It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๑๐

บทที่  ๑๐

“เจ้าต้องการจะจากเราไปกับนางเช่นนั้นรึทาฬิ”

เสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่ว

“ข้ามิได้ไปกับนางข้าอยากไปของข้าเอง”

“มายามิมีอันใดให้เจ้าทำแล้วหรือไรเจ้าจึงคิดทิ้งไปเช่นนี้”

“ไม่เกี่ยวกับมายาคำทำนายแห่งข้าได้ทำจนจบกระบวนความแล้ว คงมิต้องทำสิ่งอื่นใดนอกจากนี้”

“คำทำนายที่มายาจักล่มสลายของเจ้ามันไร้เหตุผลสิ้นดีทาฬิ เจ้าเป็นเทพแห่งกาลเวลา ทำนายเช่นนั้นเท่ากับเจ้าสาปแช่งให้มายาล่มสลาย”

“ข้ามิได้สาปแช่งอันใดเลยรัตติข้าบอกแล้วว่านี่คือคำบัญชาแห่งเมืองฟ้า อีกมินาน ทุกสิ่งบนดาวไกอาจักต้องแหลกสลายมิมีสิ่งใดจักหยุดยั้งความจริงข้อนี้ได้ดอกรัตติ”

“ข้านี่แหละจักหยุดคำทำนายของเจ้าทาฬิ”

“เหตุนี้ข้าจึงต้องออกไปจากมายาเพื่อมิให้คำทำนายแห่งข้าเป็นจริง หากเจ้ายังรั้งข้าเอาไว้ อีกไม่นานมายาจักเป็นตามคำทำนายแห่งข้า เจ้ารู้มิใช่รึรัตติ”

“เจ้าหาข้ออ้างมากกว่าทาฬิ”

“ต่อให้เจ้ารั้งข้าด้วยวิธีใดคงไม่มีผลหากข้าต้องการจักไปที่แห่งใด ข้าไปได้ทุกที่ เจ้าอย่าลืมสิไม่มีแห่งหนใดบนไกอาไม่มีเวลาข้าคือเทพแห่งเวลา จึงไปได้ทุกที่”

“ข้าสั่งเจ้าทาฬิมิให้เจ้าไปจากที่นี่”

“มิมีผู้ใดสั่งข้าทาฬิธิดาแห่งองค์มหาเทพได้ดอกรัตติ”

“เจ้า...”ผู้หญิงที่ชื่อรัตติคนนั้นทาฬิดาเห็นใบหน้าของเธอบ่งบอกกว่ากำลังโกรธจนไม่สามารถยับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้

ส่วนผู้หญิงที่ชื่อทาฬิคนนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนเถียงกันอย่างดุเดือดบริวารห้อมล้อมต่างถอยหนีไปหลบอยู่ตามต้นเสา หรือหลังกำแพงเสียงที่ทั้งสองคนคุยกันนั้น ทำให้แผ่นดินถึงขั้นสะเทือนขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวราวกับเป็นแผ่นน้ำ

“ต่อให้เจ้าหนีไปจนสุดล้าฟ้าเขียวข้าจักตามไปทำลายเจ้า เจ้าจำเอาไว้ทาฬิ”

“ข้าจะคอย”ร่างของทาฬิหายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งให้อีกฝ่ายอยู่เพียงลำพัง

ผู้หญิงที่ชื่อรัตติทรุดตัวลงนั่งกับพื้นดวงตาทั้งสองของเธอมีน้ำตาไหลออกมา มือของผู้หญิงคนนั้นกำอะไรสักอย่างเอาไว้แนบอกลักษณะกลมๆ แบนๆ สีของมันเป็นสีทอง เธอไม่แน่ใจว่าของสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ที่แน่ๆ ทาฬิดาเห็นแล้วรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนี้จับใจเหตุใดหนอทาฬิจึง ใจร้ายกับผู้หญิงคนนี้เหลือเกินหากเป็นเธอคงไม่ทำร้ายจิตใจเพื่อนอย่างที่ทาฬิทำ

ทาฬิดาสะดุ้งตื่นเธอได้ยินเสียงคนวิ่งมาที่หน้าประตูบ้าน เสียงตะโกนบ่งบอกว่ามีคนอยู่หน้าบ้านหลังนี้นับสิบคน เหมือนว่ากำลังโกรธ ถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน

“เกิดอะไรขึ้น”ทาฬิดางัวเงีย พบว่าพวกเธอนอนรวมตัวกันอยู่หน้ากองไฟ ซึ่งบัดนี้ได้มอดไปจนหมดเหลือเพียงกองเถ้าถ่านทิ้งไว้เท่านั้น

“อะไร”โกกนทตื่นขึ้นมาอีกคน

“ไม่รู้สิคะพี่หมอเหมือนมีคนมาตกโกนโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน” ทาฬิดาบอกเท่าที่เธอรู้

“เดี่ยวพี่มา”โกกนทรีบลุกขึ้น เดินออกไปหน้าบ้าน กลุ่มผู้ชายหลายคนมายืนออกันอยู่ที่หน้าบ้าน จริงอย่างที่ทาฬิดาบอกในมือนั้นถือหอกซึ่งทำมาจากไม้เหลาจนแหลมติดตัวมาด้วยทุกคน

“เกิดอะไรขึ้น”โกกนทตะโกนถามออกไป

“ที่นี่มีกาลกิณีเราต้องกำจัด” หนึ่งในกลุ่มชายพวกนั้นบอก

“ใคร”โกกนทเริ่มงง

“ผู้หญิงคนนั้น”ชายคนนั้นชี้ไปในบ้าน

โกกนทไม่เข้าใจใครกันที่เขาบอกว่าเป็นกาลกิณี ในบ้านนั้นมีผู้หญิงอีกสามคน

“คนไหน”

“ชอง”ผู้ชายคนนั้นพูดชื่อของแม่ผู้ที่เสียงลูกไปเมื่อคืนที่ผ่านมา

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น”

“นางคลอดลูกบูชารัตติกาลนางคือกาลกิณี”

“ชองไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ลูกของเธอตายพวกคุณไม่เข้าใจหรือไง”

“นางเป็นกาลกิณีมาตั้งแต่นางเกิดแม่นางตายในวันที่คลอดนาง พอนางคลอดลูก ลูกนางก็ตายสังเวยรัตติกาล นกยมทูตมาบอกความกับเรานางเป็นกาลกิณี ต้องกำจัดนางออกไปจากหมู่บ้าน”

“อะไรนะชองยังเจ็บอยู่จะให้เดินทางได้ยังไง”

“หากไม่กำจัดนางต้องมีคนถูกสังเวยอีกนับสิบนับร้อย ต้องกำจัดนางทิ้งซะ”

“กำจัดนางกำจัดนาง กำจัดนาง”

เสียงของผู้ชายที่เหลือต่างตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

“พวกเขาว่ายังไงนท”ภัทรมลเดินมาถาม

“พวกนี้จะให้ชองออกไปจากหมู่บ้านบอกว่าเธอคลอดลูกตาย เมื่อคืน สังเวยรัตติกาล ต้องขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านนกอะไรสักอย่าง มาบอกกับพวกเขาเมื่อคืนนี้ค่ะพี่หมอบิว”

“นกเหรอเสียงนกที่เราได้ยินเมื่อคืนหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิคะที่แน่ๆ คือถ้าให้ชองเดินทางตอนนี้ มีหวังเธอตายแน่ๆ”

“นั่นสิพี่ยังไม่อยากให้เคลื่อนย้ายคนป่วยตอนนี้เหมือนกัน”

“ถ้าพวกนั้นต้องการให้ไปเวลานี้ล่ะคะพวกพี่จะทำยังไง”

ทาฬิดาเอ่ยถามขึ้นมาบ้างคงไม่มีใครในที่นี้ห้ามคนข้างนอกได้ พวกเธอคงไม่สามารถทำอะไรได้

“เราต้องอ้างว่าเรารอมารีมารีคนเดียวเท่านั้น ที่จะคุยกับพวกนี้ รู้เรื่อง”โกกนทบอก หนทางเดียวที่พวกเธอทำได้คือ รอให้มารีมาช่วยพูดกับพวกเขา

“เราจะอ้างเลยดีไหมพี่หมอ”ทาฬิดาถามทันที

“เดี๋ยวพี่ลองดู”

โกกนทสวมหัวใจสิงห์ออกไปเจรจากับคนนอกบ้านอีกครั้ง

“รอมารีกลับมาก่อนไม่ได้หรือคะ”

“ไม่ได้”เสียงสวนตอบกลับมาทันควัน

“โปรดรอเถอะค่ะมารีกลับมาพวกคุณคงจะรู้เรื่องทั้งหมด”

“ถ้ำนั้นใช่จะเข้าจะออกกันได้ง่ายๆกว่าจะกลับคงอีกสามวัน”

“ทำไมนานอย่างนั้น”ประโยคแรกโกกนทพูดกับตัวเองก่อนที่จะหันกลับไปเจรจาต่อรองอีกครั้ง

“คนเจ็บของฉันต้องการเวลาอีกสามวันเธอถึงจะเดินทางได้”

“ไม่ได้ต้องไปเดี๋ยวนี้ หากนางไม่ออกไปก่อนเที่ยง หมู่บ้านของเราจะต้องเกิดอาเพศ แน่ๆ”

“ซวยแล้ว”โกกนทพูดกับตัวเองอีกรอบ

“ว่าไงนทพวกเขายอมไหม”

“ไม่ค่ะพี่หมอเขาจะให้ออกไปจากหมู่บ้านตอนนี้ เอาไงดีพี่”

“เราคงต้องลากหรือแบกไปถ้าต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ดีกว่าปล่อยให้เธอตาย”

“แต่เราไม่มียาแก้ปวดมากพอนะพี่”

“ใบโคคาให้กินเข้าไปเยอะๆ จะได้หลับ แล้วพวกเราแบกไป”

“จะไหวหรือคะทางขึ้นเขาตั้งเกือบสิบกิโล” โกกนทแค่คิดยังเหนื่อย หากต้องทำจริงๆคงต้องตายกันไปข้าง

“มันก็ต้องโด๊ปทั้งคนป่วยคนแบกนั่นแหละ”

“ตกลงฉันขอแคร่หามคนป่วยด้วย”

โกกนทหันไปบอกกับผู้ชายเหล่านั้น

“พวกเราขอโทษหมอด้วยที่ต้องทำอย่างนี้เราไม่อยากให้หมอลำบากใจพ่อของนางกับพี่ชายจะมาช่วยหมอแบกนางออกไปจากหมู่บ้านของพวกเรา” สิ้นคำพูดนั้นชายสองคนเดินออกมาจากกลุ่มชายทั้งหมด พวกเขามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับชองทำให้โกกนทรู้ว่าทั้งสองคนคือบิดาและพี่ชายของคนป่วยตามที่บอกไว้

มารีและคนของเธอเดินเข้าไปในถ้ำเธอกะประมาณคร่าวๆ และดูจากรอยเท้าของโอแปงชายผู้ต้องเสียงลูกไปตั้งยังไม่เกิดเขาคงเดินนำหน้าพวกเธอไปไม่ไกลนัก

ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องห้ามของชนเผ่าทาคาไม่ว่าจะเป็นทาคานาคาหรือทาคานาลา หากผู้ใดละเมิดเข้ามาในสถานที่แห่งนี้สิ่งเดียวที่พวกเขาจะได้รับคือความตาย

ไม่ใช่ความตายจากคนหากแต่มาจากคำสาปของสถานที่ สิ่งที่จะปกป้องคนที่เข้ามาในนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือปลายหอกของเทพสุริยามีเพียงเหล่านักรบผู้กล้าเท่านั้นที่จะมีของสำคัญพกติดตัว

ปลายหอกของเทพสุริยาครั้งแรกเริ่มนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหลังจากที่เทพสุริยาปราบเทพรัตติกาลได้ หอกนั้นจึงถูกแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ สิบส่วนเพื่อมอบให้กับนักรบผู้กล้าของชนเผ่าทั้งสิบคน เพื่อส่งมอบต่อให้กับผู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตามคำทำนายของเทพสุริยา หนึ่งในชิ้นส่วนทั้งสิบชิ้น คือสิ่งที่มารีนำมาทำเป็นจี้ห้อยคอของเธอผู้ติดตามของเธอทั้งสามคน เป็นผู้สืบทอดเชื้อสายของนักรบในสมัยนั้นพวกเขาจึงมีปลายหอกของเทพสุริยาพกติดตัวกันทุกคน เพื่อเป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้ายจากรัตติกาล

ส่วนเธอนั้นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหัวหน้าเผ่าทาคานาคาเธอจึงเป็นผู้สืบทอดมาด้วยเช่นกันมารีได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพ่อของเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก คำทำนายเมื่อเธอเกิดคือเธอจะเป็นผู้ปกป้องเผ่าทาคาทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน

คำทำนายไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเธอไม่อยากได้คำทำนายนั้นเลย สักนิด เธออยากเป็นคนปกติทั่วไปไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากเหมือนเพื่อน รุ่นเดียวกัน ตั้งแต่จำความได้ เธอถูกบังคับให้เรียนทุกอย่างทั้งตำราการแพทย์ ภาษา ไสยเวทย์ มนต์ขาว และการป้องกันตัวจากมนต์ดำหลังจากที่เธออายุสิบสอง เธอต้องไปเรียนหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันสเปน โปรตุเกต จีน ยังไม่รวมถึงภาษาถิ่นอื่นๆอีกหลายภาษาซึ่งเธอสามารถพูดแต่เขียนไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงสามารถพูดและเขียนได้หลากหลายภาษาแต่กว่าเธอจะพูดภาษานั้นได้ เธอต้องใช้ความพยายามจนสุดความสามารถ

หลังจากที่เรียนจบมาเมื่อสองปีก่อนเธอถูกเรียกตัวกลับมาทาคานาคา เพื่อมารับสืบทอดตำแหน่งจากผู้เป็นบิดาคำทำนายบางเรื่องทำให้เธอต้องกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหลังจากที่จากไปถึงสิบสองปี

“นายท่านเขาอยู่ข้างหน้า” คนของมารีบอกกับเธอ

ร่างของโอแปงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่มีศพทารกอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาทำให้มารีรู้ว่าต้องเกิดเหตุอะไรบางอย่างกับเขาเธอเข้าไปพลิกร่างของเขาให้หงายขึ้น ใช้นิ้วมือของเธอจับที่ข้อมือของเขา

“ตายแล้ว”มารีบอกกับทุกคน เธอมองไปรอบๆ ตัว ความมืดมิดทั่วบริเวณทำให้เธอเสียวสันหลังผู้ระวังมักเพลี่ยงพล้ำให้แก่ผู้จ้องทำร้าย คำพูดนี้เธอจำได้จนขึ้นใจ

เธอไม่แน่ใจว่าศพเด็กทารกน้อยนั้นอยู่ที่ใดเธอต้องตามหาให้พบก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงกับชนเผ่าของเธอ

“ฉันจะเข้าไปด้านใน”มารีบอก

“อันตรายนะนายท่าน”ซีมูนชายหนุ่มผู้ติดตามทักขึ้น

“อันตรายแค่ไหนฉันต้องไป หรือนายจะให้เกิดเรื่องกับเผ่าเราเหมือนเมื่อหกร้อยปีก่อนล่ะนายรับผิดชอบไหวไหมซีมูน”

“ผมเกรงว่านายท่านจะมีอันตรายยมทูตแห่งความตายรอเราอยู่เบื้องหน้า ไม่คุ้มที่นายท่านจะเสี่ยงชีวิตอย่างนั้น”

“หากฉันไม่เสี่ยงในตอนนี้เผ่าทาคาจะเสี่ยงกันทั้งเผ่า แทนที่ฉันจะต้องตายเพียงคนเดียว คนทั้งเผ่าต้องมาตายพร้อมฉันด้วยฉันจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะซีมูน”

“ครับผมเข้าใจผมจะป้องกันอันตรายให้กับนายท่านเอง”

เขาพยักหน้าตอบรับเขารู้ดีว่าคงไม่มีใครยับยั้งความคิดของมารีได้

มารีเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆถ้ำลาดต่ำลงทุกย่างก้าว ยิ่งเดินยิ่งร้อน ราวกับกำลังเดินลงไปสู่ขุมนรกหินงอกหินย้อย ห้อยระย้าลงมาจนทำให้แทบจะเดินเข้าไปไม่ได้ มันคือม่านหินธรรมชาติ

บนพื้นมีซากสิ่งของบูชายัญตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนวางอยู่ หากแต่มันถูกทับด้วยหินปูนซึ่งเกิดจากน้ำเบื้องบนค่อยๆหยดลงมาบนพื้น พอกตัวปิดเอาไว้ จนเกือบจะมองไม่เห็นรูปร่างเค้าโครงเดิม

หลายร้อยปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาในถ้ำแห่งนี้นี่อาจจะเป็น ครั้งแรกที่มีมนุษย์ใจกล้าบุกเข้ามาในดินแดนชั่วร้ายหลังความตายของ เทพรัตติกาล

“นั่น”มารีชี้ไปที่ร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อย ซึ่งถูกวางอยู่บนแท่นกลางห้องโถงขนาดใหญ่

“แกว๊กๆ”เสียงบางอย่างบ่งบอกว่า มันหวงถิ่น ไม่ต้องการให้ พวกของมารีเข้ามาในดินแดนของมันไม่ใช่ปกติวิสัยที่จะมีนกเข้ามาอยู่อาศัยในถ้ำลึกใต้ดินอย่างนี้ มารีจึงรู้ว่ามันคือนกในตำนานนกของเทพรัตติกาล ซึ่งรักเทิดทูลเจ้านายของมันยิ่งกว่าชีพของตน

ซีมูนขยับตัวหมายจะเข้าไปทำร้ายมันมันคือนกตัวใหญ่ สูงราวๆ หนึ่งเมตร ท่าทางไม่เป็นมิตรของมัน ทำให้พวกเขาหวาดระแวง

“อย่าพวกนายอย่าลืมว่า แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

มารีเตือนคนของเธออาวุธของเทพสุริยา จะปกป้องผู้ที่ครอบครองมันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นหากพวกเขาใช้มันโดยไม่ยั้งคิด อาจจะจบชีวิตลงง่ายๆ ทุกคนจึงหยุดยืนอยู่กับที่

“เราขอเด็กคนนั้น”มารีบอกกับเจ้านกยักษ์

ท่าทางของมันบ่งบอกว่าไม่ยอมฟังคำขอของมารี มันขยับปีก กระพือให้เกิดลมแรงๆพัดมายังบริเวณที่มารียืนอยู่

“เราขอดีๆทำไมถึงได้ทำอย่างนี้กับพวกเรา เจ้ารู้ใช่ไหม หากนายเจ้า รับบูชายัญทารกคนนี้จะเกิดเรื่องร้ายกับทาคา เจ้าอยากเป็นผู้คน ล้มตายกันเป็นเบืออย่างนั้นหรือ เจ้าอยากให้นายของเจ้าถูกปราบ แล้วนำมาขังเอาไว้ที่นี่อีกครั้งหรือไงเจ้ารู้ใช่ไหมว่า การถูกขังอยู่อย่างนี้ มันทรมานแค่ไหน ทั้งร้อน ทั้งอบอ้าว ราวกับอยู่ในนรก ทั้งๆที่นายเจ้าจะต้องกลับไปยังเมืองที่จากมา กลับไปปกครองเมืองอย่างมีความสุข ถ้าเจ้าฟังเราเราจะช่วยนายของเจ้าให้กลับไปโดยเร็ว เราสัญญา”

มารีพยายามเกลี้ยกล่อมนกยักษ์ตัวนั้นเธอรู้ว่ามันฟังในสิ่งที่เธอพูดรู้เรื่อง มันหยุดกระพือปีกหันมามองหน้าของมารีชัดๆ

มารีเดินเข้าไปใกล้ๆมัน มันหยุดนิ่งไม่ไหวติง ยอมให้เธอจับที่ ต้นคอของมัน ลูบเบาๆ ก่อนที่จะพูดกับมันอีกครั้ง

“ขอบใจนะที่เจ้าเข้าใจเรา”มารีหันหลังกลับ เธอเดินไปอุ้มร่าง ไร้วิญาณของเด็กทารกนั้นก่อนที่จะค่อยๆ เดินจากไป

“นำร่างของโอแปงกลับไปด้วยเราจะไปชำระวิญญาณให้กับเขา”

มารีบอกคนของเธองานครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี หลังจากนี้คงมีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเธอต้องเร่งลงมือทำคือเผาร่างของพ่อกับลูกคู่นี้ให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่เช่นนั้น ทุกอย่างที่พวกเธอลงทุนลงแรงทำไป จะเสียแรงเปล่า

หากปล่อยให้เรื่องราวเป็นอย่างนั้นเดิมพันที่พวกเธอต้องสูญเสียคือชีวิตของผู้คนในชนเผ่าทาคาทั้งหมดเธอจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นไม่ได้ หากต้องแลกด้วยชีวิตของเธอ เธอจะยอม




Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:32:55 น. 0 comments
Counter : 360 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.