เปิดฐานะการเงิน แบงก์ออมสิน ระส่ำจริงหรือ หลังปชช.แห่ถอนเงิน?!
นานแล้วที่ประเทศไทย ไม่ได้เห็นภาพที่คนแห่ถอนเงินออกจากธนาคารจำนวนมาก นับตั้งแต่ธนาคารศรีนคร ต่อมาธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) ในปี 2538 ล่าสุดธนาคารออมสิน จากกรณีข่าวการปล่อยกู้ให้ธนาคาร ธกส.แต่ในภาพความวุ่นวาย และตระหนกตกใจของใครบางคน เราควรที่จะมาพิจารณาว่า ธนาคารของรัฐมีโอกาสล้มลงจริงหรือ โดยเทียบข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยภายหลังกระแสข่าวธนาคารออมสินปล่อยเงินกู้ระหว่างธนาคาร (Interbank) ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำไปใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจำนวน 5,000 ล้านบาท ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก แห่ถอนเงินออกจากธนาคารเพียง 2 วันรวมกันมากกว่า 60,000 ล้านบาท ขณะที่ฝ่ายสนับนุนรัฐบาล ทั้งนักธุรกิจ ประชาชน และนักการเมืองก็แห่กันมาฝากเงินกับธนาคารออมสินเช่นเดียวกัน แม้จะมีจำนวนที่น้อยกว่าเพียงแค่ 10,000 กว่าล้านบาทก็ตาม แต่เป็นการแสดงกำลังภายในของทั้ง 2 ฝ่าย ขณะที่ข้อมูลล่าสุด ปี 2556 สินทรัพย์รวมของธนาคารออมสินมากกว่า 2 ล้านล้านบาทมากเป็นอันดับ 5 ของระบบธนาคารไทย ขณะที่มีเงินฝาก ทั้งสลากออมสิน เงินฝากประจำและอื่นๆรวมมากถึง 1.87 ล้านล้านบาท คิดเป็น 52% ของระบบเงินฝาก หรือเป็นอันดับ 4 ของธนาคารไทย และตัวเลขการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารถึงเดือน พ.ย. 2556 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท ดังนั้นการถอนเงินจำนวน60,000 กว่าล้านบาท หรือการปล่อยกูแก่ ธกส.เพียง 5,000 ล้านบาท จึงถือเป็นจำนวนน้อยมาก เห็นได้ชัดว่าสินทรัพย์รวม และเงินฝากรวม สูงกว่าจำนวนเงินที่ถอนแบบไม่เห็นฝุ่น ตามพระราชบัญญัติสถาบันการเงินที่ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดเงินกองทุนต่อสินทรพัย์เสี่ยงรวมกัน ทั้งขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 อยู่ที่ 12.75% ในขณะที่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงระบบธนาคารพาณิชย์ปัจจุบันอยู่ที่ 15.7% ถือว่าสูงกว่าที่กำหนด อีกทั้งผู้บริหารของธนาคารออมสิน ยืนยันแล้วว่า ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงมาก และจากบทเรียนที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทย เคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายรอบ โดยเฉพาะวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ระบบธนาคารระมัดระวังมากในเรื่องนี้ ทั้งการปล่อยกู้ การตั้งเงินสำรองเผื่อหนี้สูญ และการดำรงเงินกองทุนดังที่กล่าวมาจำนวนมาก ก็ค่อนค่นข้างมั่นใจถึงฐานะการเงินของธนาคาร หากเทียบบทเรียนในอดีตจจาก ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC)ที่ต้องล้มละลายเมื่อปี พ.ศ. 2539 สาเหตุมาจากการปล่อยกู้ผิดประเภท โดยนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ BBC ทุจริตยักยอกทรัพย์ธนาคารร่วมกับนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี และอดีตผู้บริหารของธนาคารบางคน แบบสมคบคิดกับพรรคพวกตัวเอง ทุจริตหลายรูปแบบ เช่น ปล่อยกู้โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สร้างมูลค่าหลักทรัพย์ประกันสูงเกินความจริง การทำธุรกรรมการเงินแบบปกปิด หรือนิติกรรมอำพราง ฉ้อฉลปล่อยกู้ให้กับพวกกันเอง ได้แก่ การปล่อยกู้เป็นจำนวนมากให้กับ บริษัท สมประสงค์แลนด์ จำกัด(มหาชน) ที่ต้องปิดกิจการลงเพราะขาดทุนจากการทุจริต ปัญหาหนี้สิน และการตกแต่งบัญชี การกู้เงินไปจองห้องในโครงการบ้านเจ้าพระยา หรือการปล่อยกู้ให้นักการเมืองเข้าไปปั่นหุ้นธนาคาร BBC หุ้นชลประทานซีเมนต์ และหุ้นบริษัทอื่นๆอีก ในรูปแบบหวังผลกำไรระยะสั้น จนกลายเป็นหนี้เสียหลายแสนล้านบาท มากกว่าเสียมากกว่ากับกรณีของธนาคารออมสิน เปรียบเทียบทั้งหมดก็แตกต่างจากการปล่อยกู้ของธนาคารออมสินให้แก่ ธกส.อย่างสิ้นเชิง เพราะ เป็น ธกส.แจ้งว่า เป็นการกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ถึงแม้ต่อมา ธกส. จะนำเงินดังกล่าวไปชำระหนี้ใบประทวนแก่ชาวนาก็เพียงจำนวน 5,000 ล้านบาท แม้จะมีผลให้บางกลุ่มแสดงพลังถอนเงินสัก แสนล้านบาทก็แทบไม่กระทบฐานเงินฝากของธนาคาร ที่มีกว่า 1.87 ล้านล้านบาท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสินทรัพย์รวม ถือว่าธนาคารออมสินมีฐานะมั่นคงอย่างยิ่ง ขณะที่ ฟิทช์ เรตติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำของโลก มองว่าเหตุการณ์ที่ผู้ฝากเงินได้ถอนเงินฝากกับธนาคารออมสินแสดงให้เห็นว่าปัญหาทางการเมืองอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อระบบธนาคารและการเงินของประเทศไทย ทั้งยังเคยกล่าวไว้ว่าความไม่สงบทางการเมืองได้ส่งผลให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ และจะส่งผลต่อเนื่องให้ความเสี่ยงของธนาคารไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟิทช์ ยังเห็นว่า ปริมาณการถอนเงินฝากออกจากธนาคารออมสินน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ในขณะนี้ โดยธนาคารรายงานว่าเงินฝากที่ไหลออกสุทธิเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ มีจำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ธนาคารมีฐานเงินฝากรวมอยู่ที่ 1.724 ล้านล้านบาท (ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2556 ) ทั้งนี้การถอนเงินฝากดังกล่าวเป็นผลมาจากความกังขาของประชาชนหลังจากที่ธนาคารออมสินได้มีการอนุมัติวงเงินจำนวน 2 หมื่นล้านบาท แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เพื่อนำไปสนับสนุนโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล และน่าจะเป็นสาเหตุจากปัจจัยทางการเมือง มากกว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงจากสถานะทางการเงิน อย่างไรก็ตามธนาคารออมสินได้ประกาศว่าจะยกเลิกวงเงินดังกล่าวแล้ว ฟิทช์ ยังมองว่าด้วยสภาพคล่องของธนาคารออมสินและการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐผ่านธนาคารกลาง (ธนาคารแห่งประเทศไทย) หรือองค์กรรัฐอื่น น่าจะช่วยให้ธนาคารออมสินสามารถเผชิญกับความเสี่ยงในด้านสภาพคล่องได้ในระยะสั้น นอกจากนี้ การถอนเงินฝากเพิ่มขึ้นจากธนาคารรัฐแห่งอื่น แม้อาจจะไม่เกิดขึ้น แต่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่สำคัญที่จะส่งผลให้ธนาคารรัฐมีภาระที่จะต้องกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารมากขึ้น และอาจรวมไปถึงการกู้ยืมเงินจากธนาคารกลาง และณ ขณะนี้ ฟิทช์ เชื่อว่าในระยะสั้นภาครัฐน่าจะสามารถป้องกันและบริหารจัดการความท้าทายในด้านสภาพคล่องของธนาคารรัฐได้ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของระบบธนาคารและการเงินยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังคงไม่มีความชัดเจนว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะสิ้นสุดลงเมื่อไร อีกทั้งการหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการจำนำข้างของรัฐบาลก็ ยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. เป็นธนาคารที่จัดตั้งขึ้นโดยมีพระราชบัญญัติเฉพาะรองรับ และน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในระดับที่สูง ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. มีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านขนาดสินทรัพย์ที่ 10.6% และ 6.1% ของระบบธนาคาร ตามลำดับ (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556) และความมั่นคงทางการเงินของธนาคารทั้งสองแห่งมีความสำคัญต่อความมั่นใจโดยรวมต่อระบบธนาคารและการเงินของประเทศไทย ขณะที่นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สถานการณ์ที่มีประชาชนแห่ ถอนเงินออกจากธนาคารออมสินจำนวนมากนั้น เชื่อว่า จะไม่กระทบต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และจะไม่ถึง ขั้นที่เกิดวิกฤตทางการเงินในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารพาณิชย์ ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก เอ็นพีแอลอยู่ในระดับที่ต่ำ มีการตั้งสำรองในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อยังมีการเติบโต โดยมองว่าการถอนเงิน ดังกล่าวเป็นเหตุผลส่วนบุคคลมากกว่า MThai News
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2557 |
| |
|
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2557 20:06:16 น. |
| |
Counter : 1572 Pageviews. |
| |
|
|