ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

เจาะกลยุทธ์โค้กรุ่นพิเศษโดนใจวูบวาบ

โค้กรุ่นพิเศษใส่ชื่อเล่นคนไทยอารมณ์ชิวๆ ไม่ว่าชื่อเฟิร์น หรือชื่อเปิ้ล จะคนสวย หรือคนไม่สวย หวังโดนใจคนรุ่นใหม่ แต่ส่งแชร์กระป๋อง/ขวดรุ่นพิเศษสะสมในเฟสบุ๊คสุดกร่อย นับหัวได้ นักการตลาดฟันธง ทำการตลาดแบบฉาบฉวยตื่นเต้น แค่ช่วงสั้นๆ

สามี1

เครื่องดื่ม โคคา-โคล่า ออกแคมเปญล่าสุด “ต้องซ่า ต้องกล้า ส่งโค้กให้” โค้กรุ่นพิเศษที่ประทับชื่อเล่นคนไทย คำสั้นๆแสดงความสัมพันธ์ ความรู้สึกและคำชื่นชมลงบนกระป๋องโค้ก และขวดโค้ก 250 ล้านขวด เช่น “เปิ้ล จอย คนสวย คนโสด” โดยบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) ออกตัวว่า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นไทย และคนไทยกล้าที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ และแบ่งปันความสุขกับเพื่อน ครอบครัว และบุคคลอันเป็นที่รัก รวมถึงกล้าผูกมิตรสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น

พร้อมทั้งจูงใจให้สะสมชื่อ หรือข้อความแสดงความรู้สึกให้มากที่สุด และร่วมแชร์ ได้ทางเว็ปไซต์ หรือทางเฟสบุ๊คของโค้ก เพื่อชิงโชครางวัลกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นตั๋ว“ชมฟุตบอลโลกที่บราซิล” หรือเลือกเป็นตั๋วชมคอนเสิร์ตระดับโลกที่ประเทศอังกฤษ” พร้อมแพ็คเกจทัวร์ และรางวัลอื่นๆ ซึ่งโค้กเร่งโปรโมทในกลุ่มคนใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค ผ่านเฟสบุ๊ค

สวย1
แคมเปญดังกล่าวแม้โค้ก จะบอกว่าต่อยอดจากแคมเปญ “โค้กกระป๋องสุดพิเศษสำหรับคุณแม่” ที่มียอดขายกว่า 5 ล้านกระป๋อง ภายใน 1 เดือน ในช่วงวันแม่ก็ตาม แต่นักการตลาดหลายท่าน ชี้ว่า คงกระตุ้นยอดขายได้ช่วงสั้นๆ แต่การย้ำเตือนแบรนด์ “โค้ก”คงได้ไม่มากนัก เพราะ ผู้บริโภคที่ชอบดื่ม “โค้ก” ก็จะเลือกสั่งแต่ “โค้ก” เพราะบอกว่าชอบความหวาน ใครที่ชอบดื่ม “เป๊บซี่” ก็จะเลือกซื้อเลือกดื่มแต่“เป๊บซี่”เพราะชอบความซ่า นี่เองคือความถูกใจในรสชาติที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ช่วงที่เป๊บซี่เกิดปัญหาเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย จนหายไปจากท้องตลาดหลายเดือน ลูกค้าที่ชื่นชอบ“เป๊บซี่”ก็ยังถามหาและสั่ง“เป๊บซี่”อยู่ แถมกลายเป็นกระแสที่คนชื่นชอบ “เป๊บซี่” ต้องพยายาเก็บสะสมขวด กระป๋อง“เป๊บซี่” อาจเพราะกลัวว่า แบรนด์นี้จะหายไปจากเมืองไทย
แคมเปญดังกล่าว คงสร้างตื่นเต้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง หากต้องการตอกย้ำแบรนด์ ไม่ให้ลูกค้าลืมก็ได้เพียงเล็กน้อย เพราะเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ใครๆก็รู้จักและส่วนแบ่งการตลาดเป็นเบอร์ 1 ในไทยอยู่แล้ว แต่ ถ้าต้องการขุดหลุมฝังคู่แข่งอย่างเป๊ปซี่ ที่เพลี้ยงพล้ำเพราะด้านการจัดส่งอยู่ในขณะนี้ คงต้องรอวัดผลอีกระยะหนึ่ง

เกล01
ส่วนการแชร์ความรู้สึกผ่านเฟสบุ๊ค หลังการเปิดตัวแคมเปญ และออกสื่อโฆษณา 1 เดือน ผ่านไป ก็ยังแทบไม่เห็นในหน้าเพจเฟสบุ๊คของโค้กแต่อย่างใด มีแต่ที่เห็นเด่นชัดคือ การแชร์จากเจ้าของร้านที่ขายน้ำอัดลมว่า “โปรเจคนี้ เกลี้ยงตู้เลยนะขอบอก” หรือการขอแชร์รูปภาพจาก “โค้ก” ในข้อความ “สามีคนเก่ง” ดูจะมีมากที่สุด แต่การแชร์ความรู้สึก หรือเรื่องราวอื่นยังมีน้อยมาก

111
แคมเปญ “ต้องซ่า ต้องกล้า ส่งโค้กให้”นี้ นักการนิเทศศาสตร์และนักการตลาด อย่าง รศ. อรุณีประภา หอมเศรษฐี ประธานสภาวิชาชีพกิจการแพร่ภาพ และกระจายเสียง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า “ดูผู้บริโภคไม่ได้ประโยชน์ เท่าไร นอกจากความตื่นเต้น

อีกทั้งโค้กเป็นแบรนด์ระดับโลกอยู่แล้ว จะตอกย้ำ Brand Loyalty อะไร เพื่อไม่ให้คนลืม ก็คงไม่ได้มากว่าเดิมนัก ถ้าเป็นอาจารย์ทำตลาดจะติดรูปไดโนเสาร์ แล้วให้คนหาข้อมูลว่า ไดโนเสาร์พันธุ์นี้คืออะไร หรือติดชื่อไดโนเสาร์เลย ต่อจากนั้นให้ลูกค้าไปหาข้อมูลเพิ่ม ลูกค้ายังได้ประโยชน์มากกว่า”
สรุปแล้วจากข้อมูล และความเห็นของนักการตลาดทั้งหลาย ก็ต้องกลับมาย้อนดูและถามว่า “ผู้บริโภคจะได้อะไรและโค้กจะได้อะไร”

Mthai news




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2556   
Last Update : 29 ตุลาคม 2556 7:03:49 น.   
Counter : 1855 Pageviews.  

จะจะ! คลิปตำรวจเรียกปรับ เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง


จะจะ! คลิปตำรวจเรียกปรับ เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ด้านผู้กำกับสน. ห้วยขวางยันไม่ใช่เขตรับผิดชอบเพราะเป็นพื้นที่คาบเกี่ยว

นึกว่าจะหมดไปแล้ว สำหรับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรบางราย ที่เรียกจับ-ปรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ผิดกฎหมาย ก่อนจะนำเงินใส่กระเป๋าตัวเอง ล่าสุดในสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่คลิปพฤติกรรมดังกล่าว โดยคุณ “X Genesis” ได้โพสต์ภาพพร้อมระบุข้อความว่า “หน้าอุโมงค์ห้วยขวาง ปรับกันเห็น ๆ ไม่มีใบเสร็จนะ”

คลิปตำรวจ, ข่าวตำรวจ, ด่านตำรวจ, ตำรวจเรียกส่วย

ซึ่งในคลิปได้เผยให้เห็นจังหวะที่ตำรวจ 2นายยืนอยู่บริเวณอุโมงค์ห้วยขวาง ก่อนโบกเรียกรถจักรยานยนต์ที่ทำผิดกฎจราจร และระหว่างนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินหยิบเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ให้ตำรวจนายหนึ่ง ก่อนที่ตำรวจจะนำเงินเข้ากระเป๋าโดยไม่ให้ใบเสร็จ และให้ชายคนนั้นกลับไปที่รถ

ทั้งนี้เมื่อคลิปดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปก็ทำให้มีคนเข้าไปแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ พ.ต.ท.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต รอง ผกก.จร.สน.ห้วยขวาง ได้ออกมาชี้แจงว่า แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นบริเวณอุโมงค์ห้วยขวาง แต่ยืนยันว่าตำรวจทั้ง 2นาย ไม่ใช่ตำรวจในเขตรับผิดชอบของสน.ห้วยขวางแน่นอน เพราะเป็นพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่คาบเกี่ยว และมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน

Mthai News






 

Create Date : 27 ตุลาคม 2556   
Last Update : 27 ตุลาคม 2556 9:46:24 น.   
Counter : 1463 Pageviews.  

ภาพบรรยากาศ การเคลื่อนพระศพสมเด็จพระสังฆราชฯ

ภาพบรรยากาศ การเคลื่อนพระศพสมเด็จพระสังฆราชฯ จาก รพ.จุฬา ไปวัดบวรฯ

เมื่อเวลา 12.15น. ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าว MThai News รายงานว่าที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ภายหลังเปิดให้ประชาชนกราบพระศพสมเด็จพระสังฆราชฯ ตั้งแต่เมื่อเวลา 08.00 น- 10.00 น. ที่ผ่านมา ล่าสุดพระศพได้เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลไปที่ตำหนักเพชร ในวัดบวรฯ แล้วเมื่อในเวลา 12.15น.

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช

โดยใช้เส้นทางเคลื่อนพระศพสมเด็จพระสังฆราชฯ .ถ.ราชดำริเลี้ยวซ้ายเข้าถ.พระราม4 ขึ้นด่วนพระราม4 ลงยมราช เข้าหลานหลวง ส.ผ่านฟ้า ป้อมมหากาฬ ถ.พระสุเมรุ ผ่านแยกวันชาติ เข้าวัดบวรฯ

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดเส้นทางได้มีประชาชนสวมชุดดำ พร้อมนักเรียนนิสิตนักศึกษามายืนไว้อาลัยตลอด 2ข้างทางด้วย

MThai News

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช

ข่าวสมเด็จพระสังฆราช, พระสังฆราชสิ้นพระชนม์, สมเด็จพระสังฆราช, ขบวนศพพระสังฆราช


//news.mthai.com/hot-news/279496.html




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2556   
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 10:06:51 น.   
Counter : 1537 Pageviews.  

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เป็นบุตรคนโตของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาวกาญจนบุรี พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร บิดาของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของป้าเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของนางกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู

h145-web

เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า “เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย” จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

บรรพชาและอุปสมบท

เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลารามเป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล

ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษาและได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมา คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระงอค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” จนกระทั่ง พระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

cs

การศึกษาพระปริยัติธรรม

พระองค์ทรงเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมตามคำชักชวนของพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ ที่ตั้งใจจะให้พระองค์กลับมาสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามและจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้ โดยพระอุปัชฌาย์นำพระองค์ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2470 แล้วจึงเริ่มเรียนภาษาบาลีโดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอน หลังจากนั้น จึงเดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร[2] พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473

พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า “คงจะหมดวาสนาในทางพระศาสนาเสียแล้ว” แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่าทำไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงทำข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วยสำคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ทำให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรงตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ำเสมอและทั่วถึง

พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวานุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญธรรม 9 ในปี พ.ศ. 2484

การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์

หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอันเกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้งทรงเป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการสภาการศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัย รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรงเป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วย

เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองค์ได้รับเลือกจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในระหว่างที่ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่พระองค์เป็นรูปแรก

ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปีเดียวกันนี้เองพระองค์ได้รับการสถาปนาที่ พระสาสนโสภณ[5] พระองค์เข้ารับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 และยังคงดำรงตำแหน่งมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตำราด้านพุทธศาสนาไว้มากมาย[6]
สมเด็จพระสังฆราช

พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น

เมื่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิม คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเพื่อเป็นพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ นับเป็นสมเด็จพระญาณสังวรสังฆราชพระองค์แรกของประเทศไทย



//news.mthai.com/general-news/279352.html




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2556   
Last Update : 25 ตุลาคม 2556 7:27:41 น.   
Counter : 1568 Pageviews.  

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์

ปิดฉากการเดินทาง 7 เดือน 6 ประเทศ 40,000 กิโลเมตร วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ พร้อมคณะคาราวานกว่า 22 ชีวิต กลับถึงประเทศไทย พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในงาน Caravan Asia 2013: Bringing Asia Back Home ชี้ประตูสำคัญแห่งขุมทรัพย์อารยธรรมและเศรษฐกิจที่คนไทยไม่ควรมองข้าม พร้อมเติมโอกาสให้พี่น้องชาวไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการแบ่งปันโลกกว้างผ่านห้องสมุดเคลื่อนที่ หลังจากที่รับปรุงรถคาราวานแล้ว

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 1

วิกรม กรมดิษฐ์

วิกรม กรมดิษฐ์ กล่าวว่า คาราวานอเชีย 2013 ได้เดินทางไปในฐานะทูตมิตรภาพ จัดกิจกรรมบรรยายในงานสัมมนาต่างๆ มากกว่า 70 ครั้งซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนในประเทศนั้นๆ ตลอดยังได้พบปะกับผู้นำท้องถิ่นและระดับประเทศมากกว่า 120 คร้้งเพื่อแลกปลี่ยนข้อเสนอแนะในด้านต่างๆ อันจะนำไปสู่การร่วมมือกันในอนาคต

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 2
วิกรม กรมดิษฐ์

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 3

วิกรม กรมดิษฐ์

การเดินทางครั้งนี้ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าเอเชียเหนือคืออนาคตที่น่าจับตามอง จีนจะก้าวมาเป็นมหาอำนาจ รัสเซียจะมั่งคั่งมั่นคง หากประเทศไทยอ่านเกมส์ออกและสามารถจัดการบริหารจัดการประสิทธิภาพทั้งการลงทุนและส่งออกและการท่องเที่ยว ให้ทัดเทียมกับศักยภาพของจีนและรัสเซียรวมไปถึงคาซัคสถานได้ เชื่อได้ว่าประเทศไทยจะได้พบกับขุมทรัพย์แหล่งใหม่ซึ่งอาจจะเปลี่ยนทิศทางการบริหารประเทศได้เลยทีเดียว

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 4

รู้สึกอย่างไรสำหรับการเดินทางไปรอบโลกแบบนี้?
ผมถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ครับ ที่คนๆ นึงได้ออกไปท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆกลับมา การเดินทางของเราก็ไปเจอในสิ่งไม่เคยเห็น และรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ และทำในสิ่งไม่เคยทำ ทั้งการ กินอยู่ การใช้ใช้ชีวิต ทั้งปีนี้เป็นปี ที่ 3 แล้ว ระยะเดินทางเกือบ แสนกิโล ถ้าวัดเส้นรอบวงโลกก็เหมือนเดินทบสองรอบไปแล้ว ผมคิดว่ายิ่งเดินทางก็รู้สึกโลกมันใหญ่ เราก็ดูเหมือนตัวเล็กลงเรื่อยๆ และมันเป็นสิ่งที่ดีที่เราได้ไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ ครับ และนำกลับมาใช้ครับ

การที่ไปเดินทางแบบนี้ได้อะไรกลับมาเป็นแรงบัลดาลใจบ้าง?
ตอนนี้ถ้าว่าไป การที่เราทำนิคมอุตสาหกรรม เราได้ไปเห็นของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าการทำผังเมือง หรือ การจัดการ การบริหารงาน เราก็น่าจะเอาสิ่งนี้มาใช้ได้ อีกทั้งไปเจอบุคลากรดีๆ แล้วมีความรู้สึกว่าเราก็น่าจะนำคนที่มีความสามารถเขามาใช้ในประเทศไทยเราได้ เพราะผมคิดว่าโลกเป็นของมนุษย์ทุกๆคน เราไม่ควรจะไปยึดติดว่าเราควรทำไว้ในประเทศของเราเอง คือเราไม่ควรผูกติดหรือยิดติดกับมัน

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 5
วิกรม กรมดิษฐ์

จะนำสิ่งที่ได้กลับมาสานต่อออะไรรึเปล่า?
คิดว่าน่าจะกลับมาสานต่อเรื่องโครงการวิทยาศาสตร์ เพราะไทยเรามีสายการผลิตและสายการตลาดที่ดีไปสู่การตลาดต่างประเทศดีอยู่แล้ว เราก็น่าจะรวมๆ คนที่มีฝีมือมาร่วมกันทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อเป็นการขยายงาน เพราะคนจีน รัสเซีย คาซัคสถาน เก่งเรื่องการคิด การตลาด ด้านวิจัย-วิเคราะห์ วิทยาศาสตร์ อีกทั้งค่าแรงก็ยังไม่แพงเท่าฝรั่งด้วย มัน่าจะเป็นผลดีต่อเรา ซึ่งโปรเจคนี้ก็เร่มจะสมบูรณ์แล้วเหลือแค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้นเองน่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณปีหน้า แล้วผมคิดว่าโปรเจคนี้จะเป็นเมืองวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนเลย

คิดว่าอุตสาหกรรมเศรษฐกิจในเอเซียที่น่าจับตามองที่สุดคืออะไร?
ผมคิดว่าสิ่งทีน่าจับตามองที่สุดคือด้านอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ เพราะคนเอเชียมีเยอะ แต่คนเอเชียมีรถแต่ถ้าเปรียบเทียบสัดส่วนแล้วรู้สึกว่ามันยังน้อย ซึ่งธุรกิจแบบนี้ยังจะเติบโตได้อีก รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วย และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คืออุตสาหกรรมการแพทย์ เพราะประเทศไทยทำอะไรได้มาก แต่ไทยต้องมองการณ์ให้กว้างเท่านั้นเอง และสุดท้ายไทยต้องเรียนรู้เรื่องการสื่อสารและเทคโนโลยี เราควรเน้นเรื่องวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และการสื่อสารเพื่อพัฒนาประเทศได้ดีขึ้น

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 6
วิกรม กรมดิษฐ์

ภาพบรรยากาศในงาน

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 7

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 8
วิกรม กรมดิษฐ์

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 9

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 10

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 11

มองการปรับปรุงเศรษฐกิจไทย แบบ วิกรม กรมดิษฐ์ รูปที่ 12
วิกรม กรมดิษฐ์



//men.mthai.com/infocus/8410.html




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2556   
Last Update : 24 ตุลาคม 2556 7:45:11 น.   
Counter : 1411 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  179  180  181  182  183  184  185  186  187  188  189  190  191  192  193  194  195  196  197  198  199  200  201  202  203  204  205  206  207  208  209  210  211  212  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]