![](//farm9.staticflickr.com/8315/7986846918_b3270bdf17_c.jpg)
แสงแดด.....ศัตรูตัวฉกาจของคนรักผิว เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้เกิดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เช่น กระ, ฝ้า, ผิวไหม้ แพ้แดดแล้ว แสงแดดยังทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยเร็วขึ้นด้วย ดังนั้นเราจึงควรทาครีมกันแดดทุกวันให้เป็นนิสัย ปัญหาคือ เราจะเลือกครีมกันแดดอย่างไร ครีมกันแดด (Sunscreen) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. ครีมกันแดดประเภทเคมี (chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่มีสารดูดซับรังสี UV (Ultraviolet) จากแสงแดดเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนสลายไป ไม่ผ่านลงไปทำอันตรายต่อผิวเรา 2. ครีมกันแดดประเภทกายภาพ (Physical Sunscreen หรือ Non-Chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่ออกฤทธิ์โดย Block หรือสกัดกั้นรังสี UV ไว้และสะท้อนรังสีกลับไม่ให้ผ่านเข้าสู่ผิว 3. ครีมกันแดดแบบผสม (Chemical-Physical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่เสริมประสิทธิภาพ ในการป้องกันแสงแดดทั้งทางเคมีและกายภาพร่วมกัน ที่นี้เรามาดูกันว่าครีมกันแดดทั้ง 2 ชนิด มีข้อดี-ข้อเสีย ต่างกันอย่างไรบ้าง และเราจะเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไหนดีกว่ากัน Physical Sunscreen | Chemical Sunscreen | Chemical-Physical Sunscreen | ข้อดี: กันแสงได้หลายช่วงคลื่น ทั้ง UVA, UVA Visible Light และ Infrared โอกาสแพ้มีน้อย ทาแล้วไม่รู้สึกเหนียวเหนอะ ข้อเสีย: ทาแล้วหน้ามักขาววอกเกินไป | ข้อดี: กันแสงได้บางช่วงคลื่นเท่านั้น (ขึ้นอยู่กันสารเคมีที่ใช้) ราคามักถูกกว่า เวลาทาหน้าจะไม่ขาววอกมาก ข้อเสีย: โอกาสแพ้มีมากกว่า เพราะเป็นสารเคมี | เป็นการเสริมข้อดี ลดข้อด้อยในแต่ละส่วน นั่นคือ ลดการระคายเคืองต่อผิวหนังจากสารประเภทสารเคมี และลดความขาวเมื่อทาครีมทา แล้วดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น |
นอกจากชนิดของสารกันแดดที่เราควรรู้จักแล้ว สิ่งที่เราควรพิจารณาอีกอย่างเวลาเลือกใช้ครีมกันแดด คือ ค่าซึ่งบอกประสิทธิภาพของสารกันแดดที่เราใช้นั่นคือ Sun Protection Factor หรือที่เราได้ยินชื่อย่อกันบ่อย ๆ ว่า SPF และอีกชื่อหนึ่งคือ PA เราลองมาดูว่า SPF และ PA คืออะไร SPF = ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB [ทำลายชั้นผิวด้านบนๆ -> หมองคล้ำ ผิวไหม้แดด ฝ้า กระ มะเร็งผิวหนัง] PA = ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVA [ทะลุลงไปถึงชั้นหนังแท้ -> ริ้วรอย เหี่ยวย่นก่อนวัย] SPF (Sun Protection Factor) ค่านี้ หมายถึงว่า เมื่อทาครีมกันแดดแล้วทำให้ผิวทนต่อแสงแดด ไม่เกิดอาการแสบ แดงหรือไหม้ได้นาน เป็นกี่เท่าของผิวปกติที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด ยกตัวอย่าง เช่น หากเราอยู่กลางแจ้ง หรือโดนแดดประมาณ 25 นาที ผิวจะเริ่มแดงเมื่อใช้ครีมกันแดด SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวได้นาน 15 เท่า คิดเป็นเวลาได้นาน 25x15 =375 นาที หรือประมาณ 6 ชั่วโมง | SPF 2 ปกป้องได้ 50% SPF 10 ปกป้องได้ 85% SPF 15 ปกป้องได้ 95% SPF 30-50 ปกป้องได้ 97% | ส่วนค่า PA (Protection Factor For UVA) บอกถึงประสิทธิภาพป้องกัน UVA คือ มีค่าแสดงจาก น้อย (+) ถึงมาก (+++) ดังนั้นครีมกันแดด ที่มีค่า pa สูง(+++) ก็จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยคล้ำบริเวณผิวจาก UVA ได้ ค่า SPF เท่าไรจึงจะดี - สาวออฟฟิต จะโดนแดดเฉพาะตอนกลางวัน ควรใช้กันแดดที่มีค่า SPF 15
- ทำงานกลางแดดหรือออกแดดบ่อยๆ ควรใช้กันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ทาซ้ำทุก 2 ชม.
- ไปเที่ยวทะเล ควรใช้กันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ควรทาก่อนลงน้ำ 30-60 นาที และควรทาซ้ำทุก 1 ชม.
- คนผิวขาวจะต้องใช้ SPF มากกว่าปกติอีกนิดหนึ่ง เพราะผิวขาวจะไวต่อแสงมากกว่าผิวสีอื่น ๆ วิธีทดสอบการแพ้ครีมกันแดด ทาครีมกันแดดบริเวณที่ข้อพับหรือหลังใบหูแล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วให้สังเกตุว่ามีอาการบวมแดง คัน มีผื่นแดง หรือไม่ ถ้าปรากฏอาการดังกล่าวแสดงว่าแพ้สารเคมีชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนบางประเภท (Delay Sensitivity) จะใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการแพ้ ดังนั้นจึงควรรอดูอาการถึง 24 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมง จึงจะสรุปได้ว่าไม่มีอาการแพ้จริงๆ
เรื่องราวน่ารู้ 6 อย่างเกี่ยวกับครีมกันแดดค่ะ ข้อ1: SPF ยิ่งสูง ก็จะยิ่งทำให้แพ้ได้ง่ายมากขึ้นค่ะ SPF 50 คือค่าสูงที่สุดที่ KFDA รับรองและพิสูจน์แล้วว่าเพียงพอต่อการปกป้องแสงเเดด ไม่จำเป็นต้องใช้ให้สูงมากกว่านี้
SPF ระดับสูงมากๆ เช่น SPF 70 หรือ SPF 90 แทนที่ผิวจะปลอดภัย กลับกลายเป็นได้รับสารเคมีเพิ่มเข้าไปในผิวซะอย่างงั้น โดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบาง และแพ้ง่าย การใช้ครีมที่มีค่า SPF สูง อาจทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ทางออกที่ดีสำหรับผู้มีผิวบอบบาง คือ การใช้ครีมหรือโลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำลงมาสักหน่อย และขยันทาให้บ่อยครั้งอีกสักนิดค่ะ ข้อ 2: บางคนคิดว่าการอยู่ แต่ในห้องแอร์ไม่ต้องใช้ครีมกันแดด เป็นความคิดที่ผิด เพราะ เราได้รับรังสี UVA ได้จากเครื่องใช้สำนักงาน ตั้งแต่ หลอดไฟ รังสีคอมพิวเตอร์ รังสีจากเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า-กระ ได้ค่ะ จึงไม่ควรที่จะละเลยการทาครีมกันแดดนะคะ ข้อ 3 : ความร้อนทำครีมกันแดดเสื่อมสภาพ การเก็บครีมกันแดด ไว้ในสถานที่ร้อนจัดนานๆ เช่น ในรถยนต์ ที่มักจอดกลางแดดที่ร้อนระอุ หรือพกพา ครีมกันแดดไปริมทะเล แล้วตากแดดจ้าไว้นานๆ สามารถทำให้ครีมกันแดดหมดอายุเร็วกว่า ที่ระบุไว้บนฉลากนับปีเลยทีเดียว หากอยากให้ครีมกันแดด มีประสิทธิภาพยาวนาน ตามที่ควรจะเป็น ก็ควรเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสม แต่ไม่ต้องถึงกับใส่ไว้ในตู้เย็นหรอกนะคะ เพราะอากาศที่เย็นจัดเกินไป อาจทำให้ครีมเป็นไข แถมประสิทธิภาพบางอย่างในตัวครีมก็อาจถูกทำลายไปด้วย ทั้งนี้แนะนำว่า เก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่ไม่โดนแสงแดดส่องถึงก็เพียงพอแล้วค่ะ ข้อ 4 : ต้องทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เมื่อออกแดดจัด หลายคนเมื่อออกแดดจัด เช่น เล่นน้ำทะเล โต้คลื่นลมเสียจนเพลิน มักหลงลืมเวลาที่จะทาครีม หรือโลชั่นกันแดดซ้ำอีกครั้ง
ขอบอกว่า การออกแดดเพลินจนลืมเวลาเช่นนั้น จะส่งผลเสียต่อผิว มากโขเชียวค่ะ เพราะผลจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง มีแนวโน้มเกิดผิวไหม้เกรียมมากกว่าผู้ที่ทาครีมกันแดดซ้ำ ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถึง 5 เท่าเลยทีเดียว ฉะนั้นเมื่อรักจะผิวสวย ทาครีมป้องกันผิวอย่างดีแล้ว ก็ต้องไม่ลืมคำนวณเวลา กลับมาทาครีมซ้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ ข้อ 5 : เปลือยผิวออกแดดเพียง 5 ครั้ง ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังแล้ว ! Annet King หัวหน้าสถาบันผิวหนังนานาชาติแห่งสหรัฐอเมริกาให้ข้อมูลว่า เพียงแค่เราออกแดด (โดยไม่ทาครีมกันแดด) จนผิวไหม้เกรียม 5 ครั้ง ก็เท่ากับว่า เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็วผิวหนังมากกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า! จึงควรท่องจำให้ขึ้นใจว่า แสงแดดทำร้ายผิวได้มากกว่าที่เราคิด เมื่อออกจากบ้านไปตากแดด ตากลม แล้วละเลยป้องกันผิว ผลกระทบที่ตามมาจึงไม่ใช่แค่ผิวดำ เกิดกระฝ้าเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลถึงขั้นก่อให้เกิดโรคร้าย ที่อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว ข้อ 6 : สภาวะโลกแย่ ต้องพึ่งพิงครีมกันแดดสม่ำเสมอ เมื่อไม่นานมานี้ กรมอุตุนิยมวิทยาโลกได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันก๊าซโอโซน (Ozone) ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสียูวีระดับอันตรายจากแสงอาทิตย์ให้แก่โลก มีปริมาณลดลงกว่า 40% จึงส่งผลให้มนุษย์ มีโอกาสได้รับปริมาณรังสียูวีเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นข้อมูลที่บ่งบอกว่า ปัจจุบันแสงแดดทำร้ายผิวเราได้มากขึ้นทุกขณะ การทาครีมป้องกันแสงแดด จึงต้องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งผิวหนัง และยังเพื่อให้ผิวสวยใส ไร้จุดด่างดำอยู่กับเราไปนานๆ ![](//farm9.staticflickr.com/8447/7986713212_f29298b352_c.jpg)
ทีนี้เรามาลงลึกถึงส่วนผสมของครีมกันแดดบ้างค่ะ ครีมกันแดดประเภทเคมี ส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า ซันสกรีน (Sunscreen) เป็นสารอินทรีย์โปร่งแสง (Transparent Organic Substance) เช่น ไดเบนโซอิลมีเทน (Dibenzoyl Methanes) อนุพันธ์ของพีเอบีเอ (PABA) สารอินทรีย์จะแทรกซึมลงสู่ผิวหนังและจะดูดกลืน (Absorb) รังสี UV ไว้ที่ชั้นบนสุดของผิวหนังชั้นอิพิเดอร์มิส (Epidemis) ซึ่งจะช่วยป้องกันผิวหนังชั้นใต้ (Underlying Layer) สารอินทรีย์แต่ละชนิดจะมีความสามารถในการดูดกลืนรังสี UV ที่ความยาวคลื่นแตกต่างกัน เช่น ไดเบนโซอิลมีเทน ดูดกลืนรังสี UVA พีเอบีเอดูดกลืนรังสี UVB ความแตกต่างและประสิทธิภาพในการดูดกลืนรังสี UV ของอินทรีย์สารเหล่านี้ขึ้นกับการจัดเรียงของโครงสร้างทางเคมีของสารแต่ละชนิด ครีมกันแดดประเภทกายภาพ ส่วนใหญ่จะเรียกว่า ซันบล็อก (Sun Block) เป็นอนุภาคของวัสดุทึบแสง (Opaque Substance) เช่น ซิงค์ออกไซด์ ไทเทเนียมออกไซด์ และเหล็กออกไซด์ อนุภาคเหล่านี้ยึดจับกันเป็นเกราะบนผิวหนังโดยไม่ถูกดูดซึมลงสู่ผิวหนัง และปกป้องผิวหนัง ด้วยการสะท้อน (Reflects) และกระเจิง (Scatter) ของแสงและรังสีที่จะมากระทบกับผิวหนัง ซันบล็อก สามารถป้องกันได้ทั้งรังสีที่มองเห็นด้วยสายตา เช่น แสงสว่างและที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาอย่างเช่นรังสียูวี ซันบล็อกชนิดซิงค์ออกไซด์ (Sunblock Zinc Oxide) สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA (320-400 นาโนเมตร) และรังสี UVB (290-320 นาโนเมตร) ธรรมชาติของอนุภาคของวัสดุทึบแสงเหล่านี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสะท้อนแสง ยิ่งอนุภาคมีขนาดเล็ก ก็ยิ่งมีพื้นผิวมากทำให้การสะท้อนแสงมีมากขึ้น การป้องกันผิวก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันทั้งซันบล็อกและซันสกรีนมีด้วยกันมากมายหลายชนิดและหลายสูตร ดังนั้น เราจึงควรศึกษารายละเอียดจากฉลากให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อที่จะได้ซันบล็อกและซันสกรีนที่เหมาะสม และสามารถป้องกันผิวหนังจากรังสียูวี ได้อย่างแท้จริง
วันนี้ปุ้ยหยิบครีมกันแดดที่ใช้อยู่มารีวิวให้ดูค่ะ เซ็ทร่มปกป้องผิวจากแสงแดด (UV Umbrella) ด้วยคอนเซ็ปท์ ทีเดียวจบ (One Stop) ที่ช่วยป้องกันแสงแดดพรัอมปรับผิวขาวกระจ่างใส ทำให้ผิวแลดูสว่างกระจ่างใส ลดริ้วรอย จุดด่างดำ อันมาจากแสงแดด ด้วยเนื้อครีมบางเบาไม่เหนี่ยว เหนอะหนะ และเป็นเมกัพเบส (Make up Base) ที่ช่วยปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ ปกปิดรอยหมองคล้ำ เข้าได้กับทุกสีผิว สำหรับครีมทาหน้ามี 2 ตัว คือ ครีมกันแดด สูตรสำหรับผิวขาวอย่างสมบูรณ์ (Super White Umbrella Perfect Whitening Sunscreen Protection SPF 100 PA+++) และ ครีมกันแดด สูตรสำหรับผิวเรียบเนียน สว่างใส (UV Umbrella Perfect Smooth Make-up Base Sunscreen SPF 40 PA+++) และ ครีมกันแดดสำหรับผิวกาย พร้อมมีซิมเมอร์ประกายวิ๊งค์ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเด่นจนสะดุดทุกสายตา (UV Body Umbrella Perfect Shimmer Make-up Base Sunscreen SPF 40 PA+++) ส่วนประกอบที่สำคัญ "ฟลูเลอรีน" (Fullerene) : สารสกัดที่ให้คุณสมบัติในเรื่องผิวขาวมากที่สุด นวัตกรรมสารต้านอนุมูลอิสระล่าสุดที่ได้รับรางวัลโนเบิล มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซี 125 เท่า ทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังตั้งแต่ชั้นบนสุด (Epidermis) ไทเทเนียมออกไซด์ (Titanium Dioxide) : มีประสิทธิภาพในการสะท้อนกระจายแสง หรือดูดกลืนแสงอุลตร้าไวเลต UV-A และ UV-B ไว้ที่ตัวของมันเองได้ เพื่อปกป้องผิว มีกลไกกันรังสีดวงอาทิตย์ระหว่างช่วงคลื่น 260 - 700 nm. จึงป้องกันได้ทั้งรังสียูวี ที่คนเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าโดยวิธีการสะท้อนรังสีออกจากผิวหนัง ทันทีที่ตกกระทบ นับได้ว่าสารกันแดดชนิดนี้มีประสิทธิภาพครอบคลุมการกันแดดได้ดี ผิวหนังสามารถดูดซับอนุภาคไทเทเนียมไดออกไซด์ขนาดเล็กได้ ไมโครไนซ์ซิงค์ออกไซด์ (Micronized Zinc Oxide) : ทำหน้าที่ส่วนใหญ่ในการป้องกันและดูดซับรังสี UVA และ UVB ไม่ให้ทะลุ ผ่านลงไปทำลายชั้นของเส้นใยคอลลาเจน และ อิลาสตินใต้ผิวหนัง เมื่อทาสารนี้ลงบนผิวหน้าจะแลดูโปร่งแสง สามารถป้องกันรังสีได้ที่ความยาวคลื่นมากสุด 380 - 400 nm กลไกในการปกป้องผิวจากแสงแดด คือ สารกันแดดประเภทนี้จะไปเคลือบผิวหนังไว้ แล้วสะท้อนหรือกระจายแสงออกไปทั้งหมด มาพิสูจน์ประสิทธิภาพกันค่ะ อันนี้เป็นครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า ที่ผสมเมกอัพเบสนะคะ |
![](//farm9.staticflickr.com/8182/7986706236_d47faafb51_h.jpg) เนื้อครีมที่แน่นฟู และบางเบา ผสมซิลิโคนที่นุ่มดุจใยไหม | ปริมาณที่ใช้เพียงแค่ 1 หัวปั้ม ก็สามารถเกลี่ยได้ทั่วทั้งใบหน้า | เนื้อครีมเนืยนนุ่ม ละเอียด กระจายตัวได้ดีและเกลี่ยง่าย | พอเกลี่ยแล้ว ก็ซึมง่ายไม่ทิ้งคราบ ทำให้ผิวดูสว่างและเรียบเนียนขึ้น |
![](//farm9.staticflickr.com/8451/7986715922_7824c055e2_b.jpg) | ครั้งแรกที่ได้ลองทาครีมกันแดดเนื้อซิลิโคนตัวนี้ บอกได้คำเดียวว่า หลงรัก รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ เพราะว่าปิ๊งกับครีมตัวนี้มากๆ ค่ะ เห็นทันตาเลยว่าผิวดูเนียนขึ้น สว่างขึ้น ไม่ดูขาววอก แต่ดูเหมือนผิวขาวขึ้นแบบธรรมชาติ ประทับใจสุดๆ เลยอะ ครีมตัวนี้ผสมสารควบคุมความมันด้วยนะคะ ไม่ทำให้ผิวเหนี่ยวเหนอะหนะ ไม่ระคายเคืองต่อผิว แล้วก็ช่วยบำรุงผิวให้ขาวขึ้นเพราะมีส่วนผสมของฟลูเลอรีน ที่มีคุณสมบัติให้ความขาวใสกับผิวหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ และเนื้อครีมพิเศษที่เป็นเสมือนเมกอัพเบส ช่วยให้หน้าเรียบเนียนขึ้น สำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาผิวเยอะสามารถใช้แทนครีมรองพื้นได้เลย ส่วนใครที่มีปัญหาผิวมีริ้วรอยหรือหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ก็สามารถใช้เป็นเมกอัพเบสได้ ช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอปกปิดริ้วรอย ทำให้แต่งหน้าติดทน เรียบเนียน เพิ่มความสดใสของใบหน้าให้ผิวหน้าเปล่งประกายสุขภาพดี ขาวใสแบบสาวเกาหลีเลยค่ะ
ดูภาพเปรียบเทียบที่ปุ้ยทาครีมครึ่งหน้าด้วนขวามือ ผิวเนียนเรียบขึ้น และขาวขึ้นแบบไม่ดูเว่อร์ ขาวเนียนขึ้นแบบแลดูธรรมชาติมากๆ บอกได้เลยว่าเวิร์คสุดๆ คลิ๊กดูรูปขยายได้เลยค่ะ | ส่วนครีมทาผิวกาย ก็เจ๋งไม่แพ้กันค่ะ ทาปุ๊บขาวปั๊บเลยอะ มาดูให้เห็นกันตากันเลยค่ะ ตัวนี้แนะนำมากสำหรับใครที่อยากขาวแบบทันทีทันใจ ไม่ต้องกินกลูต้า ไม่ต้องบำรุง รอเป็นเดือนๆ กว่าจะขาว ปุ้ยชอบมากๆ คือ เวลาไปออกงานอีเวนท์ ตาครีมตัวนี้ไป ผิวจะดูผ่อง เนียน แล้วก็เปล่งประกาย เป็นจุดสนใจมากๆ มีแต่คนมาทักว่า ทำไมผ่องขนาดนี้ ผิวสวย อิจฉา เอิ่ม...เนี่ยแหละค่ะ เคล็ดลับชิ้นสำคัญเลยอะ |