|
แบกท้องกระเตงลูกเที่ยว Fukuoka แบบชิลๆ
17 ก.ค. 54 เครื่องออกเวลา 00.50 น. เที่ยวบินที่ TG648 ถึงสนามบินฟูกุโอกะเวลาประมาณ 8.00 น. เราจะไปพักกันที่ รร. Hilton Sea Hawk Hotel จะอยู่ออกนอกเมืองไปทางชายฝั่ง ย่านเดียวกับ fukuoka tower ซึ่งรถไฟใต้ดินไปไม่ถึง รร. จึงต้องโบกโบกแท็กซี่หน้า inter. Terminal ได้เลยแล้วขึ้นทางด่วนเอา ค่าแท็กซี่ขาไปประมาณ 3970 เยน (รวมค่าทางด่วนด้วย) ด้านหลังแท็กซี่กว้างมาก สามารถใส่กระเป๋าเดินทางได้ 3 ใบแหนะ ถึงแล้วก็เช็คอินกันตามอัธยาศัย แต่ว่าวันที่ไป รร.เต็ม จึงไม่สามารถเช็คอินได้ เพราะห้องยังไม่ว่าง จะเช็คอินได้ตอน 14.00 น. เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่ รร. ก่อน (เค้ามีห้องฝากกระเป๋าไว้ให้ อลังการมาก)
รร. Hilton Sea Hawk มองจากด้านข้าง

ภายในห้องพักของ รร.

(อันนี้ลองศึกษาเส้นทางจากแผนที่ ถ้าจะนั่ง subway จาก airport ไป รร. และต้องเดินต่ออีก) Subway Kuko Line : from Fukuoka Airport about 19 min. drop in Nishijin station หรือ สถานี Tojinmachi แล้วจะเดินเท้าไปประมาณ 20 นาที หรือจะโบกแท็กซี่
ที่แวะชมย่าน รร. ที่เราพัก Hawks Town มีร้านค้าหลากหลาย แต่ที่แวะบ่อย ๆ คือ Toy R Us, Seria 100 yen shop, Mutsumoto, Supermarket (รับเฉพาะเงินสด) , Family mart, ABC mart (ร้านรองเท้าผ้าใบราคาถูก) ฯลฯ กิน - ปิ้งย่างร้าน Yujin มีหัวหน้าเชฟคนไทยอยู่ด้วย เนื้อย่างอร่อยมาก - ราเมง (จำชื่อร้านไม่ได้) อยู่ติดกับ family mart อยู่ตรงข้ามร้าน Yujin รสชาดอร่อยกว่าที่ราเมงสเตเดี้ยม Fukuoka tower กลางคืนไฟสวย เปิด 9.00 – 21.00 น. ค่าเข้าผู้ใหญ่ 800 yen เด็ก 200 เยน Marizon อยู่ถัดจาก Fukuoka tower
กรณีถ้าพักที่ Hakata จาก airport ไปลง Hakata หมายเหตุ : ที่ฟุกุโอกะ เทอมินัลที่เป็น dom กับ inter อยู่แยกกัน ถ้ามาลง inter ต้องขึ้น shuttle bus ที่อยู่ข้างหน้าไปลงที่ dom แล้วต่อรถไฟใต้ดินไปลงที่ Hakata ใช้เวลาประมาณ 15 นาที นั่งรถไฟใต้ดินแค่ 2 สถานีก็ถึงสถานีหลักฮาคาตะแล้ว นั่งต่อไปอีก 3 สถานีก็จะเป็นสถานีใจกลางเมือง เทนจิน
เครื่องเล่นแถว Hawk Town

บนแท็กซี่และรถเมล์

ศาลเจ้าดาไซฟุ Daazaifu และวัด Komyozenji มีชื่อเสียงด้านการศึกษาเป็นสถานที่ที่พวกนักเรียนนักศึกษามาบนบานขอให้สอบผ่าน ขณะที่พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นมักนิยมมาขอพรเพื่อให้บุตรหลานมีการศึกษาที่ดี แนะนำ : ซื้อตั๋ว subway แบบ 1-day pass ราคาคนละ 600 เยน (แต่เราไม่ได้ซื้อกัน แหะๆๆ)
เดินทาง รร. Hilton ---> รถเมล์สาย 305 ---> Fukuoka Station (Tenjin) ---> รถไฟสาย Nishitetsu Omuta Line เพื่อไป Daazaifu ---> Futsukaichi station ---> Daazaifu
จาก รร. ให้ลงไปชั้นล่างสุด จะมีป้ายรถเมล์อยู่ นั่งรถเมล์หน้า รร. สาย 305 เพื่อ ไปลงที่ Tenjin ชื่อสถานี Fukuoka Station (เป็นตึกใหญ่ ๆ อยู่ฝั่งขวามือของรถเมล์ที่เรามา หรือสังเกตุห้างไดมารูฝั่งซ้ายมือฝั่งเดียวกับรถเมล์ที่เรานั่งมา ก็ให้ลงที่ป้ายนั้นก็ได้) แล้วข้ามถนนเดินเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟสาย Nishitetsu Omuta Line ไป Daazaifu ราคาค่าตั๋วเที่ยวนี้คนละ 390 เยน รถออกทุก 30 นาที แล้วขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Futsukaichi แล้วเปลี่ยนขบวนรถไฟอีกสาย (ข้ามสะพาน) เพื่อไปลงที่สถานี Daazaifu ซึ่งสุดสายพอดีที่ Daazaifu และวัด Komyoznji จะไม่เสียค่าเข้าชม อย่าลืมแวะซื้อขนมระหว่างทางเข้า จากขามา ร้านจะอยู่ฝั่งขวามือ (จำชื่อร้านและหน้าร้านไม่ได้) ลักษณะขนมจะเป็นกระดาษห่อสีดำลายดอกสีชมพู (ตามรูป) ชิ้นละ 105 เยน เดินกินระหว่างทาง



ขากลับนั่งรถไฟมาลงที่ Tenjin วันนี้เดินสำรวจย่านนี้กัน วันนี้อาจชิลล์ ๆ หน่อย เพิ่งมาถึงวันแรก อาจเงอะงะกันบ้าง อิอิ
ช้อปย่านเทนจิน มีห้างไดมารู, Uniqlo
กินย่าน เทนจิน ห้ามพลาดการไปลิ้มลองอาหารจานเด็ดของท้องถิ่นที่ร้านอาหารแผงลอยที่เรียกกันว่า ยาไตอิ (yatai) ซึ่งมีมากกว่า 200 ร้านในย่านเทนจินและนาคากาว่า เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การแวะไปเยี่ยมชมในยามค่ำคืนมากที่สุ ผู้ที่ชื่นชอบราเม็งต้องลองลิ้มรส Tontosu Ramen และ Hakata Ramen ซึ่งมีรสชาดเฉพาะตัว
แต่ว่าพวกเราขอกลับมานอนเอาแรงหน่อย เพราะว่าตอนบินไฟล้ท์กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับกัน เลยขอพักผ่อนนอนเอาแรง พอมื้อเย็นเลยมาฝากท้องที่ Hawk Town กัน ร้านนี้อร่อยมากๆๆๆ อยู่ติดกับร้าน Family mart อร่อยกว่าที่ราเม็งสเตเดี้ยมที่ว่าขึ้นชื่อซะอีก หุหุ

18 ก.ค. 54 Huis Ten Bosch
รร. Hilton ---> รถเมล์สาย 306 ---> Hakata station ---> ซื้อตั๋ว round trip JR ltd exp HTB ---> Huis Ten Bosch
นั่งรถเมล์หน้า รร. สาย 306 จะตรงไปที่สถานี Hakata (อยู่เลย Tenjin ไปอีก) เสร็จแล้วเดินเข้าไปซื้อตั่วแบบ round trip คนละ 4900 เยน เพื่อนั่งรถไฟ JR LTD EXP HTB ใช้เวลาประมาณ 1.50 ชม. ต่อเที่ยว ((ค่ารถคนละ 2,450 เยน ต่อเที่ยว)) ไปลงที่ HTB ได้เลย ส่วนค่าเข้าชมคนละ 3000 เยน (เป็นแบบเดินชมได้อย่างเดียว เข้าไปดูหมี เล่นสวนสนุกไม่ได้) เมื่อเข้าไปแล้วจะมีค่าเข้าชมนู้นนี่นั้นนิดหน่อย เช่น พิพิธภัณฑ์เทดดี้แบร์ ฯลฯ ซึ่งเราจะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ แต่ถ้าเข้าก็จะเสียเงินเพิ่ม ขากลับมาลงที่ Hakata วันนี้เดินเที่ยวย่านนี้ได้เลย
ระหว่างรอและนั่งรถไฟไป HTB

ลงจากรถแล้วต้องมีขึ้นบันไดไปชั้นบน ที่นี่ดีมาก มีเจ้าหน้าที่มาประมาณว่ามีรถเข็นเด็ก ก็ให้เด็กนั่งชักรอกขึ้นไป ผปค. จะได้ไม่ต้องแบกหรืออุ้มเด็กขึ้นบันได แหล่มจริง ๆ เด็กเราชอบมาก ยิ้มปากแหกเลย

ใน HTB ตอนจะถ่ายรูปฟ้าครึ้มๆ แต่ตอนเดินเที่ยวชม ดั๊นแดดแรง....ซะง้านนนน


19 ก.ค. 54
วันนี้ตั้งใจจะไปเที่ยว Harmony land (Sanrio) แต่ว่ามีฝนตกหนัก ทางเจ้าหน้าที่ขายตั๋วรถไฟไม่แน่ใจว่าสถานที่เค้าจะปิดหรือปล่าวก็เลยไม่ได้ไป เลยต้องเที่ยวในเมืองแทน ก็เลยนั่งรถเมล์ 100 yen ไปลงที่ Canal City จะไปกินราเม็งหยอดเหรียญที่ว่าอร่อยขึ้นชื่อที่ราเม็งสเตเดี้ยมกัน ก่อนทางขึ้นมาร้านขายของแบรนด์เนมมือหนึ่งและสองขายอยู่ ลองแวะเข้าไปดู อาจได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ลองไปกินราเม็งแล้วอร่อยสู้ที่ Hawk Town ไม่ได้เลยอ่ะ
Canal City ดู information เป็นระบบ touch screen

ราเม็งสเตเดี้ยม

กินเสร็จแล้วนั่งรถ 100 เยน มาลงที่เทนจิน สองคนพ่อลูกกลับนอนที่ รร. ส่วนเรากับพี่น้องก็เดินห้างไดมารูแล้วก็กลับไปนอนเอาแรงสักหน่อย พอ 5 โมงเย็นก็อยู่แถว Hawk Town มาช้อปร้าน 100 เยน (ไม่ใช่ไดโซะ แต่ชื่อ Seria) เสร็จแล้วมากินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างที่ร้าน Yujin กัน ไหน ๆ พรุ่งนี้จะกลับ ขอกินแบบอลังการงานสร้างละกันนะ แต่พวกเราก็กินราคากลาง ๆ คือ 8900 เยน แต่ขอเพิ่มข้าว 2 ถ้วย เบ็ดเสร็จก็ 9 พันกว่าเยน มื้อนี้พี่น้องออกเงินให้ครึ่งนึงเลย อิอิ ลาภปากของสองปั๋วเมีย ที่ร้านนี้ ตอนที่สั่งอาหาร ถามเค้าว่าเซ็ทนี้มีอะไรบ้าง เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย พนักงานงึกงักสักครู่ แล้วก็ไปตามคนในครัวมา ปรากฎว่าเป็นหัวหน้าเชฟคนไทย ดีใจมากมาย ชื่อ “พี่ตะ” อยู่ญี่ปุ่นมาประมาณ 10 ปีแล้ว เค้ามาแนะนำให้ว่าเซ็ทนี้มีอะไรยังไง อาหารอลังการมาก เนื้อย่างอร่อยค่อด ๆ จากที่เราไม่กินเนื้อ วันนี้เลยต้องกิน เพราะเนื้อหมูนุ่มสู้เนื้อวัวไม่ได้ กินเสร็จแล้วก็มาช้อป Supermarket กัน (รับเฉพาะเงินสด)


เสร็จแล้วตบด้วยของหวาน แต่กินแล้วเฉย ๆ อ่า เหอๆๆๆ

20 ก.ค. 54
วันนี้เดินทางกลับแล้ว เครื่องออกเวลา 11.35 น. TG649 ถึงเมืองไทยประมาณ 14.55 น. 8.00 เช็คเอ้าท์และนั่งแท็กซี่จากหน้า รร. ราคารวมค่าทางด่วนประมาณ 3600 เยน ที่เค้าน์เตอร์จะเปิดให้เช็คอิน 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ก็คือเวลา 9.30 น. ก่อนเข้าเครื่องเจอ FUKKK ด้วย เลยขอบคุณพี่เค้าที่เป็นธุระเรื่องการจอง รร.ให้

แถมท้ายการเดินทางไป Harmony land (เสียดายที่ไม่ได้ไป กะจะไปช้อปของจุ๊กจิ๊กซานริโอซะหน่อย อดเลย)
Harmonyland อยู่เมือง Beppu ฮาร์โมนี่แลนด์ เป็นสวนสนุกของซานริโอ พบกับการแสดงโชว์ของตุ๊กตา Hello Kitty และเหล่าผองเพื่อน มีเครื่องเล่น ร้านค้า ร้านอาหารในบรรยากาศของสวนสนุกแบบน่ารัก เวลาเปิด 09.00-17.00 น. ค่าผ่านประตู ผู้ใหญ่ 1,800 เยน เด็ก 1,200 เยน Passport เล่นเครื่องเล่นทุกอย่าง ผู้ใหญ่ 3,800 เยน เด็ก 3,200 เยน การเดินทาง นั่งรถไฟ JR Limited Express “Sonic” จากสถานี Hakata,Kokura หรือจาก Oita,Beppu ลงที่สถานี JR Kitsuki จากนั้นนั่งแท๊กซี่หรือรถเมล์ไปสวนสนุกอีกประมาณ 10 นาที //www.sanrio.co.jp/english/harmony/harmony.html
Create Date : 05 สิงหาคม 2554 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2554 11:55:45 น. |
Counter : 5768 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เที่ยวโตเกียวแบบปุ๊บปั๊บ ประหยัดทัวร์
ทริปนี้เป็นการเที่ยวแบบไม่มีแผนการใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจาก เฮียบอยผู้คร่ำหวอดการท่องเที่ยวต่างแดน โดยเฉพาะ 3-4 ปีที่ผ่านมา คุณพี่แกเที่ยวญี่ปุ่นปีละไม่รู้กี่รอบ ไม่รู้ติดใจอะไรนักหนา เดาว่าอาจจะเป็นสาวญี่ปุ่นและ...sex shop ดิลโด้ จิ๋มกระป๋อง ไรเงี้ย กี๊ซซซซซ
เรื่องมันเริ่มจากคุณพี่แกจะไปถ่ายรูปซากุระ (รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้) ตอนเดือนมีนา แต่ว่าไฟล้ท์เต็มเอี๊ยด ก็เลยไม่สามารถไปได้ ช่วงนี้ใคร ๆ ก็ชอบไปญี่ปุ่นกะเกาหลีกันเนอะ จนกระทั่งวันดีคืนดีประมาณวันที่ 20 เม.ย. กระมัง เฮียแกมาบอกว่าจะไปญี่ปุ่น ไปถ่ายรูป ไปกับพี่เอ๋ ที่อยู่บัญชี แล้วไฟล้ท์ก็ว่างร้อยกว่าที่ ทั้งไปทั้งกลับ กรี๊ดดดดด อิชั้นหูตาแหก ไฟล้ท์ว่าเป็นร้อยเลยหรือ ไปโด้ย ไปโด้ย แถมเฮียแกยังมาพูดอีกว่าใช้งบประมาณ 5 พันบาท เฮ้ย อย่ามาพูดเยี่ยงนี้ หนูทนไม่ได้ เลยมองหน้ากันกับพี่ไร พี่สาวคนสวยที่แผนก ชักชวนกันไปทำพาสปอร์ตโลด (พอดีของเราหมดไปตั้งแต่ช่วงท้องแล้ว ส่วนพี่ไรเหลืออยู่ไม่ถึง 6 เดือน) เอาแระ ได้ผู้ร่วมชะตากรรม 4 คนแระ จะพยายามหาให้ได้ 8 คน จะได้จองห้องรวมด้วยกันได้ เลยชวนพี่หนูดีคนสวย กับลูกสาวคือน้องแพร เอ้า ได้มา 6 คนแระ สุดท้ายก็ได้หนูปั๊มอีกคน แต่มาแห้ววินาทีสุดท้าย เสียดายมาก ไม่เขียนมากนะ เดี๋ยวมันร้องไห้ แง๊ๆๆๆ

ทำพาสปอร์ตวันที่ 20 เม.ย. ยื่นเอกสารขอวีซ่าวันที่ 26 เม.ย. ได้รับวีซ่า 30 เม.ย. ออกบินวันที่ 1 พ.ค. โลด ฮิ้ว อะไรจะรวบรัดขนาดน้านนนน แต่ๆๆ ไม่ตื่นเต้นเล้ย วีซ่ายังไม่ได้รับ วันที่ 29 อิชั้นไปแลกเงินกับออกตั๋วเรียบร้อยแล้น กร๊ากกก
เล่าๆๆ ทริปนี้จะเป็นทริปที่ประหยัด และรัดเข็มขัดกันสุดริ้ดดด (นี่คือความตั้งใจแต่แรกเริ่ม) เริ่มจากถ่ายรูปขอวีซ่า ยังต้องถ่ายเอง ปริ้นท์เอง แต่งเองเลย อิอิ ประหยัดไปได้ร้อยกว่าบาทแระ เห็นมะ ถ่ายรูปเป็นโหลใช้รูปเดียว จะไปถ่ายที่ร้านให้เปลืองตังค์ทำม้ายย กล้องมี กระดาษมี ปริ้นท์สีก็มี ทำไป อย่าได้แคร์
เม้าท์มอยมานาน เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
วันที่ 1 พ.ค. ออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน TG640 เวลา 22.10 น. ก็นัดเจอกันตรงเช็คอินเวลาประมาณ 2 ทุ่ม เผื่อจะได้ไปเดินช้อปใน Duty Free นิดหน่อยพอสังเขป แต่ว่าพี่ไรบอกว่า จะพาสาว ๆ ไปนั่งที่ Lounge ของ King Power กันก่อน เออ ก็ดีแฮะ จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ที่นี่ไปเสียที่ญี่ปุ่นเลยดีกว่า ตอนไปนั่งก็มีแซนด์วิช ขนมเค้ก กระเพาะปลาให้กิน อิชั้นเผลอกันหน่อไม้ไป ปรากฎว่าแพ้หน่อไม้บนเครื่อง คันคอ คันตามตัว แดงเทือกไปหมดเลย โฮๆๆ
วันที่ 2 พ.ค. ถึงนาริตะแล้วตอนเช้าตรู่ พอดีว่าช่วงนี้เป็น Golden Week ของญี่ปุ่น คนก็จะหยุดเที่ยวกันเยอะ แต่พวกเราไปถึงแต่เช้าเลย ก่อนอื่นต้องไปซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินกันก่อนนะ ที่เค้าน์เตอร์ Skyliner ก็บอกเค้าว่า “Metro Ticket Tokyo” ประมาณนี้แหละ เราอยู่กัน 4 วัน แต่ซื้อแค่ 3 วันพอ เพราะวันสุดท้ายไม่ต้องซื้อเหมา เพราะใช้แค่เที่ยวเดียวก็จ่ายแบบหยอดเหรียญเอา ดังนั้น เลยซื้อแค่ 3 วันพอ แต่ว่าต้องซื้อ 2 ใบนะ ก็คือแบบ 2 วัน (980 เยน) และ 1 วัน (600 เยน) เพราะว่าที่นี่เค้าไม่มีแบบ 3 วันขาย (ทริปนี้ไม่นั่ง JR หรือชินคันเซนนะจ๊ะ บอกแล้วงัยว่า...ประหยัด) อันนี้เราจะขึ้นได้เฉพาะที่มีสัญลักษณ์ตัว M สีฟ้า ๆ เท่านั้นนะ มีหลายสีหลายสายเลยหละ เค้าจะมีแผนที่แจก ก็ต้องเอามาดูเอง
เสร็จแล้วลงบันไดเลื่อนไปชั้น B1 เพื่อที่จะมาซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง ที่ Ticket Counter ซึ่งเราใช้สาย KEISEI LINE เพื่อที่จะไปลงสถานีอาซะกุสะ (1,060 เยนต่อเที่ยว) ต้องขึ้นรถให้ทันรอง 7.30 น. นะ จะได้ไม่ต้องต่อรถ เพราะเที่ยวนี้นั่งยาวได้เลยไม่ต้องต่อรถ ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.


แล้วก็ขึ้นรถไปลงที่สถานีอาซะกุสะ ช่องออก A3 อันนี้จะเดินขี้แตกหน่อยตอนจะออกจากรูเนี่ยแหละ ขึ้นบันได 3 ชั้น ๆ นึงก็สูงซะ ไหนจะกระเป๋าอีก เหนื่อยค่อด พอออกมาจากรู ก็เจอถนนใหญ่ให้เลี้ยวขวาตรงไป คืนนี้เราพักกันที่ Asakusa Riverside Capsule Hotel ก่อนนะ เพราะว่า Hostel ที่จะพักจริง ๆ คืนนี้ห้องไม่ว่าง เลยต้องมาพักที่นี่แทน ซึ่งก็ห่างกันไม่ถึงร้อยเมตรเอง โชคดีหน่อย จะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าไกล

ที่ Capsule นี้เค้าจะคิดค่าที่พักหัวละ 3,000 เยนต่อคืน ซึ่งพวกผู้หญิงจะนอนชั้น 7 พวกผู้ชายนอนชั้น 5 ส่วนห้องอาบน้ำอยู่ชั้น 9 ซึ่งเป็นห้องอาบน้ำรวม (แต่แยกห้องอาบน้ำชาย หญิง) แล้วห้องอาบน้ำเนี่ย ก็เป็นแบบโอเพ่น โอ้ยย ไว้ค่อยเล่าทีหลังละกัน ทีนี้ พวกเราไปถึงกันแต่เช้า ไม่สามารถเช็คอินได้ เพราะเค้าให้เช็คอินตอนบ่าย 3 เราเลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อกเกอร์ของ รร. ก่อน ตู้ละ 400 เยน ระยะเวลาได้ 12 ชม. พวกเรายัดไป 2 ตู้ (6 คน)
จากนั้นเราก็เริ่มเที่ยวกันแล้ว เริ่มจากไปแวะกินข้าวมื้อสายกันก่อนที่ร้านสีส้ม ๆ Yashinoya อาหารอร่อย ราคาไม่แพง 3 –5 ร้อยเยน มื้อนี้เรากินข้าวหน้าปลาแซลมอนไป 380 เยน รู้สึกเค็มปลาอ่ะ เหมือนหมักเกลือไว้นาน ไม่ประทับใจเลย รู้งี้สั่งหมูดีกว่า แหะๆ

วันนี้เราจะทัวร์ในเมืองกัน คือ ชินจูกุ ชิบุย่า ฮาราจุกุ แล้วกลับมาเดิน อาสะกุซะ ต่อตอนเย็น
ชินจุกุ ตอนนี้เราอยู่อาซะกุสะ เราก็ต้องลงมาใต้ดิน เพื่อที่จะไปขึ้นสายสีส้ม (G19) Ginza Line ลงที่สถานี Akasaka Mitsuke (G05) แล้วต่อด้วยสาย M13 สายสีแดง จากนั้นไปต่อสายสีแดงไปลงที่ Shinjuku (M08) ให้ออกมาทางห้าง Odakyu เพื่อจะมาซื้อตั๋วรถบัสไปเที่ยวฟูจิในวันรุ่งขึ้น (จองก่อนอุ่นใจกว่า) ก็จองได้รอบขาไป 8.40 น. ขากลับ 18.40 น. ไว้ ค่ารถบัสไปกลับคนละ 3,400 เยน เสร็จแล้วก็เดิน ๆ อยู่แถว ๆ นั้น ได้เข้าไปตึกอะไรไม่รู้ มีร้านร้อยเยนอยู่ชั้นไหนจำไม่ได้ กร๊ากกก สอยมาได้ 11 ชิ้นก่อน อิอิ

ชิบูย่า เสร็จแล้วลงใต้ดินจาก M08 สถานี Shinjuku ไปลงที่ M09 สถานี Shinjuku-sanchome (ยังเป็นสายสีแดงอยู่ ขึ้นแค่ป้ายเดียว) แล้วต่อรถไปทางสาย F14 แต่ไปลงสุดป้ายเลยที่ Shibuya ออกทางออกที่ 8 ที่ Hachiko บ่ายโมงครึ่งก็แวะกินข้าวที่ร้าน Yashinoya อีกแล้ว มื้อนี้กินข้าวกับหมู หมดไป 380 เยน ที่ชิบูย่านี่ได้เดินไปถ่ายรูปที่อนุสาวรีย์หมา Hachiko อยู่ติดกับห้าแยกวุ่นวาย (เฮียแกเรียกอย่างนี้) ขำหวะ เดินเป็นกิโล ๆ เพื่อไปถ่ายกับหมาตัวเนี้ย กร๊ากกก จริง ๆ จะเดินไปฮาราจุกุต่อไปนะ แต่ใครจะเดิ๊น เดินขึ้นเนินด้วย ลองเดินได้ 7 ร้อยเมตร ต้องหันหัวกลับ ไม่ไหวแล้ว ปวดตรีน 555


ฮาราจุกุ จากชิบูย่าก็มานั่งรถใต้ดินไปลงฮาราจุกุ สายสีเขียว C03 คนเยอะแยะมากมายเหมือนเดินสำเพ็งบ้านเราเลย ไหลไปเรื่อย ๆ เราเดินไปเรื่อย ๆ ถึงสวน Yoyogi-koen ชื่อนี้มั่งนะ ที่นี้จะมีพวกวัยรุ่น หรือกลุ่มคนแปลก ๆ แต่งตัวแปลก ๆ มากมาย มาวันนี้ได้เจอแก๊งค์เอลวิช เต้น ๆ โยก ๆ อยู่เพลงเดียว เต้นท่าเดิม ๆ เออ เก่งวุ้ย ไม่เมื่อยกันมั่งหรือไร

เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับไปอาซะกุสะ - Harajuku C03 สายสีเขียว ไปลง - Shibuya G01 สายสีส้ม นั่งยาวไปโลดลง G19 อาซะกุสะเลย
ไปถึงก็เย็นพอดี อิชั้นปวดตรีนมากมากย ต้องสรรหาซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ เพราะอิ crocs คัชชูส์ที่ใส่ไป มันบีบและกัดด้วย ทั้ง ๆ ที่ใส่ถุงเท้า กรี๊ดดดด ได้งัยเนี่ย สุดท้ายได้ยี่ห้อ VANS จาก ABC Mart มา 1 คู่ 3,990 เยน เพราะสองเฮียแกก็ใส่ยี่ห้อนี้อยู่ บอกว่าใส่ดี เลยสอยมาซะ ได้เสื้อมาอีก 2 ตัว กรี๊ดด ไหนว่าจะไม่ช้อปเยอะงัย แค่วันแรกก็ปาไปหลายพัน (บาท) แล้ว สุดท้ายแวะกินราเม็ง มื้อนี้ฟาดไป 450 เยน กินร้านอะไรจำไม่ได้แระ รู้แต่ว่า คิดว่าสั่งราเม็งกับหมูทอด แต่ไหงได้ราเม็งกับมันชุบแป้งทอดซะงั้น กี๊ซซซซซ เนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องไปเช็คอินที่ Kaosarn Hostel อีกทีนึง ซึ่งอยู่ในซอยเดียวกัน แล้วเราต้องออกไปฟูจิทั้งวัน ดังนั้น เราเลยต้องเตรียมแต่เสื้อผ้าใส่นอนคืนนี้กับพรุ่งนี้เช้า ส่วนข้าวของที่เหลือ เราเอาไปฝากไว้ที่ Kaosarn Hostel เพื่อจะรอเช็คอินเข้าเย็นวันพรุ่งนี้ คืนนี้ปวดเท้ามากก ดีที่ได้ยาคลายกล้ามเนื้อพี่ไรช่วยไว้ ตอนอาบน้ำต้องไปอาบห้องน้ำรวม โปรดนึกถึงอารมณ์ทหารเกณฑ์ไว้ คล้าย ๆ อย่างนั้นเลย โอเพ่นมาก ๆ เห็นหมดเลย ทั้งฝรั่ง ทั้งญี่ปุ่น แต่อย่าหวังจะได้เห็นของเรา เพราะเราแอบลักไก่นุ่งผ้าเช็ดตัวไปอาบ ก็คนมันอายนิ โชคดี ตอนที่ไปอาบ ไม่มีกรุ๊ปอื่นด้วย รอดตัวไป แหะๆๆ ในห้องอาบน้ำมีบ่อน้ำร้อนให้แช่ด้วย แต่เราได้แค่หย่อนเท้าไป ก็ช่วยแก้ปวดเท้าได้เยอะเลย คืนนี้นอนในแคปซูล แรก ๆ ก็กลัวเหมือนห้องดับจิตไรเงี้ย แต่พอเข้าไปนอน เออวุ้ย มันก็ไม่ได้แคบนี่นา แถมนอนสบายด้วย หลับเป็นตายยันเช้าเลย ตื่นมาตี 5 ฟ้าสว่างมาก นึกว่า 7 โมงเช้า

วันที่ 3 พ.ค. เช้านี้ตื่นขึ้นมากินมาม่าคัพ ที่เอามาจากเมืองไทย แล้วก็มีสปาเก็ตตี้กับไก่ย่างที่ซื้อจากซุปเปอร์เมื่อวานนี้มากินกันตาย วันนี้เราจะไปฟูจิกันทั้งวัน ต้องไปขึ้นรถบัสรอบ 8.40 ให้ทัน แต่ๆๆๆ อิชั้นทำตั๋วรถไฟใต้ดินหาย!! เสียเวลาค้นหาอยู่ตั้งนานก็หาไม่เจอ เนื่องจากอุตริเปลี่ยนกระเป๋าสะพายอีกใบไป วอนซะแล้ว สุดท้ายเลยต้องใช้บัตรของเฮียบอยหยอดไปก่อน เสียเงินเพิ่มฟรี ๆ เลยตรูสำหรับวันนี้ 470 เยน เช้านี้เราต้องเช็คเอ้าท์ออกจาก รร.แคปซูล ที่นี้ก่อน ส่วนข้าวของที่กันออกมาเมื่อคืนก็ฝากไว้กับตู้ล็อคเกอร์หยอดเหรียญที่สถานรถไฟใต้ดินเอา น่าจะ 500 เยนนะ ถ้าจำไม่ผิด
แล้วเราก็ต้องลงมาใต้ดิน เพื่อที่จะไปขึ้นสายสีส้ม (G19) Ginza Line ลงที่สถานี Akasaka Mitsuke (G05) แล้วมาขึ้นที่สาย M13 สายสีแดง จากนั้นไปต่อสายสีแดงไปลงที่ Shinjuku (M08) ให้ออกมาทางห้าง Odakyu วิ่งออกไปฝั่งตรงข้ามจากห้าง ทางซ้ายมือ (ที่ขึ้นรถบัสจะอยู่แถวป้าย Olypus สีน้ำเงิน อีกตึกนึง) เช้านี้แหละ ที่ต้องวิ่ง วิ่ง วิ่งหน้าตั้ง เหมือนไปวิ่งราวทองใครมา เหนื่อยมาก หายใจแสบไปหมด ดีนะ ที่พี่เอ๋ วิ่งนำไปก่อน พี่เอ๋ถึงรถสายที่เราจะขึ้น (อยู่คันแรกเลย) เวลา 8.40 น. พอดี โชคดีมาก เพราะถ้าช้ากว่านี้ คนขับเค้าไม่รอ เค้าจะตรงเวลากันมาก ใครตกรถก็คือตกเลย โอ้ย เกือบแย่เลยเรา เสร็จแล้วก็ขึ้นรถกันเลย รถออกขับไปนอกเมือง วันนี้รถติดมาก เพราะเป็น Golden week ของญี่ปุ่น จากเดิมที่จะต้องถึงภายใน 2 ชม. ก็ปาไป 3 ชั่วโมง นั่งกันจนเมื่อยตรูดเลย
เรานั่งกันไปจนสุดสายเลยนะ ไม่ต้องสะแหลนลงตรงสวนสนุกที่เราจะลงทีแรก กร๊ากกก เกือบไปแล้ว ที่สุดสายจะเป็นสถานีรถ Kawaguchiko ก็ให้มาซื้อตั๋วรถบัสเพื่อที่จะไปที่ดู Shiba Sakura ซื้อไปกลับเลยคนละ 1,800 เยน แล้วมายืนต่อแถวรอคิวขึ้นรถ ตั๋วรถบัสที่ซื้อเนี่ย มันรวมกับตั๋วเข้าชมสวนด้วยนะ อย่าทำหายหละเก็บไว้ดี ๆ รถบัสที่นี้ไม่มียืนนะจ๊ะ พวกเราได้นั่งเก้าอี้เสริมแถวกลาง เจี๊ยกกก รถติดอีกแล้ว จาก 15 นาทีถึง ก็ปาไปเกือบชั่วโมงแหนะ พอมาถึง แดดแรงพอควรเลย ควรพกแว่นกันแดดไปด้วย โชคดีได้แว่นพี่หนูดีไป แว่น 1 อัน ใส่เวียนถ่ายรูปกัน 3 คน คุ้มเจง ๆ อิอิ พอช่วงบ่าย ก็ซื้อของกินแถวนั้น ก็ซื้อซาลาเปาลูกใหญ่เท่าหน้าคนมา 3 ลูก แล้วก็ฮอทด็อก 2 ชิ้น กินกัน 6 คนนี่แหละ ซาลาเปาไม่ถูกปากเลย จืดมาก กินไปนึกถึงเซเว่นไป ส่วนฮอทด็อก ใช้ได้อร่อยดี







พอเดินกันทั่วแล้วก็กลับ ก็ให้กลับมาเข้าแถวยืนรอรถที่เดิมที่ลงนั่นแหละ (ตรงที่มีตู้กดน้ำกระป๋องขาย) แล้วก็ขึ้นรถกลับ รถติดอีกแล้ว ฮ่วย ไปถึงเกือบ 6 โมงเย็นแหนะ ซึ่งเราต้องขึ้นรถบัสกลับเข้าเมืองรอบ 18.40 เพราะฉะนั้น มาเที่ยวรอบนี้ อดขึ้นไปภูเขาไฟฟูจิเลย แง๊ๆๆๆ

จากนั้น เราขึ้นรถบัสช่องที่ 2 ตามตั๋วที่เขียนไว้ รถเค้าออกตรงเวลาอีกแล้ว จาก Kawakuchiko เราก็นั่งไปเรื่อย ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ ก็ไม่ถึง เพราะรถติด กรี๊ดดด เมิงจะติดอะไรกันนักหนาเนี่ย เราไปลงสุดทางในเมืองที่ Shinjuku West Terminal ถึงก็สี่ทุ่มครึ่งกว่าแล้ว ต้องรีบกลับไปที่อาซะกุสะก่อน เพราะว่าร้านอาหารทั่วไปปิดประมาณ 5 ทุ่ม พอถึงอาซะกุสะ แวะกินราเม็งก่อน ร้านนี้อร่อยวุ้ยใช้ได้ อยู่เกือบหัวมุมแยกไฟแดงแถวที่พักเราแหละชื่อร้านอะไร อย่าถาม จำได้ แต่อ่านไม่ออก ฮ่าๆๆๆ วันนี้กินราเม็ง 520 เยน แล้วก็กลับมานอนที่ Kaosarn Tokyo Original Guesthouse ที่ชื่อข้าวสาร เพราะเจ้าของเคยไปนอนที่ข้าวสาร แล้วก็กลับมาทำเกสต์เฮ้าส์ที่ญี่ปุ่น กิจการรุ่งเรืองเชียว เห็นเปิดอยู่ 3 สาขาแล้ว คืนนี้โชคดี ได้นอนห้องสาว ๆ 4 คน กลับหนุ่ม 2 คน สาว ๆ 4 คนได้ห้องติดแม่น้ำด้วย ห้องก็จะเป็นเตียงไม้ 2 ชั้น ที่นี้ยังต้องใช้ห้องน้ำรวม แต่ดีตรงที่อาบน้ำได้ทีละคน อิอิ ค่อยไพรเวทหน่อย ส่วนห้องส้วม เล็กกว่าห้องน้ำในเครื่องบินอี๊กกก เมิงจะเล็กไปไหนเนี่ย กร๊าก เราต้องนอนที่นี้ 2 คืน คิดราคาคนละ 2,400 เยนต่อคืนต่อคน สำหรับห้อง 4 คน ส่วนของหนุ่ม 2 คน คิดคนละ 2,500 เยนต่อคืนต่อคน วันนี้ไม่ได้ช้อปที่ไหนเลย แง๊วๆๆๆ
วันที่ 4 พ.ค. เช้านี้ตื่นแต่เช้า ไปตลาดปลากัน เริ่มจาก G19 Asakusa ไปลง G16 Ueno เลี้ยวซ้ายไปสาย H สีเทา ไปลง H10 Tsukiji ออกไปเดินตลาดปลากัน แล้วก็แวะหาปลาดิบ หรืออาหารกินแถวนั้น


เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปที่ H16 Naka-okachimachi ออกที่ช่อง A3 เพื่อที่จะไปช้อปกันที่ตึกม่วง ตึกนี้ต้องใช้เงินสด ราคาจะถูกกว่าทั่วไป แต่ดูดี ๆ นะ บางอย่างก็ถูกกว่านิดเดียว เช่น เราซื้อโทนเนอร์ Seikisei ของโคเซ่มา 5,500 เยน แต่ว่าแถวอาซะกุสะ ขาย 5,512 เยน ฮ่วย ไม่ต่างกันเลย รูดการ์ดได้อีกต่างหาก แง๊วๆๆๆ ที่นี่มีหลายตึก เราเดินแต่ คสอ. กับ นาฬิกาเอง ได้นาฬิกาให้คุณหมีมา 1 เรือน แผนกนาฬิกา ถ้าซื้อเกิน 10,000 เยน เค้าจะ tax refund ให้ทันทีเลย 5% เออ ดีจังเลย แล้วก็ไปหมดเวลาอยู่กับ คสอ. เลย จากนั้นก็กลับมาที่อาซะกุสะอีกครั้ง เพื่อนมาหา Mos Burger กินกัน (ร้านอยู่ริมถนนใหญ่เลย) ไม่เห็นอร่อยเลย สู้เมืองไทยไม่ได้ แล้วก็ปล่อยช้อปกันโซนนี้เลย เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว เริ่มโดยไปช้อปที่ร้าน 100 เยนกันก่อนเลย ของเยอะมาก อิชั้นกวาดมาได้อีก 59 ชิ้น ป๊าดดด มันช่างมากมายก่ายกอง แต่เหลือเป็นของตรูไม่กี่ชิ้นเอง ส่วนใหญ่ของลูก กับที่ทำข้าวปั้น ข้าวกล่องหมด เอิ๊กกก ก็เดินๆๆๆ ช้อปกันเพลิน แล้วนัดกันไว้ว่าเฮียบอยจะพาไปร้าน Sex Shop แต่ว่าเรามัวแต่ช้อป หนุ่ม ๆ เลยไม่รอ เพราะเฮียบอยต้องกลับไปตึกม่วงอีก เลยต้องแยกกัน เหลือแต่สาว ๆ ซึ่งปวดตรีนมากกกก ของก็เยอะแยะมากมาย แล้วก็เดินไปวัดอาซะกุสะ จนเย็น นั่งพักอย่างหมดสภาพคุณนาย โอ้ย คุณนายไร คุณนายดี หมดสภาพเลย เจี๊ยกกก

แล้วประมาณ 6 โมงก็เดินไปหาร้านเครปกินกัน กว่าจะเจอ เกือบตาย เพราะหนัก แต่ปวดเท้า แล้วก็อดกินร้านหมูทอดเลย เพราะไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน พี่เอ๋บอกว่า หมูทอดอร่อยมาก เพราะละลายในปากเลย โฮๆๆๆ หนูเสียใจนะ เหมือนมาไม่ถึงที่ อดกินเลย แง๊ๆๆๆๆ กลับก็กลับที่พัก มาแพ็คกระเป๋า กัน แต่ละคนมีกระเป๋างอกกันทุกคน กร๊ากก ไหนว่าไม่ช้อปมากงัย
วันที่ 5 พ.ค. วันนี้ต้องกลับแล้ว ไฟล้ท์ TG641 เวลา 11.00 น. เพราะฉะนั้น เราต้องออกกันเร็วหน่อย - ลงรถไฟไปลง Ueno (สายสีส้ม จาก G19 ไป G16) วันนี้ตั๋วรถไฟที่ซื้อไปหมดแล้ว ต้องหยอดเหรียญเอา จำไม่ได้ว่าคนละเท่าไหร่ แต่ไม่แพง แล้วขึ้นไปอีก 2 ชั้นเพื่อซื้อตั๋วรถไฟไป Airport ซื้อแบบ Limited Express นะ คนละ 1,000 เยน ใช้เวลานั่งประมาณ 1 ชม. ไปลงที่ Termianal 2 เล่น ไปฝั่ง South อยู่ชั้น 4 เพื่อไปเช็คอินที่เค้าน์เตอร์ J การบินไทย เช็คอินเสร็จแล้ว แวะช้อปที่ร้าน Uniqlo กันหน่อย ได้เสื้อผ้ามาอี๊กกก แล้วค่อยเดินเข้า ตม. หน้าเกท มีที่ช้อปอีก ได้แอนนาซุยมาอี๊กกก อะไรจะขนาดน้านนน จากนั้นกลับ กทม. โดยสวัสดิภาพ
สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้โดยประมาณ 1. วีซ่า 1,080 บาท ใกล้จะขึ้นราคาแล้วนะ เพราะเค้าจะจ้าง Sub contact มาดำเนินการให้ เหมือนออสเตรเลียอ่ะ คงแพงขึ้นอีก 5 ร้อยประมาณนั้น 2. ค่าตั๋ว อันนี้แล้วแต่ใครขึ้นสายการบินไหนนะคะ แนะนำการบินไทย แหะๆๆๆ 3. ค่าดำรงชีพ 15,000 เยน (ค่ารถทุกชนิด+ค่าที่พัก 3 คืน+ค่าอาหารนิดหน่อยบางมื้อที่กินร่วมกัน) 4. ค่าอาหารที่ต่างคนต่างซื้อกินเอง เฉลี่ยมื้อละไม่เกิน 5 ร้อยเยน ของเราหมดไป ประมาณ 4,385 เยน รวมซื้อน้ำบาง (น้ำแพงมาก) สรุปว่า ค่าใช้จ่ายที่อยู่ญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน เราหมดไปประมาณ 6,750 บาทเอง กรี๊ดดด ถูกค่อดๆๆๆๆๆ ส่วนค่าช้อป อย่าไปพูดถึงมันเลย แหะๆๆ
เครดิตภาพงาม ๆ จากกล้อง เฮียบอย และ พี่เอ๋

มาแก้ไขเพิ่มเติมให้โอ๊ต By เฮียบอย
- ค่ารถไฟใต้ดิน ถูกสุด 160เยน - การบินไทยอยู่ที่ Terminal 1 นะจ๊ะ - รถไฟเที่ยวเช้า 7.30 น. จะผ่าน Asakusa พอดี ค่ารถ 1060 เยน เที่ยวอื่นต้องเข้า UENO ก่อน แล้วต่อใต้ดินอีก 160 เยน - จริงๆ แผนเดิมจะไปนอนที่ Kawaguchiko เชิงเขาฟูจิเลย แต่คนเยอะเลยต้องนอนในโตเกียวหมด ไม่มีที่พัก คราวหน้าจะแก้ตัวใหม่ อาบ Onsen ชมภูเขาไฟฟูจิไปด้วย
อิ อิ อิ
Create Date : 11 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 8:09:40 น. |
Counter : 1179 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
หัวข้อนี้ไม่ได้ไปเที่ยวค่ะ แต่มาขอรำลึกถึงเพื่อน ๆ สองคนที่อยู่แดนไกล ************************************************* 1. คนแรกเพื่อนรักที่สุดในชีวิตของเรา "เพ็ญ" ตอนนี้เธอเรียนจบแล้ว เย้ๆๆๆ จบปริญญาโทด้านบัญชีเลย ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำได้ เพราะว่าตอนที่เรียนอยู่ปี 1 เธอติดโปรค่ะ อิอิ เกือบไม่รอดแล้นนน ตอนนี้เธอเปิดร้านอาหารอยู่ที่เมลเบิร์น แต่ว่าตอนนี้จะขายแล้วค่ะ ยอมขาดทุนไป 6 แสน โอ้ววว มายก๊อตตตต ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างกันไกล แต่เรายังเหมือนใกล้กัน ฮ่วย เขียนอย่างก๊ะเป็นผัวเมียกัน เราโทรศัพท์หากันบ่อยมาก ด้วยความที่เราคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่มีความลับต่อกัน ต่างก็ไว้ใจกันและกันมากที่สุด แม้กระทั่ง เรื่องที่ต่างคนต่างเคยทำสิ่งที่ไม่ดีไว้ อิอิ ความลับ ไม่บอกหรอกเรื่องอะไร เราชอบเขียนจดหมายหากัน ไม่ชอบเขียนทางอีเมล์ เหมือนมันไม่ได้อารมณ์และอรรถรส ฮ่าๆๆ อาจดูเหมือนล้าหลัง แต่เวลารับจดหมายที มันดีใจและกินใจอย่างบอกไม่ถูก นี่เป็นภาพที่เธอปริ้นท์ส่งมาให้เราพร้อมกับจดหมาย ยังผอมหัวโตเหมือนเดิมเลย เสียดายที่เราไม่ได้ไปหาเพื่อนเราเลย ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปวันที่ 15 ธันวาคมนี้ แต่เนื่องจากงานเยอะ และยังมาตั้งท้องอีกด้วย เลยต้องระมัดระวัง และจะคอยให้คลอดจนลูกโตพอก่อน (อาจซัก 1-2 ขวบ) แล้วจะไปหา เพื่อนเราก็ดีใจหาย บอกว่าไม่ต้องมางานรับปริญญาหรอก ไว้เราคลอดลูกแล้วจะกลับมาเยี่ยม (ได้ยินตอนนั้นแล้วอยากจะร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง)
รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก รัก เพื่อน...กูรักมึงหวะ "รักที่มีไม่ได้เปลี่ยนไปไหน ความห่างไกลระหว่างเธอกับฉัน ลองหลับตาแล้วเจอะกันในฝัน ฉันจะย้ำให้เธอมั่นใจ"



2. ส่วนเพื่อนอีกคน "แอ้" เป็นคนที่สนิทที่สุดเมื่อสมัยตอนมาทำงานใหม่ ๆ แอ้เป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักมาก ๆ ผิวขาว จมูกโด่ง ดูดีทั้งกิริยามารยาท เพอร์เฟ็คเกิร์ลว่างั้นเถอะ เธอทำอยู่ได้ประมาณปีกว่า ๆ เธอก็ลาออกไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา ด้านไอที เธอชวนเรายิก ๆ ให้เราไปเรียนภาษาที่นู่นด้วยกัน แล้วให้เราหาลู่ทางทำงานและส่งตัวเองเรียนต่อ (ส่วนเธอมีทุนบุพการีอยู่แล้ว) ตอนนั้นเราก็อยากไปอ่ะนะ แต่ว่าติดแฟน ซึ่งก็คือสามีพี่หมีเรานี่เอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้เธอแต่งงานไปแล้วกับสามีคนอเมริกา "แบรนดอน" เป็นคู่รักที่น่ารักและลงตัวที่สุด เธอกลับมาแต่งงานเมื่อเดือน พ.ค. ปี 48 แล้วเธอก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่นู่น เราขาดการติดต่อไปได้พักใหญ่ ๆ แล้ว แต่ก็ยังส่งฟอร์เวิร์ดเมล์ถึงกันตลอด เวลาได้ยินเพลงเบิร์ดที่ไร จะนึกถึงแอ้ทุกครั้ง "ฝนที่ตกทางนู้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว เธอลำบากอะไรมั้ย เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง.......เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน" ((ขอไม่เอาภาพของแอ้มาลงนะคะ เพราะเธอชอบความเป็นส่วนตัวค่ะ))
Create Date : 14 ธันวาคม 2550 | | |
Last Update : 14 ธันวาคม 2550 14:18:56 น. |
Counter : 739 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
: Users Online
 |
Online:
Visite Totali:
Poochie's Graphic Counter |
|
|
|
|
|
|
|