เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่ “ครอสทู รีสอร์ท” ประจวบคีรีขันธ์


ห้องพักพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว


การเลือกโรงแรมหรือรีสอร์ทในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนและผ่อนคลายในแต่ละทริป หลายคนคงต้องการห้องพักส่วนตัวพร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน และมีบรรยากาศที่กลมกลืนกับธรรมชาติ หากใครกำลังมองหาสถานที่พักในแบบที่กล่าวมานั้น “ครอสทู รีสอร์ท กุยบุรี” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในอุดมคติที่พักแบบส่วนตัวและรายล้อมด้วยธรรมชาติ

ครอสทู รีสอร์ทส์ (X2 Resorts) ตั้งอยู่ที่ ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ริมชายทะเลประจวบฯ รีสอร์ทแห่งนี้เน้นการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งตัวสถาปัตยกรรมถูกออกแบบให้มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติที่มีอยู่มาแต่ดั้งเดิม อีกทั้งทางรีสอร์ทยังได้เก็บรักษาต้นไม้ที่มีอยู่ก่อนการสร้างรีสอร์ทไว้ จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือผนังห้องพักซึ่งทำมาจากหินภูเขา โดยมีแรงบันดาลใจจากเขื่อนหินกั้นนํ้าในแถบจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้เอง

       ครอสทู รีสอร์ทประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 23 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักแบบ "ดีลักซ์การ์เด้นวิลล่า" (Deluxe Garden Villa) จำนวน 4 ห้อง ห้องพักแบบ "ดีลักซ์พูลวิลล่า" (Deluxe Pool Villa) จำนวน 15 ห้อง ห้องพักแบบ "ดีลักซ์โอเชี่ยนฟร้อนพูลวิลล่า" (Deluxe Oceanfront Pool Villa) จำนวน 2 ห้อง ความพิเศษอยู่ที่บรรยากาศหน้าหาดที่สามารถมองเห็นทะเลประจวบฯ ได้อย่างชัดเจน ห้องพักแบบ "ลักชัวรี่พูลวิลล่าสวีท" (Luxury Pool Villa Suite) 1 เป็นห้องพักที่มีห้องนอนทั้งชั้นบนและชั้นล่าง และห้อง "รอยัลวิลล่า" (Royal Villa) วิลล่าหลังใหญ่ 2 ชั้นซึ่งมีห้องนอนทั้งสองชั้น พร้อมอาคารที่แยกออกมาเป็นห้องนั่งเล่นและห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหารครบครันส่วนด้านบนเป็นระเบียงกว้างรับลมทะเล


“ผนังหิน” ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น


       โดยในทุกๆ ห้องพักนั้นจะมีสระว่ายนํ้าส่วนตัวขนาด 20 ตารางเมตร และพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวยต่างๆ อาทิ โทรทัศน์จอแบน เครื่องเล่นซีดีและดีวีดี หนังสือนิตยสาร พร้อมมีมินิบาร์พร้อมตู้เย็นและอุปกรณ์ชงชาและกาแฟ อีกทั้งยังสามารถใช้อินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือหากใครต้องการต้องการว่ายน้ำหรืออยากกินลมชมวิวภายนอกห้องพักก็สามารถทำได้ เพราะทางครอสทู รีสอร์ทมีสระว่ายน้ำที่ตั้งอยู่ใจกลางรีสอร์ท เป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เปิดโล่งสามารถเห็นวิวทะเล เพียงเดินลงบันไดเพียงไม่กี่ก้าวก็สัมผัสชายทะเลได้อย่างง่ายดายพร้อมชมวิวสวยๆ ของทะเลประจวบฯ

       ครอสทูรีสอร์ท ยังมีร้านอาหาร “ฟอร์ค” (4K Restaurant and Bar) ให้บริการอาหารฟิวชั่นทั้งแบบไทยและยุโรป ร้านอาหารตั้งอยู่ริมหาดโดยให้บรรยากาศสบายแก่ผู้ที่ได้มาใช้บริการ ชั้นบนของทางร้านของทางร้านอาหารเป็นดาดฟ้าโล่งเหมาะสำหรับใช้บริการเป็นสถานที่จัดดินเนอร์หรือฉลองโอกาสพิเศษ นอกจากผู้เข้าพักยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วยอาทิ เล่นเปตอง ปั่นจักรยาน เล่นเรือใบ ตกปลา โยคะสงบจิตใจหรือผ่อนคลายด้วยการทำสปาทรีตเม้นต์ที่ครอสทูสปา

       ครอสทู รีสอร์ท กุยบุรี จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่กำลังมองหาความเป็นส่วนตัวที่ลงตัวกับธรรมชาติ และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก หากได้มีโอกาสมาพักแล้วก็คงไม่มีผิดหวังกลับไปอย่างแน่นอน

*****************************************************************************************
ครอสทู รีสอร์ท กุยยุรี (X2 Kui Buri) ตั้งที่อยู่ : 52 หมู่ 13, ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 77210
สอบถามข้อมูล โทร. 0-3260-1412, 08-4466-5553 แฟกซ์ : 0-3260-3429 อีเมล์ : book.kb@X2resorts.com เว็บไซต์ : //www.X2resorts.com หรือ //www.facebook.com/X2resort


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088825




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2556   
Last Update : 5 สิงหาคม 2556 21:04:25 น.   
Counter : 1053 Pageviews.  

มหัศจรรย์ “ไม้กลายเป็นหิน” ของดีถิ่นอีสาน


       “ไม้กลายเป็นหินอัญมณี” อายุประมาณ 800,000 ปี

       “ภาคอีสาน” ถือเป็นดินแดนที่มีการขุดค้นพบซากสัตว์ในสมัยโบราณที่มีอายุนับร้อยล้านปีเป็นจำนวนมาก จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ถิ่นไดโนเสาร์” ไม่เพียงแต่ซากสัตว์เท่านั้น ที่นี่ยังมีการค้นพบซากพืชที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินนับร้อยล้านปีอย่าง “ไม้กลายเป็นหิน”

       และที่จังหวัดนครราชสีมา ก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่พบไม้กลายเป็นหินอายุในพื้นที่เกือบ 20 อำเภอ และไม่เพียงแต่ไม้กลายเป็นหินเท่านั้น แต่ที่นี่ยังพบฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์และกระดูกไดโนเสาร์เป็นจำนวนมาก จนทำให้มีการก่อตั้ง “พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ขึ้น

       พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินฯ ตั้งอยู่ที่บ้านโกรกเดือนห้า อ.เมือง จ.นครราชสีมา หรือเมืองโคราช ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเอาเรื่องราวของ "ไม้กลายเป็นหิน" ไว้ให้ศึกษาอย่างเต็มรูปแบบเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และเป็น 1 ใน 7 ของโลก อีกด้วย


       “หุ่นจำลองและโครงกระดูกของช้างสี่งาขนาดเท่าของจริง”

       โดยที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน เริ่มต้นกันที่ส่วนแรกกับ "พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน" ในส่วนนี้ได้รวบรวมเอาไม้กลายเป็นหินมากกว่าร้อยชิ้น อายุประมาณ 8 แสน - 320 ล้านปี มาจัดแสดงไว้ ทั้งบริเวณรอบๆ อาคารพิพิธภัณฑ์ และภายในอาคารและจุดที่เป็นไฮไลต์ในส่วนนี้คือ “ไม้กลายเป็นหินอัญมณี” พบที่บ้านมาบเอื้อง อ.เมือง จ.นครราชสีมา อายุประมาณ 800,000 ปี ความยาวประมาณ 2 เมตร มีลักษณะเป็นหินเนื้อไม้ที่กลายเป็นผลึกคล้ายอัญมณีตลอดทั่วทั้งลำต้น

       ส่วนที่สองคือ "พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์" ซึ่งจัดแสดงฟอสซิลช้างที่พบในโคราชถึง 9 สกุล จาก 42 สกุล ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุเก่าแก่กว่าช้างแมมมอธของไซบีเรียและอเมริกาเหนือ ที่นี่จะพบกับช้างสี่งา และช้างงาจอบ ช้างงาเสียม ที่มีอายุประมาณ 16 - 5 ล้านปี รวมถึงรู้จักกับบรรพบุรุษและวิวัฒนาการของช้าง และจุดเด่นของห้องนี้ก็คือ “หุ่นจำลองและโครงกระดูกของช้างสี่งาขนาดเท่าของจริง” และงาช้างที่กลายเป็นหิน มีความยาวเกือบ 2 เมตร รวมไปถึงฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์อื่นๆ


       "พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์" ส่วนที่ 3 ของพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน

       และส่วนสุดท้ายคือ "พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์" ที่จะได้เห็นไดโนเสาร์โคราช 6 สายพันธุ์ อายุประมาณ 100 ล้านปี เช่น อิกัวโนดอน สยามโมไทรันนัส ฯลฯ รวมทั้งชมวิดีทัศน์ที่สร้างด้วยเทคนิควิดีโอแอนิเมชั่น ฉายรอบทิศทางบนผนังโค้ง 360 องศา อีกด้วย

       หากใครที่อยากศึกษาถึงที่มาของ “ไม้กลายเป็นหิน” และฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่ “พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ก็เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 09.00 - 16.00 น. (อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท/คน, นักศึกษา ปสว. - ปริญญาตรี 20 บาท/คน, นักเรียนประถม - ปวช. 10 บาท/คน, ชาวต่างชาติ 100 บาท/คน และผู้สูงอายุ (60ปี ขึ้นไป) ฟรี) โทร.0-4437-0739-40



//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000094829




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2556   
Last Update : 4 สิงหาคม 2556 18:08:04 น.   
Counter : 1515 Pageviews.  

อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ข่าวดีสำหรับชาวเชียงใหม่ที่มีหัวใจรักศิลปะ ล่าสุด! พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ หรือ พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้เปิดสาขาใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ที่ 9 กรกฏราคม 2556 ที่จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติแห่งแรกของภาคเหนือและใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยค่ะ

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่ (Art in Paradise Chiang Mai) ตั้งอยู่บริเวณถนนช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ (อาคารสีสวน พลาซ่า) เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ แห่งที่ 2 และยังถือเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยพิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่ จะเน้นรูปแบบการนำ เสนอที่มีความแตกต่างจากพัทยา ชลบุรี

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่ จะเน้นรูปแบบของภาพวาดเพื่อให้มีความแตกต่างจากพัทยา ซึ่งที่นี่จะสร้างจินตนาการและสีสันให้กับชีวิตของผู้มาชม หรืออาจจะเรียกได้ว่า “พิพิธภัณฑ์ภาพลวงตา” (Illusion Art Museum) โดยพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ เชียงใหม่ ได้มีการรวบรวมภาพ 3 มิติเหมือนจริงกว่า 130 ผลงาน

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

        พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่ มีจำนวน 3 ชั้น และประกอบด้วย 8 โซน ได้แก่ โลกใต้ทะเล (AQUA), สวนสัตว์ (ZOO), สัตว์โลกล้านปี (DINOSAUR), ศิลปะเหนือ จริง (SURREALISM), ศิลปะยุคคลาสสิค (CLASSIC ART), ล้านนา (LANNA), ประเพณีไทย (THAI), อียิปต์โบราณ (EGYPTIAN) ซึ่งทั้งหมดนั้นสร้างความมหัศจรรย์อยู่บน ฝาผนังด้วยเทคนิคที่เหมือนจริงมากๆ

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่ ที่ตั้ง 199/9 ถ.เจริญประเทศ ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 (ห้างสรรพสินค้าสีสวนเก่า) อีเมล artinparadise.cnx@gmail.com หรือ https://www.facebook.com/artinparadise.cnx

        เปิดให้บริการ ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 -21.00 น. ** ปิดเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว 19.30 น. ราคาบัตร 180 บาท เด็กส่วนสูงไม่เกิน 120 ซ.ม. ราคา 120 บาท ติดต่อสอบถามได้ที่ เบอร์ 053-274100

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อาร์ต อิน พาราไดซ์ เชียงใหม่



ภาพประกอบ
Art in Paradise - Chiang Mai




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2556   
Last Update : 3 สิงหาคม 2556 22:18:54 น.   
Counter : 8071 Pageviews.  

ฮ.นกฮูกน่ารัก ที่ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก”

ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก
       ฉันยังจำได้ว่าเมื่อสมัยเด็กๆ เวลาท่อง ก-ฮ นั้น จะต้องท่องกันเป็นประโยคคล้องจอง เป็นทำนองต่อๆ กันไป เป็นต้นว่า ก.เอ๋ย ก.ไก่, ข.ไข่ ในเล้า, ฃ.ฃวด ของเรา... ไปเรื่อยๆ จนจบที่ ฮ.นกฮูก ตาโต แล้วก็ต้องทำตาโตๆ ใส่เพื่อนที่นั่งข้างๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ฉันก็เลยฝังใจในลักษณะของนกฮูกว่าจะต้องเป็นสัตว์ที่ตาโตแต่ว่าน่ารัก

       ซึ่งนกฮูกในความเป็นจริงนั้น สำหรับบางคนอาจจะบอกว่าน่ารัก แต่บางคนอาจจะบอกว่าไม่น่าใช่ เพราะตามความเชื่อของคนไทยเรานั้น หากว่ามีนกฮูก (นกเค้าแมว) บินผ่านหลังคาบ้าน หรือมาเกาะอยู่ในบริเวณใกล้ๆ บ้านใคร บ้านนั้นจะต้องมีคนตาย โดยเชื่อกันว่านกฮูกนั้นคือยมฑูตส่งวิญญาณนั่นเอง

กำไลนกฮูก
       แต่สำหรับในบางวัฒนธรรมนั้น กลับเชื่อว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์ในเรื่องที่ดี เช่น ในคติของชาวฮินดูและชาวกรีกโบราณ เชื่อว่านกฮูก (นกเค้าแมว) เป็นสัญลักษณ์เรื่องสติปัญญา

       ที่ฉันเล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้เป็นแค่การเตรียมความรู้เบื้องต้น สำหรับการไปเที่ยวในครั้งนี้ เพราะจะเดินทางไปยัง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก (Owl Art Museum)” ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

       สำหรับพิพิธภัณฑ์นี้ เขาไม่ได้จัดแสดงนกฮูก หรือ นกเค้าแมว สายพันธุ์ต่างๆ ให้เราชม แต่เป็นแหล่งรวบรวมของสะสมเกี่ยวกับงานศิลปะและงานออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนกฮูก ของ รศ.ปรีชา ปั้นกล่ำ อาจารย์คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีทั้งของสะสมที่มาจากภายในประเทศไทย ประเทศในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

นกฮูกวอลอี
       เมื่อมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ก็มั่นใจได้เลยว่ามาไม่ผิดที่ เพราะตรงทางเข้านั้นมีโครงไม้รูปทรงนกฮูกขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า พอเดินเข้าไปข้างในฉันก็ต้องทำตาโตราวกับเป็นนกฮูก เนื่องจากว่ามีของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไปจนถึงของชิ้นใหญ่ๆ ที่เป็นบรรดานกฮูกทั้งหลาย เรียงแถวมาเสนอความน่ารักให้ได้ดูชมกัน

       โดยการจัดแสดงของที่นี่จะแบ่งโซนออกเป็น 7 ส่วน ตามวัสดุที่ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน เริ่มต้นจากส่วนของนกฮูกเครื่องประดับ ที่มีทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล ตุ้มหู แหวน ฯลฯ ที่ล้วนแต่ใช้ความน่ารักของนกฮูกมาแต่งเติมสีสันให้สวยงาม กลายเป็นเครื่องประดับที่น่าใส่ประดับติดตัวเสียจริง

นกฮูกจากผ้าและหนัง
       ถัดมาเป็นโซนนกฮูกเรซิ่น จุดนี้ก็มีเรซิ่นรูปนกฮูกหลายแบบหลายสไตล์ มีทั้งมาเดี่ยว มาคู่ และมาเป็นกลุ่ม วางโชว์ไว้อวดความสวยและน่ารัก หันมาอีกทางก็เป็นนกฮูกที่ทำจากไม้ มีทั้งนกฮูกวอลอี นกฮูกไม้จากบาหลี ที่ทำการแกะสลักไม้ให้กลายเป็นรูปร่างนกฮูกที่มีอิริยาบถและหน้าตาที่ต่างกัน

       ที่อีกมุมหนึ่ง ฉันก็สะดุดตากับนกฮูกที่ทำจากผ้าและหนัง มุมนี้เขามีทั้งตุ๊กตานกฮูกตัวเล็กตัวใหญ่ กระเป๋าสะพายนกฮูก พวงกุญแจนกฮูก ไปจนถึงนกฮูกนำโชคของชาวญี่ปุ่นที่มีความเชื่อกันว่า หากพกนกฮูกติดตัวไว้หรือตั้งนกฮูกไว้ในบ้าน จะช่วยให้ครอบครัวกินดีอยู่ดี ไม่ลำบาก และจะพบแต่ความโชคดี

นกฮูกเครื่องปั้นดินเผา
       โซนถัดมาชวนมาชมนกฮูกเครื่องปั้นดินเผา มีทั้งแบบที่เป็นสีดินเผาไม่เคลือบ และแบบที่ตกแต่งสีสันสวนงามและนำไปเคลือบเรียบร้อยแล้ว ตรงจุดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนกฮูกตัวเล็กๆ ที่ใช้วางประดับบ้าน แต่ก็ยังมีนกฮูกตัวโตๆ วางใกล้ๆ กันอยู่ด้วย

       เดินเลี้ยวโค้งมาอีกฝั่ง ก็เป็นโซนของนกฮูกจากโลหะและแก้ว ก็ยังมีนกฮูกตัวเล็กตัวใหญ่เช่นเดิม อย่างตัวที่น่าสนใจต้องไปดูนกฮูกนักดนตรี ที่ทำขึ้นจากโลหะ หน้าตานกฮูกก็น่ารัก แถมยังมาเล่นเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด แต่ที่เด็ดสุดคือ นกฮูกทรานส์ฟอร์เมอร์ส กว่าจะประดิษฐ์ออกมาได้แต่ละตัวนั้นคงต้องใช้ส่วนประกอบหลายชิ้นมากๆ เลยทีเดียว

นกฮูกเรซิ่น
       มาจบสุดท้ายอยู่ที่นกฮูกกระดาษ โซนนี้รวบรวมหนังสือนกฮูกน่ารักๆ สำหรับเด็กๆ นกฮูกสอนภาษา นิทานนกฮูก และยังมีว่าวรูปนกฮูกจากอินโดนีเซียที่ดูสวยแปลกตา นกฮูกกระดาษสีทองจากพม่า ที่ชาวพม่านิยมตั้งไว้ในร้านค้า เพราะเชื่อว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และเป็นสัตว์นำโชค ก็เลยนำมาตั้งในร้านค้าเพื่อให้ทำมาค้าคล่อง มีลูกค้าเข้ามาซื้อของในร้านเยอะๆ

นกฮูกนักดนตรี
       เดินมาถึงจุดสุดท้าย ของสะสมชิ้นนี้ฉันอยากจะมีเก็บไว้ใช้ที่บ้านเหมือนกัน เพราะมันคือ ครกฮูกหิน ซึ่งเป็นครกหินจากอ่างศิลา แล้วสลักให้มีหน้าตาเหมือนนกฮูก ถือว่าเป็นอุปกรณ์ใช้สอยในครัวเรือนที่มีประโยชน์มาก แถมยังน่ารักน่าใช้ด้วย

ฮูกทรานส์ฟอร์เมอร์ส
       แต่พอดูสิ่งของภายในพิพิธภัณฑ์แล้วเกิดอยากได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านบ้าง เพราะติดใจในความน่ารักของนกฮูกตาโตๆ เข้าเสียแล้ว ที่นี่ก็มีร้านขายของที่ระลึก Olwet Museum Shop เลือกได้ทั้งเสื้อยืดสีสวย กระเป๋า แก้วน้ำ โปสการ์ด สมุดจด เครื่องประดับ และอีกมากมายที่เป็นการออกแบบเกี่ยวกับนกฮูก

ว่าวนกฮูกจากอินโดนีเซีย
       หรือใครที่ชื่นชอบกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ ที่นี่เขาก็มีการจัดกิจกรรมศิลปะต่างๆ สำหรับทุกเพศทุกวัย เชิญชวนให้เข้ามาร่วมสนุกกัน มีทั้งการพิมพ์ภาพลงบนโปสการ์ด ทำหน้ากากสามมิติ ทำกระปุกออมสินนกฮูก ฯลฯ สามารถติดตามการร่วมกิจกรรมได้ที่เฟสบุคของพิพิธภัณฑ์

นกฮูกกระดาษ สัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของชาวพม่า
       มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ทั้งทีนอกจากความสนุกที่ได้รับจากการชมของสะสมสวยๆ งามๆ แล้ว ที่นี่ก็ยังให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับนกฮูกหรือนกเค้าแมวด้วย ทั้งลักษณะของนกฮูก วัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับนกฮูกจากทั่วโลก ที่สำคัญ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงศิลปะแขนงต่างๆ ที่ผสมผสานความมีเอกลักษณ์ของนกฮูก ผ่านออกมาเป็นความน่ารักของสิ่งของ แบบนี้น่าจะเป็นแนวคิดให้เอาลองกลับไปประดิษฐ์อะไรเป็นของตัวเองบ้างสักชิ้น

ฮูกครกหิน
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก (Owl Art Museum)” ตั้งอยู่ที่ 10/3 ต.ไทยาวาส อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม การเดินทางใช้ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี มุ่งหน้าสู่อำเภอนครชัยศรี ตรงมาเรื่อยๆ จนถึงสะพานแยกเข้าอำเภอนครชัยศรี ให้ขึ้นสะพานเข้าไปยังตัวอำเภอ จากนั้นตรงไปจนเจอสามแยกไฟแดง ให้เลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรก (ซอยเข้าตลาดท่านา) แล้วให้ตรงไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรี จากนั้นตรงต่อไปเรื่อยๆ สังเกตทางขวามือจะเห็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ มีป้ายบอกชัดเจน

พิพิธภัณฑ์เปิดทำการ วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 10.00-18.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-19.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์) ค่าเข้าชม เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-3433-9721 Facebook:พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก

       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *  



//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000095235




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2556   
Last Update : 2 สิงหาคม 2556 17:41:47 น.   
Counter : 2688 Pageviews.  

“วังไกลกังวล” สถานที่ประทับแปรพระราชฐานอันเปี่ยมสุข

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังไกลกังวลขึ้น
ในวันนี้เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช ที่ทรงประทับเพื่อรักษาพระอาการประชวรมาเป็นเวลาถึง 3 ปี 10 เดือน ประชาชนชาวไทยจึงมีความยินดียิ่งนักที่พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง และจะเสด็จไปประทับที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันนี้

“วังไกลกังวล” เป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานไปทรงพักผ่อน ทรงจับจองที่ดิน ณ ตำบลบ่อฝ้าย เนื้อที่หลายสิบไร่และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ม.จ.อิทธิเทพสรร กฤดากร เป็นนายช่างใหญ่ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ ในปี 2470-2471 โดยโปรดให้เรียกว่า “สวนไกลกังวล”

พระตำหนักเปี่ยมสุข สร้างตามสไตล์ยุโรปตะวันตก
       สิ่งก่อสร้างสำคัญคือ “พระตำหนักเปี่ยมสุข” ซึ่งเป็นตำหนักที่ประทับ สร้างขึ้นตามลักษณะบ้านพักตากอากาศในยุโรปตอนใต้ เป็นอาคารคอนกรีต 3 ชั้น มีดาดฟ้าและหอคอยทรงสี่เหลี่ยม ตัวอาคารทาสีขาว หันหน้าออกสู่ชายทะเล ฐานผนังด้านนอกประดับด้วยหินก้อนใหญ่ เหนือหน้าต่างมีลายปูนปั้นซึ่งมีลักษณะผสมผสานระหว่างตราพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และตราประจำองค์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ด้วยรูปศร เมฆและลำแสงพระอาทิตย์

       นอกจากนั้น ภายในวังไกลกังวลยังมีตำหนักอื่นๆ ที่มีชื่อคล้องจองกัน นอกจากพระตำหนักเปี่ยมสุขแล้ว ยังมีพระตำหนักปลุกเกษม พระตำหนักเอิบเปรม เอมปรีดิ์ อีกทั้งยังมีพระตำหนักน้อย และศาลาเริงซึ่งทำหน้าที่เป็นดังท้องพระโรงของวังไกลกังวล อยู่ทางด้านซ้ายของพระที่นั่งเปี่ยมสุขอีกด้วย

       เมื่อการก่อสร้างพระราชวังเสร็จเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยข้าราชบริพารมาประทับแรมครั้งแรกเมื่อปี 2473 อีกทั้งยังมีการสมโภชขึ้นพระราชวัง (ขึ้นบ้านใหม่) ด้วย ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จแปรพระราชฐานมายังวังไกลกังวลเป็นประจำ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2476

ภาพวังไกลกังวลในอดีต
       เนื่องจากในรัชกาลที่ 7 ทรงออกพระนามเรียกวังแห่งนี้ว่า “สวนไกลกังวล” และเนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีพระบรมราชโองการประกาศยกเป็นพระราชวัง ดังนั้น จึงยังคงเรียกว่า “วังไกลกังวล”

       ปัจจุบัน วังไกลกังวลเป็นที่เสด็จแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถ และพระบรมวงศ์ เพื่อทรงพักผ่อนพระราชอิริยาบถ นอกจากนั้นยังถือได้ว่าวังไกลกังวลเป็นสถานที่ “ฮันนีมูน” ของทั้งสองพระองค์อีกด้วย โดยหลังจากวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปที่วังไกลกังวลเพื่อพักผ่อนพระราชอิริยาบถ นอกจากนั้นยังโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้น รวมทั้งให้จัดตั้งโรงเรียนไกลกังวลขึ้นเป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์

ในวันนี้จึงเป็นวันที่น่ายินดีอีกวันหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานาลัยแข็งแรงขึ้น และสามารถเสด็จไปประทับแรม ณ วังไกลกังวล โดยคาดว่าจะมีประชาชนมารอเฝ้ารับเสด็จทั้งที่โรงพยาบาลศิริราช ที่อำเภอหัวหิน และระหว่างทางเสด็จพระราชดำเนินเป็นจำนวนมาก



       หมายเหตุ : ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000094756




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2556   
Last Update : 1 สิงหาคม 2556 21:21:05 น.   
Counter : 1319 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]