กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๑๗
บทที่ ๑๗ ทุตินั่งร่วมวงสนทนากับกลุ่มหมอหลังอาหารค่ำมื้อนั้น เขากับ ศรรักพูดคุยกันอย่างสนุกสนานโดยมีคนอื่นๆนั่งฟังเรื่องเล่าของทั้งคู่ จนแทบไม่ได้เปิดปาก ผมว่านะหมอศรถ้าเราเอาอูฐมาเป็นสัตว์ใช้แรงงานได้ในเมืองไทยคงจะดีมาก ทั้งอึด ทึก ทนถ้าโลกเราไม่มีพลังงานเหลือเฟือเหมือนทุกวันนี้พวกสัตว์นี่แหละจะกลับมาเป็นพาหนะของมนุษย์เหมือนสมัยโบราณ ศรว่าถึงเวลานั้นมนุษย์คงใช้พลังงานจากธรรมชาติอย่างอื่นแทนการใช้สัตว์มากกว่าค่ะจารย์ ที่ประเทศของศร กำลังพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์พลังงานลม แล้วก็พลังงานน้ำกันอย่างดุเดือด เอามาผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งประหยัดและไม่มีมลพิษ นั่นสิประเทศของหมอมีน้ำมันเยอะแยะ ยังพัฒนาไม่หยุด ประเทศอื่นๆ ใช้แต่พลังงานจากน้ำมันไม่คิดประดิษฐ์พลังงานอย่างอื่น มาใช้บ้างอีกไม่กี่ปีน้ำมันคงพุ่งไปลิตรละร้อย นี่ก็สองลิตรร้อยเข้าไปแล้วสมัยก่อนผมจำได้ว่าลิตรละแค่ห้าบาท โหจารย์นานแค่ไหนคะลิตรละห้าบาท ศรรักร้องลั่น ทองยังบาทละสี่ร้อยมาขึ้นเอาตอนสงครามอิรักกับคูเวตนั่นแหละ เยอะจนบางคนเอาทองออกมาขายเอาไปลงทุนอย่างอื่นกันจนรวย แต่จากนั้นก็ไม่มีปัญญาจะซื้อคืนกันอีกทุติพูดติดตลก ถ้าทองบาทละสี่ร้อยศรจะกว้านซื้อมาสักตัน เอามาทำก๊อกน้ำ มากไปไอ้ศรแกไม่เอาทำโถส้วมไปเลยล่ะ โกกนทแขวะคนรวย นี่ๆแกไม่รู้อะไร ห้องน้ำบนเครื่องของท่านชีค ทุกอย่างทำด้วยทองคำหมดถ้าแกได้ไปเห็นเหมือนที่ฉันเห็น ฉันรับรองได้เลยว่าแกขี้หดตดหายชัวร์ศรรักเล่าเสียงตื่นเต้น จริงหรือคะหมอศรตรีทิพย์ตาโต จริงๆค่ะคุณตรี ตอนแรกศรไม่คิดว่าจะเป็นทองจริงๆ นึกว่าเป็นพวกสแตนเลสชุบทอง ที่ไหนได้ทองแท้ๆ เลยค่ะ พอลงมารีบสำรวจตัวเองว่าเป็นฝีที่ก้นหรือเปล่าดันไปเข้าห้องน้ำตั้งสองรอบ คนรวยนี่เนอะทำอะไรไม่น่าเกลียดเอาเลย ตรีทิพย์ชักนึกสนุกอยากร่วมวงสนทนาด้วยจึงต่อความกับศรรัก ว่าไปไอ้เรื่องบ้าทองมันเป็นมาแต่ยุคโบราณแล้วนะ อย่างอินคา สมัยที่โดนสเปนเข้าบุกยึดกษัตริย์อินคาองค์สุดท้ายขอแลกทองทั้งห้อง เงินอีกหนึ่งห้องเพื่อแลกกับชีวิตของตัวเอง แต่พอสเปนได้ของพวกนั้นไปจนครบ ก็ฆ่ากษัตริย์อินคาทิ้งทั้งๆ ที่เขาทำตามคำสัญญาทุกอย่าง ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ยอมคืนอำนาจให้อีกด้วยยึดประเทศกันอย่างยาวนาน จนเห็นว่า ไม่มีอะไรจะให้กอบโกยก็คืนอำนาจให้กับคนเปรูทุติเล่าเรื่องเก่าๆ ไปเรื่อยๆ เขาเป็นพวกกินของขม ชมความสาว เล่าความหลังเรียกง่ายๆ ว่าแก่กว่าคนอื่นๆ ในที่นี้นั่นแหละ จึงมีเรื่องเล่ามากกว่าใครๆในที่แห่งนี้ ไม่ใช่แต่สเปนประเทศเดียวหรอกค่ะอังกฤษก็ไม่แพ้กัน ตอนที่ไปออสเตรเลีย กดขี่คนพื้นเมือง แถมยังให้เจ้าของแผ่นดินเป็นทาสยิ่งยุค ตื่นทองยิ่งแล้วใหญ่คนประเทศเดียวกันแท้ๆ ยังกดขี่ข่มเหงใช้แรงงาน ยิ่งกว่าทาส นาลันทายกตัวอย่างบางประเทศขึ้นมา เพื่อไม่ให้คนอื่นๆเข้าใจว่ามีเพียงสเปนประเทศเดียวเท่านั้นที่ทำเรื่องไม่ดี ในยุคล่าอาณานิคมและยุคตื่นทอง ไม่ว่าประเทศใดๆ ในยุโรป ล้วนทำเรื่องไม่ดีมาแล้วทั้งสิ้น แต่ผมว่ามันแปลกอยู่อย่างตรงที่ทหารสเปนมีแค่สองร้อยคน ทำไมเอาชนะอินคาเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้ง่ายๆมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เกิดเรื่องอย่างนั้น คุณลองคิดดูสิคนอินคาไม่ใช่พวกขี้ขลาดตาขาว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะบุกตีหัวเมืองอื่นๆมาเป็นของตัวได้ยังไงภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ที่สำคัญกว่านั้นคืออินคามีประวัติแค่ร้อยปีนิดๆ เท่านั้น จากนั้นก็ล่มสลาย คุณว่าแปลกไหมละ คงเพราะโรคระบาดและขาดแคลนอาหารหรือเปล่าคะโกกนทเคยได้ยินมาว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อินคาล่มสลายเพราะการระบาดอย่างหนักของโรคไข้ทรพิษทำให้ผู้คนล้มตายเกือบครึ่งหนึ่งของประชากร อาหารไม่น่าจะเกี่ยวที่นี่มีทั้งดินอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีชายฝั่ง ติดทะเลถ้าคิดจะหาอาหารไม่น่าจะลำบากมาก อีกอย่างเท่าที่เห็น คนที่นี่ในสมัยโบราณเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์กันเกือบทุกบ้าน ยกเว้นพวกขุนนางและกษัตริย์เท่านั้นน่าจะเป็นเพราะโรคระบาดมากกว่านะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆคนที่ตายมากมายขนาดนั้น เขาเอาไปไว้ที่ไหนล่ะคะ น่าจะมีสุสานหรือที่เผาศพใหญ่ๆรองรับเอาไว้ นั่นสิไม่มีใครเคยพบสุสานนั้นสักคนยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครเคยพบ พระศพของกษัตริย์องค์แรกของอินคาด้วยไม่มีเอกสารอะไรยืนยันว่าพระองค์ปกครองมากี่ปี มีเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากกันมาเท่านั้นว่าเคยมีกษัตริย์องค์นี้อยู่ที่นี่ ชื่อนั้นชื่อนี้ จนสเปนปกครองที่นี่ก็เลยเรียกคนที่เคยรู้มาสอบถาม แล้วก็จดบันทึกเอาไว้นั่นจึงเป็นเอกสารเพียงอย่างเดียวในฝ่ายของสเปนที่เราเอาไว้ศึกษาประวัติของอินคากันจนถึง ทุกวันนี้ นั่นก็แค่สามร้อยปีกว่าๆเท่านั้น แล้วอีกหลายร้อยหลายพันปีที่เหลือล่ะคะ ไม่มีประวัติอะไรเลยหรือไง มีแค่ภาพที่พื้นที่ชื่อว่า นัซกาเท่านั้นที่เรารู้ว่า เก่าแก่มากเท่านั้นนอกนั้นก็เป็นพวกเครื่องปั้นดินเผาที่มีรูปวาด นัซกานั่นเป็นฝีมือมนุษย์ต่างดาวไม่ใช่หรือคะจารย์ปู่ อัปสรถามขึ้นมาทันทีเธอเคยอ่านจากหนังสือบางเล่มบอกว่า เส้นนัซกานั้นไม่ได้ทำมาจากฝีมือมนุษย์แต่เกิดขึ้นจากการสร้างของมนุษย์ต่างดาว เพื่อทำเป็นลานจอดยานอวกาศ ไม่ใช่หรอกจิ๊ดนัซกาสร้างโดยฝีมือมนุษย์ของเรานี่แหละ เราพบหลักฐานที่กาอูชิ วิหารใกล้ๆ กันนั้นวิหารแห่งนี้ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าเป็นวิหาร เพราะมันเหมือนเนินดินมากกว่ามีแต่ดินถับๆ กันจนสูง มาตอนหลังเราจึงรู้ว่าเป็นวิหารของนัซกา คนที่ทำการสำรวจจึงรู้ว่านัซกาคือวิหารกลางแจ้งที่ทำขึ้นเพื่อสังเวยครั้งใหญ่ให้กับเทพเจ้า ทำไปเพื่ออะไรคะจารย์ จากที่มีคนสนทนากันไม่กี่คนมาบัดนี้เรื่องที่ทุติเล่า กลายเป็นเรื่องน่าสนใจของทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาววัยละอ่อนทั้งสองคน อย่างอัปสรและพิมมาดา จากที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นแห้งแล้ง พวกหนูคิดว่าคนในสมัยนั้นจะทำอะไรบ้างล่ะ ต้องหาทางหาน้ำมาใช้ให้ได้สิคะอัปสรชิงตอบคำถามนั้นก่อน นั่นแหละหนูพูดถูก ต้องหาน้ำมาใช้ให้ได้ คนที่นั่นขุดบ่อน้ำลึกลงไปในดินหลายสิบเมตรเพื่อนำน้ำขึ้นมาใช้ แต่พอนานวันเข้า น้ำก็หายไปอีกคราวนี้คงทำอะไรไม่ได้อีกนอกเสียจากวิงวอนพระเจ้า ที่กาอูชิเราพบสุสานของผู้ชายคนหนึ่งไม่มีกะโหลกศีรษะ แต่พบไหใบหนึ่งมีรูปวาดเป็น หัวคนด้านบนเป็นรูปต้นไม้ เราจึงสันนิษฐานว่า ชายคนนี้คงเป็นหัวหน้าเผ่ายอมสละชีวิตของตัวเองให้กับเทพเจ้า เพื่อให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลแต่สิ่งที่เขาทำคงไม่เป็นผล ไม่มีฝนตก เผ่าไร้หัวหน้าที่แข็งแกร่งไม่นานเท่าไหร่ชาวเพาวารีจากดินแดนที่ราบสูงก็เข้ามายึดนัซกาทำให้นัซกาเหลือเพียงชื่อเท่านั้น น่าสงสารนัซกาจังเลยค่ะอุตส่าห์ตั้งใจทำเส้นตั้งใหญ่โต สุดท้ายก็วิงวอนพระเจ้าไม่สำเร็จพระเจ้าโหดร้ายจริงๆ เลยนะคะ พิมมาดายิ่งฟังยิ่งเศร้าใจ พระเจ้าคงทำอะไรไม่ได้หรอกนะเพราะสมัยนั้นแกนโลกเหวี่ยง สภาพอากาศของโลกก็เปลี่ยนไปด้วย จากที่เคยมีสีเขียวก็กลายเป็นทะเลทราย ทั้งๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากทะเล ยังไม่มีฝนตกเลยสักหยดแต่พอมาถึงตอนนี้กลับมีฝนตก ทะเลทรายที่ไม่มีทั้งลมทั้งฝนมานับพันปี กลับมาลมมีฝนเส้นนัซกาพวกนั้น กำลังจะถูกลบทิ้งไปโดยธรรมชาติ ในอีกไม่ช้า ไม่นานนักหากมีฝนตกที่นั่นอีกไม่กี่ครั้ง แย่เข้าไปใหญ่คนรุ่นจิ๊ดกะอดไปเห็นเส้นนัซกาสิ อากลางๆ ถ้า เรากลับจากที่นี่พาจิ๊ดไปดูเส้นนัซกานะ จะได้เห็นเป็นขวัญตา ก่อนที่มันจะลบไป เข้าทางเราเลยนะหาเรื่องเที่ยวจริงๆ นาลันทาบ่น เธอแกล้งบ่นไปอย่างนั้นอันที่จริงการมาเปรูครั้งนี้พวกเธอกะเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเดินทางไปยังนัซกาเพื่อไปดูให้เห็นกับตา เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเองและหลานสาวไปในตัว หลังจากเดินทางรอนแรมมาไกลจากมายารัตติจึงตัดสินใจ ตั้งรกรากอยู่ที่พื้นที่ด้านข้างเทือกเขาแอนดิส เธอเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองมาหลายครั้งตามดินแดนที่เธอเดินทางไปพำนัก จากรัตติเป็นราชินีโยกส์อิกนัลของชนเผ่าปาเลงเก้ในที่แห่งนี้เธอได้พบกับผู้หญิงซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับทาฬิจนเกือบจะเป็นคนเดียวกันแต่สุดท้ายหญิงคนนั้นถูกคนของชนเผ่าคาลักมุลลอบทำร้ายจนถึงแก่ ความตาย เธอโกรธแค้นยิ่งนักบุกทำลายเผ่าคาลักมุลจนสิ้นซาก จากนั้นจึงย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง และเวลานี้เธอใช้ชื่อว่านัลเซ็น ราชินีนัลเซ็นเลือกทำเลที่คิดว่าเหมาะที่สุดที่จะตั้งเมืองใหม่ของเธอ จากเวลาที่ผันผ่านไปนักรบคู่หูของเธอตายจากไปทีละคนสองคน ประชาชนเริ่มหวาดระแวงว่าเธอจะเป็นภูตผีปีศาจประกอบกับความ แห้งแล้งและอดอยากทำให้เธอต้องระหกระเหินเดินทางหาที่ตั้งเมืองใหม่ จากคาบสมุทรยูคาทันมาอยู่ริมเทือกเขา ทางตอนใต้ ตั้งชื่อดินแดนแห่งใหม่ว่า นัซกานัลเซ็นจึงเปรียบเสมือนเทพเจ้าของชาวนัซกา ไม่นานนักนัซกาเริ่มขาดแคลนอาหารเหมือนกับที่อื่นๆ ที่เธอจากมา ราวกับสวรรค์ลงโทษเธอเมืองฟ้ากลั่นแกล้งเธอทุกอย่าง จากดินแดนอุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกอะไรก็งอกงามกลับกลายเป็นดินแดนแห้งแล้งราวกับทะเลทราย อย่าว่าแต่จะหาอะไรมากินรองท้องเลยแม้แต่น้ำสักหยดประชาชนของเธอยังหาได้ยาก การบูชายัญจึงเกิดขึ้นอีกครั้งครั้งนี้ผู้นำเผ่าที่เธอแต่งตั้งเขาขึ้นมา ยอมที่จะพลีชีพถวายแด่เทพเจ้าของเขา พิธีเริ่มต้นขึ้นในคืนเดือนมืดบนท้องฟ้าปรากฏลำแสงสว่างเห็นหางยาวจากเหนือจรดใต้ นัลเซ็นสั่งให้คนของเธอบั่นคอของเขาด้วยมีดซึ่งทำมาจากหินแกร่งเพียงแค่ฉับเดียว ศีรษะของผู้นำเผ่าหลุดกระเด็น จากนั้นคนของเธอจึงนำศีรษะนั้นไปทำพิธีส่วนร่างของเขาถูกนำไปฝังในท่านั่งขัดสมาธิ อยู่ในหลุมลึกราวเมตรกว่าๆ มีไหดินเผาซึ่งเขาเป็นผู้ปั้นเองกับมือเพื่อเป็นสิ่งบูชาเทพเจ้า ไหทรงสูงวาดใบหน้าของเขา ไว้บริเวณส่วนล่างส่วนตรงกลางจนถึงด้านบน วาดเป็นรูปต้นไม้ เพื่อบอกกับเทพเจ้าของเขาว่าเขาพลีชีพให้กับเทพเจ้า ให้เทพเจ้าทำให้ชนเผ่าของเขามีต้นไม้ มีน้ำและมีอาหารเพียงพอกับประชากร เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปีชนเผ่าของเขาต้องตัดสินใจทิ้งถิ่นอีกครั้งอพยพไปยังดินแดนสีเขียวที่อุดมสมบูรณ์กว่านัซกาเหลือทิ้งมรดกเพียงอย่างเดียวเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ขบคิดกันว่าคืออะไรนั่นคือเส้นนัซกา เส้นรูปวาด นก ลิง ปลา และอื่นๆ พวกเขาทำเพื่อบอกกับ เทพเจ้าของเขาว่า เขาต้องการน้ำ และพืชพรรณอุดมธรรมชาติไม่ปราณีคนของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัตติหรือนัลเซ็นราชินีองค์เดียวของนัซกา ทำไม...เสียงของนัลเซ็นตะโกนไปยังท้องฟ้า เธอทรุดกายลงกับแผ่นดินแห้งแล้งของนัซกาน้ำตาแห่งความผิดหวังไหลรินออกมา ข้าทำอะไรผิดข้าเพียงแค่ตามหานาง เหตุใดต้องทำกับคนของข้าเช่นนี้ เมืองฟ้า พวกเจ้าร้ายยิ่งนักจากนี้ไป ข้าขอตัดขาดจากเจ้า ในเมื่อข้าทำดีไม่ได้ดี จักทำไปอีกเพื่ออันใดจากนี้ข้าจักร้ายให้ถึงที่สุด ร้ายจนพวกเจ้าคิดไม่ถึง นัลเซ็นกัดกรามแน่นเมืองฟ้าไม่แยเสเธอ ไม่มองในสิ่งที่เธอส่งเป็นเครื่องสังเวย ไม่สนใจความเดือดร้อนของพวกเธอ จากนี้เธอจะตั้งต้นเป็นเทพเจ้าเสียเอง ทำทุกอย่างเพื่อคนของเธอให้อยู่ดีกินดีที่ใดแห้งแล้ง เธอจะใช้มนต์ของเธอ ทำให้มันกลายเป็นที่อุดมแต่ไม่ใช่มนต์จากเมืองฟ้า มันคือมนต์ดำซึ่งได้มาจากการรวบรวมพลังชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์เท่าใดได้ยิ่งดีดวงวิญญาณเหล่านั้นจึงยิ่งเพิ่มพูนพลังมืดให้กับเธอและเธอจะกลับมาใช้ชื่อรัตติอีกครั้ง เพราะเธอคือเทพรัตติกาลเทพชั่วร้ายที่สุดในจักรวาล พีระมิดถูกสร้างขึ้นด้วยแรงงานของผู้ชายเพื่อนำร่างของผู้หญิงและเด็กหญิงบริสุทธิ์ ซึ่งได้มาจากการจับเป็นเชลย ผู้ชายเหล่านั้นเป็นเชลยด้วยเช่นกันพวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าผู้หญิงทั้งหมด จะถูกจับมาขังเอาไว้ในพีระมิดแห่งนี้เพื่อเป็นเครื่องบูชายัญแด่เทพรัตติกาล ผู้หิวกระหายวิญญาณอันบริสุทธิ์จากเด็กและสตรีบริสุทธิ์หญิงและเด็กเหล่านี้จะถูกเลี้ยงดูอย่างดี ใช้ชื่อเรียกว่า พรหมจารีแห่งรัตติกาลวันในการทำพิธีถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อย หลังพระอาทิตย์ตกดินในวันที่ยามราตรียาวกว่าทิวา และเป็นคืนเดือนมืด น้อยครั้งนักที่จะมีวันเช่นนี้แต่ทุกอย่างถูกคำนวณมาอย่างดี หรือที่ปัจจุบันเรียกว่าวันครีษมายันซึ่งเป็นคำเรียกของทางซีกโลกใต้ ส่วนทางซีกโลกเหนือเรียกว่าเหมายัน(เห-มา-ยัน) ผู้หญิงและเด็กถูกแต่งกายด้วยชุดสีดำยืนอยู่กลางลานกว้าง อันแสนจะมืดมิด ไม่มีใครจุดไต้ จุดไฟส่องสว่าง เทพรัตติกาลไม่ชอบแสงสว่างผู้ช่วยของท่านเทพจึงไม่มีใครกล้าจุดไฟ หนึ่งในหญิงที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยและกำลังจะถูกทำพิธีคิดหาทางหนีออกมาจากกลุ่มโดยอาศัยความมืดมิดในยามราตรี เธอต้องการหนีเอาชีวิตรอดไม่ต้องการเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับเทพองค์ใดๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพรัตติกาล เทพองค์นี้มีแต่ความโหดเหี้ยมไม่ปรานีผู้ใด ทำไมเธอต้องมอบร่างและวิญญาณของเธอให้กับปีศาจตนนั้นด้วย เธอมองหาลู่ทางในการหลบหนีเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ก่อนพลบค่ำ หุบเขาข้างลำน้ำเป็นสถานที่ซึ่งสามารถวิ่งเข้าไปหลบในบริเวณนั้นได้ ผู้คุมไม่มีใครกล้าจุดไฟเธอจะอาศัยความมืดพรางตัวหลบออกไปจากที่นี่ สบโอกาสแล้วสินะเธอค่อยๆ ยอบตัวลงกับพื้น จากนั้นจึงคลานราบไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนสนใจเธอจึงวิ่งไม่คิดชีวิต เพื่อไปที่ลำธารแห่งนั้นสิ่งที่จะทำให้เธออยู่รอดต่อไปคือสองขาและลำแข้งของเธอเท่านั้น แม้จะเจ็บปวดจากการโดนหนามไม้เล็กๆทิ่มแทง เธอไม่ยอมหยุดวิ่ง มีบางคนบอกว่า เหนือลำธารนี้ขึ้นไป มีหมู่บ้านอีกแห่งที่แห่งนี้นับถือเทพสุริยาเช่นเดียวกับเธอเธอต้องไปถึงที่นั่นให้ได้ก่อนที่พิธีกรรมจะเสร็จสิ้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือร้องลั่น สิ่งที่เธอได้ยินทำให้เธอใจเต้นระทึกเวลานี้เธอคงช่วยเหลือใครไม่ได้อีกนอกจากคิดเอาชีวิตให้รอดเท่านั้น เสียงร้องนั้นทำให้คนในหมู่บ้านทาคานาคาได้ยินแล้วถึงกับขนลุกขนพองมีเสียงเล่าลือจากคนเบื้องล่างบอกว่า ที่หมู่บ้านด้านล่างเป็นที่พักนักของเทพรัตติกาลคนในหมู่บ้านเบื้องบนจึงไม่กล้าที่จะไปมาหาสู่กับคนเบื้องล่างด้วยกลัวในความร้ายกาจขององค์เทพ แม้ได้ยินเสียงยังไม่กล้าออกมาจากบ้านปล่อยให้เสียงเหล่านั้นเงียบไปเอง พวกเขาทำเช่นนี้ทุกครั้ง เพื่อไม่ลบหลู่องค์เทพที่สำคัญพวกเขาไม่ต้องการให้คนในหมู่บ้านตกเป็นเชลย การวางตัวนิ่งเฉยปล่อยไปตามน้ำสามารถรักษาชีวิตคนเอาไว้ เป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกที่จะทำ ช่วยข้าด้วยเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือทำให้ชาวบ้านที่กำลังขุดดินเพื่อเพาะปลูกข้าวโพดต้องหันไปมองหาต้นเสียง เมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงแต่งกายด้วยชุดสีดำพวกเขาถึงกับวิ่งหนี เป็นที่รู้กันว่า ไม่มีใครกล้าช่วยคนที่หลบหนีมาจากทาคานาลาหญิงคนนั้นคลานไปตามพื้นอย่างหมดแรง เจ้าเป็นอะไรเสียงหนึ่งเอ่ยถาม เข้าไปพลิกกายของหญิงคนนั้นขึ้นมาดูว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ช่วยข้าด้วยข้าหนีมา นางชี้ลงไปยังหมู่บ้านเบื้อล่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด หมู่บ้านแห่งนี้แทบจะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงไปถึงราวกับมันอยู่ใต้ท้องทะลึก ทั้งๆ ที่อยู่บนพื้นดิน ใครทำอะไรเจ้าทำไมต้องหนีมา เทพรัตติกาลจับพวกข้าบูชายัญ สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดทำให้คนที่ได้รับฟังถึงกับอึ้ง ชื่อรัตติกาลคือชื่อที่ทำให้เธอถึงกับขนลุกไปทั่วตัวอย่างไม่มีสาเหตุ
Create Date : 09 กันยายน 2557 |
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:40:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 483 Pageviews. |
 |
|