดเขาเอเวอร์เรส จะมียอดเขาที่สูงอีกยอดก็คือ ยอดเขาลอตเซ่


เครื่องบินจะไม่สามารถบินเข้าไปไกลๆ ยอดเขาเอเวอร์เรสได้ เหตุผลมาจากด้านความปลอดภัย เพราะถ้าบินสูงมากๆ เครื่องบินจะมีปัญหาเรื่องลมและเรื่องของสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย เจ้าหน้าที่บนเครื่องบินได้เชอญทุกคนเข้าไปถ่ายรูปในห้องนักบิน แต่เข้าไปที่ละคน


เครื่องบินก็บินวนไปมา ไม่กี่รอบครับ


ใช้เวลาบินชมยอดเขาต่างๆ แล้วก็บินกลับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็กลับมาลงยังสนามบินฯ เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่จะมีใบประกาศให้กับทุกท่านที่ขึ้นบิน Moutian Flight เพื่อเป็นเกียรติประวัติของตัวเอง ก็เป็นการจบการบินของทั้ง 2 คน

ส่วนผม 2 คนก็ได้ตื่นนอนทำธุระกิจส่วนตัวเสร็จ ก็พอดีกับทั้ง 2 คนมาพอดีเวลาขณะนั้นประมาณ 8 โมงเช้าพอดี ไปหาอาหารเช้าอร่อยๆ กินกันเถอะ อาหารเช้าของวันนี้พวกเราไม่อยากฝากท้องไว้ที่อาหารเช้าของโรงแรมนี้แล้วเพราะว่าตลอดที่อยู่ที่โรงแรมกาฐมาณฑุ พวกเราก็ฝากท้องไว้ที่นี่ อาหารมื้อเช้าสุดท้ายของที่เนปาล พวกเราจึงเลือกร้านอาหาร Weizen Bekery Restaurant & Bar


ร้านอยู่ย่านทาเมล ไม่ไกลจากโรงแรมเดินออกมาหน้าโรงแรมแล้วเลี้วยขวาเดินตรงไปประมาณ 70 เมตร ก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ ดูในแผนที่ แนะนำครับร้านนี้


ร้านนี้จะเปิดตั้งแต่เช้า 7.00 - 21.00 น ของทุกวัน บรรยากาศภายในร้านน่านั่งครับ ลูกค้าส่วนมากจะเป็นฝรั่งผมทอง มีแต่พวกเราเท่านั้นคนไทยผมดำ


พวกเราสั่งอาหารที่เป็นจานชุดอาหารเช้า จะมีกาแฟ ชา ร้อนเสริฟพร้อมด้วย ผมสั่งสเต็กเนื้อจามรี อยากจะลองกินดูเพราะไปแชงกรีลาที่จีนก็ไม่ได้ลองชิมเนื้อ ปรากฏว่าเนื้อก็คล้ายเนื้อวัวบ้านเราแต่จะมีกลิ่นหน่อยๆ (หรือว่าเราไม่คุ้นเคยกับกลิ่นแบบนี้) ส่วนคนอื่นก็สั่งสเต็กเนื้อแกะ อาหารเช้าชุดต่างๆ ราคาชุดละประมาณ 200 บาท ผมว่าไม่แพงครับเพราะว่าอร่อยและปรืมาณมาก มีอะไรให้หลายๆ อย่าง และสั่งไม่นานก็จะได้กิน แต่พอกำลังกินได้ไม่ถึง 10 นาที เด็กสริฟก็จะเดินมาถามว่า Are you finish? เพื่อจะมาเก็บจาน เป็นอะไรที่แปลกมากๆ อย่างหนึ่งของที่ประเทศเนปาลคือ เราสั่งอาหารแล้วประมาณ 1 ชั่วโมงถึงจะได้กิน แต่พอเรากินไม่ถึง 10 นาที จะมีเด็กเสริฟมาถาม are you finish? ทุกร้านเป็นแบบนี้หมด ไม่เข้าใจเหมือนกัน พี่ชาลีพูดว่า " ทีเรายังรอได้เกือบตั้งชั่วโมง แต่พอเราจะกินหน่อยทำเป็นรอไม่ได้" ตลกดีครับเป็นแบบนี้เกือบทุกร้าน ทุกเมือง


ค่าอาหารเช้ามื้อนี้รวมแล้ว 800 บาท กินอาหารเช้ากันแบบเต็มที่อิ่มกันทุกคนแนะนำนะครับถ้าใครไปย่านทาเมล ร้านนี้อาหารไม่แพงแล้วแต่เราเลือกครับมีอาหารหลากหลายชนิด และ มี bakery หลากหลายชนิดเช่นกัน ผมมาซื้อหลังเวลา 20.00 น. ราคาลดลงมากกว่าครึ่งครับ

กินข้าวเสร็จยังพอมีเวลาเดิยซื้อของฝาก พวหเราก็เดินย่านทาเมลนั้นแหละครับ ร้านนี้เป็นร้านขายอุปกรณ์เทร็กกิ้ง เสื้อกันหนาว The North Face แต่จะจริงหรือปลอมไม่ขอวิจาร์ณ ต้องไปดูเอาเองครับถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องซื้อ ผมจึงไม่ได้อะไรเลยตั้งใจจะไปซื้อเสื้อยืด The North face แต่ไม่ถูกใจ


ย่านทาเมลจะมีร้านขายของที่ระลึกจากเนปาลเยอะไปหมด บางคนก็ว่าถูก บางคนก็ว่าแพง ผมว่าขึ้นอยู่กับเราต่อรองด้วยครับ บางร้านก็จะเปิดราคาแพง บางร้านก็เปิดราคาไม่แพง แล้วแต่โชครับ ร้านนี้ขายสินค้าทำด้วยมือ


ตุ๊กตาชัก เป็นสินค้าที่ระลึกเหมือนกัน มีขายหลายร้าน


ย่านทาเมล เมืองกาฐมาณฑุ ก็คล้ายๆ กับตรอกข้าวสารบ้านเรา จะเต็มไปด้วยร้านค้า โรงแรม ที่พักต่างๆ เยอะไปหมด และนายหน้าไกค์ทัวร์ นายหน้าขายของที่ระลึกเยอะไปหมด ยังมีรถสามล้อสำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งชมเมืองด้วย ราคาก็แล้วแต่ใกล้ไกล


จะเช่ารถแท็กซี่ให้ไปส่งยังสถานที่เที่ยวต่างๆ ก็ได้ หรือจะเหมาทั้งวันก็มี ขึ้นอยู่กับการตกลง แต่ดุรถแท็กซี่ของที่นี่แล้วขนาดของรถจะประมาณนี้ครับ คันไม่ใหญ่นั่งได้ 4 คนรวมคนขับก็เต็มรถแล้ว


เดินซื้อของฝากได้ไม่นาน ได้ของฝากคนละเล็กละน้อยติดมือกลับไปฝากคนที่เมืองไทย พวกเราก็กลับโรงแรมเพื่อเตรียมเก็บกระเป๋าต่างๆ และเดินทางไปยังสนามบินตรีภูวัน เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไฟล์ 14.00 น.

ได้เวลา 11 โมงพวกเราก็ออกเดินทางไปยังสนามบิน ให้แท็กซี่ไปส่ง 400 รูปี โดยทั่วไปค่าแท็กซี่จะอยู่ที่ 200-300 รูปี แต่รถที่เราเหมาไปส่งเป็นรถคันใหญ่ราคาจึงสูงอีกนิด มีเรื่องแปลกๆ จะเล่า พอรถเราจอดผมก็ได้ไปเดินหารถเข็นกระเป๋า ปรากฏว่าไม่มีรถเข็น แต่จะมีพวกเอารถเข็นไปเพื่อรอรับจ้างเข็นกระเป๋าแทน ผมไม่รู้ไปขอเค้าๆ ก็ให้แต่ขอตังส์เราด้วยผมเลยไม่เอา แต่ทันใดนั้นก็มีคนเอารถเข็นมาใกล้ๆ กระเป๋าแล้วยกกระเป๋าพวกเราทั้งหมดใส่รถเข็น แล้วเข็นไปคนเดียว ผมก็เลยคิดว่าช่างเถอะให้ไปสัก 20 รูปีก็พอ พวกเราก็เดินตาม ไปจนจะถึงทางเข้าสนามบินทันใดนั้นเองก็มีชาวเนปาลอีกคนวิ่งมาช่วยเข็นกระเป๋าอีก 1 คนรวมเป็น 2 คน พอถึงประตูพวกเค้าไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เค้าจึงหยุดเพื่อขอเงินเราผมก็ให้คนแรกไป 20 รูปี คนที่ 2 ก็โวยผมเพราะผมไม่ได้ให้ แต่ผมไม่สนใจผมจึงเข็นรถกระเป๋าเข้าไปข้างใน แปลกดีครับมาเข็นรถไม่ถึง 5 ก้าวจะมาขอเงินแล้ว หากินกันง่ายดี เล่าให้ฟังเล่นๆ

ก่อนมาได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องภาษีสนามบิน ว่าทุกคนต้องจ่ายที่สนามบิน แต่จะบอกว่าถ้ามาการบินไทย ราคาตั๋วได้รวมภาษีสนามบินเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องไปจ่ายเพิ่มแต่อย่างใด เช็คอินที่นี่จะช้าหน่อยเพราะระบบต่างยังไม่ทันสมัย ได้เวลาพวกเราก็ขึ้นเครื่องกลับบ้านกันหลังจากลุยเนปาลมาตั้ง 10 วัน


สถานที่ต่างๆ ที่พวกเราทั้ง 4 คน ไปเที่ยวในครั้งนี้ ถ้ามากับบริษัททัวร์ จะใช้เวลาประมาณ 7 วันก็พอ แต่พวกเราใช้เวลาทั้งหมด 10 วัน เพราะพวกเราเน้นถ่ายรูปจึงต้องใช้เวลาในแต่ละแห่งนาน ไม่ได้ชะโงกถ่าย ถ่ายแต่ละแห่งให้จุใจไปเลย ถ่ายเสร็จก็กลับหรือไปยังสถานที่ใหม่ๆ แต่ก็มีบางแห่งที่พวกเรายังไม่ได้ไปเยือนเช่น ปาตัน, วัดสยมภูวนาถ, ชิตะวัน, ลุมพินี ฯลฯ เอาไว้มีโอกาสพวกเราคิดว่าจะกลับมาเยือนใหม่ โดยเฉพาะนักส่องนก ที่เนปาลมีนกสวยๆ แปลกๆ เยอะมากๆ



ก็จบเรื่องราวการเดินทางของพวกเราทั้ง 4 คน ทริปตะลุยเนปาล เที่ยวแบบไม่เหนื่อย เที่ยวแบบสบายๆ ผมกับภรรยาหมดไปคนละประมาณ 32,000 บาทรวมทุกอย่าง แต่พี่ชาลีกับทอยหมดไปคนละประมาณ 37,000 บาทเพราะบิน moutian flight

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมเรื่องราวการเดินทางของพวกเรามาตลอดทั้ง 10 วัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่อยากจะไปเที่ยวเอง หรือมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามเข้ามาได้ครับ ยินดีตอบทุกอย่าง ขอบคุณมากๆ รับ




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2552    
Last Update : 19 สิงหาคม 2552 17:45:10 น.
Counter : 8643 Pageviews.  

เท็นเดย์อิน เนปาล. กาฐมาณฑุ

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2552 เข้าสู่วันที่ 9 แล้ว การเดินทางช่างเร็วเหลือเกิน แต่มีคนคิดถึงบ้านแล้วอยากจะกลับบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่คิดว่านี่เป็นการเดินทางครั้งแรกของผมที่ได้อยู่ต่างประเทศนานที่สุดคือ 10 วัน ถามว่าคิดถึงเมืองไทยหรือไม่ ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะว่าทำใจไว้รอแล้วว่าเราต้องไปในครั้งนี้ถึง 10 วัน

โปรแกรมเที่ยวของเราในวันนี้ก็คือ ช่วงเช้าพวกเราจะไปชมสถานที่สำคัญอีกแห่งของเมืองกาฐมาณฑุ ใครมาเที่ยวที่เนปาลมักจะไม่พลาดที่นี่นั้นก็คือ วัดปศุปตินาถ (Pashupatinath Temple) ซึ่งเป็นวัดของศาสนาฮินดู ไปชมพิธีการเผาศพซึ่งเป็นไฮไลค์ของที่นี่ ช่วงบ่ายๆ พวกเราจะไปต่อกันที่ วัดลิง (Monkey Temple) เป็นวัดศาสนาพุทธ ซึ่งวันนี้เป็นวันวิสาขบูชาด้วย ชาวเนปาลจะนับถือหลายศาสนา ศาสนาฮินดู 60% นับถือศาสนาพุทธ 30% นับถือศาสนาอื่นๆ 10%

เช้านี้พวกเราฝากท้องอาหารเช้าไว้ที่โรงแรม ได้เวลาประมาณ 8 โมงกว่าๆ เรียกแท็กซีให้ไปส่งที่วัดฯ ในราคา 400 รูปี จากที่ได้ข้อมูลค่ามาค่าแท็กซี่จะประมาณ 200 รูปีเท่านั้นเพราะอยู่ไม่ไกลจากย่านทาเมล แต่รถแท็กซี่ที่เราให้ไปส่งเป็นรถคันใหญ่นั่ง 4 คนสบายๆ ใช้เวลาจากย่านทาเมลเพียง 15 นาทีก็ถึงบริเวณวัดฯ ในวัดจะมีร้านค้าขายของ


ของที่ขายก็เป็นจำพวกของที่ใช้ไหว้ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของศาสนาฮินดู และของที่ระลึกขายให้นักท่องเที่ยว


สีต่างๆ สวยงามเป็นสีที่ใช้ย้อมผ้า ทำจากพืช ย้อมแล้วสีจะไม่ตกวิธีการย้อมก็คล้ายบ้านเรา นำสีไปผสมกับน้ำอุ่นและเกลือละเลงให้ทั่ว นำผ้าลงไปจุ่มเป็นอันเสร็จ


ในวันที่พวกเราไปเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนาฮินดู ผู้คนมาวัดนี้เยอะมาก มาจากทั่วทุกสารทิศจากฮินเดียก็มี วัดนี้ถือเป็นวัดสำคัญมากๆ อีกวัดหนึ่งของศาสนาฮินดู ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูต้องมาที่วัดนี้สักครั้งหนึ่งของชีวิต บริเวณวัดจะมีการทำพิธีเล็กๆ น้อยๆ เป็นกลุ่มๆ ผู้ร่วมทริปทั้ง 2 ของเราถ่ายชาวฮินดูกำลังสวดมนต์ สังเกตุเลนส์ครับทั้งใหญ่และยาว ขนมาเต็มอัตราศึก


วันที่พวกเราไปเที่ยววัดฯ นี้ ชาวฮินดูเต็มวัดไปหมด นั่งจับกลุ่มทำพิธีกันดูเหมือนกับว่าทำบุญให้กับญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว คล้ายๆ กับทำเช็งเม็งที่บ้านเรา


วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของศาสนาฮินดูเหมือนกันกับ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา จึงมีนักบวชทั้งชายและหญิงมากันเต็มวัดไปหมด


พวกเราได้เดินถ่ายรูปบริเวณรอบวัดฯ เดินชมสินค้าต่างๆ ที่ชาวบ้านนำมาขาย แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเพียงแต่เดินสำรวจตรวจตราเท่านั้น พวกเรามาวัดนี้เพื่อมาชมพิธีกรรมทาวศาสนาฮินดูนั้นก็คือการเผาศพคนตาย ถ้าต้องการเข้าไปเที่ยวชมบริเวณที่มีการเผาศพต้องเสียค่าเข้าคนละ 300 รูปี ที่วัดนี้จะมีการเผาศพตลอดทั้งวัน มองไปจะเห็นควันลอยคลุ้งทั่วบริเวณเผาศพริมแม่น้ำ Bagmati


ใน 1 วันจะมีการนำศพมาทำพิธีที่วัดนี้หลายศพด้วยกัน ศาสนาฮินดูศพจะไม่ใส่โลงศพเหมือนศาสนาพุทธ จะนำศพมาทำพิธีที่ริมแม่น้ำฯ หน้าวัดปศุปตินาถ วัดนี้เป็นวัดของศาสนาฮินดู จึงห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดูเข้าไปภายในบริเวณวัด หน้าประตูจะมี รปภ. เฝ้าอยู่


แม่น้ำฯ นี้ถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวฮินดู เพราะแม่น้ำแห่งนี้จะไหลลงสู่แม่น้ำคงคาที่ประเทศอินเดีย ชาวฮินดูจะกราบไหว้พร้อบกับเอาน้ำมาลูบหน้าลูบหัว พวกเราเห็นบางคนก็นำดื่มกิน เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง เช่นกันเมื่อมีคนตายก็จะนำมาทำพิธีข้างๆ กับแม่น้ำนี้ นำศพมาเคารพแม่น้ำฯ เอาน้ำล้างหน้าศพ เอาน้ำล้างเท้าศพ พวกเรานั่งดูพิธีตั้งแต่มีการยกศพมาที่นี่


เมื่อทำพิธีที่ริมแม่น้ำฯ เสร็จ ก็จะนำศพมาเผาโดยตั้งไม้เป็นเชิงตะกอนแล้วนำศพขึ้นไปวางแล้วทำการเผา ขั้นตอนนี้ไม่มีพิธีอะไรมาก อยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่นเหมือนย่างเนื้อ ศาสนาฮินดูเมื่อมีคนตายต้องทำการเผาภายใน 24 ชั่วโมง เป็นความเชื่อของศาสนา และลูกชายคนโตในตระกูลของผู้ตายต้องโกนหัวเป็นการไว้ทุกข์ด้วยครับ


เมื่อเผาศพเสร็จเรียบร้อย เถ้ากระดูกต่างๆ ก็จะเขี่ยลงแม่น้ำ คล้ายกับการลอยอังคารที่บ้านเรา เป็นอันเสร็จพิธี บริเวณนี้จะเป็นที่เผาศพ จะมีการตั้งเชิงตะกอนเอาไว้เพื่อเตรียมรอศพที่จะมาวางเผา


แม่น้ำ Bagmati สายนี้มีความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญมากของชาวศาสนาฮินดู คงไม่แตกต่างอะไรกับแม่น้ำคงคาที่ประเทศอินเดีย ที่ชาวฮินดูนับถือมาก มีทั้งการนำมาล้างหน้า ล้างเท้า และดื่มกิน


ไม่เพียงแค่นั้นยังมีการชำระล้างสิ่งต่างๆ เช่น การซักผ้า อาบน้ำ แม้กระทั้งเอาน้ำและดินในแม่น้ำมาแปรงฟัน เป็นความเชื่อทางศาสนา


บริเวณข้างๆ แม่น้ำฯ ยังมีสถานที่เที่ยวชมสิ่งต่างๆ อยู่มาก และบริเวณนั้นจะมีผู้รับใช้พระศิวะ นั้นก็คือ Poly Man มานั่งคอยให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วยพวกเราก็ต้องถ่าย ให้ไปคนละ 20 รูปีก็พอ


พวกเรามาถึงวัดฯ ประมาณ 9 โมงเช้า ใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ได้เวลากลับจึงเดินย้อนกลับไปอีกทางเพื่อหามุมถ่ายรูป มุมนี้จะเห็นว่าแม่น้ำเริ่มแห้ง มีน้ำไหลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อนานมาแล้วแม่น้ำสายนี้จะมีน้ำเต็มฝั่งตลอด ช่วงหลังๆ มานี้ไม่ค่อยมีน้ำเท่าไรอาจจะเกิดจากปัญหาโลกร้อน ด้านนี้เป็นปลายแม่น้ำฯ สิ่งที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ จากวัดจะไหลมายังบริเวณนี้ จึงไม่แปลกที่จะมีอะไรลอยน้ำมา


สิ่งต่างๆ ไหลมากองรวมกันเยอะไปหมดตลอดแนวแม่น้ำ


วันนี้อากาศร้อนมากๆ ทำเอาพวกเราเหนื่อยล้าเต็มที่ เดินออกมาบริเวณที่มีขายของที่ระลึกใกล้ๆ กับลานจอดรถนั่งกินน้ำเย็น เจอคุณลุงหนวดงามมองไปมองมาก็หล่อละม้ายคล้าย "ลีโอนาโด ดาวินชี่" เหมือนกันแฮะ พยายามเก็บภาพคุณลุงอยู่นานแต่มือยังไม่นิ่งพอก็เลยมีแต่ภาพเบลอ ๆ (ก็คุณลุงแกเดินเก็บของจากรถเข้าบ้านตลอดเวลาเลย T___T ) แต่พี่ชาลีรัวชัตเตอร์เก็บภาพไว้หลายมุมอยู่ครับ เลยโชคดีไม่พลาดภาพคนที่ประทับใจมาให้ชมกันครับ :)


นั่งพักหลบร้อนได้สักพักพวกเราก็ต้องเดินทางกัน จุดมุ่งหมายของพวกเราต่อไปก็คือ วัดสวยมภูวนาถ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งของเมืองกาฐมาณฑุ และเป็นวัดของชาวศาสนาพุทธ ประกอบกับวันนี้เป็นวันพระใหญ่ด้วยนั้นก็คือวันวิสาขบูชา ได้ข่าวว่าจะมีชาวพุทธนับหมื่นคนมาร่วมทำพิธีต่างๆ ที่นี่ พวกเราก็หวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเข้าไปไม่ได้เพราะคนเยอะมากๆ

ใช้เวลาจากวัดปศุปตินาถประมาณ 30 นาที ก็มาถึงวัดสวยมภูวนาถ เป็นไปตามที่พวกเราคาดไม่มีผิด รถราเยอะมากๆ และทุกที่จะเต็มไปด้วยผู้คน คงถ่ายรูปได้ไม่สะดวก ประกอบกับอากาศร้อนมากๆ พวกเราจึงตัดสินใจไม่ขึ้นไปที่วัด ให้แท็กซี่กลับไปส่งพวกเราที่โรงแรมพักผ่อนเอาแรงไว้ เย็นๆ แล้วค่อยไปเดินถ่ายรูปที Kathmandu Durbar Square ถ่ายเก็บสถานที่ต่างๆ ที่เรายังไม่ได้ถ่าย

กลับถึงโรงแรมพักผ่อนตามอารมณ์ นั่งๆ นอนๆ ไปตามเรื่อง ได้เวลาประมาณ 15.00 น. พวกเราก็ออดเดินทางไปยัง Durbar Square พวกเราให้รถแท็กซี่หน้าโรงแรมไปส่ง จ่ายไป 200 รูปี ถึงด้านหน้าทางเข้าพวกเราก็เดินเข้าไปเลยครับไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู 300 รูปีอีกครั้ง เพราะพวกเราได้แจ้งไว้แล้วโดยเจ้าหน้าที่ออกตั๋วใหม่ให้พวกเราแล้ว แต่ไม่วายจะมีคนเนปาลมาแสดงตัวว่าเป็นไกค์นำเที่ยว และแจ้งพวกเราว่าต้องเสียค่าเข้าคนละ 300 รูปี ผมได้เอาตั๋วให้ดูถึงกับหน้าถอดสีเลยครับ ไม่ได้กินเงินพวกเราหรอกครับ เดินไปก็ได้เริ่มถ่ายรูปมองไปเจอรูปปั่นไม้แกะสลักที่หน้าต่าง เป็นไม้แกะสละรูปพระศิวะ กับพระนางปารวตี มองลงมาด้านล่างเพื่อมองประชาชน


ถ่ายรูปได้ไม่ถึง 10 นาทีพวกเราก็ได้ยินเสียงแตรวงดังขึ้นมา พวกเราก็หันไปดู


อยากจะรู้ว่าเป็นขบวนของงานอะไร มายืนดูเจอคนในขบวนถือธงไม้สูงๆ ไม่รู้มีความหมายอะไร เป็นไม้สูงปลายประดับไปด้วยธงสี และ มีผมทั้งสีขาวและดำอยู่ตรงบริเวณกลางๆ ไม้ คนถือจะเดินควงไม้ตลอดการเดินขบวน


ยืนดูได้สักพักใหญ่ๆ เพราะขบวนยาวมากกกก จึงได้รู้ว่าเป็นขบวนแห่พระพุทธรูป ซึ่งเป็นการแห่ของชาวศาสนาพุทธ เพราะวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ชาวพุทธจะมีการแห่พระฯ ไปให้ทั่วเมืองกาฐมาณฑุ


พวกเราใช้เวลายืนชมขบวนแห่และพร้อมกับถ่ายรูปไปด้วยเป็นเวลานาน หลังจากขบวนแห่ผ่านไปหมด พวกเราต้องสำรวจแผนที่ อีกครั้งว่าจะไปถ่ายรูปที่ไหนดี อร กับ ทอย ทั้ง 2 ช่วยกันดูแผนที่


Durbar Square ประกอบด้วยทั้งพระราชวัง และ วัด ต่างๆ มากมาย


นี่ก็เป็นยอดของวัดๆ หนึ่งใน durbar square


ในบริเวณ durbar square นี้จะมีนักบวชของศาสนาฮินดู มานั่งคอยให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ แต่ทั้ง 2 คน ไม่ใช่นักบวชที่แท้จริงนะครับ เป็นคนที่แต่งกายเลียนแบบ มานั่งรอขอเงินจากนักท่องเที่ยว พวกเราถ่ายเสร็จก็ให้เงินไปคนละ 20 รูปี


มีคนอยากจะขอเดียวบ้างเลยจัดให้


ถ่ายรูปจนทั่วบริเวณ durbar square แล้วพวกเราก็ได้เดินกลับโรงแรม รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายสั่งลา ผู้คนยังเดินเที่ยวกันเยอะมาก แต่พวกเราขอลาก่อน




ผ่านไปแล้วครับ 9 วันในการเดินทางของพวกเราทั้ง 4 คน ในประเทศเนปาล ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางจากทั่วทุกมุมของโลก มายังประเทศนี้ เนปาลมีแห่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆ เยอะมากๆ เช่นพรุ่งนี้พวกเรามี 2 คนที่จะไปชมเทือกเขาหิมาลัย ไปชมยอดเขาเอเวอร์เรส ยอดเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่า สูงที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เดินไปชม แต่พวกเรา 2 คน ก็จะพาไปชมยอดเขาโดยการขึ้น Moutian Flight รอติดตามชมในตอนหน้านะครับ




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2552    
Last Update : 17 สิงหาคม 2552 20:08:25 น.
Counter : 7854 Pageviews.  

เท็นเดย์อินเนปาล. ปักตะปูร์-กาฐมาณฑุ

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2552 เข้าวันที่ 8 ของการเดินทางแล้วครับเร็วจัง ยังมีความรู้สึกว่าเหมือนยังอยู่วันที่ 4-5 อยู่เลย แต่มีใครบางคนคิดถึงบ้านแล้วครับ อยากให้ลองทายดู แต่ขอไม่เฉลยนะครับว่าเป็นใคร

โปรแกรมเที่ยวของพวกเราวันนี้ก็คือ ตึกตี 5 เพื่อถ่ายรูปแสงเช้า สายๆ เดินถ่ายรูปที่บริเวณรอบ Durbar Square เวลา 10 โมงเเช้ออกเดินทางกลับไปยังเมืองกาฐมาณฑุ ช่วงบ่ายๆ ไปเที่ยวถ่ายรูปที่ วัดสวยมภูวนาถ (Bodhanath Stup) อยู่ที่วัดจนค่ำเพื่อรอถ่ายภาพ

วันนี้พวกเราก็ตื่นตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ตี 5 พวกเราขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรม ตัวอาคารโรงแรมจะเป็นตึกค่อนข้างสูงมีดาดฟ้า ทำให้ง่ายต่อการถ่ายภาพบรรยากาศยามเช้าของเมืองปักตะปูร์ บ้านเรือนของชาวเนปาลส่วนมากจะทำจากอิฐแดงดินเผา จึงไม่แปลกที่ประเทศนี้จะมีเตาเผาอิฐเยอะมาก สังเหตุได้จากจะมีปล่องควันสูงมาก เผากันแต่เช้าตรู่


วัดเนียตาโปลา ยามเช้ารับกับแสงอาทิตย์สวยงามมาก ด้านหลังเป็นเทือกเขานากาก๊อต ฝีมือการถ่ายรูปนี้ของพี่ชาลี(พี่ใหญ่แห่งทริปนี้)


ยอดบนหลังคาของวัด Bhairabnath Temple รํบแสงแดดยามเช้าสวยงามมาก



ตัวอาคารบ้านเรือนของชาวเนปาล ทำจากอิฐแดงทั้งนั้น เมืองปักตะปูร์ ในมุมดาดฟ้าโรงแรม


ผมถ่ายภาพบนดาดฟ้าประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เดินลงมาถ่ายรูปวิถีชิวิตชาวเนปาลยามเช้าที่บริเวณตลาดสดหน้าโรงแรม เมืองนี้ได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลก ดูได้จากป้ายที่อยู่ข้างสุ่มไก่ที่ชาวบ้านนำมาขาย ดูแล้วสงสารคป้ายจังเลยครับดูไม่มีคุณค่าเลย


ไม่รู้เป็นอะไรเมื่อผมได้มีโอกาศไปต่างประเทศผมชอบไปดูตลาดเช้าของเมืองนั้นไม่ว่าจะเป็นที่ หลวงพระบาง(ลาว) ปักกิ่ง(จีน) และที่ ปักตะปูร์(เนปาล) ผมว่ามันมีความตลกๆ อยู่ในตัวนะครับ เช่นลีลาการขายของ ลักษณะของสินค้าที่นำมาขาย ตลาดที่นี่ตัวตลาดเช้าไม่มีอาคาร ไม่มีโต๊ะให้วางของที่ขาย ไม่มีรถใส่ของมาขาย ทุกอย่างวางกับพื้นหมด


ผมชอบตลาดที่นี่ตรงที่ไม่หนวกหูเวลาเดินชม ไม่มีเสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเหมือนที่ปักกิ่ง วางของขายเป็นระเบียบดี มีของนิดของหน่อยก็เอามาขาย แถมยังมีแม่ค้ารุ่นเยาว์ นั่งขายพริกกับผักอะไรไม่รู้ ขายแค่ 2 อย่างเท่านั้น


บริเวณตลาดเช้าและหน้าโรงแรมที่พวกเราพัก จะมีวัดฮินดูอีก 1 แห่ง เป็นวัดเล็กๆ มีชาวบ้านมาไหว้กันตั้งแต่เช้าเลยครับ เพราะว่าเมือไหว้เสร็จก็จะมาเคาะระฆังที่แขวนอยู่หน้าวัด ดังตั้งแต่ผมยังไม่ตื่นครับ บริเวญหน้าวัดเช้าๆ จะมีคนมาให้อาหารนกพิราบเต็มไปหมด


พวกเรากินอาหารเช้าที่โรงแรมเสร้จแล้วยังพอมีเวลาที่จะไปเดินถ่ายรูปหรือไปเที่ยวส่วนที่พวกเรายังไม่ได้ไปนั้นก็คือ ไปดูชาวบ้านปั้นเครื่องดินเผา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พวกเราพัก เดินออกจากมากหน้าโรงแรมแล้วให้ไปทางขาวมือ เดินตามถนนไปเรื่อยจากหน้าโรงแรมเดินไปประมาณ 300 เมตรก็จะเจอบริเวณที่ชาวบ้านปั้นหม้อ ปั้นของใช้ต่างๆ ด้วยดิน


เป็นการปั้นดินเผาขายกันทั้งบริเวณหมู่บ้านนี้ หลังจากปั้นเสร็จก็จะนำมาเรียงเพื่อรอตากแดด


ตื่นเช้ามาชาวบ้านก็เริ่มทพงานของตัวเองทันที เก็บรายละเอียดต่างๆที่เหลือของเครื่องปั้นก่อนที่จะนำไปตากแดด


ขั้นตอนการเตรียมดินก่อนที่จะนำมาปั้นต้องมีการอัดดินเป็นแท่งกลมๆ ก่อนโดยใช้เครื่องอัด เพื่อให้ดินแน่นติดกัน


ขั้นตอนนี้คือการนวดดินก่อนเอามาปั้นเป็นสิ่งของต่างๆ


การทำเครื่องปั้นดินเผาแบบนี้กรรมวิธีก็เหมือนบ้านเรา แต่ก็มีสิ่งที่ไม่เหมือนกับบ้านเรานั้นก็คือเรื่องของความเชื่อที่แตกต่างของคนปั้น


หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผานี้ถือเป็นแห่งท่องเที่ยวของเมืองปักตะปูร์เหมือนกัน มักจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเสมอ ขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำเครื่องปั้นไปเผาก็คือการนำออกไปตากแดดให้แห้ง บริเวณลานตากไม่มีเพียงเครื่องปั้นดินเผาเท่านั้นที่ชาวบ้านนำมาตาก ยังมีการนำข้าวฟ่างมาตากด้วย


ถ่ายรูปหมู่บ้านปั้นหม้อเสร็จพวกเราก็มีจุดมุ่งหมายต่อไปก็คือ Durbar Square ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านปั้นหม้อ ระหว่างทางเดินไป


พอสายๆ ชาวบ้านก็เริ่มออกมาตั้งร้านขายของต่าง ร้านนี้เป็นร้านขาย โมโม เป็นอาหารเนปาล ผมชอบกินง่ายดีเหมือนๆ เกี๊ยวซ่า


มาเที่ยวเมืองนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะพบกับร้านขายของที่ระลึกต่างๆ เต็มไปหมด ส่วนเรื่องราคาไม่ทราบครับเพราะว่าไม่ได้เข้าไปถาม


เดินมาเรื่อยๆ ก็ถึง Durbar Square เมื่อวานเย็นพวกเราก็มาถ่ายรูปกันที่นี่ วันนี้พวกเรามากันในตอนสายๆ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ นักท่องเที่ยว ชาวบ้านยังมากันไม่มาก


เดินถ่ายรูปไม่นานพวกเราก็กลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับไปยังเมืองกาฐมาณฑุ ในเวลาประมาณ 10.30 น. ผมได้ติดต่อรถแท็กซี่ไว้เรียบร้อยแล้วให้ไปส่งพวกเราที่ย่านทาเมล ในเมืองกาฐมาณฑุ ค่ารถที่พวกเราเหมาไปคือ 800 รูปี รูปวัดเนียตาโปลา สั่งลาเมืองปักตะปูร์ ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้ง


เมืองปักตะปูร์ อยู่ไม่ไกลจากเมืองกาฐมาณฑุ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงย่านทาเมลแล้ว แต่ที่เนปาลจะมีปัญหาเรื่องรถติดมากๆ และการสร้างถนนยังไม่เสร็จเรียบร้อย ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 นาที เป็นเพราะว่ารถติดมากๆ ที่ทาเมลพวกเราพักโรงแรมเดิมคือ Kathmandu Guest House ราคาเดิมแต่ไม่ได้พักห้องเดิม สภาพห้องดีกว่าห้องเดิมที่พวกเราพักในคืนแรกที่มาถึงเนปาล

เก็บข้าวของเข้าห้องเรียบร้อยเป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คือ Boudhanath Stupa หรือ สถูปโพทนาถ ซึ่งเป็นสถูปพุทธศาสนา มีสถูปเจดีย์ใหญ่ที่สุดในเนปาล เป็นสถานที่สำคัญของชาวพุทธในเนปาล เช่นเดิมวิธีเดินทางในเนปาลจะไปเที่ยวที่ไหนก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งได้เลย ราคาที่พวกเราจ่ายให้คือ 400 รูปี เพราะอยู่ไม่ไกลจากย่านทาเมล

ค่าเข้าไปบริเวณสถูปฯ จะเสียค่าเข้าคนละ 100 รูปี เข้าไปแล้วจะเจอสถูปสีขาวครึ่งวงกลมใหญ่มาก ด้านบนจะเป็นบัลลังล์ 4 ด้านมีรูปดวงตาเขียนไว้ เรียกว่า Wisdom Eyes หรือ ดวงตาธรรม ของพระพุทธเจ้าเฝ้ามองลงมา


บริเวณรอบๆ สถูปฯ จะมีร้านค้าอยู่ตลอดเป็นร้านขายของที่ระลึกต่าง และร้านอาหาร และจะมีวัดธิเบต มีทางเดินที่กว้างไว้ประกอบกิจทางศาสนาในวันสำคัญต่างๆ


ในวันที่พวกเราไปบริเวณนี้ได้มีการประดับประดาไปด้วยธง ริ้วหลายสี เป็นธงสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธในเนปาลซึ่งแตกต่างจากบ้านเราเป็นธงเหลืองมีธรรมจักรอยู่ตรงกลางธง เค้าประดับประดาเพราะวันพรุ่งนี้จะเป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า คือวันวิสาขบูชานั้นเอง จะมีชาวพุทธมารวมตัวกันที่นี่เป็นหมื่นคน เพื่อมาประกอบพิธีทางศาสนา


รอบบริเวณนี้จะมีวัดธิเบตอยู่หลายวัด เพราะเป็นชุมชนชาวธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล จึงไม่แปลกอะไรที่บริเวณนี้จะมีกลิ่นอายของชาวธิเบตอยู่ด้วย กงล้อสวดมนต์ขนาดใหญ่


ที่นี่จะมีสัญญาลักษณ์สำคัญๆ อยู่หลายอย่างเช่น ตัวสถูป วัดธิเบต ชุมชนชาวธิเบต พุทธศาสนิกชน พิธีกรรมทางศาสนา และ แม่ชีชาวธิเบตรูปนี้ ซึ่งอยู่มามานานมากๆ ใครมาที่นี่จะพบเห็นมานั่งอยู่ตรงนี้ประจำ พวกเราได้เห็นรูปแม่ชีรูปนี้ติดไว้ที่ในโรงแรมที่พวกเราพัก ถ่ายเมื่อสักประมาณ 20 ปีที่แล้วได้เพราะหน้าตายังไม่เหี่ยวย่น และใครๆ มาก็จะมาขอถ่ายรูปแม่ชีรูปนี้ประจำ จนแม่ชีกลายเป็นสัญญาลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว


พวกเราเดินถ่ายรูปรอบๆ สถูปฯ แล้วประกอบกับเวลาประมาณ 5 โมงเย็นพวกเราก็หามุมสวยๆ เพื่อรอถ่ายภาพสถูปฯ ภายใต้แสงจันทร์เพราะวันนี้เป็นวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 อีก หนึ่งวันจะถึงวันขึ้น 15 ค่ำซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง แต่วันนี้ก็ใกล้จะเต็มแล้ว พวกเราได้ขึ้นไปนั่งบนชั้นดาดฟ้าของร้านอาหาร มองลงมาด้านล่างจะเห็นมีชาวพุทธมาเดินรอบองค์สถูปฯ เพื่อเป็นการสวดมนต์จะมีชาวบ้านมาเดินกันทุกวัน


ชาวบ้านเดินสวดมนต์กันจนค่ำ ยิ่งค่ำยิ่งมาก พรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้าจะมีชาวบ้านมาเป็นหมื่น


พวกเรามาที่นี่ตั้งแต่เวลาบ่าย 2 โมง พวกเราอยู่กับจนถึงเวลา 19.30น. จึงได้เดินทางกลับ ได้รูปบรรยากาศสถูปฯ มีแสงพระจันทร์เกือบเต็มดวงสาดแสงส่อง สวยงามมาก


เดินออกมาจากสถูปฯ ก็ค่ำแล้วแต่ก็ยังมีรถแท็กซี่จอดรอรับนักท่องเที่ยวอยู่ด้านหน้าทางเข้า พวกเราให้รถแท็กซี่ไปส่งยังโรงแรมย่านทาเมล ราคา 400 รูปี

ก็ผ่านไปแล้วครับ 8 วันเดินทางของพวกเรา ยังเหลือเวลาอีก 2 วันที่พวกเราต้องอยู่ที่เนปาล พรุ่งนี้เราจะพาไปเที่ยวอีกหนึ่งสถานที่ๆ นักท่องเที่ยวชอบไป ทัวร์ชอบลงไปเที่ยว จะเป็นที่ไหนนั้นต้องติดตาม




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 3 สิงหาคม 2552 20:04:58 น.
Counter : 4148 Pageviews.  

เท็นเดย์อิน เนปาล. ปักตะปูร์

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2552 ก้าวเข้าสู่วันที่ 7 ของการเดินทาง ช่างรวดเร็วซะกะไร การเดินทางเกินครึ่งทางแล้ว ถ้านับวันนี้ด้วยเราก็มีเวลาอยู่ที่เนปาลอีก 4 วันรวมวันเดินทางกลับในวันที่ 10 พฤษภาคมแล้ว

เล่าเรื่องของโรงแรม View point Hotel เป็นโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวพักมากที่สุด มีวิวที่สวยงามสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียนะครับ เช่น เป็นโรงแรมที่ค่อนค้างจะเก่าสร้างมานาน อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องก็ดูเก่าไปด้วย ในห้องไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม ไฟฟ้าเปิดปิดเป็นเวลา กลางวันไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ มาๆ ดับๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมถูกใจที่สุดนอกจากทำเลที่ตั้งของโรงแรมนี้ก็คือเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส เปิดเมื่อไรก็ร้อนทันที ร้อนได้ซะใจดีครับ

โปรแกรมของพวกเราวันนี้ก็คือ ตื่นเช้าๆ เพื่อไปรอถ่ายรูป แสงแรกของวัน กับชมบรรยากาศของเทือกเขาหิมาลัย สายๆ ไปเดินถ่ายรูปรอบโรงแรม เที่ยงๆ ออกเดินทางไปยังเมืองปักตะปูร์ พักที่โรงแรมในปักตะปูร์ 1 คืน

เช้านี้อากาศดีมาก พวกเราขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงแรมบริเวณจุดชมวิว พวกเราไปตั้งแต่ยังไม่เช้าเพื่อไปหาทำเลเหมาะ ตั้งขาตั้งกล้องเพราะถ้าสายคนจะเยอะ จะหาทำเลตั้งกล้องลำบาก พวกเราขึ้นมาบนนี้เป็นกลุ่มแรก ตั้งกล้องพร้อมถ่ายแสงแรกของวัน


เช้าวันนี้พวกเรามองเห็นเทือกเขาหิมาลัย แต่ไม่ชัดมากเพราะยังมีหมอกบดบังยอดเขาอยู่ แต่ก็ดีกว่าเมือวานที่ไม่สามารถมองเห็นแนวเทือกเขาได้ พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวออกจากยอดเขา


บรรยากาศยามเช้าของขุนเขากับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้า


อาคารโรงแรมต่างๆ ก็ออกมารับแสงยามเช้าเช่นเดียวกับพวกเรา มองไปไกลจะเห็นยอดเขาคิดว่าน่าจะเป็นยอดเขา Langtang มีความสูงอยู่ที่ 7246 เมตร


ที่นากาก๊อตมีโรงแรม 5 ดาว เหมือนกันะครับก็คือ คลับหิมาลายา เป็นอีกหนึ่งโรงแรมมีที่ชมวิวดี ทุกห้องพักจะมีระเบียงสำหรับชมวิวที่ห้องพักได้เลย


ได้เวลา 7.30 น. อาหารเช้าพวกเราก็ลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเช้าที่นี่ก็จะเป็น ไข่ต้ม ขนมปังปิ้ง กาแฟ ไมโล เท่าที่จำได้มีประมาณนี้ อาหารเช้าไม่ค่อยดีเท่าไรแต่ก็ต้องกินเพราะราคาห้องที่พวกเราพักรวมอาหารเช้าด้วย กินอาหารเช้าเสร็จพวกเราออกไปเดินถ่ายรูปกันรอบๆ โรงแรม เจอชาวบ้านกำลังแบกถังนมแพะไปส่งยังหมู่บ้านนากาก๊อต อยู่ห่างจากที่เราเห็นประมาณ 1 กิโลเมตร


ผุ้หญิงชาวนาปาลี ทำงานหนักไม่แพ้ผู้ชายครับ


กลับโรงแรมนอนเล่น นั่งเล่นเพื่อรอเวลาเช็คเอาร์เวลา 12.00 น. สาเหตุที่พวกเราเช็คเอาร์เวลานี้เพราะไม่อยากไปนั่งรอเวลาเช็คอินโรงแรมที่ปักตะปูร์ พวกเราจ่ายค่าโรงแรมและค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงิน US ที่โรงแรมสามารถเรียกแท็กซี่ไปส่งที่ไหนก็ได้แล้วแต่ตกลง พวกเราให้ไปส่งโรงแรมที่ปักตะปูร์ สนมราคา 800 รูปี ผมว่าค่อนข้างแพง แต่ผมแอบเห็นเจ้าหน้าที่โรงแรมยืนเงินใบละ 500 รูปีให้กับคนขับแท็กซี่ พวกเราโดนค่าหัวคิวแล้ว ครับ ได้เวลาแท็กซี่ก็ไปส่งเราที่โรงแรมในเมืองปักตะปูร์ Bhaktapur จอดส่งหน้าโรงแรมเลยครับ


Bhadgaon Gusethouse เป็นโรงแรมที่ทำเลดีอยู่ติดกับวัดเนียตาโปลา Nyatapola Temple พวกเราให้ทาง View point hotel จองให้ราคาห้องละ 50$US รวมอาหารเช้า โรงแรมนี้ถือว่าหรูครับแต่ทำไมห้องพักกของพวกเราไม่ได้เรื่องเลย เก่ามาก น้ำอุ่นก็ไม่มีถึงมีก็ไม่ค่อยร้อน ห้องแคบๆ เป็นโรงแรมที่พวกเราพักแพงที่สุดแต่ห่วยสุดไม่สมกับราคา บ่นเรื่องที่พักให้ฟังนิดหน่อย เก็บกระเป๋าเสร็จพวกเราก็ไปหาข้าวเที่ยงกินกัน โดยเดินออกมาหน้าโรงแรมแล้วเดินผ่านวัดเนียตาโปลา ชื่อร้านจำไม่ได้แล้วสังเกตุในรูปคือร้านที่มีร่มสีเขียว ในรูปด้านซ้านมือคือวัดเนียตาโปลา


ร้านอาหารจะอยู่บน guesthouse บรรยากาศดี มองออกไปก็จะเห็นโรงแรมที่พวกเราพักตึกสีส้มๆ ส่วนที่เห็นคนนั่งนั้นก็คือร้านอาหาร Nyatapola Cafe ไม่ใช่โบราณสถานนะครับ ตั้งอยู่หย้าวัดเนียตาโบลา


มื้อเที่ยงวันนี้พวกเราสั่งอาหารไม่มากคนละชุดเท่านั้นแล้วแบ่งๆ กันกิน อย่างที่บอกครับสั่งไปแล้วรอไปอีกได้เลย 40นาทีอย่างเร็วถึงจะได้กิน พวกเราสั่ง ข้าวกับแกงเผ็ดไก่ 1ชุด และ ข้าวกับแกงเผ็ดแพะ 1 ชุด และ แกงกะหรี่ไก่กับแป้งชาปะติ 1 ชุด ส่วนก้อนๆ นั้นก็คือ ผักทอด เรียกว่า ปาโกดา เป็นอาหารเนปาล


เรื่องอาหาร ของกินต่างๆ ผมว่าที่เนปาลไม่แพง พวกเรากินมื้อนี้ไม่มากประมาณ 1000รูปี หรือประมาณ 500 บาท ราคานี้รวมค่าเครื่องดืมแล้วครับเป็นน้ำอัดลมหลายขวด กินข้าวเสร็จพวกเราก็เริ่มออกเดินสำรวจเมืองกันเลยครับ โดยมีจุดมุ่งหมายที่แรกของพวกเราคือ Batsala Temple ผมลืมเล่าเรื่องของคาผ่านประตูเข้ามาเที่ยวยังเมืองปักตะปูร์นี้ ราคาคนละ 300 รูปี สำหรับการเที่ยว 1 วัน แต่ผมได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่าเราต้องการอยู่เที่ยว 2 วัน เจ้าหน้าจึงขอดูพาสปอร์ตและทำการเขียนชื่อเราลงในตั๋ว พร้อมกับลงวันที่ในการเข้าเที่ยวว่าหมดอายุวันที่เท่าไร อย่าลืมนะครับถ้าต้องการเที่ยวหลายวันต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อน ระหว่างทางเดินไปยังวัดฯ จะมีร้านขายของตลอดทาง ร้านขายผลไม้ขากลับพวกเรสมาแวะซื้อผลไม้กิน


ผ่านร้านผลไม้ก็จะเจอร้านขายผักสด แต่ไม่ใช่ตลาดสดนะครับ เป็นร้ายขายผัก


แหล่งน้ำสาธารณะ ถือเป็นแหล่งสำคัญมากๆ ของชาวบ้านในเมืองนี้ ลักษณะแห่งน้ำแบบนี้มีมานานมากๆ เป็นที่สำหรับชาวบ้านมาเอาน้ำ ขนน้ำกัลบไปใช้ที่บ้าน ตลอดทางเดินในเมืองผมจะเจออยู่เรื่อยๆ


ไปเรื่อยๆ ชมเมืองไป ถ่ายรูปไป ไม่นานพวกเราก็มาถึงวัด Batsala Temple ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญมากในอดีต เดินไม่ไกลจากวัดเนียตาโปลา ประมาณ 500 เมตร


บริเวณ Batsala temple


ในบริเวณนี้มีสถานที่สำคัญอีกแห่งนั้นก็คือ Peacock Window มีความสำคัญอย่างไรนั้นผมไม่มั่นใจ เพราะเห็นในแผนที่ที่ทางเจ้าหน้าที่แจกจะพูดถึงที่นี่


นักเรียนมัธยมเนปาลเลิกเรียนแล้วไม่รู้ว่าเดินไปไหนกัน แต่งตัวคล้ายๆ นักเรียนอินเตอร์บ้านเรา


ผมจะเล่าเรื่องที่แปลกๆ อีกเรื่องของที่นี่ เจอเด็กขายอะไรไม่รู้ คิดว่าน่าจะเป็นขนม หรือของกินเล่นไม่แน่ใจ วิธีกินของเค้าก็คือ เมื่อมีลูกค้ามาซื้อ คนขายก็จะส่งจานให้ ในถุงพาสติกใสจะมีลูกๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นลูกแป้งทอดกรอบ คนขายจะหยิบลูกแป้งมาแล้วเอามีดผ่าแล้วเอาหอม ผัก ยัดใส่ตรงกลางลูก แล้วเอาลูกแป้งจุ่มลงไปในโหลน้ำจิ้มสีส้มๆ ขอบอกว่าจุ่มทั้งมือนะครับไม่ใช่เฉพาะลูกแป้ง แล้วเอาไปวางบนจานที่ลูกค้าถืออยู่ วิธีกินก็คือ ลูกค้าเอามือหยิบลูกแป้งใส่ปาก ทุกขั้นตอนที่บอกจะใช้มือทั้งหมด ให้สังเกตุมือของคนขายซิครับ ทั้งเล็บและมือจะออกสีส้มๆ เด็ดกว่านี้ก็คือ คนขายเอามือล้วงลงไปในโหลน้ำจิ้มเพื่อหยิบแก้วพาสติกที่จมอยู่ใต้โหลพร้อมกับตักน้ำจิ้มขึ้นมาเอาไปเทใส่จานให้ลูกค้า ในภาพเป็นการยกดืมน้ำจิ้มที่คนขายตักมาให้ อร่อยแค่ไหนดูได้จากเด็กนักเรียน 2 คน ยืนมองตาละห้อย ผมก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าจะอร่อยแค่ไหนแต่มีคนห้ามไว้ และมีพวกเราอีกคนที่เห็นแล้วทนดูไม่ได้ (อยากจะลอง) ไม่ใช่ อยากจะถอย ของกินชนิดนี้มีขายทั่วไปในเนปาล รสชาดออกเปรี้ยวๆ


ยืนดูการขายลูกแป้งทอดไม่นานเพราะมีคนคลื่นไส้ พวกเราจึงเดินต่อเพื่อไป Durbar Square Bhaktapur ต้องเดินย้อนกลับเพราะ Durbar อยู่ใกล้ๆ กับวัดเนียาโปลา แต่พวกเราไม่ได้เดินกลับทางเดิม พวกเราเดินไปอีกทางเพื่อที่จะได้ได้รูปไปเรื่อยๆ สภาพบ้านเมืองของเมืองปักตะปูร์ อาคารจะสร้างด้วยอิฐแดงผสมกับไม้ และถนนในเมืองก็จะปูด้วยอิฐแดง สภาพบ้านเรือนจะเป็นแบบนี้


เดินไปเจอชาวบ้านเอาถัง อุปกรณ์ต่างๆ มารอขนน้ำกลับไปใช้ยังบ้าน ที่เนปาลจะเป็นเช่นนี้ตลอด เป็นเพราะว่าเค้าไม่นิยมเดินท่อน้ำไปถึงบ้าน


ระยะทางไม่ไกลกันจาก Butsala temple ไปยัง durbar Square เดินประมาณ 30 นาทีก็มาถึง Durbar Square Bhaktapur เป็นพระราชวังเก่า เป็นที่ประทับของกษัตรย์เนปาล


บริเวณ durbar ประกอบไปด้วยอาคารต่างๆ ที่สำคัญหลายอาคาร ผมไม่ขอเล่าประวัติความเป็นมาเพราะกลัวข้อมูลผิด จะเล่าเฉพาะที่มีข้อมูล และ เรื่องราวที่ได้พบเห็นเท่านั้นนะครับ บริเวณ Durbar


ประตูวิหารทองคำ หรือ Golder Gate เป็นประตูเข้าสู่วิหารราชวัง ถัดไปจะเป็นพระราชวัง 55 หน้าต่าง หรือ The Palace of 55 Windows ซึ่งเป็นพระราชวังทีเก่าแก่และสวยงามมาก เสียดายพวกเราไม่ได้เข้าไปเพราะที่หน้าประตูทางเข้าจะมีทหารยืนถือปืนอยู่ ในวันที่พวกเราไปเค้าไม่อนุญาตให้เข้า


ภายในบริเวณ Durbar Sauare bhaktapur ไม่กว้าง ไม่แคบ สามารถเดินชมไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นาเกิน 1 ชั่วโมงก็ทั่วแล้ว ประกอบไปด้วยอาคารต่างๆ หลายอาคาร มีความสำคัญแตกต่างกันไป เท่าที่ผมเห็นอีกไม่นานผมว่าจะไม่สวยและจะพังเพราะว่าในบริเวณ durbar นี้ ชาวบ้านสามารถขับรถยนต์ และ มอเตอร์ไซค์ สามารถขับเข้ามาได้ และสถานที่ต่างๆ สามารถปีนขึ้นไปนั่งเล่นได้ ไม่มีกฏข้อห้ามอะไร


ถ่ายรูปได้ไม่นานเพราะใกล้จะมืดค่ำแล้ว แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เช้าพวกเรามีโปรแกรมมาถ่ายรูปที่นี่อีกครั้ง พวกเราเดินกลับไปยังบริเวณวัดเนียตาโปลา ซึ่งอยู่ติดๆ กับ Durbar Square แต่พวกเราเดินอ้อมนิดหน่อยจึงได้รูปนี้มา
บรรยากาศบ้านเมืองปักตะปูร์


เดินมาถึงยังหน้าโรงแรม พวหเราเดินกันเป็นวงกลมคือไปอีกทางกลับอีกทาง เริ่มหิวข้าวก็เลยกินข้าวเย็นกันที่ Nyatapola Cafe ซึ่งอยู่ติดหน้าโรงแรมที่พวกเราพัก พวกเราขึ้นไปนั่งชั้นบนเพื่อให้ได้บรรยากาศ


เวลาขณะนั้นประมาณ 6 โมงเย็นที่เนปาลยังไม่มืด พี่ชาลีสั่งข้าวไก่ทอดใส่ผักต่างๆ หน้าตาน่ากินได้ยินว่าอร่อยด้วย อร่อยหรือไม่ดูสีหน้าของทอยมองข้าวของพี่ชาลีซิครับ


ร้านนี้ปิดร้านประมาณ 1 ทุ่มตรงนะครับ พวกเรานั่งจนร้านปิดก็มืดค่ำพอดี จึงพากันลงมาเดินเล่นบริเวณหน้าวัดเนียตาโปลา ซึ่งบริเวณนี้ก็มีสถานที่ศักดิ์สิทธ์ที่ชาวฮินดูนับถือมากๆ นั้นก็คือ Bhairabnath Temple ตลอดเวลาที่พวกเรานั่งกินอาหารเย็นก็จะเห็นชาวเนปาลมากราบไหว้ พร้อมกับเคาะระฆัง


ข้างๆ วัดจะมีชาวบ้านตั้งวงมีการตีกลอง ตีฉิ่ง ฉาบ ในตอนแรกๆ ผมคิดว่าเป็นการร้องเพลงโชว์นักท่องเที่ยวหรือให้ชาวบ้านฟัง ที่ไหนได้พอเข้าไปดูใกล้จึงได้รู้ว่าเป็นการสวดมนต์


บริเวณวัดเนียตาโปลายามค่ำนั้นจะกลายร่างเป็นตลาดโต้รุ่งเหมือนบ้านเรามีร้ายขายของกินเยอะไปหมดแต่เป็นรถเข็นนะครับ ไม่ใช่เป็นแบบตั้งร้าน มีเป็นสิบๆ คันครับส่วนมากขายของทอด สารพัดของทอด ผมได้แต่เดินดู และ ก็ถ่ายรูป พ่อค้าแม่ค้าเมื่อเจอกล้องก็จะหันมายิ้มครับ ไม่เจอใครดุด่าเลยครับ ต้องขอชมชาวเนปาล


เดินถ่ายรูปและชมวิธีชีวิตชาวนาปาลี ทั้งวันจนเหนื่ยล้า พวกเราก็เข้าโรงแรมนอน เพื่อเก็บแรงไว้ตื่นเช้าๆ เพื่อขึ้นไปดาดฟ้าของโรงแรมถ่ายรูป ยามเช้าเมืองปักตะปูร์ หมดไปอีกวันรวมวันนี้ก็ 7 วันแล้ว

เรื่องราวการเที่ยวเนปาลชองพวกเราทั้ง 4 คน ยังไม่จบนะครับ ยังมีเรื่องราวมาเล่าอีกนะครับ ติดตามต่อนะครับ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 19:01:57 น.
Counter : 5982 Pageviews.  

เท็นเดย์อิน เนปาล. นากาก็อต

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2552 เข้าสู่วันที่ 6 ของการเดินทางแล้วครับ เช้าวันนี้พวกเรายังอยู่ที่เมืองโพคารา วันนี้พวกเรานอนตื่นสายกว่าทุกวันที่ผ่านมา ตื่นกันประมาณ 7 โมงกว่าๆ นอนสบายๆ ไม่ต้องรีบตื่นเพราะวันนี้โปรแกรมเที่ยวของเราที่โพคาราไม่มี มีแต่โปรแกรมเดินทางกลับไปยังเมืองกาฐมาณฑุ(2) แล้วต่อไปยังเมืองปักตะปูร์(Bhaktapur) แล้วเลยขึ้นเขานากาก็อต(3)



ผมตื่นแล้วก็หยิบกล้องขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรม ไปเจอพี่ชาลี ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรียบร้อยแล้ว ขึ้นมาสูดอากาศยามเช้า ยืนส่องนก ส่องเขา ตั้งแต่ยังไม่ 7 โมงเช้า ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลาอาหารเช้า 8 โมงกว่าๆ บรรยากาศยามเช้าบนดาดฟ้าโรงแรม


อาหารเช้าของโรงแรมนี้ไม่ได้รวมอยู่ในค่าห้องนะครับ พวกเราสั่งให้ทางโรงแรมทำอาหารเช้าให้พวกเรา อาหารเช้าก็จะเป็น ออมเร็ต ขนมปัง ไข่ดาว กล้วย ชา กาแฟ ราคาคนละ 150 รูปี วันนี้พวกเราต้องเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศกลับไปยังเมืองกาฐมาณฑุ พวกเราจองตั๋วเครื่องบินไว้ตั้งแต่วันแรกที่พวกเรามาพักที่นี่โดยให้ทางโรงแรมจองให้ราคาคนละ 90$ US ไฟล์เวลา 11.00 น. เวลา 9.30 น. พวกเราก็ได้ให้แท็กซีไปส่งที่สนามบิน ค่าแท็กซี่ 200 รูปี สนามบินอยู่ในเมืองโพคารา ไปถึงก็ไปเช็คอินที่เคาร์เตอร์ของ Yeti airlines เจ้าหน้าที่ก็จะออกตั๋วใบใหม่ให้ พร้อมกับพวกเราต้องจ่ายค่าภาษีสนามบิน


สนามบินของที่นี่ไม่มีเครื่องสแกนกระเป๋านะครับ เค้าใช้คนสแกน เมื่อได้ตั๋วเสร็จแล้วต้องเอากระเป๋าไปเปิดให้เจ้าหน้าที่ดูที่ละกระเป๋า เมื่อตรวจแล้วไม่มีอะไรก็จะติดป้ายให้ผ่านการตรวจแล้ว ผมสังเกตุดูเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยดูเท่าไร ขอให้เปิดเป็นพิธี หลังจากนี้ซิครับก่อนเดินเข้าไปยังห้องผู้โดยสาร จะต้องตรวจทุกอย่างแยกห้องชาย-หญิง เปิดกระเป๋าดูแบบละเอียด ค้นตัวด้วยครับ ถ้าเจอสิ่งของต้องห้ามจะยึดทันที บางคนใช้เวลานานครับ ห้องพักผู้โดยสาร


พวกเราจองไฟล์ 11.00 น. แต่เรามาก่อนเวลาเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเวลาให้เป็น ไฟล์10.00 น. ก็ดีเหมือนกันจะได้ไปเร็วขึ้น ได้เวลาเครื่องบิน Yeti Airlines ที่มาจากกาฐมาณฑุ ก็มาถึงมีผู้โดยสารเต็มลำ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเครื่องบินเติมน้ำมันเรียบร้อยก็เรียกผู้โดยสารขึ้น ตั๋วไม่ได้ระบุที่นั่งใครอยากนั่งตรงไหนก็ได้


เครื่องบินเป็นเครื่องบินใบพัดลำเล็ก จุได้ประมาณ 30 คน เป็นครั้งแรกของผมที่ได้นั่งเครื่องบินใบพัดลำเล็ก เคยนั่งแต่เครื่องบินใบพัดลำใหญ่ของการบินลาว รู้ลึกเสี่ยวๆ เหมือนกัน ผู้โดยสารเต็มลำส่วนมากเป็นฝรั่ง พวกเรานั่งแถวหลังสุด


นั่งประจำที่ก็จะมีแอร์ฯ สาวชาวนาปาลี เดินมาแจกสำลี กับ ลูกอม สำลีมีไว้สำหรับอุดหูป้องกันเสียงดังเครื่องบินครับ


ผู้โดยสารนั่งประจำที่เรียบร้อย เครื่องบินเริ่มออกบินทันที ช่วงที่เครื่องบินเร่งเครื่องเพื่อจะบินขึ้นเสียงของเครื่องยนต์ดังมากๆ แต่พอขึ้นไปได้ระดับแล้วก็ไม่ดังเท่าไร ไม่ต้องใช้สำลีอุดหูก็ได้ ภาพเมื่อโพคารา ลาก่อนเจ้าโพคารา โอกาศหน้าคงได้มาเยือนเจ้าอีกแน่ๆ


นั่งเครื่องบินได้ประมาณ 25 นาทีกำลังดูวิวด้านล่างเพลินๆ ต้องตกใจอย่างแรงเพราะเครื่องบินสั่นทั้งลำ เหมือนตกหลุมอากาศ แถมบินเอียงมากๆ กัปตันประกาศบอกว่ากำลังจะลดระดับลงสู่สนามบินกาฐมาณฑุ ถึงได้รู้ว่าถึงแล้ว สาเหตุที่เครื่องบินสั่นทั้งลำเพราะกัปตันลดระดับพร้อมกับขับเอียงมากเร็วเกินไป แต่ยังลงไม่ได้เพราะสนามบินลานเวย์ยังไม่ว่าง ต้องบินวนถึง 3 รอบ เมืองกาฐมาณฑุ มุมสูง


เครื่องบินใช้เวลาทั้งหมดในการบินจากเมืองโพคารามายังเมืองกาฐมาณฑุประมาณ 30 นาที ลงเครื่องบินก็มีรถมารับไปส่งที่อาคารรับกระเป๋าสัมภาระต่างๆ ซึ่งอยู่นอกอาคารผู้โดยสารในประเทศ หน้าตาสถานที่รับกระเป๋าเป็นเพิงโล่งๆ เจ้าหน้าที่เอากระเป๋า เป้ ต่างๆ มาถึงก็โยนลงบนที่วาง ไม่มีสายพานกระเป๋าเหมือนสนามบินอื่นๆ ของใครอยู่ไหนก็ค้นหากันเอาเอง ผมไปเดินหารถเข็นกระเป๋าปรากฏว่าไม่มี เพราะคนรับจ้างเข็นกระเป๋าชาวเนปาลเอารถเข็นไปหมดแล้ว เราจึงจำเป็นต้องจ้าง ผมจ้างมายกกระเป๋า 2 คน 2 คัน ให้ไปส่งที่ลานจอดรถแท็กซี่ ผมให้ไปคนละ 50 รูปี เป็นจบกัน


เวลาขณะนั้นประมาณ 11 โมงกว่าๆ จุดมุ่งหมายของพวกเราคือ ยอดเขานากาก็อต ซึ่งอยู่เลยเมืองปักตะปูร์ ไปประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นอีกหนุ่งยอดเขาที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมแนวเทือกเขาหิมาลัย สามารถมองเห็นยอดเขา Everest ไกลลิบๆ พวกเราเหมารถให้ไปส่งในราคา 1200 รูปี ไปส่งอย่างเดียวนะครับ เป็นรถตู้เล็กๆ นั่งได้ 4 คนพอดี ทางขึ้นยอดเขานากาก๊อต เป็นถนนเล็กๆ ระหว่างทางขึ้นก็จะมีหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ตลอดทาง


ระหว่างทางขึ้นเขานากาก็อต สองข้างทางจะเป็นท้องนาช่วงที่พวกเราไปกันเป้นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวกันพอดี ภูมิปัญญาของชาวเนปาลคือการเอาต้นข้าวที่เกี่ยวแล้วแต่ยังมีไม่ได้ตีให้เมล็ดข้าวร่วง เอามาวางเรียงรายบนถนนให้รถที่วิ่งผ่านทับลงไปที่ต้นข้าว เมล็ดข้าวก็จะร่วงหล่นบนถนนแล้วชาวบ้านก็จะมาเก็บอีกที เป็นวิธีที่ไม่ต้องตีข้าวเหมือนชาวนาบ้านเรา แต่ชาวนาบ้านเราใช้วัว ควาย ในการเดินเหยีบบย่ำวิธีก็คล้ายๆ กัน พวกเราจอดถ่ายรูปกันบ้างระหว่างทาง


ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ จากสนามบิน พวกเราก็มาถึงโรงแรมที่ได้จองไว้ในตอนเช้าของวันนี้เอง โดยการโทรมาจอง ไม่ได้จองมาจากเมืองไทยสาเหตุที่ไม่ได้จองมาจากเมืองไทยเพราะว่า ทางโรงแรมไม่ได้ตอบรับการจองของผมทางอีเมล์ ทั้งทีผมส่งเมล์มาจองประมาณ 6-7 ครั้ง ก็ไม่มีเมล์ตอบรับมาแม้แต่ครั้งเดียว พวกเราเลยใช้วิธีโทรมาจอง View Point Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดของนากาก๊อต เป็นที่นิยมมากของชาวต่างประเทศ ราคาที่พวกเราจองมาก็คือ 45$US รวมอาหารเช้าด้วย เป็นห้อง Standard


เข้าเช็คอิน เก็บกระเป๋าเข้าห้องพักเรียบร้อยพวกเราก็ไปกินอาหารเที่ยงกันที่ห้องอาหารของโรงแรมอยู่ชั้นบนวิวดีมากๆ มองได้รอบๆ แต่วันที่พวกเราไปฟ้าไม่เป็นใจหมอกยังคงหนาเหมือนเดิมมองเห็นได้ในระยะที่ไม่ไกล นั่งกินอาหารเที่ยงเสร็จพวกเราเริ่มออกมาตั้งกล้องเพื่อถ่ายวิว และ นก ภาพนี้ถ่ายจากระเบียงห้องที่พวกเราพัก อยู่ในมุมดีมากๆ


วิวอีกมุม ถ่ายจากระเบียงห้องที่พักเช่นกัน ฝีมือการถ่ายของพี่ชาลี


ภาพนาขั้นบันไดบนยอดเขานากาก๊อต ช่วงที่พวกเราไปเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวไปแล้ว จึงเห็นแต่ที่นาแล้งๆ ถ่ายจากระเบียงห้องเช่นกัน


ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ นั่งพักผ่อนสบายอารมณ์ สูดอากาศเย็นๆ สดชื่นดีครับ โรงแรมนี้มีดีอีกอย่างก็คือ มีดาดฟ้าโรงแรมที่สูงสามารถขึ้นไปถ่ายรูปวิว และชมเทือกเขาหิมาลัยได้มุม 360 องศา ภาพนี้ด้านหลังโรงแรม


พี่ชาลีกับทอยก็นั่งอยู่ที่ระเบียงถ่ายรูปนกกันไป ส่วนผมแอบไปนอนหลับพักเอาแรงในห้อง ส่วนอีกคนคืออรนั่งทำงานอยู่ในห้องทำ power point ในการไปเที่ยวแต่ละครั้งผมจะพกพา netbook ไปด้วยทุกครั้งเพื่อใช้หลายด้านด้วยกันคือ เอาไว้ copy รูปจาก CF Card กล้อง ใช้หาข้อมูลในการเดินทางในบางครั้ง ใช้โทรศัพท์ผ่าน Internet และใช้อีเมล์เมื่อจำเป็นหรือมีงานด่วน มีไว้ก็สะดวกหลายอย่างดีครับ พอได้เวลา 5 โมงเย็นพวกเราก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรม รูปนี้ถ่ายจากดาดฟ้าของโรงแรม จะเห็นระเบียงห้องของพวกเราสังเกตุจากเห็นกล้องพี่ชาลีตั้งอยู่ที่ระเบียง


บนดาดฟ้าของโรงแรมนี้จะเป็นจุดสูงที่สุดของยอดเขานากาก็อต สามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ตลอดทั้งแนว แต่ในวันนี้ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะหมอกหนาไปหน่อย บนนี้จะมีป้ายบอกตำแหน่งของยอดเขาด้วย


มองจากดาดฟ้าของโรงแรมจะเห็นมีอีกหลายโรงแรมบนเขานากาก็อตเปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก


พวกเราถ่ายรูปอยู่บนดาดฟ้า ก็ได้มีน้องสาวๆ ทั้ง 7 คน ขึ้นมาถ่ายรูปชมวิว พร้อมพวกเราอยู่บนดาดฟ้า น้องสาวทั้ง 7 คน มาถึงโรงแรมนี้ก่อนพวกเรา ถ่ายรูปกันได้ไม่นานก็เริ่มจะมืดค่ำ ลมแรงด้วย อากาศหนาวนิดหน่อย พวกเราทั้งหมดจึงได้กลับลงมาแยกย้ายกันเข้าห้อง


ได้เวลา 1 ทุ่มตรงพวกเราก็ไปกินอาหารเย็นกันที่ห้องอาหารของโรงแรม วันนี้นมีนักท่องเที่ยวผมสีทองเยอะมากๆ เต็มโรงแรม มีผมดำคือคนไทยเราเท่านั้น


อาหารของนักท่องเที่ยวส่วนมากที่มาพักที่นี่จะเป็นบุฟเฟ่ต์ ส่วนของพวกเราเป็นการสั่งต่างหากไม่ได้สั่งแบบบุฟเฟ่ต์เพราะพวกเราไม่ได้มาแบบกรุ๊ปทัวร์ อยากจะบอกคนที่มาเที่ยวเนปาลเองนะครับว่า ในการสั่งอาหารต้องสั่งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง คือถ้าเราต้องการกินข้าว 1 ทุ่มตรงก็ต้องมาสั่งไว้เมื่อเวลา 6 โมงเย็นหรือก่อนหน้านั้น แล้วแจ้งกับเค้าว่าเราต้องการกินเวลาเท่าไร ถ้าไม่ทำเช่นนี้จะรอนานมาก เป็นทุกร้านนะครับจะบอกให้ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมคนเนปาลทำอาหารนานมาก พวกเราจึงสั่งไว้เมื่อเวลาก่อน 6 โมงเย็น มาถึงก็จะเห็นอาหารตั้งรออยู่แล้ว พิซซ่าหน้าเห็ด ผมชอบมาก


ชามนี้เป็นบะหมี่น้ำของแท้ๆ เป็นเส้นหมี่ที่ทำจากไข่ ก่อนหน้านี้ที่โพคาราพวกเราสั่ง Noodle เค้าจะเอาเส้นมาม่าแล้วเติมน้ำร้อนมาให้เรากิน แต่คราวนี้ของแท้มีผักด้วย


ส่วนชามนี้เป็นอาหารอินเดียแท้ๆ คือ แกงกระหรี่ไก่กินกับแป้งชาปะติ อร่อยดีมาก


ก่อนมาเนปาลพวกเราทำใจเรื่องอาหารว่าจะกินกันไม่ได้ ผ่านไปได้ 6 วันพวกเราอร่อยกับอาหารเนปาลมากๆ กินกันได้อร่อยถูกใจทุกคนไม่มีใครบ่นเรื่องอาหารของที่นี่ กลัวจะเหม็นกลิ่นเครื่องเทศ ผมว่ามีกลิ่นเหมือนกันแต่ไม่แรงมากเหมือนที่อินเดีย



ผ่านไปแล้วครับ 6 วันของการเดินทาง วันพรุ่งนี้เช้าพวกเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอดูแนวเทือกเขาหิมาลัย ในยามเช้า แต่ไม่รู้ว่าจะได้เห็นหรือไม่ สายๆ พวกเราก็จะลงจากเขานากาก็อตเพื่อไปยังเมืองปักตะปูร์ เมืองนี้เป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญของเนปาล เป็นเมืองมรดกโลกด้วย จะมีอะไรบ้างนั้นต้องรอชมครับ




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 10:33:37 น.
Counter : 4643 Pageviews.  

1  2  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.