Mega Trend by ดร.นิเวศน์

เป็นบทความที่น่าสนใจมากๆครับ ^^
นำมาจาก

//portal.settrade.com/blog/nivate/2012/02/06/1097


ในการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การรู้ว่าอะไรเป็น Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ของสิ่งต่าง ๆ ในโลก หรือถ้าพูดถึงการลงทุนในประเทศไทยก็คือ แนวโน้มของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแนวเดียวกับแนวโน้มของโลก ผมเองไม่ได้เป็นคนที่มองเห็น “อนาคต” ดีกว่าคนอื่น

แต่ผมชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น รวมถึงตนเองว่า เราเคยทำอะไรและทำอย่างไรในอดีต และตอนนี้ทำอะไรแทน นอกจากนั้นผมก็ศึกษาพฤติกรรมของคนชาติอื่นที่ร่ำรวยกว่าเราว่าเขาทำอะไรมาก่อน เพราะผมเชื่อว่าในไม่ช้า เมื่อเรารวยเท่าเขา เราก็จะทำเหมือนกับเขา ผลก็คือ ผมก็จะมีไอเดียว่า Mega Trend ของเรามีอะไรบ้าง และต่อไปนี้ก็คือความคิดของผม

เริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือเรื่องของอาหารการกิน ผมคิดว่าคนไทยกินอาหารนอกบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลสำคัญก็คือ อาหารนอกบ้านในวันนี้ไม่ได้ “แพง” เหมือนในสมัยก่อน นี่ก็พูดโดยเปรียบเทียบกับเงินเดือนของคนทั่วไป และเทียบกับราคาอาหารที่ทำกินเองที่บ้าน อาหารที่เรากินนั้น ดูเหมือนว่าจะกินในภัตตาคารที่เป็นอาหารต่างชาติค่อนข้างมากโดยเฉพาะที่เป็นอาหารญี่ปุ่น หรือฟาสฟูดแบบอเมริกัน เทรนด์กินอาหารนอกบ้านนั้น ผมคิดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีกนาน

ส่วนร้านอาหารหรือภัตตาคารที่เรากินนั้นก็มีแนวโน้มว่าเราจะเลือกกินจากร้านที่เป็นเชนหรือเครือข่ายมากกว่าร้านเดี่ยว ๆ ซึ่งมีความเสียเปรียบในหลาย ๆ ด้าน นอกจากการกินในภัตตาคารแล้ว อาหารกล่องและอาหารถาดทั้งหลายก็น่าจะเป็นเมกาเทรนด์ที่จะมีการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลเดียวกัน

อาหารประเภทหนึ่งที่ผมคิดว่าคนไทยกินมากขึ้นเรื่อย ๆ มายาวนานก็คือ เบเกอรี่ นี่เป็นขนมหรืออาหารว่างที่อร่อย สะดวก และราคาก็เรียกว่า “ถูกลง” เรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับรายได้ของคนไทย การเกิดขึ้นของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ติดเครื่องปรับอากาศทำให้การกระจายสินค้าเบเกอรี่ทำได้กว้างขวางขึ้นและน่าจะทำให้อาหารเบเกอรี่เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ในด้านของเครื่องดื่ม ผมคิดว่าน้ำอัดลมนั้นมีการบริโภคลดลงเช่นเดียวกับเหล้า ตรงกันข้าม น้ำประเภทอื่นที่ไม่อัดลม เช่น กาแฟ ชาเขียวหรือน้ำขวดน่าจะมีอัตราการบริโภคสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเบียร์ที่ผมคิดว่าคนบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนบุหรี่นั้น ผมคิดว่าคนคงลดการสูบลงอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ลดการสูบลงไปมาก

การใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือที่เป็น Smart Phone นั้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็น Mega Trend ที่จะมาค่อนข้างแรง เพราะนี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นและสะดวกสบายสำหรับ “ชีวิตสมัยใหม่” นอกจากนั้น ราคาของการใช้ก็ “ถูก” ลงเรื่อย ๆ ผลต่อเนื่องมาก็คือการขายบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น หนังสือ E-Book เพลง และอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มมากขึ้นแม้ว่าจะยังไม่มีนัยสำคัญมากนักในตลาดเมืองไทย

อย่างไรก็ตาม การซื้อสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเองนั้น ยังไม่น่าจะเรียกว่าเป็น Mega Trend ได้ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยสามารถซื้อสินค้าได้ค่อนข้างสะดวกมากตามห้างร้านที่อยู่ไม่ไกลบ้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราชอบเห็นและจับต้องของที่ต้องการซื้อและอยากได้มันทันทีมากกว่าที่จะต้องรอสินค้าที่เห็นในคาตาล็อก

การเดินทางในกรุงเทพนั้น นับวันคนจะใช้รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในอนาคตที่จะมีการสร้างเส้นทางเดินรถมากขึ้น จำนวนคนใช้บริการก็จะเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ห้างและคอนโดมิเนียมที่อยู่ตามเส้นทางหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลก็คือ นอกจากความสะดวกและประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว ราคาค่าบริการก็ต้องถือว่า “ลดลง” เรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเงินเดือนของคนทำงาน ผมยังเชื่อว่าเมื่อโครงข่ายเดินรถใหม่ ๆ สร้างเสร็จ รัฐบาลจะรวมโครงข่ายทั้งหมดหรือหลาย ๆ เส้นทางเข้าด้วยกันในการคิดค่าโดยสาร ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้าถูกลงมหาศาลและจะส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโตขึ้นแบบก้าวกระโดดซึ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้านี้เหมือนอย่างในประเทศที่พัฒนาแล้ว

ห้างร้านที่เป็นศูนย์การค้ามีทุกอย่างให้เลือกซื้อในที่เดียวกันนั้นผมคิดว่าก็ยังเป็น Mega Trend ต่อไป แต่ที่จะขยายตัวไปมากกว่าก็คือในต่างจังหวัด เพราะกรุงเทพเองนั้น ดูเหมือนว่าใกล้จะอิ่มตัวแล้ว การขยายตัวน่าจะเป็นคอมมูนิตี้มอลซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กที่เน้นชุมชนใกล้เคียงเป็นหลัก ในส่วนของห้างประเภท Discount Store หรือแม้แต่ห้างอย่างอื่นที่เป็นประเภท Super Store ทั้งหลายนั้น แนวโน้มดูเหมือนว่าขนาดของห้างจะเล็กลงมากกว่าที่จะใหญ่ขึ้น เหตุผลคงเป็นเรื่องของความคุ้มค่าที่เริ่มค้นพบว่าขนาดของร้านที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นอาจจะเกินความจำเป็น อีกส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ข้อจำกัดทางด้านของผังเมืองที่ห้ามการสร้างร้านที่ใหญ่มากในทำเลใกล้ชุมชนด้วย

ธุรกิจการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้นดูเหมือนว่าจะใช้เท็คโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้งานมาตรฐานต่าง ๆ เช่นการฝากหรือถอนเงินนั้นถูกทำผ่านเครื่องเป็นหลัก พนักงานแบงค์ถูกใช้ไปทำงานที่มีความซับซ้อนหรือที่ต้องอาศัย “คน” ในการชักชวนลูกค้าเช่น การขายประกันชีวิต ขายกองทุนรวม และอื่น ๆ

ธุรกิจความสวยงาม เฉพาะอย่างยิ่งการทำศัลยกรรมและตกแต่งใบหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น ก็น่าจะยังเป็น Mega Trend ต่อไปอีก เหตุผลก็คือเรื่องของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงมาก บวกกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น นี่ทำให้สาวจำนวนมากและรวมถึงหนุ่มสมัยใหม่บางส่วน เข้าไปใช้บริการคลินิกเสริมสวยเป็นประจำและเพิ่มขึ้น

คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง Mega Trend ต่าง ๆ ได้หมด ประเด็นก็คือ เราต้องการรู้ว่าธุรกิจอะไรจะเติบโตและอะไรจะถดถอยในระยะยาว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เราต้องสังเกตว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ นั่นก็คือ ขั้นแรกเราต้องดูเสียก่อนว่าตลาดที่โตขึ้นนั้น มันได้ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากเสียยิ่งกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ต้องระวังว่าบริษัทที่อยู่ในธุรกิจโดยรวมแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ตรงกันข้าม ถ้าการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ค่อนข้างยาก แบบนี้บริษัทที่มีอยู่เดิมก็จะได้ประโยชน์ ขั้นตอนต่อมาก็คือ เราต้องดูว่าใครหรือบริษัทไหนเป็น “ผู้ชนะ” นี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรายเดียว ผู้ชนะในธุรกิจอาจจะมีได้หลายราย แต่โดยทั่วไปผมคิดว่ามีไม่เกิน 2-3 ราย ผู้ชนะนั้นสิ่งสำคัญที่จะดูก็คือ เป็นบริษัทที่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง ที่สำคัญก็คือ มองไปในระยะยาวแล้วบริษัทสามารถแข่งขันได้ในตลาดเนื่องจากบริษัทมีจุดเด่นหรือจุดแข็งบางอย่างที่คู่แข่งไม่สามารถทำลายได้ง่าย แน่นอน ผู้ชนะแต่ละรายมีดีกรีที่ต่างกัน บางบริษัทนั้นเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาดเหนือคู่แข่งมาก ซึ่งก็ทำให้บริษัทมีคุณค่าทางธุรกิจสูงมาก บางบริษัทอาจจะชนะแต่ก็เป็นการชนะที่ไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งมากนัก แบบนี้คุณค่าของธุรกิจก็จะไม่มากนัก ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เราก็ต้องไปดูราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงแค่ไหนเทียบกับคุณค่าที่เราเห็น และนี่ก็คือการลงทุนแบบ VI ที่มองระยะยาวและเล่นกับ Mega Trend



Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2555 11:07:16 น.
Counter : 541 Pageviews.

1 comment
NVDR คืออะไรเอ่ย
เอ็นวีดีอาร์ คืออะไร

NVDR มาจากคำว่า Non-Voting Depository Receipt เป็นตราสารเพื่อการลงทุนชนิดหนึ่งที่ออกโดยบริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของตลาดหลักทรัพย์

วัตถุประสงค์ของการมี NVDR นั้นมีไว้เพื่อลดข้อจำกัดของการเข้าลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมักจะมีการกำหนดสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์โดยผู้ลงทุนต่างประเทศ (Foreign Holding Limit) ซึ่งหากผู้ลงทุนต่างประเทศได้ลงทุนเต็มอัตราส่วนนั้นแล้วก็ไม่สามารถถือครองเพิ่มได้อีก (ส่วนมากถ้าถือครองก็จะถือแบบไม่ปิดโอน) และไม่สามารถปิดโอนเป็นชื่อผู้ลงทุนต่างประเทศได้ ทำให้เสียสิทธิต่างๆที่ควรจะได้เช่นเงินปันผล


//www.thanachartfund.com/webboard/question.asp?QID=434


NVDR เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้คนต่างชาติสามารถซื้อหลักทรัพย์ไทยได้เกินเพดานที่กำหนด โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าใครก็ตามที่ซื้อหุ้นผ่าน NVDR จะไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น (NVDR ออกเสียงให้แทนมั้ง) แต่มีสิทธิ์รับเงินปันผลและสิทธิ์อื่นๆเช่นวอแรนต์เหมือนผู้ถือหุ้นปกติทุกประการ


//www.investorchart.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=324512&Ntype=3

NVDR หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัทย่อยที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้น ซึ่งคือ "บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด" (Thai NVDR Company Limited) โดยมีลักษณะเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยอัตโนมัติ (Automatic List) วัตถุประสงค์หลักของ NVDR คือเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งช่วยให้ชาวต่างประเทศลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนได้โดยไม่ติดเรื่องเพดานการถือครองหลักทรัพย์ของชาวต่างชาติ (Foreign Limit) พร้อมทั้งสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ทางการเงิน เช่น เงินปันผล และสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียน

นอกจากนี้ NVDR ยังช่วยขจัดปัญหาของผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศบางประเทศที่ไม่สามารถลงทุนในหน่วยลงทุน ซึ่งรวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนซึ่งเป็นคนต่างด้าว (Thai Trust Fund : TTF) ได้


หมายเหตุ:ผมเองจะดู NVDR เมื่อ บริษัทเหล่านั้น ต่างชาติถือครองหุ้นจนเต็มสิทธิแล้วครับ(ดูได้จากหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจฉบับทุกวันจันทร์ครับ)

ผมจะดูผ่าน link นี้ครับ

อันนี้เป็นหุ้นรายตัว
//www.set.or.th/static/nvdr/nvdr_stockvol_1_1.html

อันนี้ไล่ตาม % และสามารถ click รายละเอียดที่อยากดูเพิ่มเติมได้อีกครับ
//www.set.or.th/set/nvdrbystock.do?filename=nvdr_stockvol_3_1



Create Date : 05 ธันวาคม 2552
Last Update : 5 ธันวาคม 2552 11:30:10 น.
Counter : 1369 Pageviews.

0 comment
clip การประชุม โดย 3 guru ของ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจครับ
//www.bangkokbiznews.com/2008/09/29/WW77_7725_vdo_297130.php

ลงทุนอย่างมีสติ ตั้งเป้าหมายให้เหมาะสมกับตนเอง
และมีความสุขกับการลงทุนทุกท่านครับ



Create Date : 29 กันยายน 2551
Last Update : 29 กันยายน 2551 21:19:21 น.
Counter : 330 Pageviews.

0 comment
โลกในมุมมองของ Value Investor
มาแนะนำ บทความของ ดร.นิเวศน์ครับ
ท่านมีบทความดีๆมากมาย
ผู้สนใจลอง click อ่านดูนะครับผม

มีความสุขกับการลงทุนหุ้นคุณค่าครับ

บัฟเฟตต์พูด

//www.thaivi.com/article/value-investor/407-.html


สัญญาณเตือน

//www.thaivi.com/article/value-investor/405-.html

VI กำสรวล

//www.thaivi.com/article/value-investor/456-vi.html

- ตั้งสติทุกครั้งก่อนการลงทุน
- ควรแบ่งเงินเพื่อการใช้จ่าย (จ่ายให้ตัวเอง) แบ่งใช้หนี้(ถ้ามี)
แล้วนำส่วนที่เหลือมาลงทุนในทรัพย์สินที่คุณถนัด
(Apllied freom "The Richest Man in Babylon")



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 8:53:34 น.
Counter : 313 Pageviews.

0 comment
สิ่งที่ได้เรียนรู้หลังหุ้นลงเนื่องจากปัญหาsubprime โดยคุณIH
ที่มาครับผม

////www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?p=371850#371850

ขอบคุณคุณ Invisible Hand และคุณ ขาว มากๆนะครับผม

สิ่งที่เราได้เรียนรู้หลังเหตุการณ์หุ้นลงอันเนื่องจากปัญหา subprime และเหตุการณ์การลงทุนอื่นๆ กระทู้นี้ไม่ได้เน้นข้อสังเกตเป็นวิชาการอะไรนัก เป็นข้อสังเกตเอาไว้อ่านสนุกๆ กันนะครับ

1 เวลาหุ้นลงก็จะมีข่าวร้ายเต็มตลาด แต่ถ้าหุ้นขึ้นกลับมานักลงทุนก็พร้อมจะลืมข่าวร้ายนั้นไป

2 นักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะมี volume ซื้อขาย 30-40% ของตลาด แต่ก็สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ ตัวเลขการซื้อขายต่างชาติครึ่งวันเป็นตัวเลขที่สำคัญกว่าตัวเลข GDP ตัวเลขเศรษฐกิจ ธปท. ทุกสิ้นเดือน หรือการเพิ่มขึ้นการส่งออกของประเทศในแต่ละเดือนไปเสียแล้ว เพราะอย่างหลังมันไม่เคยทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แต่อย่างไร การซื้อขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ ก็ทำให้เราซื้อหุ้นบางตัวได้ถูกกว่าที่คิดได้ หรือขายหุ้นบางตัวแพงกว่าที่คิดได้

3 การซื้อหรือขายหุ้นแบบแบ่งไม้หรือหลายๆ order ก็ลดผลกระทบของโชคชะตาได้ เพราะมีบ่อยครั้งที่เราอาจจะพลาดการซื้อหรือขายหุ้นเพราะตั้งซื้อหรือต่ำไปหรือขายสูงไปเพียง 1 step โดยไม่ได้กระจาย order แล้วบอกว่าโชคไม่ดี ผมคิดว่าเราสามารถเอาชนะโชคชะตาในเรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก การตั้งซื้อหรือขายที่เลขกลมๆ เช่น 0 5 อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หลายๆ ครั้งที่เสื้อตัวละ 99 บาทจะขายดีกว่าเสื้อตัวละ 100 บาททั้งๆ ที่ราคาต่างกันเพียง 1 บาท

4 การตั้งซื้อหุ้นไว้พอหุ้นใกล้ลงมาถึงแล้วถอน หรือตั้งขายไว้พอหุ้นขึ้นใกล้ถึงแล้วถอน ให้ลองถามตัวเองว่าตอนนี้เรามีเวลาในชีวิตมากเกินไปที่จะทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์เช่นนี้เชียวหรือ หรือกำลังฝึกทักษะการ key คอมฯ ของเราหรือ marketing ถ้าเราทำเช่นนี้ประจำก็อย่าไปต่อว่าคนดูละครน้ำเน่าตอนกลางคืนว่าไร้สาระเพราะเรากำลังทำเรื่องไร้สาระยิ่งกว่าเสียอีก

5 การดู bid offer นานเกินไปบางครั้งอาจจะทำให้เราไม่กล้าซื้อหรือขายได้ หุ้นขาลง bid-offer และการเคาะแต่ละไม้ชวนให้เคาะขายตามอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน ในหุ้นขาขึ้นก็เช่นกัน

6 หุ้นบางตัวเมื่อตลาดปรับลงมา เมื่อตลาดขึ้นกลับอาจจะขึ้นได้สูงกว่าเดิม แต่หุ้นบางตัวลงแล้วลงเลยไม่กลับมา การเลือกซื้อหุ้นในตลาดขาลงนอกจากจะพิจารณาหุ้นที่ลงมาเยอะเป็นพิเศษ แต่เราจะต้องเลือกพื้นฐานของหุ้นด้วย ถ้ายังไม่ชำนาญหรือเกรงว่าทำได้ไม่ดี การซื้อ TDEX ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า

7 บางครั้งความคิดที่รอต่างชาติหยุดขายแล้วค่อยซื้อหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้ผลทุกครั้งไป หลายๆ ครั้งหุ้นจะใกล้ๆ จุดต่ำสุดเมื่อต่างชาติเพลาการขายลง

8 นักลงทุนในประเทศหลายๆ คนที่ขายหุ้นเพราะกลัว subprime จริงๆ แล้วไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกว่าปัญหา subprime มันเป็นยังไง แต่การบอกคนอื่นๆ ว่าขายหุ้นเพราะ subprime นั้นย่อมดูดีกว่าการขายหุ้นเพราะตกใจกลัวแน่นอน

9 FED มีการลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษที่ไม่ต้องรอวาระการประชุมครั้งต่อไป แต่ธนาคารกลางบางประเทศไม่ค่อยมีความคิดจะทำเช่นนั้น ธนาคารกลางสหรัฐสามารถลดแรงกระแทกจากปัจจัยร้ายๆ ได้หลายต่อหลายครั้งแต่ธนาคารกลางบางประเทศหลายๆ ครั้งเพิ่มแรงกระแทกให้กับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในประเทศ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมเงินเดือนผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐและคณะกรรมการ FED สูงกว่าผู้ว่าธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ

10 อย่าเผลอไปถามใครแม้ว่าจะคิดว่าคนนั้นมีประสบการณ์การลงทุนมาก ว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลงต่อ เพราะถ้าคำตอบที่ได้นั้นแม่นยำ หมอดูชื่อดังคงมานั่งห้องค้ากันหมดแล้ว คงจะไม่ต้องเหนื่อยไปทำนายว่าดาราเค้าจะเลิกกันให้ถูกดาราเหล่านั้นด่ากลับออกหน้าหนังสือพิมพ์ และไม่ควรถามว่าทำไมหุ้นตัวนั้นๆ ถึงลงหรือหุ้นที่เค้าแนะนำให้เราลงทุนนั้นจะขึ้นไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ เว้นเสียว่าเราเชื่อได้ว่าเค้าจะเป็นผู้ทำราคาหรือเราอยากช่วยฝึกความอดทนและการข่มจิตข่มใจของเค้า

11 หมอดูนั้นขายได้ทุกสถานการณ์จริงๆ เพราะผมเคยเห็นรายการ TV ที่เชิญหมอดูมาดูดวงให้สุนัขของดารา

12 การที่เราฟังนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ถ้าหลุด 10 บาทจะมีสิทธิลงไป 9.5 บาท ถ้ายืนเหนือ 10 บาทได้แปลว่าจะไม่ลงแล้ว หรือถ้าทะลุ 5 บาทมีสิทธิไปทดสอบ 5.5 บาทนั้น เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็นและดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมหรือ fact มากกว่าการคาดการณ์

13 นักวิเคราะห์บางคนเริ่มบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่งครั้งแรกโดยแนะนำว่า sell เมื่อพื้นฐานดีขึ้นจึงปรับเป็น hold แต่ลืมคิดไปว่าเมื่อนักลงทุนขายหุ้นหมดไปแล้วตามคำแนะนำจะเอาหุ้นที่ไหนมาถือ ดังนั้นการปรับจาก sell เป็น hold แปลว่าให้หาหุ้นมาถือ ก็คือให้ซื้อนั่นเอง แต่การปรับจาก sell เป็น buy นั้นจะทำให้โดนเจ้านายและลูกค้าด่า ในทางกลับกัน การปรับจาก strong buy เป็น hold ก็มีนัยคล้ายๆ กัน

14 การซื้อขายทาง internet เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึง internet ได้เกือบตลอดเวลา แต่ถ้าจุดประสงค์เพื่อประหยัดค่าคอมฯ บางครั้งการเติม 0 เกินไป 1 ตัวหรือ ซื้อเป็นขาย ขายเป็นซื้อ มันอาจจะมากกว่าค่าคอมฯ ที่ประหยัดได้ทั้งปี คล้ายๆ กับการซื้อบริการอะไรล่วงหน้าได้ส่วนลดเยอะแต่ท้ายสุดแล้วไม่ค่อยได้ไป

15 นักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ถูก 100% ทุกครั้งนั้นไม่มีแน่นอน ที่เห็นส่วนมากนั้นถูกครึ่งผิดครึ่งซึ่งไม่ช่วยอะไรได้มากนักเหมือนเล่นปั่นแปะ แต่คนที่มี value add ที่สุดคือคนที่ผิดเกือบทุกครั้งเพราะเราเพียงแค่ทำตรงข้ามก็ถูกแล้ว จึงเป็นเหตุให้บางคนจึงมีชื่อเสียงเพราะตลาดรู้ว่าคนนี้ออกมาฟันธงว่าเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ต้องให้ขายหุ้นทุกทีไป

16 บางครั้งผมเคยสงสัยว่าหุ้นเอเชียลงตามดาวโจนส์หรือดาวโจนส์ลงตามเรากันแน่ เพราะครั้งที่ผ่านมาหุ้นบ้านเราลงเยอะกว่าเค้าเสียอีก

17 หุ้นลงมากๆ หรือขึ้นมากๆ ไม่ใช่ว่า VI จะต้องไม่กลัวหรือเสียดายไม่เป็นเพราะเรายังมีชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ซื้อกลัวลงต่อมั้ยผมคิดว่าคงต้องมีความรู้สึกนี้กันบ้าง หรือหุ้นขึ้นแรงๆ ขายแล้วกลัวขึ้นต่อมั้ย ก็กลัวเพราะมันก็เกิดประจำ การซื้อแล้วลงหรือขายแล้วขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ๆ หากเรายังเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับ ดังนั้นการซื้อหรือขายแต่ละครั้งต้องคิดให้ถี่ถ้วนและวินัยการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

18 pop up “ คุณมี 1 งานใหม่ ” ของ greenbull นั้นมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ที่แย่อยู่หน่อยคือถ้ากดกากบาทสีแดงก็เป็นการเปิดหน้า web เค้า แต่ปุ่มปิดจริงๆ นั้นเขียนว่า close สีจางๆ อยู่บนกากบาทสีแดง อย่าไปโกรธหรือหงุดหงิดเลยครับหากมันช่วยให้ web นั้นมีรายได้เข้ามาบ้าง แต่มีวิธีให้มันไม่อยู่กลางจอได้ไหมครับ

19 ในตลาดที่ผันผวนช่วง 1-2 ปีนี้ การถือเงินสดในพอร์ตไว้เสียหน่อย หรือหาหุ้นที่คล้ายๆ การถือเงินสดไว้บ้าง ก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี การที่หุ้นผันผวนนั้นเรื่องภาวะจิตใจในการลงทุนนั้นมีความสำคัญมากขึ้น ตามบางส่วนของโคลง 4 สุภาพที่ว่าไว้ว่า “ฝูงชนกำเนิด คล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด ยกแต่ชั่วดีกระด้าง อ่อนแก้ ฤาไหว ”


หากเพื่อนคนไหนได้ข้อคิดอะไรบ้างก็มา post เพิ่มเติมกันได้นะครับ



Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 0:50:26 น.
Counter : 270 Pageviews.

0 comment
1  2  

noooon010
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สวัสดีครับผม ^^

slumdog millioanaire สุดยอดจริงๆครับ

คนทุกคน มีค่าเท่าๆกัน
คนที่ดูถูกคนอื่นเท่านั้น ที่เป็นการดูถูกตัวของคุณเอง

มาสร้างสิ่งดีๆให้โลกนี้กันดีกว่าครับ
Friends Blog
[Add noooon010's blog to your weblog]