ผีโพรงที่ลำตะคอง (ฝูงผีบุก)
เรื่องที่ 2 ผีโพรงที่ลำตะคอง (ฝูงผีบุก)

เรื่องราวที่แท้จริงของผีโพรงเกิดขึ้นในการเข้าพักครั้งที่สองนี่แหละค่ะ ผ่านไปเกือบครึ่งปีพวกพี่ก็แห่งกันไปใช้บริการรีสอร์ทเพื่อนน้องสาวอีกครั้ง คราวนี้ไปกันแปดคน มีพี่ แม่ น้องสาว ลูกบุญธรรมแม่ได้แก่ เดช เอ๋ แต่(ชื่อคนน่ะ) ติ่ง อ๊อด

ตอนโทรบอกจำนวนคน พี่ที่เป็นเจ้าของบอกโอเคให้พักได้เลย พวกพี่เลยออกเดินทางแวะเที่ยวกันเรื่อยอย่างสบายใจโดยไม่ลืมซื้อเหล้าขาวกับอาหารจำพวกยำติดมือเข้าไปด้วย กว่าจะถึงที่พักก็เกือบค่ำ ยังพูดกันเลยว่าอย่าได้หลังที่สองเลย ปรากฏว่าพอไปถึงคนที่ดูแลเขายิ้มกว้างรออยู่พร้อมกับบอกว่า

“นายบอกให้พวกพี่พักหลังใหญ่”

แทบหงายท้องเลยล่ะ ก็ไอ้บ้านพักเจ้าปัญหาหลังที่สองนั่นแหละ มองหน้ากันแล้วยิ้มแห้งๆชักแถวกันเข้าไปข้างใน คนดูแลยังยิ้มแล้วพูดก่อนจากไปว่า

“มีอะไรเรียกผมได้ทันทีนะพี่”

มันจะมีอะไรวะ

พวกพี่คิดแล้วเริ่มต้นสำรวจที่พัก จะว่าไปมันเป็นบ้านที่ทันสมัยมากเพราะชั้นล่างแบ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งเปิดประตูออกไปนั่งเล่นริมน้ำลำตะคองได้ ด้านข้างแบ่งเป็นสองห้องเล็กซึ่งห้งอใหญ่จะอยู่ด้านหน้าติดถนนส่วนห้องเล็กจะติดลำตะคอง พวกพี่เปิดสำรวจดู ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมสามารถเปิดถึงกันได้ ส่วนด้านบนเป็นห้องใต้หลังคาซึ่งฝาเปิดโล่งสามารถชมทิวทัศน์รอบบ้านได้สะดวก อีตาแต่มันชอบอกชอบใจมากเพราะเป็นหนุ่ม(?)จบจากนอก เขารีบขนข้าวของที่นอนขึ้นไปชั้นลอยทันทีพร้อมกับเพื่อนชาย = = ส่วนพวกพี่ลงประชามติว่า นอนรวมกันที่ห้องใหญ่

ยามค่ำคืนเคลื่อนผ่านเข้ามา ชาวบ้านในแถบนั้นต่างพากันปิดไฟนอนกันหมด ทั้งที่เพิ่งแค่สองทุ่มเศษเท่านั้น แถมเป็นคืนเดือนมืดตึ๊ดตื๋ออีก พี่จัดแจงจัดเครื่องยำใส่จานกระดาษแล้วเดินไปหลังบ้านพร้อมแม่ ที่นั้นมีต้นไม้ใหญ่มากๆขึ้นอยู่ริมตลิ่ง แม่วางอาหารบนพื้นหญ้าพร้อมกับเปิดขวดเหล้า แล้วจุดธูปยกมือบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าที่ทางตามที่ทำกันมาทุกครั้งที่เราไปนอนพักค้างแรมที่อื่น พอปักธูปลงดินปุ๊บ ลมก็พัดกรรโชกมาก้อนโตชนิดยอดไม้โอนเอนเลย พวกพี่กับน้องสาวมองหน้ากันแล้วเริ่มถอยหลัง แม่หันไปมองที่โคนต้นไม้ไหญ่ พี่เลยมองตาม ก็เห็นดวงไฟค่ะ ดวงไฟแบบดวงกลมๆสีเหลืองอ่อนๆขนาดประมาณจานกินข้าวใบใหญ่ๆสว่างจ้าบนพื้นหญ้าแล้วเลื่อนไปที่โคนต้นจากนั้นก็พุ่งขึ้นไปบนยอดแล้วหายวับไป เจ้าแต่ซึ่งออกมาทีหลังคงทันเห็นเพราะยืนตัวแข็งหน้าซีด ส่วนพี่น่ะ เหอะๆ ไอ้อาการขนต้นคอลุกตั้งเป็นยังไงเพิ่งรู้จักกันในตอนนี้เอง พอแม่หันหลังเดินนำเข้าบ้าน พี่ก็เผ่นชนิดตามไปติดๆ ยอมรับว่ากลัวเลยล่ะ ลำพังผีที่เจอแถวบางแสนหรือทะเลภูเก็ตชิดซ้ายไปเลย

ตกดึกหลังจากอาบน้ำอาบท่ากันหมดทุกคนพวกเราก็นั่งคุยกันที่ห้องนอนใหญ่ แม่บอกให้แต่ลงมานอนข้างล่างแต่เขาไม่เชื่ออ้างว่าอยู่ในบ้านไม่เป็นไร แม่บอกว่าข้างบนมันเป็นช่องทะลุ ไม่มีกำแพงหรือผนังกั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกพี่นับถืออยู่ไม่สามารถปกป้องได้ ในเมื่อดื้อก็ไม่ต้องลงมา
หลังจากเข้าห้องนอนเรียงกันโดยแม่นอนบนเตียงกับน้องสาว พี่นอนปลายเท้าด้านผนังที่ติดกับห้องนอนเล็กโดยมีเอ๋กับเดชนอนเรียงกัน ส่วนติ่งไปนอนริมเตียงข้างหน้าต่าง พี่ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนตกใจมากที่นับคนแล้วเกินมาหนึ่ง มันมีคนนอนคลุมโปงข้างตัวติ่งน่ะ พอเอาเท้าเตะถึงได้รู้ว่าเป็นผ้าห่มอีกผืนที่มันม้วนให้เหมือนตัวคนแล้ววางไว้ริมหน้าต่าง
พี่มาถามทีหลังว่าทำไมทำแบบนั้น ติ่งมันบอกว่าเอาไว้หลอกผี -*-

ตกดึกที่แสนจะเงียบสงัด พี่ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังตะกุยผนังห้องด้านที่ติดกับห้องนอนเล็ก มันดังเหมือนคนเอาเล็บตะกุยเสื้อน่ะ แกร่กๆ แล้วมีเสียง แฮ่ๆแผ่วมา พี่รีบหดขาเลยแต่ไม่กล้าพูด มันดังทั้งคืนเหมือนอะไรจากอีกฝั่งพยายามจะแทรกผ่านกำแพงเข้ามาให้ได้ และดังไปจนกระทั่งถึงตีห้าของวันใหม่ก็หายไป ตอนเช้าแต่หน้าตาตื่นหอบที่นอนเครื่องใช้ลงมาแล้วยัดเข้าไปในห้องใหญ่บอกคืนนี้ขอนอนด้วยคน ถามก็ไม่ยอมตอบอะไร เลยออกไปนั่งเล่นกันหน้าบ้าน มีคนแปลกหน้ามาชะโงกร้องขอดอกไม้สองดอก ปรกติพี่จะบอกว่าเอาไปเลยแต่คราวนี้เหมือนมีอะไรมาปิดปากไม่ให้พูด อีตาแต่ยืนเท้าสะเอวแล้วตะโกนไปว่า ไม่ให้ มันไม่ใช่ของเรา ชาวบ้านคนนั้นมองหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็เดินจากไป พวกพี่ก็ออกไปร่อนเที่ยวบนเขาใหญ่จนถึงค่ำโดยไม่ลืมแวะสักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่ตรงทางขึ้นขอให้ท่านคุ้มครอง ตกเย็นก็ซื้อข้าวของติดมือกลับมามากกว่าเดิมสองเท่า เหล้าสองขวด

พี่จัดเตรียมอาหารและล้างแก้วน้ำอยู่ที่หลังบ้าน เสียงแม่น้ำไหลแรงมากคือมันเป็นช่วงโค้งของลำตะคองซึ่งไหลมากระแทกตลิ่งแล้วหักศอกเลียบด้านข้างรีสอร์ทพอดีน่ะ(ดูเหมือนเขาจะเรียกว่าคุ้งน้ำนะ) ตามปรกติคนมักไม่นิยมสร้างบ้านในที่แบบนี้เพราะเชื่อว่าสิงไม่ดีที่ลอยมากับน้ำจะมาหล่นที่นี้ (ตามหลักความจริงก็คือ ตลิ่งมันจะพังน่ะ) กำลังล้างแก้วเพลินๆก็เห็นหิ่งห้อยบินออกมาจากโพรงไม้ ตัวโตมากใหญ่กว่าผึ้งอีกนะ ที่รู้ว่าเป็นหิ่งห้อยเพราะตอนนั้นมันโพล้เพล้ทำให้เราเห็นแสงมันน่ะ ด้วยความที่ชอบเลยทักไปว่า

โห หิ่งห้อยที่นี่ตัวใหญ่จัง

เท่านั้นแหละ ฝูงหิ่งห้อยจำนวนมากก็บินพรูกันออกมาจากโพรง พี่มองตาค้างแล้วคว้าถาดแก้ววิ่งพรวดเข้าบ้านเลย แม่ถามว่ามีอะไรเลยเล่าให้ฟัง แม่บอกสั้นๆว่า ปากเสียไปทักเขาทำไม

โธ่....ก็ใครจะไปคิดล่ะแม่.....T.T

เย็นวันนั้นแม่ทำเครื่องไหว้ไว้ที่หน้าบ้านชุดใหญ่ ส่วนอีกชุดวางไว้หลังบ้าน พอมืดพวกพี่ก็เริ่มทยอยกันเข้าห้อง พี่เดินปิดหน้าต่างรอบบ้าน ลองคิดภาพดูสิ มันมืดไปหมดไม่มีแม้แต่เสียงแมลงสักตัว แถมตอนยื่นมือออกไปดึงบานหน้าต่างเข้ามา สยองว่าจะมีมือหรือหน้าของตัวอะไรโผล่พรวดขึ้นมาให้เห็น พี่กลั้นใจปิดหน้าต่างจนหมดแล้วเดินไปหลังบ้านจะเปิดประตูมุ้งลวดเพื่อปิดประตูไม้ด้านนอก แต่แม่เรียกให้หยุด พี่เลยหยุด ตอนนั้นเองก็ได้กลิ่นประมาณ เหม็นคาวอย่างรุนแรง มันเป็นกลิ่นคาวจัดเลยล่ะลอยมาจากด้านนอก แม่บอกว่าเป็นกลิ่นลมหายใจของมันและสั่งไม่ให้พี่เปิดมุ้งลวด ให้เข้าห้องเลยเพราะมันรออยู่ด้านนอก พวกพี่เลยเผ่นเข้าห้องกันหมด นั่งเบียดกันบนเตียง สักพักมีเสียงคนดังมาจากด้านนอกเรียกชื่อของแต่ละคน เสียงมันแบบ แว่วๆแหลมเล็กเหมือนเสียงเด็ก เวลาเรียกก็สั้นๆห้วนๆเหมือนคนหัดพูดน่ะ พวกพี่นั่งปิดปากเงียบ มันดังสักพักก็หายไป พี่เลยไปเปิดผ้าม่านดู พอเห็นข้างนอกเท่านั้นยืนตัวแข็งเลยล่ะ

ทำไมน่ะเหรอ

ก็สนามด้านนอกน่ะมันมีสายใยอะไรก็ไม่รู้สีขาวเคลื่อนโอบล้อมบ้าน มันเคลื่อนที่ช้ามากๆนะแต่พอไปถึงด้านหน้าก็หยุดแค่นั้น แม่บอกให้พี่ถอยออกห่างจากหน้าต่างและสั่งให้ทุกคนนอนห้ามส่งเสียงร้องทักอะไรทั้งสิ้น คืนนั้นทั้งคืนพวกเราได้ยินเสียงคนวิ่งบนห้องใต้หลังคา เป็นเสียงวิ่งขึ้นมาจากทางด้านลำน้ำลำตะคองตึงๆๆไปจนถึงด้านหัวนอนแล้ววิ่งกลับ บางทีมีเสียงเหมือนทุบเพดานห้องคล้ายคนข้างบนจะพังลงมาด้านล่าง มันดังแบบนี้จนถึงตีห้าและหยุดตอนที่มีเสียง

โครม!

ตามมาด้วยเสียงกลิ้งตกลงไปด้านล่างเหมือนสิ่งนั้นถูกถีบแล้วทุกอย่างก็เงียบ พอเช้าพวกพี่ก็เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน คนดูแลดันโผล่มาถามว่าเป็นไงบ้าง นอนหลับสบายกันดีไหม

อยากถีบมันจริงๆ

มาถึงบ้านพี่ถามแม่ว่าไอ้สีขาวๆนั่นคืออะไร แม่บอกว่าเหมือนอาณาเขตของพวกผีโขมดหรือผีโพรง ถ้ามันล้อมเราได้สำเร็จก็สามารถเข้ามากินพวกเราได้ แต่เนื่องจากแม่ได้บอกกล่าเจ้าที่ซึ่งก็คือคนในต้นไม้ที่พวกพี่เจอในตอนแรกกับเจ้าพ่อเขาใหญ่ ท่านจึงพยายามคุ้มครองพวกเรา ส่วนเสียงที่เรียกน่ะเป็นเสียงของพวกมัน ถ้าเราไปร้องตอบก็จะถูกกิน ที่บางทีมีข่าวว่าคนกลับจากเที่ยวป่าแล้วผอมตายโดยไม่ทราบสาเหตุนั่นแหละ

แล้วที่คนมาร้องขอดอกไม้น่ะ เขามาขอชีวิตพวกเราสองคนเอาไปเลี้ยงผี ซึ่งถ้าเราตอบตกลงก็จะตาย แม่บอกว่าตอนนั้นมีสองคนที่ดวงตกจนถึงขั้นนั้น นั่นก็คือพี่กับแต่ โชคดีที่แต่เขาออกมาบอกปฏิเสธเจ้าตัวบอกว่าไม่รู้นึกยังไงเหมือนกันที่พูดไปแบบนั้น อารมณ์ประมาณคนคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยน่ะ แม่บอกว่านั่นแหละคนเลี้ยงผีโพรงล่ะ ส่วนที่วิ่งบนหลังคาเป็นพวกผีโขมด มันมาตามลำตะคองซึ่งไหลมาจากป่าในเขาใหญ่ ตอนเช้าก็ไปตามแม่น้ำกลับเข้าป่าไป

ถ้าจะถามว่าทำไมแม่พี่ถึงรู้เรื่องแบบนี้ได้ เพราะแม่พี่เคยบวชและออกเดินป่าเมื่อครั้งยังสาวค่ะ ท่านสวดมนตร์และอยู่ในธรรมมาตลอด ศึกษาคำสอนทั้งในส่วนของพุทธและฮินดูอย่างเข้าใจถ่องแท้ มองทุกสิ่งทั้งตาเนื้อและตาจิต พวกพี่จะไม่เชื่อกับอะไรง่ายๆโดยไม่มีการพิสูจน์ การจะฟังสิ่งใดต้องฟังอย่างตั้งใจ ศึกษาให้ทะลุ เชื่ออย่างมีสติ ซึ่งมันก็มีประโยชน์เพราะพี่นำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ในตอนเขียนนิยายด้วย

ดังนั้นเรื่องผีที่เล่าขานกันมา ในส่วนของความจริงมันไม่ตื่นเต้นระทึกขวัญแหกอกควักไส้เหมือนในหนังหรอกค่ะ บางครั้งมันมากับธรรมชาติ และหายไปในธรรมชาติ บางครั้งมาแค่เสียง กลิ่น สายลม ร้ายก็มี น่าสงสารก็มี ถ้าชอบกันวันหลังพี่จะนำเรื่องผีที่บางแสนมาเล่าให้ฟัง รวมทั้งผีป่าที่เขาใหญ่ด้วย เจอไม่บ่อยหรอก แต่เจอทีจำกันไปนาน

จบค่ะ

*/*/*/*
















Create Date : 17 พฤษภาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 16:31:09 น.
Counter : 778 Pageviews.

2 comments
  
แง้ น่ากลัวอ่า
โดย: ฟฟฟ IP: 114.128.161.155 วันที่: 22 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:27:28 น.
  
น่ากลัวจังครับ

โดย: gotobook วันที่: 27 ธันวาคม 2553 เวลา:16:38:14 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี