Group Blog
 
All Blogs
 

ปิดเทอม...ไปท้องไร่ ท้องนากันเถอะ

เมืองไทยตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม คุณๆที่มีลูกหลานตัวเล็กๆ คงต้องเหน็ดเหนื่อยกับการรับมือเหล่าทโมนน้อยๆมากขึ้นกว่าเดิม

นอกเหนือจากนั้นคงต้องขบคิดว่า จะพาพวกเขาไปเที่ยวที่ไหนดี

เพราะถ้าปล่อยให้อยู่บ้านอย่างเดียวตลอดปิดเทอมมีหวัง

บ้านแตก !

สำหรับสถานที่เที่ยว บางคนอาจจะมีโปรแกรมพาไปตามแหล่งท่องเที่ยวหลักๆในเมืองไทย

หรือผู้มีทุนทรัพย์หน่อย อาจหาทางออกด้วยการพาไปเที่ยวตามเมืองนอกเมืองนา

เอาละครับ ไม่ว่าคุณๆพาไปเที่ยวที่ไหน สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการพักผ่อน และการได้อยู่ใกล้ชิดกันในครอบครัว

คือการให้เจ้าตัวน้อยได้เรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ใช่ไหมครับ

เรียนรู้จักโลก และชีวิต

ปิดเทอมที่ผ่านมา กระผมนายนินจา ราตรีมีโอกาสติดสอยห้อยตามครอบครัวออสซี่ข้างบ้านไปเที่ยว อันเป็นผลให้ได้เรียนรู้แนวคิด ทัศนคติในการเลี้ยงดูเด็กที่น่าสนใจ วันนี้จึงขอนำมาขยาย....

ครอบครัว “เจนนี่” กับ “ปีเตอร์” มีลูกชายวัยเจ็ดขวบเศษชื่อ “ทอม”

ทุกครั้งที่โรงเรียนปิดเทอม พวกเขาจะถือโอกาสลาหยุดจากงานประจำพาบุตรหัวแก้วหัวแหวนไปเที่ยว

ครั้งล่าสุด เจนนี่กับปีเตอร์พาลูกไปเที่ยวฟาร์ม

ถูกต้องครับ เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผลทางการเกษตรธรรมดาๆนี่แหละครับ

ครั้งแรกที่ปีเตอร์มาชวนผมไปเที่ยวกับครอบครัวของเขา ผมงงระคนแปลกใจว่าจะไปทำไมฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช

คงด้วยท่าทางฉงน สงสัยของผมกระมัง ปีเตอร์จึงขยายความว่า เขาต้องการให้ลูกซึ่งเกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ได้เรียนรู้จักชีวิตและธรรมชาติในชนบท

“เด็กในเมืองอย่างทอมไม่เคยรู้ว่า นมที่เขาดื่มทุกวันมาจากไหน อาหารที่กินทุกมื้อมีความเป็นมาอย่างไร เขารู้แต่เพียงว่าไปซุปเปอร์มาเก็ตซื้อ เดี๋ยวก็ได้มาแล้ว เขาไม่รู้คุณค่าของมัน ไม่รู้คุณค่าของเกษตรกร คนเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช...

...ผมอยากให้เขารู้ว่าพืชผลแต่ละอย่างกว่าจะได้มานั้น แลกมาด้วยความยากลำบาก และเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง ความฝันของเกษตรกร...

...ผมไม่อยากให้ทอมโตขึ้นมาเห็นแต่คุณค่าของวัตถุ เงินทอง โดยไม่เห็นถึงคุณค่าของธรรมชาติ”

ปีเตอร์ยังเล่าต่อไปอีกว่า ขณะนี้ฟาร์มจำนวนไม่น้อยในออสเตรเลียเปิดบริการให้คนภายนอก หรือนักท่องเที่ยวไปพักผ่อนหย่อนใจ

เรียกขานกันว่า Farm stay

นอกจากจะมีที่พักแล้ว ฟาร์มหลายแห่งยังมีกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงจัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆให้เรียนรู้จักชีวิตชนบทอีกด้วย

ครับ ในที่สุดผมตัดสินใจติดตามครอบครัวของปีเตอร์ไปฟาร์ม ด้วยอยากรู้ว่าบ้านไร่ปลายนาของออสเตรเลียมันมีอะไร แล้วมันจะสอนเด็กเล็กอย่างทอมให้รู้จักธรรมชาติได้อย่างไร

ฟาร์มที่ผมไปในครั้งนี้ ไม่ห่างจากเมืองใหญ่ที่เราอาศัยอยู่กัน ชั่วเพียงขับรถประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึง

ระหว่างทางเด็กน้อยอย่างทอมดูจะตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้มาก ยิ่งเมื่อพ่อบอกว่าจะได้เห็นไก่ เห็นแกะ ได้ขี่ม้า ได้นั่งเรือตกปลา ทอมยิ่งกรี๊ดกร๊าดดีใจใหญ่

ตลอดเวลาบนรถ พ่อแม่ของทอมพยายามจะเล่าอธิบายถึงเรื่องราวของสัตว์น้อยใหญ่ที่ต้องเจอะเจอในฟาร์ม โดยมีหนังสือภาพเด็กซึ่งซื้อหามาล่วงหน้าเป็นเครื่องมือช่วยขยายความเข้าใจของเจ้าตัวน้อย

ถือว่าเป็นการทำการบ้านก่อนเจอของจริง !

เมื่อถึงที่หมาย หนุ่มใหญ่เจ้าของฟาร์มเดินตรงเข้ามาทักทายด้วยความเป็นกันเอง พร้อมพาพวกเราไปยังที่พัก ซึ่งเป็นกระต๊อบเล็กๆ ธรรมดา เรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน

ถึงตอนนี้เราพบว่าฟาร์มแห่งนี้ยังมีอีก 2-3 ครอบครัวมาพักอาศัยในช่วงวันหยุดปิดเทอมด้วยเช่นกัน

เจ้าตัวเล็กอย่างทอมดูจะดีใจเป็นพิเศษที่พบเพื่อนใหม่ เพียงชั่วครู่ก็สนิทสนม เฮฮากับกลุ่มเด็กวัยไล่เลี่ยกัน

ที่ฟาร์มแห่งนี้ เขามีกิจกรรมสำหรับเด็ก โดยมีผู้พาแก๊งเด็กไปเลี้ยงแกะ เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ พร้อมพูดคุย เล่า อธิบายถึงวิถีธรรมชาติของสัตว์เหล่านี้อย่างรู้และเข้าใจถึงจิตวิทยาเด็ก

ไม่แปลกใจเลยครับว่า ทำไมตอนขากลับเด็กๆ พวกนี้ถึงได้ร้องห่มร้องไห้ อาลัยที่จากบ้านไร่เช่นนี้

เด็กๆ อย่างทอมดูจะตื่นเต้น ดีใจมากที่ได้ลูบไล้ สัมผัสสัตว์น้อยใหญ่ในฟาร์ม

ยิ่งได้เห็นลูกเจี๊ยบฟักออกจากไข่ มันยิ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับพวกเขาเลยทีเดียว

นอกจากกิจกรรมเลี้ยงสัตว์แล้ว เขายังมีกิจกรรมกลางแจ้งอีกหลายอย่างให้คนมาพักผ่อนได้ทดลองเรียนรู้กับวิถีชนบท

อย่างเช่นการขี่ม้า เริ่มตั้งแต่ทำความรู้จักกับม้าที่จะขี่ แปรงทำความสะอาดก่อนจะเรียนรู้ถึงการนั่งควบขี่ออกตะลุยฟาร์ม

หรือกิจกรรมพายเรือ ตกปลา กลางแม่น้ำใหญ่ซึ่งตัดผ่านฟาร์ม

พอถึงมื้ออาหาร พวกเราจะรวมตัวกันในห้องรับประทานอาหารรวม ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน ฝีมือภรรยาเจ้าของฟาร์ม

อาหารเรียบง่าย แต่สด สะอาด ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเอง ทำให้รสชาติอาหารโดดเด่นขึ้นอย่างน่าประหลาด

การมาฟาร์มในครั้งนี้ ทำให้ผมอดคิดถึงเมืองไทยไม่ได้ว่า เด็กไทยในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กที่เติบใหญ่ ในเมืองกรุงก็คงไม่ต่างจากทอม เด็กน้อยจากดาวน์อันเดอร์

ไม่มีโอกาสจะเรียนรู้ถึงคุณค่าของเมล็ดข้าว ต้นไม้ ใบหญ้า

ไม่รู้ถึงความเหนื่อยยากของชาวไร่ ชาวนา


สิ่งที่เด็กเมืองเรียนรู้คือห้างสรรพสินค้า อาหารฟาสต์ฟู้ด ของเล่นราคาแพงระยับ

เครื่องกล่อมเกลาเด็กยุคใหม่คือทีวี หรือเกมคอมพิวเตอร์

ปิดเทอมนี้ หากคุณๆมีรากเหง้า หรือมีเพื่อนฝูงอยู่ในชนบท ถือเป็นโอกาสดีนะครับที่จะพาเจ้าตัวเล็กออกไปวิ่งเล่น เรียนรู้ธรรมชาติโลกกว้าง

หรือหากคุณๆที่มีเรือกสวนไร่นาอยู่แล้วในชนบท อยากจะจัดทำเป็นที่พักผ่อน เรียนรู้ของเด็กเมือง เหมือนในออสเตรเลียบ้าง อันนี้นินจา ราตรีขอสนับสนุนเต็มกำลัง

ปิดเทอมนี้ พาเจ้าตัวเล็กไปท้องไร่ ท้องนากันเถอะครับ

.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2547




 

Create Date : 11 มีนาคม 2551    
Last Update : 11 มีนาคม 2551 9:56:41 น.
Counter : 1473 Pageviews.  

เกี่ยวก้อยคนรัก เที่ยวซิดนีย์

ครั้งหนึ่งในชีวิต เคยไหมครับ ที่อยากจะเกี่ยวก้อย จูงมือคนรู้ใจเดินเที่ยวอย่างโรแมนติก เปิดอกพูดคุยภาษารัก วาดฝันถึงวันหวานในอนาคตร่วมกัน

ผมเชื่อว่าทุกคนคงอยากมีวันเช่นนี้บ้าง อย่างน้อยสักวันหนึ่งก็ยังดี

เอาละครับ วันนี้ นินจา ราตรี มีโปรแกรมเที่ยวแบบคู่รักโรแมนติก มานำเสนอคุณๆ

เป็นโปรแกรม หนึ่งวันกับคนรู้ใจในซิดนีย์ !

ก่อนถึงวันสำคัญ อย่าลืมตรวจเช็คดูลมฟ้าอากาศให้แน่ใจนะครับว่า จะไม่เจอกับลมมรสุม พายุลูกเห็บ หรือฝนตกกระหน่ำ อะไรทำนองนั้น

ไม่เช่นนั้น วันอันแสนสุขอาจจะกลายเป็นวันอันทุลักทุเล หมดมู้ดกันพอดี

พอถึงวันสำคัญ ผมแนะนำให้ซื้อตั๋วเดินทางแบบ Day Tripper ซึ่งสามารถใช้โดยสารได้ทั้งรถบัส รถไฟ รวมถึงเรือ Ferry อีกต่างหาก

ซื้อใบเดียวเที่ยวคุ้มแน่

ตั๋วชนิดนี้สามารถใช้ได้ทั้งวันจนถึงตี 4 ของอีกวันเลยแหละครับ

ราคาสำหรับผู้ใหญ่คือ 15 เหรียญ ส่วนเด็กเขาคิด 7.50 เหรียญ (โปรดตรวจเช็กราคาให้แน่นอน เพราะเขาขึ้นราคาอยู่เรื่อยๆ)

พูดถึงตั๋วแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรของเราน่าจะมีการประสานงานกันระหว่างรถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงเรือด่วนเจ้าพระยาให้สามารถใช้ตั๋วใบเดียวเดินทางได้หมดเช่นนี้บ้างเนอะ

เที่ยวแบบคู่รักหวานแหววเริ่มต้นกันตั้งแต่เช้าดีกว่านะครับ จะได้มีเวลาอยู่กับคนรู้ใจนานๆ

ประเดิมอุ่นเครื่องด้วยโจ๊กร้อนๆเป็นอาหารเช้าในย่าน China Town ดีไหมครับ

พูดถึงโจ๊ก คนไทยในซิดนีย์ล้วนรู้ดีว่าต้องเป็นร้าน Super bowl เท่านั้น

ร้านนี้เปิดขายตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นเที่ยงคืน รสชาติโจ๊กเป็นแบบโจ๊กฮ่องกง ซึ่งอร่อยแตกต่างจากโจ๊กสามย่าน หรือโจ๊กโรงหนังปริ๊นซ์ บางรักที่พวกเราคุ้นชินกันมาจากเมืองไทย

กินโจ๊กเรียกพลังยามเช้าแล้วอย่าลืมสั่งปาท่องโก๋มาแนมด้วยนะครับ

แหะ...แหะ...ถือว่าเป็นสิริมงคล เริ่มต้นวันออกเดตดีนักแล (ฮา)

ที่นี่เขาเรียกกันว่า “อิ่ว จา ก้วย” หรือ “เหลียว เถียว” เป็นปาท่องโก๋ยาวเกือบเท่าไม้บรรทัด หาใช่ตัวจื๊ดตัวจ้อยเช่นที่บ้านเมืองเราไม่

พออิ่มอร่อยแล้ว ออกเดินทางกันเลยดีกว่า นั่งรถเมล์ไปลงที่ Circular Quay ท่าเรือ Ferry ใหญ่ของเมือง

จาก Circular Quay คุณสามารถเกี่ยวก้อยคนรู้ใจเดินชม สัญลักษณ์เมืองซิดนีย์ อันได้แก่ Opera House ได้อย่างเย็นใจ

หลังจากนั้นแนะนำว่าให้เดินเข้าไปใน Royal Botanic Gardens สวนพฤกษชาติประจำเมืองซึ่งอยู่ติดกับ Sydney Opera House

สวนสาธารณะแห่งนี้งดงามยิ่งนัก ต้นไม้ดอกไม้หลากหลายนานาพรรณเรียงรายไปทั่ว ต้นไม้ใหญ่จำนวนไม่น้อยปลูกปักตั้งแต่สมัยอังกฤษเริ่มค้นพบทวีปออสเตรเลียเลยด้วยซ้ำ

Royal Botanic Gardens เหมาะสมยิ่งนักให้คู่รักมาเปลือยความรู้สึกอันบริสุทธิ์ให้แก่กัน

ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นคู่รักหลายคู่นั่งเรียงรายพลอดรักใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือเห็นคู่บ่าวสาวมาโอบกอดถ่ายรูปคู่อย่างมีความสุข

สวนแห่งนี้มีเก้าอี้ไม้จัดวางไว้อย่างเหมาะสม ตั้งอยู่ใต้ต้นสน ต้นโอ๊คอันร่มรื่นเย็นสบาย เก้าอี้ไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่จะหันหน้าออกหาวิวทะเล มี Sydney Opera House และ Harbour Bridge เป็นฉากหลัง

แต่หากหมุนหันไปด้านหลังจะเห็นตึกสูงมากมาย พุ่งทะยานสูงเสียดฟ้าเหนือสีเขียวเข้มของต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะ

เป็นการตัดกันระหว่างธรรมชาติกับความเจริญ

สถานที่อันแสนโรแมนติกเช่นนี้ ถ้าเตรียมผ้าพลาสติกปูใต้ต้นไม้ใหญ่ มีอาหารว่าง ประเภท คุ้กกี้ แซนวิช ขนมปัง หรือมีกาแฟร้อนหอมกรุ่นจากกระติกน้ำร้อนซึ่งเตรียมไว้ ยิ่งเพิ่มความรู้สึกสบายยิ่งนัก

หรือใครจะเตรียมไวน์มาเปิดดื่มเข้ากับบรรยากาศก็ตามแต่

การได้เอนหลังบนผ้าพลาสติก ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันงดงาม ลมทะเลโชยเอื่อย หนุนตักคนรู้ใจ เอ่ยถ้อยคำหวานแก่กัน

เพียงเท่านี้แหละครับ....สวรรค์บนดิน

จากนั้นนินจา ราตรี แนะให้เดินกลับไป Circular Quay เพื่อขึ้นเรือ Ferry ข้ามไปเที่ยวชายหาด Manly

เรือ Ferry ใหญ่จะล่องข้ามทะเลผ่าน Sydney Opera House ให้เก็บภาพความประทับใจในอีกมุมมอง แตกต่างจากการมองดูจาก Royal Botanic Gardens

ที่ชายหาด Manly มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ มากมายให้เลือกลองชิม เป็นอาหารมื้อกลางวัน

หลังอิ่ม จะเดินเกี่ยวก้อยคนรักเลาะเลียบชายหาด ชมวิวทะเล หรือจะเล่นน้ำทะเลร่วมกันก็ได้นะครับ

เพียงแต่กะเวลานั่งเรือ Ferry กลับท่า Circular Quay ในช่วงอาทิตย์ตกดิน เพื่อให้ได้บรรยากาศอันแสนโรแมนติกระหว่างนั่งเรือกลับนั่นแล

เวิ้งฟ้าสีส้มแดงหลากเฉดสี บนเรือ Ferry แล่นฉิ่วโฉบเหนือน่านน้ำทะเล ชวนให้โอบกอดคนรู้ใจถ่ายทอดไออุ่นแก่กันอย่างไม่รู้ตัว

ยามเรือ Ferry แล่นผ่าน Sydney Opera House แสงไฟยามเย็น สะท้อนสีสันให้แลเห็นกระเบื้อง Opera House แปลกตากว่าตอนกลางวัน

และหากอาทิตย์ลับแสงไปแล้ว ยามนั้นแสงไฟจากตึกสูงเปิดทั่ว ยิ่งทำให้เห็นความงามอีกรูปลักษณ์หนึ่ง

เมื่อขึ้นจากท่า Circular Quay ให้เดินเรียบเลาะทางเดินไปด้านตรงข้ามกับตอนเช้า ผ่าน Museum of Contemporary Art

เรียงรายรอบทางเดิน จะมีวณิพกหลากความสามารถมาแสดง ทั้งเล่นดนตรี เล่นมายากล เป็นหุ่นใบ้

เดินเรื่อยไปจนสุดทางจะผ่าน Overseas Passenger Terminal อันเป็นท่าต้อนรับเรือท่องเที่ยวเดินสมุทรใหญ่

เดิมเป็นเพียงท่าเทียบเรือเก่า เปิดใช้เฉพาะเมื่อมีเรือเดินสมุทรใหญ่ยักษ์ ชนิดที่เรียกว่าโรงแรมลอยน้ำจอดเทียบเท่านั้น

แต่ปัจจุบัน เขาตกแต่งใหม่มีร้านอาหารเลิศหรูมากมายหลายร้านเปิดรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก

หากคุณเป็นประเภทเจ้าบุญทุ่ม หรือมีเงินเหลือใช้จะเลือกร้านอาหารประเภท Water front เหล่านี้เป็นสถานที่ทานดินเนอร์ใต้แสงเทียน มีวิวยามค่ำของ Opera House เป็นฉากประกอบก็ตามสะดวกนะครับ

แต่ถ้ามีงบประมาณไม่สูงนัก อาหารค่ำคืนอันแสนพิเศษเช่นนี้ ผมแนะนำให้ไปทานที่ร้านแพนเค้กชื่อดัง ตรง The Rocks เดินจากท่า Circular Quay ประมาณ 10 นาที

นอกจากอาหารแพนเค้กรสอร่อยแล้ว ร้านนี้ยังมีอาหารรสเลิศมากมายในราคาไม่สูงมากนัก

แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบคึกคัก รื่นเริง จะหาร้านอาหารหรือผับเป็นสถานที่หย่อนใจในยามค่ำ แถว The Rocks มีร้านประเภทนี้มากมาย เลือกหาเอาตามใจเถิด

เมื่ออิ่มแล้วจะเดินย่อยอาหาร ชมวิวยามดึกของ The Rocks ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่าแก่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมือง Sydney หรือจะเดินกลับมาที่ Circular Quay เพื่อนั่งเรือ Ferry ชมวิวมหานครในยามค่ำก็ได้นะครับ

คราวนี้ลองนั่งเรือไปอีกด้านหนึ่งบ้าง เป็นการล่องเรือยามค่ำ ชมแสงไฟจากตึกสูง ลอดใต้ Sydney Harbour Bridge ไปขึ้นที่ท่า Darling Harbour

หากยังไม่เหนื่อยล้า คุณสามารถเดินเล่นชมร้านรวงรอบ Darling Harbour ก่อนกลับไปพักผ่อน

ครับ ทั้งหมดนี้เป็นแค่ไอเดียให้คุณๆผู้มีโลกสีชมพู ได้วางแผนก่อนชวนคนรู้ใจออกเดต

ส่วนผลหลังจากนั้นเป็นประการใด

อันนี้ นินจา ราตรีไม่ขอเกี่ยวนะขอรับ...


.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 21กันยายน 2547




 

Create Date : 06 มีนาคม 2551    
Last Update : 6 มีนาคม 2551 12:45:00 น.
Counter : 837 Pageviews.  

ทัวร์อดีต...ท่องอนาคต...ตะลุยจินตนาการ

เชื่อไหมครับว่า นักเรียนไทยในออสเตรเลียจำนวนไม่น้อยไม่เคยไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ หรือศูนย์แสดงศิลปะใดๆ ในดินแดนจิงโจ้

เอ...จะพูดว่าไม่เคยไปอย่างเดียวอาจไม่ถูกต้องนัก

คงต้องพูดว่า สถานที่เหล่านี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเด็กไทยด้วยซ้ำไป

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักท่องเที่ยวจากแดนสยาม ประเภทมาทัวร์ชั่วครู่ ชั่วยาม ถ้าบอกว่าจะพาไปเที่ยวชม Museum หรือ Art Gallery มีหวังร้องยี้ หน้าตาบูดเบี้ยว.... แต่ถ้าบอกจะพาไปชอปปิ้ง เชื่อเถอะครับ หน้างี้บานระรื่น ร้องเฮรับคำทันทีทันใด

นั่นใช่หรือไม่ว่า เป็นเพราะคนไทยเราแปลกแยก ไม่คุ้นชินกับสถานที่เหล่านี้

มโนทัศน์เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ของคนไทยคือ "ความเก่าเก็บ"

ประเภทมีแต่พวกซากปรักหักพัง ก้อนอิฐ ก้อนกรวด

เป็นอดีตที่ไม่มีชีวิต

จับต้องไม่ได้ !


ส่วนศูนย์แสดงศิลปะคือ "ความมึนงง"

ประเภทรูปวาด รูปปั้น หุ่นแสดง สวย แปลกตา

แต่ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ

เป็นจินตนาการที่ยากแก่การเข้าถึง !

ครับ นั่นอาจจะเป็นจริงสำหรับพิพิธภัณฑ์ และศูนย์แสดงศิลปะบางแห่งในเมืองไทย

แต่ที่นี่...ออสเตรเลีย สถานที่เหล่านี้ มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด

พร้อมไหมครับ เราไปทัวร์อดีต ท่องอนาคต ตะลุยแดนจินตนาการกันเถอะ...

ในดินแดนดาวน์อันเดอร์ แทบทุกเมืองจะมีพิพิธภัณฑ์ อย่างน้อยแห่งหนึ่ง

ยิ่งในเมืองใหญ่อย่าง Sydney, Melbourne, Brisbane, Canberra, Perth, Adelaide ฯลฯ จะมีพิพิธภัณฑ์ให้เที่ยวชมได้หลากหลากยิ่ง

มีทั้งประเภทพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติความเป็นมาของเมือง บอกเล่าถึงรากเหง้าคนท้องถิ่น เรื่อยไปจนถึงบอกเล่าโศกนาฏกรรม ภัยพิบัติของมนุษย์จากภัยสงคราม หรือแม้กระทั่งโศกนาฏกกรรมจากจากคุกตะราง

นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์อันทันสมัย บอกเล่า อธิบายถึงนวัตกรรม การออกแบบแปลกใหม่ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

พิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งมีชีวิต...จับต้องได้

โดยเฉพาะเด็กๆ


เนื่องเพราะเด็กคือกลุ่มเป้าหมายสำคัญของพิพิธภัณฑ์ ทำให้นักออกแบบพิพิธภัณฑ์พยายามจัดสร้าง รังสรรค์ให้ผู้เยี่ยมชมสนุกสนาน เพลิดเพลิน กับการเรียนรู้ภายในพิพิธภัณฑ์

พยายามให้คนมาพิพิธภัณฑ์สามารถหยิบจับ สัมผัส หรือมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ให้มากที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น Melbourne Museum, Melbourne นอกจากจะมีโครงกระดูกไดโนเสาร์, มนุษย์ถ้ำ, ประวัติความเป็นมาของโลกทั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ไล่มาจนถึงประวัติคนท้องถิ่น Aboriginal ความเป็นมาของคนออสซี่แล้ว

ที่นี่ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์เด็ก ให้เจ้าตัวเล็กได้เรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก เรียนรู้ถึงธรรมชาติสิ่งรอบตัว รวมถึงชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆภายในร่างกายของเขาอย่างเป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย

หรือที่ Powerhouse Museum, Sydney พิพิธภัณฑ์แห่งนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ของมนุษยชาติ

นอกจากผู้มาเที่ยวชมจะสามารถชมและสัมผัสเครื่องจักรไอน้ำ รถไฟโบราณ เครื่องบินรบ ยานอวกาศนาซา อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว แทบทุกภาคส่วนของพิพิธภัณฑ์ จะจัดกิจกรรมให้คนมาเที่ยวชมได้เล่น ได้ลองทำอย่างสนุกสนานไม่น่าเบื่อ

ส่วน “Questacon” The National Science and Technology Centre, Canberra ศูนย์ความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เมืองหลวงออสเตรเลีย เมือง Canberra

ที่นี่เน้นสโลแกนชัดเจนมากว่า "Science behind the fun"

เกมทางวิทยาศาสตร์มากมาย ยั่วให้ผู้มาเที่ยวชมได้เรียนรู้ท่ามกลางความสนุกสนาน

จัดว่าเป็นการผนวก "Entertainment" กับ "Education" ได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่ง

สำหรับผู้ปกครอง หรือครูบาอาจารย์ถ้าพาเด็กๆ เยาวชนวัยเรียนรู้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ แล้วไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี

ผมแนะนำให้แวะไปโต๊ะประชาสัมพันธ์ของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง เพราะที่นี่จะมีเอกสาร แผ่นพับ อธิบายอย่างละเอียดลออ

และที่สำคัญมีแผ่นเกมแบบฝึกหัดแบบง่ายๆ ให้เด็กๆได้ศึกษา ค้นคว้าตามรายทาง ระหว่างเดินเที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์

หรือหากต้องการไกด์ อธิบายรายละเอียดในแต่ละจุด พิพิธภัณฑ์แทบทุกแห่งจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้คอยบริการอธิบาย ตอบข้อซักถามอยู่อย่างเต็มใจ

ทีนี้มาว่ากันถึงเรื่องศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมกันบ้าง

ตามเมืองใหญ่ๆ นอกจากจะมีศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมประจำเมืองแล้ว ยังมีศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมแบบทันสมัย Contemporary Art หรือแนวชนเผ่าพื้นเมืองแบบ Aboriginal Art อีกด้วย

คุณๆที่เข้าเที่ยวชม ไม่ต้องกลัวจะดูไม่รู้เรื่องนะครับ ถ้าสนใจจริง เขามีไกด์คอยอธิบายบอกเล่าเรื่องราวศิลปะต่างๆอย่างชัดเจน

นอกจากนั้น ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมบางแห่งยังมีหูฟังให้เช่า

เมื่อสวมใส่หูฟังแล้วต้องการคำอธิบายในงานศิลปะชิ้นใดๆ คุณสามารถกดหมายเลขของงานศิลปะชิ้นนั้นๆซึ่งปรากฏอยู่แถวชิ้นงานลงไปบนเครื่อง เทปเสียงอัตโนมัติจะเดินเครื่องอธิบายความเป็นมา ความหมายของชิ้นงานนั้นๆทันที

สำหรับผู้มาศึกษาต่อในดินแดนจิงโจ้ใหม่ๆ ถือว่าเป็นการฝึกทักษะการฟังที่ดีเยี่ยม

ครั้งหนึ่งใน Art Gallery นี่ละครับ ผมเห็นคุณครูพาเด็กนักเรียนอนุบาลตัวกระเปี๊ยกมาเป็นกลุ่มๆ เรียนรู้ ชื่มชมงานศิลปะ

โดยมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเป็นผู้นำพาเจ้าตัวเล็กๆ เดินไปตามชิ้นงานศิลปะ พร้อมพูดคุยซักถามเด็กอย่างมีศิลปะและชั้นเชิง

อาทิ “เป็ดในรูปนี้มีกี่ตัวจ๊ะเด็กๆ...”

“คนในรูปวาดนี้เขากำลังทำอะไรอยู่...”

“หนูคิดว่าผู้หญิงในภาพวาดนี้ จะพูดอะไรกับเทวดาบนฟ้าจ๊ะ...”

“รูปนี้ หนูคิดว่าเหมือนรูปอะไรเอ่ย”

จินตนาการของเด็กถูกกระตุ้นให้บรรเจิด เสียงเจ้าตัวน้อยตะโกนให้คำตอบกันวุ่นวาย

ช่างเป็นการเบาะเพาะหน่ออ่อนแห่งศิลปะ การเรียนรู้ที่ดียิ่ง

เห็นเช่นนี้แล้ว อดคิดไม่ได้ว่า กรุงเทพมหานครภายใต้การดูแลของผู้ว่าอภิรักษ์ จะมีวิสัยทัศน์สร้างพิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ หรือศูนย์ศิลปวัฒนธรรมของเมืองหลวง หรือเปล่าหนอ

ครับ อย่าให้อาย “ชูวิทย์” เขานะครับ

ขานั้นขนาดแพ้ยังประกาศสร้างสวนสาธารณะ ศูนย์กีฬาเลยนิ


.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 9:58:53 น.
Counter : 490 Pageviews.  

ว่างไหม...ไปเที่ยวตลาดนัดกัน

ปกติถ้าไปต่างบ้านต่างเมือง หากมีเวลาผมมักจะถือโอกาสเดินเที่ยวชมตลาด เนื่องเพราะตลาดในแต่ละแห่งล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัว

ตลาดเป็นสถานที่ผู้ขายพบปะผู้ซื้อ

คนมาเยือนเสวนาต่อรองกับคนท้องถิ่น

สินค้าในตลาดสะท้อนออกอย่างเด่นชัดถึงวัฒนธรรมเฉพาะแหล่ง


และด้วยเสน่ห์ของตลาดนี่ละครับ ทำให้เมื่อมาถึงออสเตรเลียใหม่ๆ ผมค่อนข้างหงุดหงิดใจ เพราะสถานที่จับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวันของคนออสซี่ส่วนใหญ่คือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต

ประเภท เย็นฉ่ำด้วยไอแอร์ฯ ผู้ซื้อเดินหยิบเลือกสินค้าจากชั้นวางตามใจชอบ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์

ครับ มันสะดวก สะอาด และสบายดี

แต่มันขาดเสน่ห์ของตลาด !

แม้ว่าพนักงานแคชเชียร์จะพูดทักทายกับผู้ซื้อ แต่มันเป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรม

ต่อมาเมื่อผมอยู่ในดินแดนจิงโจ้นานวันเข้า จึงเรียนรู้ว่า นอกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว คนออสซี่ยังมีตลาดนัดอยู่ตามแหล่งชุมชนต่างๆ

ตลาดนัดของคนออสซี่มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งเป็นตลาดสด ประเภทขายอาหารทะเล ขายผัก ผลไม้ ขายสินค้าของที่ระลึก ขายสินค้าแนวศิลปะ หรือแม้แต่ตลาดขายสินค้ามือสอง

ตลาดนัดเหล่านี้ มักจะเรียกรวมๆว่า Sunday Market

ส่วนใหญ่จะเปิดขายเฉพาะวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์

แต่มีตลาดบางแห่งเหมือนกันนะครับที่เปิดขายตลอดวันอย่าง Fish Market หรือเปิดขายตั้งแต่วันพฤหัสบดีจนถึงวันอาทิตย์อย่าง Paddy’s Market ที่ Sydney

วันนี้นินจา ราตรี ขออนุญาตพาคุณๆ ไปเที่ยวตลาดนัดบางแห่งใน Sydney กัน

เริ่มกันที่ตลาดขายปลีกและส่งอาหารทะเลแห่งใหญ่ใจกลางเมือง

“Fish Market”

ตลาดแห่งนี้ นอกจากจะเป็นเสมือนตลาดสดให้คุณๆ มาจับจ่ายซื้อกุ้ง หอย ปู ปลา ไปทำอาหารรับประทานกันที่บ้านแล้ว สำหรับผู้ที่อยากจะซึมซับบรรยากาศของท่าเรือและตลาด ตลาดแห่งนี้ยังมีพื้นที่บางส่วนให้นั่งหม่ำอาหารทะเลสดๆ ริมท่าเรือ

สนนราคาถูกกว่าไปนั่งทานตามภัตตาคารหรือร้าน Takeaway บางแห่งด้วยซ้ำ

แนะนำว่า ถ้าจะไปนั่งทานที่ท่าเรือ ควรจะไปก่อนเที่ยง เพื่อจะได้หาที่นั่งได้สะดวก เพราะหากคุณไปหลังเที่ยง มีหวังได้เล่นเก้าอี้ดนตรีแน่

ตลาดต่อไปคือ

“Paddy’s Market”

ตั้งอยู่แถบ China Town ไปมาสะดวก อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Central หัวลำโพงแห่งนครซิดนีย์

ตลาด Paddy ขายของที่ระลึกและสินค้าจิปาถะ ถ้าจะว่าไปก็เหมือนกันตลาดจตุจักรบ้านเราดีๆ นี่เอง

นอกจากนั้น Paddy’s Market ยังมีส่วนของตลาดสดผัก ผลไม้ อาหารทะเล อันเป็นเหมือนสวรรค์ของนักช็อปเบี้ยน้อยหอยน้อย โดยเฉพาะเหล่านักเรียนนักศึกษาต่างแดนที่ต้องซื้ออาหารมาทำทานเอง

เพราะในวันอาทิตย์ใกล้เวลาตลาดปิดประมาณ 5 โมงเย็น พวกผักผลไม้จะลดราคากระหน่ำ

แหะ..แหะ...แน่นอนครับว่า เมื่อของดีราคาถูก สิ่งที่ต้องแลกคือการเบียดเสียดยัดเยียดแย่งซื้อของกัน จ้าละหวั่น

ดังนั้น ซื้อของที่นี่โปรดระวังกระเป๋าสตางค์ให้ดีนะครับ

อ้อ...เวลาซื้อของ อย่าลืมดูตอนคนขายชั่งของให้ด้วยล่ะ เพราะคนขายแถวนี้เขามีเทคนิคพิเศษเพิ่มราคาสินค้าอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

หากคุณๆสนใจจะเลือกซื้อของแนวศิลปะ ผมแนะนำให้ไปเดินดู

The Rocks Market อยู่ใกล้ท่าเรือ Circular Quay

ที่นี่เปิดขายทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์

หรือจะไปเดินดูแถวตลาด Paddington ซึ่งเปิดขายทุกวันเสาร์

แต่ถ้าอยากจะเดินดูของมือสอง จำพวกสินค้าทั่วไป ยังมีตลาดนัดเช่นนี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นที่ Balmain, Glebe, Bondi beach, Kingsford ฯลฯ

นี่เฉพาะในเขตเมืองซิดนีย์นะครับ เมืองอื่นๆในออสเตรเลียล้วนมีตลาดนัดเช่นนี้อยู่เช่นกัน

ตลาดนัดมือสองนี่ละ เป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของถูก อีกทั้งยังเป็นแหล่งหาเงินสำหรับคนมีหัวทางช่าง

นักเรียนไทยหลายคนที่ผมรู้จัก จะตระเวนหาของใช้แล้ว ซึ่งเจ้าของทิ้งวางไว้ตามฟุตบาทหรือตามที่ทิ้งของ

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไฟฟ้าอย่างทีวี ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น ฯลฯ หรือเป็นเครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์อย่างโซฟา โต๊ะ ตู้ ฯลฯ

ถ้าชิ้นไหนยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เขาแค่ปัดฝุ่น ทาสีเสียใหม่ แต่ถ้าชิ้นไหนชำรุดเสียหาย พวกเขาจะซ่อมแซมจนใช้การได้ แล้วนำไปวางขายในตลาดนัดมือสอง

บางคนมีฝีมือด้านตัดเย็บและมีหัวทางศิลปะ พวกนี้จะเหมาซื้อกางเกงยีนส์เก่าๆ มาตัดเย็บใหม่เป็นกระเป๋ารูปทรงเก๋วางขายเรียกเงินในกระเป๋าออสซี่

หรือบางคนประดิษฐ์กรอบรูป ดอกไม้ผ้า จี้ สร้อย ต่างหู แนวอาร์ตๆ แบบนี้ถูกใจคนดาวน์อันเดอร์นักแล

ใครที่คิดจะมาเรียนต่อที่ออสเตรเลียแล้วอยากหารายได้ช่วยเหลือค่าเล่าเรียนจะลองฝึกฝนทักษะวิชาชีพเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ก็ได้นะครับ

ดีไม่ดี รายได้สูงกว่าทำงานตามร้านอาหารไทยเสียอีก

ครับ นั่นคือสินค้ามือสอง หรือสินค้าแนวอาร์ต แต่ในตลาดนัดโดยทั่วไปยังมีสินค้าไทย ซึ่งขายโดยคนไทย (แหะ...แหะ...บางครั้งเห็นฝรั่งมามั่วขายเหมือนกันครับ...ไม่รู้ว่าเป็นฝรั่งพเนจรแถวถนนข้าวสาร หรือฝรั่ง แฟนคนขายกันแน่)

สินค้าไทยยอดนิยมคือ

เครื่องเงิน

ประเภท ต่างหู แหวน สร้อยคอ เครื่องประดับจิปาถะนี่แหละครับขายดีนักแหละ

บางตลาดนัดผมเคยเจอคนไทยขายเครื่องเงินถึง 4-5 เจ้าทีเดียว

สอบถามดูจึงทราบว่า เหตุที่เครื่องประดับเงินเป็นสินค้ายอดฮิตของคนไทยในต่างแดน เนื่องจากขนแบกมาจากเมืองไทยได้ง่าย น้ำหนักไม่มาก ต้นทุนไม่สูง อีกทั้งยังขายได้เร็ว เนื่องจากเป็นที่นิยมของฝรั่งออสซี่

สินค้ายอดฮิตไม่แพ้เครื่องเงินคือ

กางแกงเล !

ใช่แล้วครับ กางเกงเลของชาวประมงไทยเรานี่แหละครับ ฝรั่งเขาฮิตนัก เรียกขานกันว่าชุด “Thai fisherman pants”

ราคาเมืองไทยตัวละไม่เกิน 200 บาท แต่พอข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ อย่างต่ำๆ ตัวละ 30 เหรียญล่ะครับ อยากรู้ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ให้เอา 30 คูณ

สินค้าอีกประเภทหนึ่งที่ทำเงินให้คนไทยไม่น้อยคือ เสื้อยืดสกรีนเป็นภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็น โค้ก แฟนต้า กระทิงแดง ฯลฯ

ฝรั่งที่นี่ใส่กันเกร่อ เข้าทำนอง “อ่านไม่ได้ แต่เท่ห์”

นัยว่า ลายเส้นของภาษาไทยสวยงาม อ่อนช้อยแปลกตาดี !

ครับ นอกจากตลาดนัดจะเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อหาสินค้าแล้ว เชื่อไหมว่าตลาดนัดยังสามารถเป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ดีสำหรับผู้อ่อนด้อยด้านภาษา

อย่างเจ้าจิ้น เพื่อนผมมันชอบไปตลาดนัดตลาดมือสองมาก ไปแทบทุกอาทิตย์ เขาบอกว่าไปเรียนพูดคุยภาษาอังกฤษ ตอนแรกผมยังงๆ แต่เมื่อตามไปดูจึงรู้แจ้ง

จิ้นจะแวะไปตามร้านขายของในตลาดนัด หยิบจับสินค้าแล้วพูดคุยถามไถ่กับคนขายว่าสินค้านั้นๆคืออะไร ใช้อย่างไร พูดโน้นคุยนี่จนอิ่มใจถึงย้ายร้านไปคุยกับร้านต่อไป โดยไม่ได้ซื้อสินค้าอะไรเลยสักชิ้น

นับว่าเป็นการฝึกทักษะด้านภาษาที่ประหยัดยิ่ง

อวดโอ่สรรพคุณตลาดนัดมายืดยาว

เอาละ...สุดสัปดาห์นี้คุณว่างไหม ไปเที่ยวตลาดนัดกันนะครับ

.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2547





 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2551 12:15:24 น.
Counter : 599 Pageviews.  

“หญิงฮอต” แห่งเมืองซิดนีย์

ล้อมวงเข้ามาใกล้ๆครับ วันนี้ นินจา ราตรี ขอพูดถึงสาวไทยฮอต แห่งเมืองซิดนีย์สักสอง สาม คน

แต่ช้าก่อนนะครับ ที่บอกว่าฮอตนี่ไม่ได้หมายถึง ประเภท ขาว สวย หมวย อึ๋ม หุ่นเซ็กซี่ ปานนางแบบแมกกาซีนอะไรเทือกนั้นนะครับ

หญิงฮอตที่ว่า หมายถึงเธอโด่งดัง เป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่คนไทยในซิดนีย์

โด่งดังด้วยน้ำใจ โด่งดังด้วยอัธยาศัยใจคอ

คนแรกที่อยากแนะนำคือ...

ป้าจุก

เธอจะมีชื่อเสียงเรียงนามจริงๆว่าอย่างไร ไม่มีใครจดจำกันได้

แต่คนไทยที่นี่ เรียกเธอกันอย่างคุ้นว่า ป้าจุก

ไม่ใช่เพราะชื่อเล่นเธอชื่อจุกอะไรหรอกนะครับ

แต่เป็นเพราะอาหารที่เธอขายให้กับหมู่คนไทยนั้น...เยอะมาก ขนาดกินกันจนจุกนั่นแหละ เลยเป็นที่มาของชื่อเล่นแกไปโดยปริยาย

ผมรู้จักป้าจุกครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นจำได้ว่า เพิ่งมาถึงซิดนีย์ใหม่ๆ เพื่อนฝูงนัดไปเปิดหูเปิดตาเดินเล่น เที่ยวชมเมืองในย่าน China Town

พอใกล้เที่ยง ท้องของแต่ละคนเริ่มส่งเสียงดังโครกคราก ลั่นสนั่น

เพื่อนผมชวนว่า “หิวกันอย่างนี้ ไปกินร้านป้าจุก ดีกว่า”

“ทำไมต้องป้าจุก” ผมสงสัย

“เออ เดี๋ยวรู้เอง” ว่าแล้วเพื่อนผมก็เดินนำหน้าตรงไปยังศูนย์อาหารแห่งหนึ่งในย่าน China Town

ตอนนั้น ผมถึงรู้ว่า ร้านป้าจุกคือร้านอาหารไทยเล็กๆร้านหนึ่ง ในศูนย์อาหารแห่งนั้น หน้าร้านป้าจุกมีรูปอาหารไทย จีน หลายชนิด ยั่วยวน เรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้เต้นพล่าน

ป้าจุก หญิงไทย เชื้อสายจีน วัยเฉียดเกษียณ แต่ดูแข็งแรง หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใสอยู่เสมอ

ป้าจุกมักจะทักทายลูกค้าอย่างสนิทสนม โดยเฉพาะเด็กนักเรียนไทย ป้าจุกจะพูดคุย เอ็นดูอย่างลูกหลาน

ไม่แปลกใจเลยครับ ที่ระยะหนึ่งหน้าร้านของแกจะมีรูปสติ๊กเกอร์เล็กๆของลูกค้า ติดอยู่เต็มไปหมด

นัยว่า เด็กนักเรียนไทยบางคนพอเรียนจบ ถึงกับขนเสื้อครุยมาถ่ายรูปคู่กับแกถึงหน้าร้านเลยทีเดียว

ความเป็นกันเอง และอัธยาศัยดีงามของป้าจุก ประกอบกับอาหารราคาย่อมเยา ทำให้ลูกค้าทั้งไทย และเทศติดอกติดใจ

เมื่อปีที่แล้ว ป้าจุกมีปัญหากับเจ้าของศูนย์อาหาร ทั้งเรื่องถูกบังคับให้ขึ้นราคาอาหาร และปัญหาเรื่องสัญญาเช่า ในที่สุดเธอตัดสินใจซื้อตึกใกล้เคียง ศูนย์อาหารเดิม ทำเป็นร้านอาหารเองเดี่ยวๆ ซะเลย

แน่นอนครับ ร้านนี้ตั้งชื่อว่า “ป้าจุก” ให้รู้กันไปเลยว่านี่เป็นร้านของแก ที่กระจกหน้าร้าน มีรูปของป้าจุก ใหญ่เด่นเป็นสัญลักษณ์เรียกลูกค้า

แม้ร้านจะใหญ่ขึ้นถึงสองชั้น แต่ลูกค้าก็เยอะตามไปด้วย

ถือได้ว่ารูปป้าจุกหน้าร้าน เป็นเสมือนนางกวักเรียกลูกค้าได้ผลชะงัดนัก

นั่นเป็นเพราะอัธยาศัยของแกนี่เอง

หญิงฮอต คนต่อไปก็มีอัธยาศัยเรียกลูกค้าไม่ยิ่งหย่อนกับป้าจุกครับ

เธอชื่อ เจ๊เชอรี่ แห่งร้านรพร (ตอนหลังเจ๊แกแยกออกจากร้านรพร มีร้านเป็นของตัวเองแล้วครับ)

ร้านรพรนี้เป็นร้านขายของชำร่วย ของที่ระลึก ในย่าน China Town ไม่ห่างไกลจากร้านป้าจุกมากนัก

นับว่าเป็นร้านยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย ร้านหนึ่ง

จุดเด่นของร้าน ไม่ใช่พวกครีมรกแกะ ยาบำรุง อะไรหรอกนะครับ เพราะของพวกนี้ร้านไหนๆในย่าน China Town ก็มีเหมือนกัน

แต่ที่มีไม่เหมือนก็คือ เจ๊เชอรี่ นั่นเอง

สาววัยสามสิบเศษ แม้หน้าตาจะไม่สวยเด่น แต่การเจรจาค้าขายมีเสน่ห์ดึงเงินจากลูกค้าได้ผลชะงัดนัก

เอาแค่คุณเดินเข้าไปในร้าน ถ้าเธอว่าง ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าอื่นอยู่ละก้อ เธอจะตรงเข้ามาพูดคุยกับคุณอย่างสนิทสนม เหมือนเป็นเพื่อนซี้จากชาติปางก่อน

“สวัสดีคะ ไม่ได้แวะมานานเลยนะคะ...คุณพี่ สบายดีนะคะ”

“น้องหน้าคุ้นๆนะ....”

“อันนี้พิเศษให้กับคนไทย ราคานี้อย่าไปบอกใครนะคะ....”

ครับ พิเศษจริงๆด้วยสิครับ ขอบอก...

ซื้อโน้น ลดนี่ ซื้อนี่ ลดนั่น แถมโน้นให้อีก

ยิ่งถ้าคุณพาเพื่อนฝูง ญาติมิตรสหายจากเมืองไทยไปซื้อด้วยละก็ คุณอย่าลืมบอกเจ๊เชอรี่แกละ คุณจะได้ของระลึกติดกระเป๋ากลับไป จนอยากจะพาเพื่อนฝูงคนอื่นให้แวะมาซื้อที่ร้านแกอีก

ยุทธวิธี การตลาดของเจ๊เชอรี่ เธอเยี่ยมยุทธ์ยิ่งนัก

สมกับเรียนจบปริญญาโทจากคณะดัง International communication แห่ง Macquarie University

ลูกค้าไฮโซจากเมืองไทยหลายต่อหลายคน เคลิ้มกับลมปากแกมานักต่อนักแล้วละครับ

ยิ่งพวกคุณหญิงคุณนาย ใหญ่โตคับเมืองสยาม มาเจอท่าไหว้อันอ่อนช้อยของเธอเข้า เท่านั้นแหละเรียบร้อย

อันที่จริงคนไทยที่มาเที่ยวซิดนีย์ พวกเขาก็ตั้งใจจะซื้อของที่ระลึกกลับไปฝากญาติมิตรที่เมืองไทยอยู่แล้ว และคงเดินดู สอบถามราคามาแทบทุกร้านใน China Town ราคาถูกแพงก็คงไม่ต่างกันมากนัก

แต่พอเข้ามาร้านรพร เจอเจ๊เชอรี่ คะ ขา อ่อนหวาน เจรจาพาทีเข้าหน่อย ไอ้ที่คิดคำนวณตั้งแต่แรกว่าร้านนี้เป๋าฮื้อถูกกว่าร้านนั้นสองเหรียญ ร้านโน้นครีมรกแกะถูกกว่าร้านนั้นเหรียญหนึ่ง เป็นอันลืมหมด

เรียบร้อยโรงเรียนเจ๊เชอรี่ไปครับ

หญิงฮอตอันดับต่อมา คือ

พี่โก๊ะ

ร้านของพี่โก๊ะบริการให้เช่าวีดีโอไทย อยู่ไม่ไกลจากย่าน Thai Town อยู่ตรงข้ามโรงละคร capital

ร้านวีดีโอเล็กๆของแก เป็นเสมือนศูนย์ข่าวย่อยๆของคนไทยในซิดนีย์

ร้านอาหารไหนขาดคน ต้องการพนักงาน ใครอยากได้งาน ใครมีปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์อยากหาคนซ่อม ใครอยากฝากของให้ใคร ล้วนสามารถฝากผ่านพี่โก๊ะได้

ความมีน้ำใจ กอปรกับร้านให้เช่าวีดีโอของแก ไม่ยัดเยียดสินค้าให้ลูกค้าต้องเครียดเหมือนร้านเจ๊ยัด แห่งPaddy Market แล้ว

ไม่แปลกใจเลยที่บางวัน จะเห็นแถวของลูกค้ายืนยาวเหยียด รอเช่า หรือคืนวีดีโอ

ครับ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย ของคนไทยในต่างแดน ที่โด่งดังด้วยน้ำจิต น้ำใจ เอื้ออาทร ค้าขายด้วยใจเป็นหลัก

เมืองของพวกคุณๆมีหญิงชายฮอทแบบนี้บ้างไหมครับ บอกเล่าผ่านคอลัมน์นี้ได้เลยนะครับ



.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2551 11:06:53 น.
Counter : 1152 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.