Group Blog
 
All Blogs
 

“คนแก่”เมืองจิงโจ้

วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องราวของ คนแก่เล็กๆ คนหนึ่งในสังคมออสเตรเลีย

เขาชื่อ Ben

Ben เป็นชายชรา ร่างผอมแห้ง สูงร่วม 2 เมตร เขามักเดินห่อตัวไปช้าๆ สลับกับการหยุดยืนหอบ ด้วยความเหนื่อยล้า

หากประเมินอายุด้วยสายตาแล้ว เขาน่าจะมีวัยร่วมแปดสิบเศษ แต่ผมมารู้ทีหลังว่า Ben มีอายุเพียงหกสิบปลายเท่านั้น

อาจจะเป็นเพราะการตรากตรำชีวิตมาอย่างโชกโชน กอปรกับปัญหาสุขภาพที่คุกคาม ทำให้ Ben ดูมีอายุเกินจริง

ผมรู้จักกับ Ben เพราะเขาพักอยู่ข้างห้องเพื่อนสนิทของผม ห้องพักของพวกเขา เป็นห้องพักราคาถูก เหมาะสำหรับอยู่เพียงคนเดียว เนื่องเพราะขนาดของห้องเล็กและแคบ

ผมมักจะแซวเพื่อนอยู่บ่อยๆว่า อยู่ในบ้านพักคนชรา เพราะห้องพักในตึกเดียวกัน ส่วนใหญ่จะมีแต่คนแก่อยู่อาศัย อีกทั้งคนดูแลตึกยังเป็นคนแก่อีกต่างหาก

Ben เป็นคนอัธยาศัยดี ชอบเข้ามาพูดคุยกับเพื่อนผม ส่วนหนึ่งคงเพราะเหงา อยากมีเพื่อนคุย อีกส่วนหนึ่งคงเพราะเมตตา สงสารเพื่อนผมที่พลัดบ้านเกิดเมืองนอนมาศึกษาหาความรู้ไกลถึงต่างแดน

เพื่อนผมชอบบอกว่า Ben ดูแลเขา เหมือนลูกหลานคนหนึ่ง

ทุกครั้งที่เพื่อนผมบินกลับเมืองไทย เขามักจะมีของฝากจากเมืองไทยมาให้ Ben เสมอ ดูเหมือน Ben จะดีอกดีใจ และอยากรู้เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างของเมืองไทย ดินแดนที่เขาไม่เคยย่ำกรายไปถึง

สำหรับครอบครัวของ Ben หรือครับ เขาเคยเล่าว่า มีลูกชาย กับลูกสาวอย่างละคน แต่ทุกคนต่างไปตามทางของตนเอง นานๆถึงจะโทรศัพท์ติดต่อมาสักครั้ง ส่วนภรรยาของเขาตายจากไปเมื่อสี่ปีก่อน

ชีวิตของ Ben ส่วนใหญ่จะขลุกอยู่แต่ในห้องพัก เปิดวิทยุ ดูทีวีไปตามเรื่องตามราว นานๆถึงจะเห็นออกไปข้างนอกซื้อของ จ่ายตลาด ทำกิจธุระสักครั้ง

จนกระทั่งเมื่อหลายคืนก่อน เพื่อนผมโทรศัพท์มาหาบอกว่า Ben ตายแล้ว

เขานอนตายในห้องพัก อย่างไม่มีใครรับรู้

เพื่อนเล่าว่า ตาแก่คนดูแลตึกมาเคาะห้องของเขาในตอนกลางดึก ถามว่า ตลอดทั้งวัน เห็น Ben หรือเปล่า เพื่อนบอกว่า ได้ยินแต่เสียงวิทยุในห้อง แต่ไม่เห็น Ben เพราะเขาไปเรียนมาทั้งวัน

ตาแก่คนดูแลตึกบอกว่า ไม่เห็น Ben มาตลอดทั้งวันเหมือนกัน เลยเป็นห่วง มาเคาะห้องก็ไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงวิทยุในห้อง

คนดูแลตึกยังบอกอีกว่า คนแก่ที่นี่ส่วนใหญ่ไม่มีใครดูแลเลยต้องช่วยเหลือดูแล เป็นห่วงกันเอง พูดแล้วก็ชวนเพื่อนผมไปเคาะห้องของ Ben ด้วยกันอีกครั้ง

เคาะอยู่นาน คนดูแลตึกจึงตัดสินใจไขกุญแจเข้าไปในห้องของ Ben พบเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง จึงเข้าไปจับตัวดู ก่อนจะให้เพื่อนผมลองไปจับตัว จับชีพจรอีกครั้ง เพื่อยืนยันสิ่งที่เขาคิด

ครับ Ben จากไปอย่างสงบ บนเตียงนอนของเขา

ยังนับว่าโชคดีนะครับ ที่ Ben พักอยู่ในห้องพักซึ่งคนวัยเดียวกันกับเขาช่วยเหลือดูแล เป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่กัน

ไม่เช่นนั้นแล้ว กว่าจะมีคนรู้ว่า Ben ตาย อาจจะผ่านไปอีกหลายวัน จนศพเริ่มเน่าเปื่อย บวมอืด ส่งกลิ่นฟ้องประจาน

คนแก่อยู่อย่างเปลี่ยวเหงาอย่าง Ben มีให้เห็นกันทั่วโลก โดยเฉพาะในสังคมของฝรั่ง ซึ่งเสพติดความเป็นปัจเจก และความมีอิสระเสรี

ทุกวันนี้เด็กหนุ่มสาวชาวออสซี่ เมื่อเริ่มเติบใหญ่มักจะออกจากบ้าน แยกไปสร้างฐานะ สร้างครอบครัวใหม่ ทิ้งพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าให้อยู่อาศัยกันเอง

ยกเว้นแต่ชาวออสซี่บางครอบครัวเท่านั้นซึ่งมีความผูกพันกันภายในครอบครัวมากเป็นพิเศษ หรือมีรากของครอบครัวใหญ่จากพื้นฐานวัฒนธรรมเดิมของพ่อแม่ เช่นมาจากพื้นเพวัฒนธรรมเอเชีย วัฒนธรรมกรีก อิตาเลี่ยน ฯลฯ นั่นแหละครับ ถึงจะเห็นว่าลูกเต้ายังอาศัยอยู่ร่วมในบ้านเดียวกัน หรือถึงแยกบ้านไปสร้างครอบครัวตนเองก็ไม่ห่างไกลจากบ้านของพ่อแม่มากนัก ยังแวะเวียนไปมาหาสู่ ดูแลอย่างใกล้ชิด

คนแก่ในแดนออสฯเอง ใช่ว่าทุกคนนะครับที่อยากให้ลูกหลานมาใกล้ชิด พัวพัน คนแก่จำนวนไม่น้อย อยากมีอิสระที่จะไปไหนมาไหน ทำโน่นทำนี่เอง คนแก่หลายคนปฏิเสธที่จะไปอยู่ร่วมกับลูกหลานด้วยซ้ำ เนื่องจากกลัวขาดความเป็นอิสระ พวกเขาพอใจจะเดินทางท่องเที่ยวไปยังดินแดนแปลกใหม่ต่างๆ พักผ่อนในยามบั้นปลายชีวิต

อย่างไรก็ตามมีคนแก่จำนวนหนึ่ง พอใจจะอยู่กันเองสองคนตายาย แต่พอตอนกลางวันจะแวะไปช่วยดูแลเลี้ยงดูหลานให้ขณะที่พ่อแม่ไปทำงาน

อันนี้ขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละคน แต่ละครอบครัวครับ

จะว่าไปแล้วสังคมออสซี่เองเขาเอื้อให้คนแก่สามารถอยู่ได้เอง ไม่ต้องพึ่งพาคนหนุ่มสาว พวกเขาสามารถอยู่ได้เองโดยไม่ถือว่าเป็นภาระของครอบครัว เนื่องจากรัฐจะมีเงินสนับสนุนช่วยเหลือ เพราะถือว่าคนแก่เหล่านี้คือคนเสียภาษีให้รัฐมามากแล้ว ในบั้นปลายชีวิตรัฐพร้อมสนับสนุน เกื้อหนุนช่วยเหลือทุกอย่างเป็นการตอบแทน

บัตรผู้อาวุโส สำหรับคนแก่ สามารถใช้ซื้อของลดราคาได้มากมาย แม้แต่ขึ้นรถเมล์ ดูหนัง ก็ได้ลดราคา

ในสังคมแดนจิงโจ้ เราจะเห็นคนเฒ่า คนแก่ เดินทางไปไหนมาไหนเอง เนื่องด้วยระบบขนส่งมวลชนของที่นี่สะดวกสบาย

อย่างรถเมล์ที่นี่เมื่อมีคนแก่ขึ้นรถ คนขับจะค่อยๆชะลอ และลดระดับความสูงของรถเมล์ลง พอให้คนแก่ก้าวขึ้นรถได้ไม่ยากเย็นนัก คนขับจะรอให้คนแก่เดินขึ้นไปนั่งบนรถให้เรียบร้อยก่อนถึงออกรถ ประเภทรีบออกรถกระชากจนคนแก่หกล้มหัวคะมำเหมือนสยามประเทศนั้น ผมยังไม่เคยเห็น

อย่างไรก็ตาม ผมมีเรื่องเตือนผู้เดินทางมาเหยียบแผ่นดินดาวน์อันเดอร์ใหม่ๆว่า หากคุณเห็นคนแก่หกล้มอย่าเพิ่งถลาเข้าไปช่วยเหลืออย่างใจบุญเหมือนเมืองไทยนะครับ ให้ดูหน้าดูหลังให้ดีๆเสียก่อน

เพราะมันเคยมีกรณีว่า ฝรั่งแก่หกล้ม คนไทยผู้เปี่ยมน้ำใจเห็นเข้าก็รีบถลาเข้าไปอุ้มให้ลุก แต่ปรากฏว่าโดนคนแก่คนนั้นด่าทอ กล่าวหาว่าไปผลักให้เขาหกล้ม กว่าจะแก้ข้อกล่าวหา เล่นเอาเหนื่อย ดีว่ามีฝรั่งคนอื่นสัญจรไปมาเห็นเข้า ถึงช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้ได้

คุยถึงเรื่องคนแก่ในแดนจิงโจ้แล้ว ผมขออนุญาตบอกเล่าเทรนด์ใหม่ของชายแก่ชาวออสซี่ขี้เหงา ซึ่งเป็นโสด ไม่ว่าจะเป็นเพราะเมียตาย หรือหย่าเมียว่า ตอนนี้เขาฮิตการเสาะหาหญิงเอเชียมาแต่งงานด้วย แน่นอนครับ หญิงไทยเราไม่เคยตกอันดับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

คนแก่เหล่านี้ต้องการทั้งเมีย ทั้งพยาบาล ทั้งเพื่อนในบั้นปลายชีวิต เพื่อนที่พูดกันแทบไม่รู้เรื่อง เนื่องจากพูดคุยกันคนละภาษา แต่สื่อกันด้วยภาษาธรรมชาติ ?1?

ด้านฝ่ายหญิง ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงเคยมีครอบครัวมาแล้วในบ้านเกิดเมืองนอน แต่ต้องการสร้างฐานะ ขุดทองในดินแดนแปลกใหม่ จึงยอมแต่งงานใช้ชีวิตกับคนคราวพ่อ คราวปู่

ครับ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ เทรนด์นี้มีอยู่จริงในสังคมจิงโจ้ คุณสามารถหาดูได้ในประกาศหาคู่ตามหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือดูตามประกาศของบริษัทจับคู่ทั้งหลายได้

นั่นเป็นโอกาสชีวิตของแต่ละคนครับ

.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2547




 

Create Date : 31 มกราคม 2551    
Last Update : 31 มกราคม 2551 18:38:00 น.
Counter : 525 Pageviews.  

เซ็กซ์ทัวร์บนถนนโลกีย์...Kings Cross

คำเตือน...เนื้อหา หรือข้อความบางส่วนในสัปดาห์นี้อาจกระทบกระเทือนต่อความรู้สึก และทัศนคติของท่าน โปรดใช้วิจารญาณในการอ่าน

หากอ่านคำเตือนแล้ว คุณๆ คิดว่าเนื้อหาในตอนนี้จะกระทบต่อต่อมศีลธรรมในใจ โปรดละเว้นในการอ่านนะครับ...อะแฮ้ม... เดี๋ยวจะหาว่า นินจา ราตรีไม่เตือน

เอาละครับ วันนี้กระผมจะขอพาคุณๆตะลุยราตรี ในย่านโลกีย์ขึ้นชื่อของซิดนีย์ ออสเตรเลีย

Kings Cross

ย่านนี้แหละครับ ที่จิ้งเขียว สมีผู้อื้อฉาวในอดีตมาระเริงกาม และถูกมัดด้วยหลักฐานเด็ด เนื่องจากเผลอรูดการ์ดบัตรเครดิตจ่ายค่าบริการ

ย้อนอดีตย่าน Kings Cross เป็นเพียงแหล่งที่พักอาศัยธรรมดาย่านหนึ่ง ไม่ใช่สถานโลกีย์เช่นทุกวันนี้

กลิ่นคาวบาปเริ่มโชยคลุ้งทั่วที่นี่ในช่วงสงครามเวียดนาม เมื่อทหารอเมริกันยกพลปักหลักอยู่ตรงท่าเรือ Woolloomooloo ของกองทัพเรือออสซี่ ติดกับย่าน Kings Cross

ตอนนั้น น้องนางจากทุกสารทิศพร้อมใจรวมตัวกันมาให้บริการในย่าน Kings Cross เพื่อต้อนรับเหล่าทหารจีไอ

ต่อมา แม้ว่าสงครามเวียดนามจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เหล่าคุณเธอก็ยังยึดหัวหาด Kings Cross เป็นออฟฟิศปฏิบัติกามกิจ

พูดได้ว่า จุดกำเนิดของ Kings Cross คล้ายคลึงกับแหล่งโลกีย์หลักๆของไทย อย่าง พัทยา หรือพัฒนพงษ์

แต่ถ้าพูดถึงชื่อเสียงลีลา ความแปลกพิสดารแล้วละก้อ แหะ...แหะ...พี่ไทยกินขาดครับ

กินขาดอย่างไรเราไปดูของเขากันครับ

Kings Cross ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขตใจกลางเมืองซิดนีย์ เดินทางไปมาสะดวก รถบัสผ่านหลายสาย ทั้งยังมีสถานีรถไฟเชื่อมมาถึงแหล่ง

เมื่อเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟ Kings Cross ซึ่งอยู่ใต้ดิน คุณๆสามารถรับรู้ได้ถึงความดิบเถื่อนของสถานที่ คล้ายกับเป็นการกล่าวคำต้อนรับสู่ถนนคนบาป

เมื่อก้าวพ้นสถานีรถไฟ คุณจะเห็นแสงสีจากดวงไฟนีออนหลากสีสัน ประดับอยู่สองข้างถนน บอกให้รู้ว่า คุณได้เดินทางมาถึงถนนโลกีย์แห่งซิดนีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ร้านขายบริการทางเพศของที่นี่ ส่วนใหญ่จะมีทางเข้าเล็กๆ ให้เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน หรือไม่ก็ต้องไต่บันไดลงไปชั้นใต้ดิน

หน้าร้านจะมีคนเชียร์แขกร่างยักษ์ในชุดสุภาพ มีบัตรติดอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาจะพูดชักชวนอย่างเรียบร้อย ไม่กรรโชก ขู่เข็ญ หรือตื๊อเหมือนคนเชียร์แขกในย่านพัฒนพงษ์ หรือพัทยา

คนเชียร์แขกพวกนี้ เมื่อเห็นว่าพวกเราเป็นชาวเอเชีย พวกเขาจะพูดเชิญชวนทั้งภาษาจีนแมนดาริน ภาษาญี่ปุ่น อย่างคล่องปาก นี่ถ้าเขารู้ว่าคนไทยมาเที่ยวย่านนี้เยอะ ไม่แน่นะครับ ต่อไปอาจจะมีฝรั่งคนเชียร์แขกพูดเชิญชวนด้วยภาษาไทยบ้างก็ได้

เอ...อย่างนี้จะน่าภูมิใจไหมเนี่ย...

ครับ แต่ก่อนคนเชียร์แขกในย่าน Kings Cross ไม่ได้เรียบร้อยเป็นระเบียบขนาดนี้หรอกนะครับ เขาเพิ่งจะมาปรับปรุงไม่นานนี้เอง เนื่องจากถูกร้องเรียนว่าไปก่อความระคายเคืองในหัวใจให้กับคนสัญจรไปมาซึ่งไม่ได้หวังจะมาเที่ยวหาความบันเทิงทางเพศรส

ดังนั้น ที่นี่จึงมีกฎให้คนเชียร์แขกแต่งกายสุภาพ ติดบัตรประจำตัว แสดงหมายเลขให้เห็นชัดเจน หากคนเชียร์แขกเบอร์ใดพูดข่มขู่ หลอกลวงนักท่องเที่ยว ถูกฟ้องร้องหมดทางทำมาหากินไปเลย

ถนนโลกีย์ย่าน Kings Cross จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ยาวเหยียดอะไรมากนัก เดินเล่นๆแค่ 10 – 15 นาทีก็ทั่ว เทียบไม่ได้กับถนนพัฒนพงษ์ หรือพัทยา ซึ่งมีทั้งโชว์ ทั้งบาร์เบียร์ ร้านอาหาร ทั้งแผงขายของระลึกขาย เรียกว่า แค่เดินดูของอย่างเดียวก็กินเวลาร่วมสองชั่วโมงแล้วละมั้ง

คุณๆที่หวังว่าจะมาเดินเล่นแถว Kings Cross แล้วจะเห็นน้องหนูออกมาเต้นโชว์เด้งดึ๋งแบบไทยเรา ขอบอกก่อนนะครับว่า หมดสิทธิ์ เพราะเขาห้ามให้มาเต้นโชว์บนริมฟุตบาท ถ้าอยากดูต้องจ่ายเงิน แล้วขึ้นไปดูในร้านครับ

อย่างไรก็ตาม บนฟุตบาทย่านนี้ คุณสามารถเห็นน้องหนูในชุดกระโปรงสั้นจู๋ ยืนดูดบุหรี่ รอแขกผู้หื่นกระหายเรียกหาไปใช้บริการ หากชายหนุ่มคนใดเดินผ่าน คุณเธอจะใช้สายตาและท่วงท่ากวักมือเรียกหาอย่างมีชั้นเชิงยิ่ง

แต่ในบางครั้ง พวกเธอไม่ต้องเสียเวลาเรียกหาลูกค้า เพราะจะมีรถยนต์แล่นเข้ามาจอดเทียบ จากนั้นการเจรจาต่อรองจะเริ่มเปิดฉากขึ้น ก่อนจะปิดการขายด้วยการก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วพากันหายลับไป

ที่นี่ นอกจากร้าน Sex Show หรือร้าน Sex Shop แล้ว ก็มีร้านขายของที่ระลึก ร้านบริการนวดแบบแผนจีน ผับ และที่พักแบบ Backpacker ซึ่งซ่อนตัวอยู่บนร้านค้า

แถว Kings Cross นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องเรื่องเซ็กซ์แล้ว ยังฉาวโฉ่ด้วยเรื่องยาเสพติด แค่ช่วงที่ผมมาถึงไม่กี่นาที เราก็เห็นการซื้อขายยาเสพติดบนถนนฟุตบาตอย่างอาจหาญ ชวนระทึกใจยิ่ง

ไหนๆ มาถึงถนนโลกีย์แล้ว เราแวะไปร้าน Sex Shop ก่อนดีกว่า

แสงไฟนีออนหน้าร้าน ดึงดูดให้เดินลงบันไดแวะเข้าไปเยี่ยมชม เพียงเดินลงบันไดมาไม่กี่ก้าว เสียงนิ้งหน่องดังลั่นร้าน บอกให้คนเฝ้าร้านรับรู้ว่ามีลูกค้า

สิ่งแรกที่สะดุดสายตาคือ อุปกรณ์ช่วยเพิ่มความบันเทิงทางเพศ ทั้งสำหรับหญิงและชาย ของพวกนี้วางขายโชว์อย่างเด่นชัด ทั้งตุ๊กตายาง ทั้งไวเบรเตอร์รูปทรงหลากหลาย กุญแจมือสวาท แส้หนังสำหรับผู้มีเพศรสแบบซาดิสม์ ฯลฯ

มุมด้านหนึ่งของร้านมีของเล่นที่ระลึกในเชิงทะลึ่งโปกฮามากมาย ไม่ว่าจะเป็นหลอดดูดน้ำรูปทรงอวัยวะเพศ พวงกุญแจทรงประหลาด ไพ่รูปกามสูตร ฯลฯ

เดินลึกเข้าด้านใน ม้วนวีดีโอโป๊ เรตเอ๊กซ์ นับร้อยวางขายเรียงราย ทั้งแบบของฝรั่ง เอเชีย หญิงชาย ชายชาย หญิงหญิง มีครบถ้วน นี่ยังไม่นับหนังสือโป๊อีกกองโต ซึ่งวางให้หยิบจับเลือกชมได้อย่างง่ายดาย

เลี้ยวเข้าซอกลึก มีห้องมืดซอยย่อยอยู่หลายห้อง นัยว่ามีไว้ให้หยอดเหรียญชมวีดีโอ

สอบถามคนขายสาวใหญ่ เธอบอกว่า วีดีโอยอดฮิตของที่นี่คือ วีดีโอสาวไทย พูดพลางหยิบม้วนวีดีโอออกมายื่นตรงหน้า หน้าปกเป็นรูปหญิงผิวดำคล้ำ 2 นาง สวมชฎาในลีลาร่วมเพศกับฝรั่ง ปกวีดีโอแนะนำสรรพคุณว่าคุณเธอว่าเป็นนางสวรรค์แห่งแดนไทย ?!?

เอาละครับ...แวะไปดูที่อื่นดีกว่า ลองไปดูสิว่า Sex Show ของออสซี่จะเป็นอย่างไร

เราเดินไปสอบถามราคาจากคนเชียร์แขก เมื่อรู้ราคาที่แน่นอน เขาพาเราเดินตรงขึ้นบันไดไปชั้นสองของร้าน หลังจากจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย เราเดินลึกเข้าไปด้านใน ปรับสายตากับความมืด เห็นเวทีเล็กๆ กำลังมีการแสดง

หน้าเวทีมีที่นั่งสำหรับดูโชว์อยู่ประมาณ ยี่สิบถึงสามสิบที่นั่ง คืนที่ผมไปดู มีคนนั่งชมการแสดงอยู่ก่อนหน้าประมาณสิบกว่าคน

โชว์บนเวทีนั้น บอกได้อย่างเดียวครับว่า ของพี่ไทยเหนือชั้นกว่าหลายขุม ของที่นี่มีแค่เต้นโยกไปย้ายมา ฉีกแข้งฉีกขา ตามเสียงเพลง ซึ่งกระหึ่มไปทั่วห้อง ก่อนจะปิดท้ายการโชว์ของแต่ละคนด้วยการปลดเสื้อชั้นใน โชว์ตูมเต้ามหึมา แค่นั้นครับ จบแล้ว

แต่ของไทยเรา มีทั้งโชว์ปิงปอง เป่าลูกดอก กลืนใบมีดโกน โอย...สารพัดจะสร้างสรรค์

ขนาดทีวีของออสซี่ยังเอามาออกอากาศ แบบว่า...อเมซิ่ง ไทยแลนด์เหลือเกิน...ฮึ่ม ! !

ระหว่างดูโชว์ จะมีน้องหนู ทั้งฝรั่งผมทอง เอเชียผมดำเดินไปมา ทักทายคนดู เชียร์ให้ซื้อเบียร์ ซื้อบริการทางเพศ หากใครสนใจสอบถามราคา ตกลงกันได้ก็จูงมือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง หลังเสร็จกิจลงมาดูโชว์ต่อ หรือกลับบ้านก็ตามใจ

ไม่มีเงินสดหรือ ไม่ต้องห่วงครับที่นี่เขารับบัตรเครดิต

ระหว่างผมนั่งดูโชว์อยู่ดีๆ เสียงดังขึ้นด้านหลัง ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแบบคุ้นหู

หันหลังกลับไปมอง เห็นหญิงสาวเอเชียแต่งหน้าเข้มจัด พูดเชิญชวนให้ไปหาความสุขด้วยกัน

ผมรีบบอกเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ครับ ขอบคุณ”

คุณเธอสะดุ้งเล็กน้อย พูดตอบด้วยภาษาไทยชัดเจน “อ้าว คนไทยหรือคะ นึกว่าคนจีน มาเที่ยวหรือคะ”

ทักทายกันเล็กน้อย เธอก็หลีกไปหาลูกค้าคนอื่นต่อ

ครับ ที่ Kings Cross หญิงไทยยังถือว่าเป็นสินค้าทางเพศที่ขายดี แทบทุกซ่อง ทุกสถานบริการจะมีหญิงไทยไว้คอยรองรับหนุ่มกลัดมันทั้งหลาย

และด้วยเป็นสินค้ายอดฮิตนี่เอง ทำให้หญิงไทยจำนวนไม่น้อยถูกล่อลวง และบังคับให้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าประเวณี ทาสบริการทางเพศเหล่านี้มักจะเป็นเด็กวัยรุ่นตอนปลาย หรือราว 20 ปีเศษ

ส่วนมากผู้หญิงเหล่านี้จะเดินทางเข้าออสเตรเลียโดยหนังสือเดินทางปลอม หรือไม่ก็ใช้วีซ่านักเรียน หรือวีซ่าท่องเที่ยว เมื่อเดินทางมาถึงมักจะถูกบังคับให้ทำงานขายตัว เพื่อใช้หนี้ให้กับนายหน้าที่พาพวกเธอมาที่นี่

อย่างล่าสุดนี้มีข่าวว่าหญิงไทยวัย 22 ปีถูกหลอกให้มาเป็นโสเภณี โดยถูกล่อลวงว่าจะให้มาทำงานเป็นหมอนวดแผนโบราณ พอมาถึงออสเตรเลียหญิงไทยคนนี้ถูกบังคับให้ขายตัวหาเงินใช้หนี้จำนวน 50,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณล้านห้าแสนบาท เธอต้องทนขายตัวอยู่นานถึง 2 ปีถึงสามารถหลบหนีออกมาได้

ครับ ผมได้แต่หวังว่า บนถนนสายโลกีย์แห่งนี้ จะไม่มีเหยื่อสาวจากไทยมาตกทุกข์ได้ยากเช่นที่ผ่านมาอีก




Kings Cross ยามค่ำคืน





คุณตัวหาลูกค้า บนฟุตบาต Kings Cross

.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2547




 

Create Date : 29 มกราคม 2551    
Last Update : 29 มกราคม 2551 14:06:49 น.
Counter : 4903 Pageviews.  

“ขอทาน” แห่งแดนจิงโจ้

ในชีวิตหนึ่งของคุณ มีสักกี่ครั้ง ที่รู้จัก พูดคุย สนทนากับคนขอทาน เร่ร่อน ไร้บ้าน

และมีสักกี่ครั้งครับ ที่รู้จัก คนขอทานในต่างแดน


ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง เขาเรียกขานชื่อตัวเองว่า “โทนี่”

โทนี่ เป็นฝรั่งออสซี่ วัย 50 ปลาย ผมเผ้า หนวดเครารกรุงรัง สวมเสื้อผ้าสกปรกดำมอม กลิ่นจากร่างโชยเหม็นมาแต่ไกล

เขา มีที่พำนักกึ่งถาวรอยู่ในซอกอับชื้น หน้าโบสถ์ใหญ่ เยื้องป้ายรถประจำทาง

ผมเห็นโทนี่เป็นประจำ เนื่องจากต้องขึ้นรถเมล์ตรงป้ายดังกล่าวทุกเช้าค่ำ เขามักจะนั่งๆนอนๆ พูดพล่าม กับตัวเองอยู่แถวนั้น นานๆครั้งผมถึงจะเห็นมีคนโยนเศษเงินใส่กล่องบริจาค ซึ่งวางสงบอยู่ตรงหน้าเขา

แรกๆ ผมไม่ได้สนใจอะไรในตัวโทนี่มากนัก ออกจะหวาดๆในทีท่าแปลกผิดปกติของเขาเสียด้วยซ้ำ

แต่อยู่มาคืนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นคืนฝนพรำ ผมเพิ่งกลับจากทำงานในร้านอาหารไทย เพราะความที่ลืมเอาร่มออกจากบ้าน พอลงรถเมล์ได้ก็รีบเดินจ้ำๆฝ่าฝน หวังให้ถึงที่พักโดยเร็วที่สุด

แต่เดินมาได้ไม่นานนัก ผมได้ยินเสียงตะโกนเรียกของใครคนหนึ่งอยู่ด้านหลัง พอหันกลับไปมอง เห็นโทนี่ยืนชูโทรศัพท์มือถือของผม แล้วชี้มายังผม บอกให้รู้ว่าผมทำโทรศัพท์ตก

หลังจากขอบคุณโทนี่แล้ว ผมถามเขาว่า ทานอะไรหรือยัง พอรู้ว่ายัง ผมจึงแบ่งอาหารที่เหลือเอามาจากร้านให้ไป

หลังจากวันนั้น ทุกคืนหลังทำงานในร้านอาหาร ผมจะเก็บอาหารมาเผื่อเขา และแวะทักทาย พูดคุยเล็กน้อย

บางคืนโทนี่จะบ่นให้ผมฟังเรื่องถูกวัยรุ่นมาขโมยเงินขอทานของเขา บางคืนเขาจะบ่นเรื่องชีวิตอันน่ารันทดของเขา

อย่างไรก็ตาม ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ผมไม่ได้เจอกับโทนี่ ตอนแรกผมเข้าใจไปเองว่าเขาคงไปเร่ร่อน หาที่อยู่ใหม่ ตามประสาคนจรจัด

แต่เมื่อครู่ ผมพูดคุย สอบถามกับเจ้าของร้านค้าของชำแถวบริเวณที่พำนักของโทนี่ จึงทราบว่า เขาตายแล้ว

โทนี่ถูกของแข็งฟาดกระหน่ำที่หัว และลำตัว

เขาถูกฆ่า เพราะคนร้ายต้องการเศษเงินขอทาน

พลันทราบข่าว ผมอดจะสะอึก อึ้ง สลดใจ กับโชคชะตาอันโหดร้ายของเขามิได้

ชีวิตของคนยากไร้ อดอยาก ช่างเหมือนกันไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของโลก

ไม่ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเรา หรือประเทศพัฒนาแล้ว อย่างออสเตรเลีย

คนอย่างโทนี่ ล้วนมีคุณค่า ราคาของชีวิตเพียงศูนย์


หลังทราบข่าวโศกนาฏกรรมของโทนี่ ผมลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ คนไร้บ้าน (Homeless) ในออสเตรเลียดู

พบว่า เหตุร้ายเช่นนี้เกิดเป็นประจำ และมักจะเกิดกับขอทานวัยสูงอายุ

บางรายถูกชกต่อย ทุบตี แต่เหยื่อบางรายถูกเผาสด

ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น อยู่ในสภาพมึนเมา มักจะก่อเหตุร้าย เพียงแค่ต้องการความสนุกสนาน หรือต้องการสร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิต แต่บางคนอาจจะต้องการเศษเงินเล็กน้อยไปซื้อยาเสพติด

จากตัวเลขสถิติ ออสเตรเลียมีคนขอทาน จรจัด ไร้บ้านทั้งหมดประมาณ 1 แสนคน

ในจำนวนนี้ มีเด็กวัยรุ่นหนีออกจากบ้านถึงร้อยละ 36

เด็กบางรายหนีออกจากบ้านเพราะปัญหาครอบครัวแตกแยก

บางรายหนีออกจากบ้านเพราะถูกทำร้าย ทารุณทางเพศ

พวกเขามักจะพักอยู่อาศัยตามเมืองใหญ่ หากินด้วยการขอเศษเงินจากผู้มีจิตศรัทธา แต่บางคนอาจจะหารายได้โดยการขโมยข้าวของ หรือแม้แต่ขายบริการทางเพศ

แต่มีบางคนเหมือนกันนะครับ ที่หารายได้ด้วยการเช็ดกระจกตามสี่แยกไฟแดงไฟเขียว

ช่างเหมือนกับเมืองไทยเสียนี่กระไร

ดีว่ายังไม่มีการขายหนังสือพิมพ์ หรือขายพวงมาลัย

เรียกว่า การหาเงินประเภทนี้ยังตามหลังพี่ไทย ว่างั้นเถอะ...

การเช็ดกระจกตามสี่แยก พวกนี้จะขอแลกกับเศษเงิน บางทีแค่บุหรี่มวนหนึ่งก็ชื่นใจเสียแล้ว

ส่วนการขอทานของคนออสซี่ จะว่าไปแล้วก็ยังไม่พัฒนาฝีมือสักเท่าไหร่

ไม่มีประเภทซ่อนแขน ซ่อนขา เอายาแดงราดตัว ราดขา

ไม่มีการอุ้มเด็กอ่อนมาทำตาละห้อย

ไม่มีการให้เด็กเล็กมาขายทิชชู่ พร้อมกระชากแขน กระชากขา ดึงมือดึงไม้จนกว่าจะได้เงิน

ไม่มีการโกนหัว ห่มเหลืองถือบาตร ปักหลักแจกซองขาว

ขอทานที่นี่ อุปกรณ์อย่างมากคือกระดาษหนึ่งแผ่น เขียนพรรณาความอดยาก หิวโหย พร้อมนั่งทำตาปริบๆ รอรับเศษเงิน

บางคนใจกล้าหน่อย จะเดินปะทะผู้คน เอ่ยปากขอเงินไปทั่ว

ส่วนใหญ่จะขอที 2 เหรียญ 5 เหรียญ

เศษเงิน 5 เซ็นต์ 10 เซ็นต์ บางคนหยิ่งไม่รับเสียอีกนี่...

ส่วนพวก “วณิพก” นั้น ผมไม่จัดอยู่ในกลุ่มขอทาน คนไร้บ้าน เพราะผมมองว่าพวกเขาคือ ศิลปิน คนขายเสียงเพลง ขายฝีมือการแสดงกายกรรม ฯลฯ ข้างถนน ซึ่งคุณๆจะพบเจอได้ตามสถานที่ท่องเที่ยว

พูดถึงความช่วยเหลือต่อกลุ่มคนไร้บ้าน ที่ออสเตรเลียมีมูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศลทำงานด้านนี้หลายแห่ง

บางแห่งทำอาหารแจกจ่ายให้กับคนไร้บ้านทุกวัน บางองค์กรมีที่พัก ที่ฝึกงานให้ด้วย

ด้านรัฐบาลออสซี่เองก็มีการให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือ หางานให้

แต่ตัวเลขคนไร้บ้าน ไม่ได้ลดน้อยถดถอยลงมากมาย

นี่เป็นมุมมืดอีกด้านของออสเตรเลีย

มุมที่หนังสือท่องเที่ยวไม่เปิดเผย


.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2547




 

Create Date : 25 มกราคม 2551    
Last Update : 25 มกราคม 2551 9:07:38 น.
Counter : 838 Pageviews.  

เตรียมตัวก่อนเรียนต่อออสฯ

หลังจากเขียนเรื่องเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ดินแดนจิงโจ้ไปหลายตอน คุณๆบางคนสอบถามเข้ามาว่า ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนขึ้นเครื่องเหินข้ามฟ้ามาที่นี่

เท่าที่สอบถาม พูดคุยกับเพื่อนฝูงเหล่านักเรียนนอกแดนออสฯ รวมทั้งจากประสบการณ์ของตนเอง กระผมพอจะประมวลได้ว่า

สิ่งที่คุณๆควรเตรียมตัวคือ

เตรียมกาย

เตรียมใจ

และ เตรียมทักษะ


มาคุยกันทีละประเด็นเลยนะครับ

เตรียมกาย คือ เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเรียน

อันนี้คงไม่ถึงขั้นเข้าโรงยิมฯ ฟิตซ้อมร่างกายให้ล่ำบึก แต่อย่างน้อยคุณๆน่าจะดูแล ตรวจเช็คร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง

ไม่ใช่เรียนไป เจ็บออดๆแอดๆไป อย่างนี้ก็ไม่ไหว

ครับ ถึงแม้ว่าก่อนจะทำวีซ่านักเรียนเพื่อขอเข้าประเทศออสเตรเลีย เขาจะบังคับให้คุณๆต้องไปโรงพยาบาลตรวจเช็คร่างกาย และกำหนดให้ทำประกันสุขภาพเอาไว้

แต่ประกันสุขภาพดังกล่าว ไม่ได้ครอบคลุมถึงค่ายารักษาโรค อีกทั้งไม่คลุมถึงเรื่องการทำฟัน และค่าทำแว่นสายตา

ซึ่งปกติแล้ว รายจ่ายประเภทนี้ มีราคาสูงจนน่าตกใจ

ดังนั้น หากคุณๆมีโรคประจำตัว ผมขอแนะนำให้ซื้อยารักษาโรคจากเมืองไทย พร้อมเตรียมใบรับรองแพทย์เขียนระบุสรรพคุณของยา ด้วยภาษาอังกฤษให้ชัดเจน จะได้ไม่มีปัญหาเวลาเคลมในตอนขาเข้าประเทศออสเตรเลีย

ส่วนคุณๆที่มีปัญหาเรื่องสายตา ควรทำแว่นสำรอง หรือทำคอนแท็กเลนซ์ มาจากเมืองไทยเลย

และก่อนเดินทางมาเรียนต่อ คุณๆควรไปหาทันตแพทย์ ตรวจเช็คปัญหาในช่องปากให้เรียบร้อย หากต้องขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน ควรทำให้เรียบร้อยก่อน อย่ารอให้เกิดปัญหาถึงแก้ไข

เพราะค่าทำฟันที่นี่ แพงมากๆ เพื่อนหลายคนมีปัญหาโรคฟัน ต้องตีตั๋วกลับไปรักษาที่เมืองไทย นัยว่าค่าทำฟันในออสเตรเลียแพงพอๆกับค่าตั๋วเครื่องบิน

สิ่งที่ควรเตรียมอย่างต่อไปคือ การเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมสำหรับการศึกษาเล่าเรียนในต่างแดน

โดยเฉพาะคุณๆ ผู้ไม่เคยห่างอกพ่อ แม่ ครอบครัว หรือคนรักมาก่อน


ทันทีที่คุณเริ่มลุยเดี่ยว ในดินแดนซึ่งผิดแผกแตกต่างออกไปจากแผ่นดินแม่ ความรู้สึกอย่างแรก คือ ความวิตก กังวล เครียด กับสิ่งแปลกใหม่นานับประการที่จะถั่งโถมเข้ามา

ไหนจะเรื่องสภาพภูมิอากาศ การกิน การอยู่ ภาษา ฯลฯ

แรกๆคุณอาจจะรู้สึกเหงาจับจิต คิดถึง พ่อ แม่ ครอบครัว คนรัก อยากกลับบ้านอยู่ตลอดเวลา

โรค Home sick เช่นนี้ ทำให้ต่อมน้ำตาของนักเรียนนอกจำนวนไม่น้อยต้องทำงานหนัก

แต่มันจะเป็นแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นละครับ เชื่อผมเถอะ

ผ่านไปสักระยะหนึ่ง สภาพจิตใจของคุณจะปรับตัวดีขึ้น ถึงเวลานั้น ดีไม่ดีคุณจะเหมือน น้องเอ เด็กสาววัยแรกรุ่น ผู้ซึ่งเพิ่งจากอกพ่อแม่มาเรียนต่อ

เธอร้องห่มร้องไห้ ตั้งแต่เครื่องบินยังไม่เหินฟ้าขึ้นจากสนามบินดอนเมืองเสียด้วยซ้ำ ผมจำได้ว่าช่วงสองสามอาทิตย์แรกที่น้องเอมาถึงดินแดนดาวน์อันเดอร์ เธอซึมเศร้า ร้องห่มร้องไห้จนตาบวมแทบทุกวัน บ่นอยากกลับบ้านแทบทุกวัน

แต่พอผ่านไปไม่ถึงเดือน ทุกอย่างเริ่มลงตัว เธอเริ่มเฮฮา ร่าเริงตามวัย

ล่าสุด พ่อแม่ของน้องเอถึงกับต้องโทรเรียกตัวให้เธอกลับเมืองไทย แต่เธอปฏิเสธ นัยว่ายังสนุกกับชีวิตเด็กนอก

เอาละครับ มาถึงเรื่องการเตรียมทักษะ

อย่างแรกคือ ทักษะด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งทักษะด้านนี้ผมคงไม่ลงรายละเอียด เพราะเคยเขียนบอกเล่าไปแล้ว หากคุณๆสนใจคลิกหาอ่านได้จากบทความเก่าๆ

ทักษะต่อไปที่ควรฝึกฝน เตรียมตัวไว้ก่อนขึ้นเครื่องบินคือ ทักษะในด้านการทำอาหาร

ไม่จำเป็นต้องทำให้เก่งเป็นกุ๊กมือทอง หรือเป็นเชฟมืออาชีพหรอกครับ

เอาแค่ทำอาหารโปรดของคุณให้เข้าขั้น หรือเทียบเคียงรสมือแม่ ให้ได้เป็นพอ

หรือไม่ก็ควรหัดทักษะอาหารพื้นฐานประเภท ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัด ไข่เจียว ไข่ตุ๋น ฯลฯ เอาไว้

เพราะเมื่อมาอยู่ต่างแดน แม้ว่าการหาซื้ออาหารไทย รสถูกปากจะหาได้ไม่ยากนักในยุคสมัยนี้ แต่ทุกอย่างคือเงินค่าใช้จ่ายที่หลุดออกจากกระเป๋าไป

ทำกินเอง อย่างไรก็ประหยัดกว่าเยอะ

ดังนั้น หากมีเวลาก่อนจากอกพ่อแม่ ผมแนะนำให้คุณๆเข้าครัวช่วยหยิบจับ เรียนรู้ ฝึกฝนทำอาหารให้เป็นไว้จะดีกว่า

และหากกระเป๋าเดินทางของคุณยังพอยัดหนังสือหนังหาได้บ้าง อย่าลืมหาหนังสือคู่มือทำอาหารติดกระเป๋ามาด้วย เผื่อวันดีคืนดี คุณอยากกินอาหารอะไรจะได้ลงมือได้ด้วยตนเอง

ทักษะด้านต่อไปคือ ทักษะการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น

อันนี้สำคัญนะครับ เพราะนักเรียนนอกบางคน เคยชินกับการมีนังแจ๋ว คอยรับใช้ หรือมีพ่อแม่มาคอยทำโน่น ทำนี่ให้

แต่เมื่อมาเรียนต่อเมืองนอก เมืองนา คุณต้องทำเองแทบทุกอย่างทั้ง ซักผ้า รีดผ้า หุงข้าว ทำความสะอาดบ้าน

หัดทำให้เป็นไว้ก่อน ดีที่สุด

ยิ่งถ้าคุณต้องมาอยู่แชร์บ้าน หรือแชร์ห้องพักร่วมกับคนอื่น คุณยิ่งต้องเรียนรู้ว่า อะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ

นิสัยบางอย่างที่เคยปฏิบัติที่บ้าน อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้อง เหมาะสมกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น

ประเภท กินข้าวปลาอาหารแล้วทิ้งเรี่ยราด เข้าห้องน้ำแล้วไม่กดชักโครก คุยโทรศัพท์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ตยาวนานนับชั่วโมงๆ ดูทีวี ฟังวิทยุ เสียงดังสะท้านห้อง ฯลฯ

นิสัยเหล่านี้ ควรปรับปรุงครับ...ควรปรับปรุง !

ไม่เช่นนั้น คุณพ่อ คุณแม่อยู่เมืองไทย อาจได้นอนสะดุ้ง เพราะมีคนพูดถึง

เดี๋ยวจะหาว่า นินจา ราตรี ไม่เตือนไม่ได้นะครับทั่น


.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2547




 

Create Date : 24 มกราคม 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2551 13:04:11 น.
Counter : 565 Pageviews.  

คำเตือน...อยู่แดนออสฯใช่ปลอดภัย

จำได้ว่าสมัยผมเดินทางมาถึงดินแดนจิงโจ้...ออสเตรเลียใหม่ๆ ค่อนข้างแปลกตา ตื่นใจกับสภาพบ้านเมืองของเขา

เนื่องด้วยบ้านเรือนของคนออสซี่ส่วนใหญ่จะมีเพียงรั้วเตี้ยๆ สูงประมาณหมาเขย่งก้าวกระโดดก็พ้น

รั้วบ้านสูงเท่านี้คงไม่สามารถกีดขวาง ป้องกันโจรผู้ร้ายใดๆ อย่างมากคงมีไว้เพื่อบ่งชี้อาณาบริเวณบ้านมากกว่า

นี่ช่างแตกต่างจากแผ่นดินไทยที่ผมเพิ่งจากมา บ้านเรือนของเรา โดยเฉพาะในเขตเมืองหลวงดูจะมีปราการป้องกันโจรขโมยจนคล้ายกับอยู่อาศัยในคุกก็ไม่ปาน

ผมเลยเข้าใจไปเองว่า ดินแดนออสเตรเลียคงไม่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมเหมือนเมืองไทย อยู่ที่นี่คงมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นแน่แท้

แต่หลายๆปีผ่านไป ผมได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่คิดเมื่อแรกนั้น ผิดถนัด !

ออสเตรเลีย ไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทย หรือเมืองอื่นๆของโลก สวัสดิภาพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินยังเป็นปัญหาหลักของประเทศ

วันนี้ กระผม...นายนินจา ราตรี จึงขอประมวลประสบการณ์ทั้งที่พบเจอด้วยตนเอง รวมถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้ รับฟังมาเล่าต่อๆให้คุณๆได้รับทราบ

ด้วยหวังจะเป็นอุทาหรณ์ ข้อเตือนใจให้กับผู้ซึ่งเตรียมเดินทางมาท่องเที่ยว หรือมาศึกษาต่อ รวมทั้งพวกที่มาใช้ชีวิตในดินแดนดาวน์อันเดอร์แห่งนี้

เรื่องแรกที่อยากบอกกล่าวคือ

อยู่ที่นี่ คุณๆ ไม่จำเป็นต้องสะสม สวมใส่เครื่องประดับ หรือใช้ของหรูหรา ราคาแพง

ประเภท สายสร้อยทองคำเส้นโต แหวนเพชรเม็ดเขื่อง หรือแม้แต่บรรดานาฬิกายี่ห้อหรู กระเป๋ายี่ห้อแพง

เหล่านี้ควรเก็บไว้ที่เมืองไทยครับ

สังคมออสเตรเลีย ผู้คนเขาไม่สนใจหรอกว่าคุณจะใส่ของแพง หรือใช้ของเบรนเนม ของนอกกายพวกนี้มันไม่ทำให้คุณดูดี หรือมีคุณค่า หรือได้รับการยกย่องมากขึ้นกว่าเดิมหรอกครับ

ดีไม่ดีของสูญหายจะยิ่งเจ็บใจกว่าเดิม

แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องมีของมีค่า ราคาแพง การเก็บของให้มิดชิด ปลอดภัย ยังเป็นเรื่องจำเป็น

เพราะบ้านเรือน หรือห้องพักของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะอ่อนด้อยเรื่องมาตรการป้องกันความปลอดภัย

ยิ่งถ้าคุณๆมาแชร์บ้านหรือห้องพักร่วมกับคนอื่น ยิ่งต้องระวังให้ดี เพราะห้องพักส่วนตัวของคุณมักจะไม่มีกุญแจล็อค

นั่นหมายถึงการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าออกได้อย่างเสรี

เพื่อนของผมหลายคนเคยมีประสบการณ์ถูกโจรยกเค้า ค้นห้องพัก หยิบฉวยข้าวของราคาแพงไปครอบครอง

อย่างกรณีของเจ้าแนท เขาแชร์บ้านพักอยู่ร่วมกับคนไทยอีก 4-5 คน ทุกคนต่างทำงานในร้านอาหารไทย แม้ว่าจะเป็นคนละร้าน แต่ทุกเย็น บ้านพักของแนทมักจะไม่มีคนอยู่ เพราะทุกคนต่างออกไปทำงาน

ค่ำคืนหนึ่ง เมื่อทุกคนกลับมาบ้านหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากงาน สิ่งที่พบเจอคือ ประตูบ้านถูกงัด ห้องพักทุกห้องถูกค้นกระจุยกระจาย ข้าวของมีค่าถูกยกเค้าเกลี้ยงบ้าน

หรืออย่างกรณีของเจ้าจอม เขาแชร์ห้องพักอยู่ร่วมกับเพื่อนฝรั่งอีกหลายคน วันนั้น เป็นหน้าร้อน จอมเปิดประตูห้องทิ้งเอาไว้ แล้วนอนเล่นอยู่ตรงห้องโถงรับลมเย็นที่โชยผ่านประตู

จอมเล่าว่า ขณะเคลิ้มหลับ ได้ยินเสียงดังกุกกัก จึงลืมตาตื่น ลุกขึ้นมาเห็นฝรั่งวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงแล็บท็อปคอมพิวเตอร์ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทานอาหารกลางห้อง

ตอนแรกเขาเข้าใจว่าฝรั่งคนนี้คงเป็นเพื่อนของคนในบ้าน จึงพูดทักทายไปตามปกติ แต่วัยรุ่นคนนั้นกลับตกใจวิ่งหนีออกประตูไปทันที

ครับ คราวนี้ยังโชคดีที่ไม่สูญของ แต่ใครจะรับประกันละครับว่าครั้งต่อไปจะโชคดีเช่นนี้อีก

ทางที่พอจะป้องกันได้สำหรับการถูกโจรกรรม ยกเค้า นอกจากความไม่ประมาทแล้ว คือพยายามหลีกเลี่ยงการพักอาศัยในแหล่งอาชญากรรม ซึ่งคุณๆสามารถสอบถามได้จากเพื่อนฝูงซึ่งเคยอาศัยอยู่ในย่านนั้นๆ

นอกจากบ้านพักอาศัยจะเป็นแหล่งที่อาจจะถูกโจรกรรมแล้ว ร้านค้าต่างๆก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของโจรออสซี่ ซึ่งนับวันจะยิ่งชุกชุมมากขึ้น

ร้านอาหารไทยแทบทุกแห่งล้วนมีประสบการณ์ถูกงัดแงะประตูขโมยของมาแล้ว หลายแห่งถึงขนาดต้องวางลิ้นชักแคชเชียร์เงินที่ว่างเปล่า โชว์ไว้หน้าร้าน ให้โจรเห็นชัดๆว่า “อย่างัดเข้ามาเลย ป่วยการเปล่าๆ” บางร้านถึงขนาดเขียนป้ายประกาศให้เห็นกันชัดเจนว่า “No Cash”

คุณๆที่ทำงานในร้านอาหารไทยก็ต้องระวังนะครับ อย่าเผลอแขวน หรือวางกระเป๋าไว้ให้เตะตามากนัก เคยมีหลายครั้งที่โจรแฝงตัวเป็นลูกค้าเดินตรงเข้ามาถึงที่เก็บของหยิบฉวยกระเป๋าเงินไปหน้าตาเฉย

ส่วนคุณๆที่เป็นนักเรียน นักศึกษา เข้าห้องสมุด หรือในชั้นเรียนก็อย่าเผลอเรอวางกระเป๋าทิ้งเอาไว้ เพราะสถานที่เหล่านี้ เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่โจรนิยมลักขโมยของ

เช่นเดียวกันครับ ตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ หากคุณมีกระเป๋า โทรศัพท์มือถือ กระเป๋ากล้อง อย่าประมาทวางไว้โดยไม่สนใจ เดี๋ยวข้าวของจะเปลี่ยนเจ้าของโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่ควรระวังต่อไปคือ พยายามอย่าสัญจรในที่เปลี่ยว ยามวิกาล

คนไทยหลายคนเคยถูกจี้ ถูกขู่กรรโชกเงินทอง รวมทั้งถูกทำร้ายร่างกาย

อย่างกรณีของเจ้าเตย เขาอุตส่าห์เก็บเนื้อถนอมตัวอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงวันสุดท้าย ก่อนกลับเมืองไทยพร้อมใบปริญญา คืนนั้นเขาเข้าเมืองไปฉลองอำลากับเพื่อนๆ จนถึงตีสองเศษ หลังจากแยกจากเพื่อนฝูง เตยเมามาก เขาบอกว่าเดินอยู่ดีๆก็หมดสติ ตื่นมาตอนเช้ามีตำรวจมาปลุก ถึงรู้ว่าถูกตีหัวลอกคราบเสียเกลี้ยงกระเป๋า

โชคดีว่าวันนั้นเตยไม่ได้พกพาสปอร์ต และไม่ได้เอาตั๋วเครื่องบินติดตัวไป ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้กลับเมืองไทยตามกำหนดแน่

หรืออย่างกรณีของแจ็ค ขณะเดินเล่นกับแฟนยามค่ำคืน มีฝรั่งร่างยักษ์สามสี่คนเดินตรงเข้ามากอดคอเขาพร้อมเอาขวดเบียร์ซึ่งตีแตกเป็นปากฉลามมาขู่ให้แจ็คส่งกระเป๋าเงินให้แต่โดยดี

แต่ไม่ใช่เพียงแค่ยามวิกาลนะครับที่ควรระมัดวัง ยามปกติคุณๆก็ไม่ควรเผลอเรอ โดยเฉพาะคุณผู้หญิง กระเป๋าถือประเภทห้อยแขนยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะมีหลายคนถูกกระชากกระเป๋าวิ่งหนีตอนกลางวันแสกๆนี่แหละ

ครับ พูดถึงภัยของคุณผู้หญิง อดจะกล่าวเตือนเรื่องภัยข่มขืน หรือเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศไม่ได้

ถึงแม้ภัยข่มขืนในออสเตรเลียจะไม่มีมากเท่าเมืองไทย แต่ไม่ควรประมาทนะครับ โดยเฉพาะกับเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด และที่สำคัญเจ้าของร้านอาหารไทยที่คุณๆทำงานกันนี่แหละ ตัวสำคัญนัก

มีเรื่องราวเล่าขานกันมาก เรื่องนักศึกษาสาวไทยบางคนที่ถูกเจ้าของร้านใจโฉด หลอกล่อให้ใจอ่อน ตกเป็นภรรยาน้อย บางคนโชคร้ายถูกข่มขืน ถูกลงแขก มิหน่ำซ้ำยังถูกป่าวประกาศประจานให้เสียอีก

ภัยอาชญากรรมที่กระผมเล่าในวันนี้ แม้ว่าจะมีสถิติ และความรุนแรงน้อยกว่าเมืองไทย หรืออีกหลายแห่งในโลก แต่คุณๆคงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือคนในครอบครัวไม่ใช่หรือครับ

อ๋อ...สำหรับตำรวจหรือครับ

อึม...อยากจะบอกตรงๆว่า อย่าหวังพึ่งเลย

เพราะตำรวจทุกแห่งในโลก ล้วนมีคุณภาพเดียวกัน

คุณภาพแบบตำรวจไทย !?!

ดังนั้น กรุณาช่วยตัวเอง อย่าอยู่ในความประมาท และพึงหลีกเลี่ยงแหล่งอโคจรทั้งหลาย

ขอให้ทุกท่าน อยู่รอด ปลอดภัย ในดินแดนจิงโจ้แห่งนี้นะครับ


.......................................................................................................

บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2547




 

Create Date : 22 มกราคม 2551    
Last Update : 22 มกราคม 2551 9:23:27 น.
Counter : 662 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.