เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
บ้านมะม่วงน้ำดอกไม้
       หน้าร้อนมาเยือน ก็ได้เวลาของฤดูเที่ยวทะเล และ “หัวหิน” ก็เป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ เมื่อคิดถึงทะเลและไม่อยากเดินทางไกลๆ อีกทั้งเสน่ห์ของหัวหินก็ราวกับมีมนต์ขลัง ชวนให้เรามาสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองตากอากาศตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน เที่ยวกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
"บ้านมะม่วง" ที่พักแห่งใหม่ในเมืองหัวหิน
       เพื่อให้สมกับความเป็นเมืองตากอากาศร่วมสมัย มาเที่ยวหัวหินคราวนี้ จึงเลือกมาพักที่ “บ้านมะม่วง” ในตัวเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในซอยชมสินธุ์ 1 อยู่ไม่ไกลจากตลาดหัวหินนัก “บ้านมะม่วง” เป็นบ้านพักที่ได้อารมณ์สไตล์ Retro ย้อนยุคนิดๆ ตัวบ้านมีอายุกว่า 50 ปี เดิมเป็นบ้านพักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่อมาคุณย่านงนุช ศิลปสุนทร เจ้าของร้านมีชัยในเมืองหัวหิน ร้านขนมของฝากที่โดดเด่นเรื่องขนมไทย โดยเฉพาะ “ข้าวเหนียวมะม่วง” ได้ซื้อบ้านไว้และได้ทำเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยว จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านน่ารักๆ ว่า “บ้านมะม่วง” นั่นเอง

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
ห้องนั่งเล่นดูทีวีบริเวณชั้นล่างของบ้านมะม่วงน้ำดอกไม้
“บ้านมะม่วง” ประกอบไปด้วยบ้านทั้งหมด 5 หลัง ในรั้วเดียวกัน แต่ปัจจุบันเปิดให้เข้าพักเพียง 2 หลัง คือ “บ้านมะม่วงน้ำดอกไม้” และ “บ้านมะม่วงแก้ว” บ้านแต่ละหลังเป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนทาด้วยสีขาวครีมสบายตา มีระแนงไม้และลายฉลุตามช่องลมให้อารมณ์ของบ้านพักตากอากาศสมัยคุณยายยังสาว ให้บรรยากาศของการมาพักผ่อนตากอากาศในบ้านแบบสบายๆ

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
ห้องนอนใหญ่ชั้นบน บ้านมะม่วงน้ำดอกไม้
“บ้านมะม่วงน้ำดอกไม้” เป็นบ้านพักหลังใหญ่ที่สุด ราคา 3,500 บาท เหมาะสำหรับผู้เข้าพัก 4-5 คน ภายในบ้านประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่น ห้องนอนทั้งสองห้องจะอยู่บนชั้น 2 ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่ายเพื่อการพักผ่อน สำหรับห้องนอนใหญ่มีเตียงใหญ่สำหรับ 2 คน มีโซฟาเล็กๆ และมุมนั่งอ่านเขียนหนังสือ ส่วนห้องนอนเล็กก็มีเตียงสำหรับ 2 คน พร้อมด้วยเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำในห้องนอนทั้งสองห้อง ส่วนด้านนอกเป็นมุมนั่งเล่นเอนหลังนอนอ่านหนังสือสบายๆ หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนเสริมก็ได้หากว่ามีผู้เข้าพักเพิ่มเติม (คิดราคาเพิ่ม) แต่จะต้องอาศัยลมธรรมชาติและพัดลมเพิ่มความเย็น

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
ห้องนอนเล็กของบ้านมะม่วงน้ำดอกไม้
       ส่วนชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นใหญ่ พร้อมด้วยเก้าอี้โซฟาตัวยาวและเบาะนั่งเอนหลังหน้าโทรทัศน์ แม้ด้านล่างจะไม่มีเครื่องปรับอากาศแต่ก็ไม่ร้อนอบอ้าว เพราะพื้นปูนขัดมันเก็บความเย็นไว้เป็นอย่างดีแค่เปิดพัดลมก็คลายร้อนได้ และเชื่อว่าผู้เข้าพักจะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กันตรงนี้ ด้วยบรรยากาศสบายๆ ที่เป็นมุมสังสรรค์ของทุกคนในบ้าน จะมานั่งดูโทรทัศน์หรือดูหนังด้วยกัน กินดื่มปาร์ตี้กันตรงนี้ หรือเพิ่มความสนุกสนานด้วยเกมง่ายๆ แต่เรียกความฮาได้อย่างเกมเศรษฐี โดมิโน หรือบิงโกที่มีเตรียมไว้ให้ ก็ยิ่งเพิ่มความครื้นเครงให้กับกลุ่มเพื่อนฝูงหรือครอบครัวได้เป็นอย่างดี

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
มุมเอนหลังอ่านหนังสือสงบๆ ชั้นบนบ้านมะม่วงน้ำดอกไม้
       ส่วนชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นใหญ่ พร้อมด้วยเก้าอี้โซฟาตัวยาวและเบาะนั่งเอนหลังหน้าโทรทัศน์ แม้ด้านล่างจะไม่มีเครื่องปรับอากาศแต่ก็ไม่ร้อนอบอ้าว เพราะพื้นปูนขัดมันเก็บความเย็นไว้เป็นอย่างดีแค่เปิดพัดลมก็คลายร้อนได้ และเชื่อว่าผู้เข้าพักจะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กันตรงนี้ ด้วยบรรยากาศสบายๆ ที่เป็นมุมสังสรรค์ของทุกคนในบ้าน จะมานั่งดูโทรทัศน์หรือดูหนังด้วยกัน กินดื่มปาร์ตี้กันตรงนี้ หรือเพิ่มความสนุกสนานด้วยเกมง่ายๆ แต่เรียกความฮาได้อย่างเกมเศรษฐี โดมิโน หรือบิงโกที่มีเตรียมไว้ให้ ก็ยิ่งเพิ่มความครื้นเครงให้กับกลุ่มเพื่อนฝูงหรือครอบครัวได้เป็นอย่างดี

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
มุมห้องครัวที่มีอุปกรณ์การกินพร้อมสรรพ
       ส่วน “บ้านมะม่วงแก้ว” เป็นบ้านหลังขนาดย่อมลงมา ราคา 3,000 บาท เหมาะสำหรับผู้เข้าพัก 4 คน ชั้นบนประกอบด้วยห้องนอนเล็ก 2 ห้อง พร้อมด้วยเครื่องปรับอากาศ ส่วนชั้นล่างมีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และส่วนครัว เหมือนกับบ้านมะม่วงน้ำดอกไม้ ตกแต่งในสไตล์สบายๆ เหมือนบ้านที่คอยต้อนรับผู้ที่มาพักอย่างอบอุ่น และบ้านทั้งสองหลังยังมีอินเตอร์เน็ต wifi ให้บริการ

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
ห้องนั่งเล่นดูทีวีของบ้านมะม่วงแก้ว
       จุดเด่นที่น่ารักอีกอย่างหนึ่งของ “บ้านมะม่วง” ก็คืออาหารเช้าที่มีให้บริการ โดยผู้เข้าพักแต่ละคนสามารถเลือกอาหารเช้าได้คนละ 1 อย่างจาก 4 เมนูที่เตรียมไว้ ได้แก่ ข้าวมันไก่จากร้านเจ๊กเปี๊ยะ โจ๊กจากร้านเจ๊แอน น้ำเต้าหู้-ปาท่องโก๋ และขนมครกกะทิสด ในตอนเช้าอาหารที่เลือกมาจะถูกบรรจุไว้ในปิ่นโตเถาใหญ่ ได้อารมณ์ย้อนยุคดีไม่น้อย แถมยังได้ชิมอาหารหลากหลายจากร้านเด็ดของหัวหินอีกต่างหาก

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
ห้องนอนน่าสบายบ้านมะม่วงแก้ว
       มาหัวหินคราวหน้า ใครที่มากับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว และอยากจะได้บ้านพักที่ให้อารมณ์บ้านตากอากาศหัวหิน มีพื้นที่ให้ปาร์ตี้สังสรรค์กันอย่างเต็มที่ อยู่ในเมืองใกล้แหล่งชุมชนและแหล่งท่องเที่ยว ไม่ซีเรียสว่าจะต้องอยู่ริมทะเล ขอแนะนำ “บ้านมะม่วง” เป็นอีกหนึ่งที่พักที่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจให้ลองมาพักกัน

“บ้านมะม่วง หัวหิน” หลับสบายสไตล์บ้านพักตากอากาศย้อนยุค
อาหารเช้าน่ากินที่มีให้เลือกถึง 4 อย่าง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“บ้านมะม่วง” ตั้งอยู่บริเวณสุดซอยชมสินธุ์ 1 ถนนชมสินธุ์ ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สอบถามรายละเอียดหรือจองบ้านพัก โทร.08 1374 2140 หรือดูรายละเอียดในเฟซบุ๊ค : บ้านมะม่วง Mango house (https://www.facebook.com/MangoHouse)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




 

Create Date : 03 มีนาคม 2557   
Last Update : 3 มีนาคม 2557 21:31:31 น.   
Counter : 2876 Pageviews.  

ยก "เกาะลันตา" เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
ท้องทะเลและชายหาด “เกาะลันตา” (ภาพ : เว็บไซต์ agoda)
อโกด้า เว็บไซต์ให้บริการสำรองห้องพักในโรงแรมแบบออนไลน์ซึ่งรับประกันราคาห้องพักที่ดีที่สุดในเอเชีย ได้แนะนำ 7 จุดดำน้ำยอดนิยมในเอเชียและแปซิฟิก โดยได้อ้างถึงคำพูดของคริส มิทเชล นักข่าวเกี่ยวกับการดำน้ำและผู้เขียนร่วมของหนังสือเรื่อง “Thailand's Underwater World” ซึ่งได้กล่าวถึงไว้ว่า "เอเชียแปซิฟิกมีจุดดำน้ำสำหรับนักดำน้ำระดับต่างๆนับไม่ถ้วน"

       และได้ให้เหตุผลอีกว่า สถานที่ดำน้ำในเอเชียแปซิฟิกนั้นมีน้ำทะเลที่อุ่น อีกทั้งสภาพอากาศยังเป็นแบบเขตร้อน ซึ่งได้มีจุดดำน้ำที่น่าสนใจอยู่มากมาย ตั้งแต่แนวปะการังของประเทศออสเตรเลีย จนถึงอ่าวมากมายในหมู่เกาะน้อยใหญ่ของประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ตอนรับนักดำน้ำที่มาค้นหาจุดดำน้ำใหม่และผู้ที่กลับมาเยือน นอกจากนี้ สถานที่ดำน้ำส่วนใหญ่ในเอเชียมีคอร์สสอนดำน้ำจากระดับผู้เริ่มต้นจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญในราคาที่ยอมรับได้ อีกทั้งยังมีวิวทิวทัศน์และวัฒนธรรมซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจในทุกประเทศอีกด้วย

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
ทัศนียภาพมุมสูง “เกาะลันตา”
โดย 7 จุดดำน้ำยอดนิยมของนิยมของเอเชียและแปซิฟิก มีดังนี้

1.เกาะลันตา ประเทศไทย (Koh Lanta Island - Thailand )

       เกาะลันตา ตั้งอยู่ในจังหวัดกระบี่ โดยเป็นเกาะที่ยังไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก ด้วยน้ำทะเลที่อุ่นและใสและยังมีจุดดำน้ำที่ยอดเยี่ยมมากมายให้ได้เลือก อีกทั้งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ทในเดินทางไปยังจุดดำน้ำต่างๆหลายแห่งได้ภายใน 1 วัน เกาะแห่งนี้จึงได้รับความนิยม

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
น้ำทะเลสีใส “ปัวร์โต กาเลรา” (ภาพ : เว็บไซต์ philippines-dive)
2. ปัวร์โต กาเลรา แอนด์ บาตังกัส ประเทศฟิลิปปินส์ ( Puerto garela and batangas -Pilipinas)

       เมืองบาตังกัส ตั้งอยู่ที่เกาะเกาะมินโดโร และเมืองปัวร์โต กาเลรา ตั้งอยู่ที่ลูซอน ทั้งสองเมืองนี้มีแค่น้ำทะเลสีเขียวเทอคอยส์กันขวาง โดยเป็นที่ตั้งของแนวปะการังยาวสุดสายตา จึงได้ดึงดูดนักดำน้ำมายังจุดดำน้ำแห่งนี้ ซึ่งมีสิ่งน่าชมนับไม่ถ้วนทั้งเหนือน้ำและใต้น้ำ อีกทั้งประเทศฟิลิปปินส์ยังมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งทางทะเลซึ่งทำให้การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆนั้นง่ายดายอีกด้วย

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
บรรยากาศ โลกใต้น้ำ “ออสเตรเลีย” (ภาพ : เว็บไซต์ agoda)
3.หมู่เกาะไวท์ซันเดย์ และเกาะลิเซิร์ด ประเทศออสเตรเลีย (Whitsunday island and lizard Island - Australia)

       เกาะทั้งสองแห่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเกรท แบริเออร์ รีฟ แนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลก และได้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการดำน้ำชั้นนำของโลก โดยมีสถานที่ดำน้ำมากมายตั้งแต่บริเวณซากเรือใต้ทะเล จนถึงการเผชิญหน้ากับฉลามขาวในกรงเหล็ก

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
น้ำทะเลใสแจ๋ว “โบรา โบรา - เฟรนช์ โพลินีเซีย” (ภาพ : เว็บไซต์ agoda)
4. เกาะโบรา โบรา, เฟรนช์ โพลินีเซีย (Bora Bora Island - French Polynesia)

       เกาะโบรา โบรา ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก แนวปะการังอันเป็นสัญลักษณ์ของโบรา โบรานั้นล้อมรอบทะเลสาบน้ำเค็มที่เกิดจากภูเขาไฟและเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลมากมายราวกับถูกสร้างมาเพื่อนักดำน้ำสกูบา และที่น่าประทับใจที่สุดก็คืออุณหภูมิของน้ำทะเลตลอดปีจะสูงต่ำต่างกันเพียง 3 องศาเท่านั้น จึงทำให้สามารถดำน้ำได้ทุกช่วงเวลาของปี

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
นียภาพ “เกาะลอมบอก” (ภาพ : เว็บไซต์ jacktarsuperyachtcharter)
5. เกาะบาหลีและเกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย (bali Island and Lombok Island - Indonesia )

       เกาะบาหลีอันเป็นเอกลักษณ์ลักษณ์ของประเทศอินโดนีเซีย และเกาะลอมบอกซึ่งได้ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน อยู่ในส่วนของหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสวรรค์ทางทะเลของนักท่องเที่ยว ที่ต้องการพักผ่อนท่ามกลางทะเลที่ล้อมรอบหาดทรายสวยงาม และดำน้ำสำรวจโลกใต้ทะเล พร้อมกับสัมผัสวิถีวัฒนธรรมฮินดูอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวบาหลี บนเกาะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ ภูเขาไฟ ผืนป่า ทุ่งนาขั้นบันได วัดวาอาราม สถาปัตยกรรมบาหลีอันสวยงาม รวมถึงที่พักมากมายให้เลือกสรร

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
ปะการังสวยงาม “โคตา คินาบาลู” (ภาพ : เว็บไซต์ agoda)
6. เมืองโคตา คินาบาลู ประเทศมาเลเซีย (pulau gaya Island - kota kinabalu Malaysia)

       เมืองโคตา คินาบาลู ตั้งอยู่ในรัฐซาบาร์ ประเทศมาเลเซีย บนเกาะบอร์เนียวเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ท้องทะเลบริเวณโดยรอบของเมืองมีจุดดำน้ำที่ยอดเยี่ยมมากมายกลางทะเล โดยเป็นที่ที่เหมาะสำหรับนักดำน้ำทุกระดับ จนได้กลายมาเป็นจุดดำน้ำยอดนิยม

ยก เกาะลันตา เป็น 1 ใน 7 จุดดำน้ำยอดนิยมแห่งเอเชียและแปซิฟิก
รีสอร์ทริมชายทะเล “มัลดีฟส์” (ภาพ : เว็บไซต์ agoda)
7.มัลดีฟส์ (Maldives)

       เป็นประเทศที่ซึ่งเป็นหมู่เกาะ ที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรอินเดีย ที่มีน้ำทะเลสีฟ้าน่าตะลึง และหาดทรายขาวสุดสายตา นับเป็นหนึ่งดินแดนสวรรค์ในเขตร้อนของเหล่านักดำน้ำ และเมื่อใดที่คุณได้ลงไปใต้น้ำ สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นปะการังสีสันสดใส และสัตว์ทะเลต่างๆจำนวนมาก ตั้งแต่ปลาเล็กปลาน้อยจนถึงฉลามวาฬยักษ์ที่สามารถพบได้อย่างไม่ยากเย็น

ผู้ที่สนใจสามารถเลือกจองโรงแรมใกล้เคียงกับจุดดำน้ำทั้ง 7 แห่งได้ที่ //www.agoda.com

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




 

Create Date : 02 มีนาคม 2557   
Last Update : 2 มีนาคม 2557 21:16:28 น.   
Counter : 1642 Pageviews.  

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
สาวๆ ถ่ายรูปกับดอกชมพูพันทิพย์สีชมพูหวาน
วันหยุดถ้าไม่มีโปรแกรมไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ฉันก็มักใช้เวลาช่วงเย็นไปเดินเล่นรับลม สูดกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าตามสวนสาธารณะใกล้บ้าน ซึ่งนอกจากจะได้ผ่อนคลายจิตใจแล้วยังเป็นการออกกำลังกายอีกด้วย

       วันนี้ฉันมาเดินเล่นที่ “สวนรถไฟ” หรือชื่อมีชื่อยาวๆ เป็นทางการว่า “สวนวชิรเบญจทัศ” ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสวนจตุจักรนี่เอง สวนสาธารณะแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสวนแห่งครอบครัว เพราะมีกิจกรรมที่หลากหลายให้เลือกทำได้ทุกช่วงวัย ทั้งยังมีบรรยากาศเหมาะๆ ในการพักผ่อนหย่อนใจของทุกคนอีกด้วย

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
ดอกสีชมพูร่วงลงสู่ผิวน้ำ
       กิจกรรมยอดฮิตของคนที่มาที่สวนรถไฟก็คือการปั่นจักรยานชมบรรยากาศและออกกำลังกาย เพราะพื้นที่ 375 ไร่ของสวนรถไฟนับว่ากว้างใหญ่มากเกินกว่าที่จะเดินชมได้ทั่ว บริเวณที่จอดรถของสวนรถไฟจึงมีร้านให้บริการเช่าจักรยานเปิดอยู่หลายร้าน ไม่ใช่แค่จักรยาน แต่ยังมีบริการให้เช่าเสื่อไว้นั่งเล่นนอนเล่นในสวนด้วยเช่นกัน

       ได้เวลาแดดเริ่มอ่อนแสง ฉันจัดการเลือกจักรยานคู่ใจมาได้คันหนึ่งแล้วปั่นเข้าไปในสวน โชคดีจริงๆ ที่ในช่วงนี้เป็นเวลาที่ต้นชมพูพันทิพย์ในสวนรถไฟกำลังพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานพร้อมๆ กัน ทำให้สวนรถไฟในวันนี้มีบรรยากาศสดใสไปด้วยสีชมพูของดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่กำลังออกดอกสะพรั่งสีหวานเต็มต้น

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
ปั่นจักรยานออกกำลังกายในสวนรถไฟ
       สำหรับต้น “ชมพูพันธุ์ทิพย์” หรือชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ชมพูอินเดีย ธรรมบูชา ตาเบบูยา เป็นไม้ขนาดใหญ่มีดอกสีชมพูอ่อน สีชมพูสด และสีขาว ในบ้านเราจะออกดอกพร้อมๆ กันช่วงกลางถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงเดือนมีนาคม โดยใช้ระยะเวลาบานประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนที่ดอกจะร่วงโรยไป ส่วนดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่สวนรถไฟนี้ก็ทยอยบานมาได้ราว 1 สัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังสวยหวานรอคนมาชมอยู่

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
มองมุมไหนก็สวยหวาน
       ปั่นไปได้ไม่เท่าไรฉันต้องจอดแวะลงมาขอเก็บภาพสวยๆ ของดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ไว้โพสต์ลงไทม์ไลน์อวดชาวบ้านเสียหน่อย และไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ทำแบบนั้น เพราะมีช่างภาพทั้งมืออาชีพมือสมัครเล่น ถือกล้องคอมแพ็ค กล้องโปรและกล้องมือถือ เดินส่องดอกไม้ มีนางแบบนายแบบโพสต์ท่าถ่ายรูปกับดอกไม้ บ้างถ่ายเดี๋ยว บ้างก็ถ่ายเป็นคู่ บ้างถ่ายกับครอบครัวดูสนุกสนาน ทุกคนต่างก็ชื่นชมความสวยงามของดอกชมพูพันธุ์ทิพย์

       ฉันปั่นไปเรื่อยๆ พร้อมหยุดแวะถ่ายรูปเป็นระยะๆ นึกในใจว่าถ้าบ้านเราปลูกต้นไม้ที่ดอกสวยๆ อย่างนี้ตามท้องถนนหรือในสวนสาธารณะเยอะๆ เวลาที่ออกดอกพร้อมๆ กันก็คงสวยงามไม่แพ้เทศกาลชมดอกซากุระ หรือ “ฮานามิ” ของประเทศญี่ปุ่นเหมือนกัน หรืออย่างน้อยที่สุดก็เทียบเคียงได้กับช่วงที่ดอกนางพญาเสือโคร่งของทางภาคเหนือของไทยที่เบ่งบานพร้อมกันในช่วงหน้าหนาว แถมไม่ต้องขึ้นดอยขึ้นเขาไปชมอีกต่างหาก

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
ความงดงามที่ไปชมได้ง่ายๆ ในกรุงเทพฯ
       ใครที่อยากเห็นดอกไม้สวยๆ สีชมพูบานเต็มสวนรถไฟก็ต้องรีบมาดูกันก่อนที่ดอกจะร่วงเสียหมด แต่ถึงจะไม่มีดอกไม้ให้ชม สวนรถไฟก็ยังเป็นสถานที่พักผ่อนในวันหยุดที่เหมาะอยู่ดี เพราะในสวนนั้นนอกจากจะมีเส้นทางปั่นจักรยานและสนามหญ้ากว้างๆ ให้วิ่งเล่นแล้ว ก็ยังมี “เมืองจราจรจำลอง” เป็นสถานที่แห่งการสร้างจิตสำนึกในการเคารพกฎจราจรให้แก่เด็กและเยาวชน มี “ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ” ให้บริการด้านสถานที่ และอุปกรณ์กีฬาแก่สมาชิก มีสระว่ายน้ำ สนามฟุตซอล สนามฟุตบอล สนามสตรีทบอล ลานเปตอง ฟิตเนส และมีสระว่ายน้ำสำหรับเด็กของศูนย์เยาวชนวชิรเบญจทัศให้พ่อแม่พาลูกๆ มาเล่นน้ำกันได้ด้วย

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
เด็กๆ ปั่นจักรยานในเมืองจราจรจำลอง
       นอกจากนั้น ภายในสวนรถไฟยังเป็นที่ตั้งของ “อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ” ที่มีความรู้เกี่ยวกับผีเสื้อตั้งแต่ตอนเกิดและวงจรชีวิตที่ไม่เหมือนใคร มีความลับของผีเสื้อที่เราไม่เคยรู้มาก่อน อีกทั้งยังจะได้สัมผัสผีเสื้อตัวเป็นๆ ในบรรยากาศของธรรมชาติอย่างแท้จริงกับสถานที่ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของอุทยานผีเสื้อฯ นั่นคือกรงจัดแสดงผีเสื้อซึ่งเป็นกรงตาข่ายขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 1,168 ตร.ม. ภายในถูกเนรมิตให้มีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับธรรมชาติมากๆ มีทั้ง บ่อน้ำ ลำธาร น้ำตก มีดอกไม้นานาพันธุ์ และต้นไม้น้อย-ใหญ่ ขึ้นให้ครึ้มดูร่มรื่นสบายตา และมีเจ้าผีเสื้อสีสวยตัวเป็นๆ พากันบินวนเวียน ดอมดมดอกไม้ ต้นไม้ บินให้เห็นเต็มไปหมดภายในกรง

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
ผีเสื้อสวยๆ ในอุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ
       นอกจากนั้น อีกสถานที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือ “หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ” หรือ “สวนโมกข์ กรุงเทพฯ” ที่ก่อตั้งขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี พุทธทาส และอยู่ในพื้นที่ของสวนรถไฟแห่งนี้ ภายในหอจดหมายเหตุฯ เป็นทั้งแหล่งรวบรวมผลงาน เอกสาร เทปบันทึกเสียงศึกษาธรรมะ อันเป็นการสืบสานงานพระพุทธศาสนาผ่านงานของท่านของพุทธทาส และใครที่ต้องการหาความสงบให้จิตใจ ก็สามารถมาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ หรือแม้แต่นั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวก็ได้เช่นกัน โดยที่นี่มี “ลานหินโค้ง” ลานปฏิบัติธรรมหน้าพระโพธิ์สัตว์ ซึ่งเต็มไปด้วยภาพพุทธประวัติที่จำลองมาจากภาพพุทธประวัติชุดแรกจากอินเดีย มี “สวนปฏิจจสมุปบาท” สวนสวยที่เปิดโล่งไร้ซึ่งผนังและเพดาน ด้านข้างมีห้องนิทรรศการ “นิพพานชิมลอง” ที่เราจะได้รู้ว่านิพพานอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก

ชมพูหวานจับใจ เที่ยว “สวนรถไฟ” ชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” เบ่งบาน
อาคารหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
       วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ถ้าไม่มีธุระไปไหน “สวนรถไฟแห่งนี้” มีกิจกรรมดีๆ รออยู่มากมาย มาชมดอกชมพูพันธุ์ทิพย์สวยๆ และทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนและครอบครัวให้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีความสุขกันดีกว่า


       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“สวนสาธารณะวชิรเบญจทัศ” หรือ “สวนรถไฟ” ตั้งอยู่ที่ ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. 10900 (อยู่ด้านหลังสวนจตุจักร ด้านถนนพหลโยธิน ใกล้กรมการบินพลเรือน) เปิดให้บริการระหว่างเวลา 04.30 - 21.00 น. ทุกวัน รถประจำทางที่ผ่านบริเวณใกล้เคียงสาย3,8,26,27,28,29,34,38,39,44,55,63,90,96,104,112,134,138,ปอ.2,ปอ.3,ปอ.9,ปอ.10,ปอ.12,ปอ.13 หรือนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีหมอชิต แล้วเดินมายังสวนรถไฟ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาขึ้นที่สถานีจตุจักร แล้วเดินมายังสวนรถไฟได้เช่นกัน

"อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ" ตั้งอยู่ในสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เปิดให้บริการเที่ยวชม โดยไม่เสียค่าเข้าชม ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 08.30-16.30 น. (หยุดทุกวันจันทร์) สนใจเข้าเยี่ยมชมติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2272-4359-60, 0-2272-4680

“หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ” หรือ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในบริเวณสวนวชิรเบญทัศ (สวนรถไฟ) ถนนนิคมรถไฟสาย 2 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2936-2800, 0-2936-2900 หรือเว็บไซต์ : www.bia.or.th

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2557 21:27:00 น.   
Counter : 4294 Pageviews.  

“เกาะสุรินทร์”น้ำใส ทะเลสวย แหล่งดำน้ำตื้นดีที่สุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี

       โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“เกาะสุรินทร์”น้ำใส ทะเลสวย แหล่งดำน้ำตื้นดีที่สุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
อ่าวช่องขาด กับหาดหินหัวไก่ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเกาะสุรินทร์
       แรกที่บอกใครต่อใครว่าจะไปสุรินทร์

       หลายคนคิดว่าผมจะไปร่ำสุรา เพราะไปสุรินทร์ ต้องกินสุรา
       ส่วนบางคนก็คิดว่าผมจะไปเจอช้าง เพราะสุรินทร์เป็นถิ่นช้างใหญ่
       บ้างก็ว่าผมจะไปดูมนุษย์หน้าเกือก “จปส.”

       แต่เปล่าเลย งานนี้ผมจะไปดำน้ำ เล่นน้ำทะเล เพราะสุรินทร์ที่ผมไป ไม่ใช่จังหวัด หากแต่เป็น “หมู่เกาะสุรินทร์” แห่งดินแดนด้ามขวานทองของไทยต่างหาก

       1...

       หมู่เกาะสุรินทร์ ตั้งอยู่ในทะเลฝั่งอันดามัน ในเขตตำบลเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา

       ในอดีตที่นี่เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเลเผ่า“มอแกน”แบบไม่ถาวร แต่ปัจจุบันชาวมอแกนส่วนหนึ่งได้ลงหลักปักฐานอย่างถาวรอยู่ที่อ่าวบอน บนเกาะสุรินทร์(ใต้) (เดิมอาศัยอยู่ที่อ่าวไทรเอน) ซึ่งหมู่บ้านมอแกนบนเกาะสุรินทร์ในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวน่าสนใจบนเกาะสุรินทร์ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวชมไม่ได้ขาด(เรื่องราวของชาวมอแกนเกาะสุรินทร์ จะนำเสนอในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป)

“เกาะสุรินทร์”น้ำใส ทะเลสวย แหล่งดำน้ำตื้นดีที่สุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
หมู่บ้านมอแกนที่อ่าวบอน เกาะสุรินทร์ใต้
       เดิมหมู่เกาะแห่งนี้ไม่มีชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการ จนกระทั่ง“พระยาสุรินทราชา” เทศาเมืองภูเก็ต (นามเดิมนกยูง วิเศษกุล) ได้เดินทางออกสำรวจทะเลฝั่งอันดามันพบหมู่เกาะแห่งนี้ จึงได้ตั้งชื่อเกาะตามชื่อของตนว่า“หมู่เกาะสุรินทร์”(พระยาสุรินทราชาได้ชื่อว่าเป็นคนค้นพบหมู่เกาะสุรินทร์คนแรกอย่างเป็นทางการ)

       ต่อมาในปี พ.ศ.2524 หมู่เกาะสุรินทร์ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็น “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์”(ลำดับที่ 30) เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ปัจจุบันหมู่เกาะสุรินทร์ประกอบไปด้วย 5 เกาะ คือ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะรี(เกาะสตอร์คหรือเกาะไฟแว็บ) เกาะกลาง(ปาจุมบาหรือเกาะมังกร) และเกาะไข่(ตอรินลา)

       แม้เกาะสุรินทร์จะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวมานับสิบปีแล้ว แต่สภาพบนเกาะวันนี้ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งบนเกาะ และใต้น้ำ

       นับเป็นหนึ่งในทะเลไทยแสนงามที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่ดีที่สุดในเมืองไทย

“เกาะสุรินทร์”น้ำใส ทะเลสวย แหล่งดำน้ำตื้นดีที่สุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
ฝูงปลาตัวน้อยเป็นร้อยเป็นพัน (ภาพโดย : หนึ่งวุฒิภัทร สุนทรียภาพ)
       2...

       บนฝั่งพังงา

       ผมกับเพื่อนๆที่คิดจะไปเป็นชาวเกาะ(สุรินทร์)ชั่วคราว เดินทางมารวมตัวพร้อมกันที่ท่าเรือคุระบุรี ท่าเรือหลักในการเดินทางสู่เกาะสุรินทร์ จากนั้นเมื่อถึงเวลา สปีตโบ๊ทก็มุ่งหน้าออกจากฝั่งสู่เกาะสุรินทร์ ใช้เวลานั่งกระเด้งกระดอนตามแรงคลื่นราวชั่วโมงเศษๆก็มาถึงยังเกาะสุรินทร์

       พูดถึงทริปการเที่ยวเกาะสุรินทร์ที่นิยมกันในวันนี้ ส่วนใหญ่จะมาเที่ยวกันแบบ One Day Trip ไปถึงสายๆกลับราวๆบ่ายสาม กินข้าวเที่ยงบนเกาะ เล่นน้ำทะเลนิดหน่อย แล้วก็ดำน้ำดูปะการังอีกประมาณ 4 จุด

       แต่สำหรับคณะเรานั้น เพื่อต้องการสัมผัสหมู่เกาะสุรินทร์แบบเต็มอิ่ม จึงขอพักค้างบนเกาะ 3 วัน 2 คืน โดยจุดพักของนักท่องเที่ยวนั้นอยู่บนเกาะสุรินทร์เหนือ มี 2 จุดให้เลือกพัก คือที่ “อ่าวไม้งาม” และ“อ่าวช่องขาด” ที่เป็นจุดพักนอนเต็นท์ของผมในทริปนี้

“เกาะสุรินทร์”น้ำใส ทะเลสวย แหล่งดำน้ำตื้นดีที่สุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
บ่างช่างเกาะ
       อ่าวช่องขาดเป็นมีลักษณะเป็นร่องน้ำที่คั่นกลางระหว่างหมู่เกาะสุรินทร์เหนือและใต้ แบ่งเป็น 2 โซน คือโซนหน้าอ่าวเป็นจุดจอดเรือ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานฯ มีป้ายอุทยานฯเกาะสุรินทร์ตั้งเด่นหรา ถัดเข้ามาเป็น “เหนียะเอนหล่อโบง” หรือ “เสาวิญญาณบรรพบุรุษ”ของชาวมอแกนที่ทางอุทยานฯอัญเชิญมาตั้งไว้ ใครที่ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ อย่าไปทำอุบาทอนาจาร เพราะเคยเกิดเหตุการณ์มีอันเป็นไปโดยไม่ทราบสาเหตุกับพวกชอบลองของลบหลู่มาหลายคนแล้ว

       ส่วนโซนด้านหลัง เป็นจุดกางเต็นท์ มีหาดทรายยาวขาวเนียน ยามน้ำลงชายหาดจะกว้างใหญ่มาก บริเวณนี้มีทะเลสวยใสสีเขียวอมฟ้าอ่อนราวกับสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ แม้อ่าวช่องขาดในโซนนี้จะเป็นเขตน้ำตื้น แต่ก็มีร่องน้ำลึกที่น้ำไหลเชี่ยวและเป็นเส้นทางเดินเรือ ซึ่งเป็นจุดอันตรายห้ามเล่นน้ำเด็ดขาด

       ขณะที่ช่วงปลายเปิดของอ่าวช่องขาดนั้น เป็นที่ตั้งกลุ่มหินเล็กๆรูปร่างประหลาด ดูคล้ายหัวไก่ตั้งเด่นเป็นสง่าและเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของเกาะสุรินทร์ ที่มีคนนิยมไปถ่ายรูปคู่กับหัวไก่กันเป็นจำนวนมาก

       นอกจากนี้ที่อ่าวช่องขาดโซนด้านหลัง ยังมีความตื่นตาตื่นใจให้ลุ้นเฝ้าชมกันนั่นก็คือ ที่นี่เป็นแหล่งหากินของเต่าทะเล เราจึงมีโอกาสพบเจอเต่าทะเลมาแหวกว่ายหากินได้อย่างไม่ยากเย็น ส่วนบริเวณบนฝั่งของอ่าวช่องขาดนั้นก็มี เจ้าจ๋อ“ลิง”จอมกวน ที่มักจะมาโผล่คอยกวนนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง

       เจ้าหน้าที่บนเกาะเล่าเรื่องขำๆเกี่ยวกับลิงที่นี่ให้ผมฟังว่า เคยมีลิงมาหยิบมือถือของนักท่องเที่ยวหนีขึ้นไปบนต้นไม้ ทำยังไงมันก็ไม่ยอมคืน สุดท้ายต้องใช้วิธีโทร.เข้ามือถือเครื่องนั้น ปรากฏว่ามันได้ยืนเสียงตกใจ โยนมือถือทิ้ง เจ้าหน้าที่วิ่งตามไปรับมือถือทัน นักท่องเที่ยวจึงได้มือถือคืน

       เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจว่าจริงหรือโม้ แต่ว่าลิงที่นี่มันซนจริงๆ ตรงข้ามกับเจ้าสัตว์อย่างบ่างตัวโต ที่มันมักโฉบบินมาเกาะอยู่บนลำต้นไม้ อวดโฉมนิ่งสนิทให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเพลิน

       เป็น“บ่างช่างเกาะ”ที่ไม่ใช่“บ่างช่างยุ”แต่อย่างใด

“เกาะสุรินทร์”น้ำใส ทะเลสวย แหล่งดำน้ำตื้นดีที่สุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
ปลาการ์ตูน ดาวเด่นแห่งโลกใต้ทะเล เกาะสุรินทร์(ภาพโดย : หนึ่งวุฒิภัทร สุนทรียภาพ)
       3…

       ที่อ่าวช่องขาด ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 1 กม. เดินไปยัง“อ่าวกระทิง” ที่เป็นชายหาดสงบ มีเวิ้งอ่าวให้เล่นน้ำ และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกผ่านเขาช่องขาดชั้นดี

       นอกจากนี้ที่นี่ยังมีต้นกระทิงยักษ์ ต้นสูงกว่า 25 เมตร แผ่กิ่งก้านใบตระหง่านง้ำ โดยเฉพาะกิ่งที่ทอดตัวสู่ชายหาดนั้น เป็นกิ่งไม้ที่ขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าลำต้นไม้ใหญ่หลายๆต้นเสียอีก ขณะที่ตามโขดหินแถวอ่าวกระทิงนั้นก็มักจะมีปูจำนวนมากไต่ปีนป่ายขึ้นมาเกาะ หยัดยืนสู้กับน้ำทะเลที่ซัดสาด

       จากอ่าวกระทิงเดินไปอีกประมาณ 800 เมตร จะเป็น “อ่าวไม้งาม” อีกหนึ่งจุดพักค้างบนเกาะ อ่าวไม้งามเป็นอ่าวขนาดใหญ่โค้งยาว มีหาดทรายขาว ป่าชายหาด ป่าชายเลน นอกจากนี้ยังมีโลกใต้ทะเลที่สวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่งจุดดำน้ำตื้นที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

       4...

       แม้เกาะสุรินทร์จะได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำตื้นอันดับหนึ่งที่ดีที่สุดในเมืองไทย แต่ปะการังและโลกใต้ทะเลที่นี่ ได้เคยประสบกับ 2 วิกฤติสำคัญ คือ สึนามิปี 2547 และวิกฤติปะการังฟอกขาว เมื่อช่วง 4-5 ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ปะการังน้ำตื้นที่เกาะสุรินทร์เสียหายไปพอสมควร

       ดังนั้นการดำน้ำชมโลกใต้ทะเลของผมในทริปนี้ นอกจากจะได้พบกับสัตว์ทะเล และปลาทะเลจำนวนมากแล้ว ยังได้พบเจอปะการังใน 3 รูปแบบคือ ปะการังที่ยังมีชีวิตอยู่ ปะการังที่กำลังเกิดใหม่ และซากปะการังตาย ขึ้นปะปนกันไป นับเป็น 3 รส 3 อารมณ์ ที่ได้แต่เฝ้าภาวนาว่าในอนาคตปะการังที่นี่อย่าได้เผชิญกับปัญหาวิกฤติใดๆอีกเลย

       สำหรับจุดดำน้ำตื้นที่เกาะสุรินทร์นั้น หากไปเที่ยวแบบ One Day Trip ทางบริษัททัวร์มักจะให้ดำใน 4 จุดใกล้ๆกันไล่เรียงตามลำดับ ดังนี้ (ดำครั้งละประมาณ 40-45 นาที)

       -อ่าวแม่ยายเหนือ เป็นอ่าวที่คลื่นลมสงบ พบปะการังเขากวาง ผักกาด จาน โดยมีปะการังเขากวางจำนวนหนึ่งกำลังงอกเกิดใหม่ หลังต้องตายไปจากการฟอกขาว ส่วนปลานั้นก็ให้ชมกันหลากหลาย ที่เด่นๆ ก็เป็นปลาการ์ตูนนีโม ปลาผีเสื้อ เป็นต้น
       -อ่าวบอน ที่นี่จะมีปลาสิงโตใต้โขดหินให้ชม ซึ่งไกด์จะพาไปชมยังจุดที่มันอาศัยอยู่
       -อ่าวสับปะรด อ่าวชื่อน่ากินกับพริกเกลือนี้ มีปะการังให้ชมกันเยอะทีเดียว นับเป็นอ่าวที่มีปะการังสวยที่สุดในบรรดา 4 อ่าวทั้งหมด
       -อ่าวช่องขาด จุดที่ผมไปดำนั้นเป็นจุดที่มีปลาการ์ตูนอยู่มาก จนฝรั่งเรียกว่า “นีโมพาราไดซ์” เจอปลาการ์ตูนแหวกว่ายอยู่นับสิบตัวเลยทีเดียว

       ด้านใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวแบบ One Day Trip หากจะไปออกเรือ(หางยาว)ดำน้ำ ก็สามารถตกลงเป็นกรณีพิเศษกับไกด์ได้ว่าจะควรจะไปดำที่จุดไหน แต่โดยปกติไกด์จะกำหนดจุดดำหลักๆไว้ให้อยู่แล้ว เพราะต้องดูเรื่องของสภาพคลื่นและสภาพน้ำ

       สำหรับ 5 จุดดำน้ำตื้นเด่นๆ(นอกเหนือจาก 4 จุดดำน้ำของทริป แบบ One Day Trip) ในทริป 3 วัน 2 คืนที่มีโอกาสไปดำดูมานั้น ได้แก่

       1.อ่าวเต่า เป็นอ่าวที่มีปะการังน้ำตื้นสมบูรณ์ที่สุดของหมู่เกาะสุรินทร์ในปัจจุบัน ที่นี่มีปะการังหลากหลาย ส่วนปลาการ์ตูนนโปเลียนก็มีอยู่พอสมควร หรือถ้าโชคดีจะพบ กระเบนราหูและฉลามวาฬ อีกด้วย

       2.อ่าวสุเทพ ชื่ออ่าวที่กำลังโด่งดังเป็นขวัญใจมวลมหาประชาชน ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนเมื่อมาที่นี่มักจะถามหานกหวีด บ้างก็ร้องเพลงสู้ไม่ถอย ที่นี่มีแนวปะการังยาวร่วม 1 กม. โดยเฉพาะปะการังผักกาดนั้นยังคงความสมบูรณ์ ให้สีสันสวยงาม มีฝูงปลามากมายให้ชม มีกุ้งมังกร ปลาการ์ตูน และมีกัลปังหาสีแดงพลิ้วไหวไปตามความแรงของคลื่นใต้น้ำ
       08 หินกอง
       3.หินกอง หรือ หินแพ เป็นกองหินขนาดเล็กโผล่พ้นน้ำ ดูคล้ายหินโสโครก แม่บ้านชาวมอแกนนิยมมาเก็บหอยนางรมที่นี่ ใต้น้ำกองหินวันนี้แม้ปะการังจะตายไปมาก แต่ปลาที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ถือเป็นแหล่งดำน้ำตื้นดูปลาที่ดีมากแห่งหนึ่งเกาะสุรินทร์ ซึ่งบางทีอาจพบเจอฉลามและกระเบนอีกด้วย

       4.เกาะมังกร เป็นแหล่งกุ้งมังกรตามชื่อเกาะ เดิมอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดได้ชื่อว่ามีคอนโดกุ้งมังกรอยู่ ที่นี่จะพบปลาการ์ตูนอินเดียนแดงมกพอสมควร และถ้าโชคดีก็จะพบเต่าทะเล เพราะเป็นแหล่งวางไข่ของงเต่าทะเล

       5.อ่าวแม่ยายใต้ ที่นี่มีแนวปะการังเขากวางให้ชม มีปลากเยอะ แถมวันนั้นผมยังพบกับปลาการ์ตูนนีโมตัวเบ้อเริ่ม แหวกว่ายอยู่ในดอกไม้ทะเล ถือเป็นอีกหนึ่งจุดสะดุดตา ที่ทำให้ดำดูความน่ารักของมันเสียนานทีเดียว

       ครับและนั่นก็เป็น 5 จุดดำน้ำตื้นเด่นๆ(+4 จุดดำน้ำ One Day Trip) ที่ไกด์พาผมไปสัมผัสมา ในทริปเที่ยวเกาะสุรินทร์ ซึ่งผมขอบอกว่าการพักค้าง 2 คืน บนเกาะสุรินทร์ในวันธรรมดาที่มีนักท่องเที่ยวพักค้างกันเพียงน้อยนิดนั้น มันได้บรรยากาศสุดๆ เพราะมีความสงบ เป็นส่วนตัวมาก หากใครถ้ามีโอกาสสามารถลางานมาเที่ยวเกาะสุรินทร์ในวันธรรมดาได้ก็ขอแนะนำเลย ส่วนถ้าไม่สามารถลามาได้ ต้องมาเที่ยวแบบไฟท์บังคับในวันหยุดยาวก็ต้องรับสภาพบรรยากาศของตลาดนัดไปตามระเบียบ

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000023257




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2557 21:31:04 น.   
Counter : 1415 Pageviews.  

ตะลึง!!!“ฉลามวาฬ” ยักษ์ใหญ่ใจดี ปีนี้โผล่ชุกที่เมืองไทย

ตะลึง!!!“ฉลามวาฬ” ยักษ์ใหญ่ใจดี ปีนี้โผล่ชุกที่เมืองไทย
ฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเล ว่ายน้ำเล่นที่เกาะตาชัย เมื่อ ก.พ.57 (ภาพจาก FB : Armi Blue)
“ฉลามวาฬ” สัตว์น้ำที่ชื่ออาจจะดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วกลับได้รับฉายาว่าเป็นยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเล สิ่งที่ดูน่ากลัว อาจจะมาจากขนาดตัวที่ใหญ่โตมโหฬาร เพราะฉลามวาฬนั้นเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ที่ฉลามวาฬก็เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีนั่นก็เพราะมันกินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร จึงไม่ได้ทำอันตรายแก่มนุษย์

       ฉลามวาฬ เป็นหนึ่งในสัตว์ที่นักดำน้ำทั่วโลกปรารถนาจะได้เห็นสักครั้งในชีวิต ด้วยความใหญ่โตมโหฬาร ลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ และความที่หาตัวได้ยาก บางคนถึงขนาดบอกว่าต้องคนมีโชคเท่านั้นถึงจะได้เจอ

       นั่นก็เพราะฉลามวาฬจะอาศัยอยู่ในแถบทะเลเขตร้อนทั่วโลก (ยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) และจะอาศัยในน้ำที่มีอุณหภูมิระหว่าง 21-26 องศาเซลเซียส โดยจะพบในเขตที่มวลน้ำอุ่นปะทะกับน้ำเย็น ซึ่งเป็นบริเวณที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอน อันเป็นอาหารหลักของฉลามวาฬ

ตะลึง!!!“ฉลามวาฬ” ยักษ์ใหญ่ใจดี ปีนี้โผล่ชุกที่เมืองไทย
ฉลามวาฬออกมาโชว์โฉมบริเวณเกาะห้า เมื่อ ก.พ.57 (ภาพจาก FB : Armi Blue)
       ฉลามวาฬจะกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารโดยการเปิดปากกว้างและว่ายน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อดักอาหารเข้าปาก กรองกินสิ่งมีชีวิตเล็กๆ และปล่อยน้ำออกทางช่องเหงือก ซึ่งปกติแล้วมันจะกินอาหารที่ผิวน้ำ หรือต่ำลงไปเล็กน้อย

       เจ้าฉลามวาฬยักษ์ใหญ่ มีนิสัยชอบว่ายน้ำไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจใคร หน้าตามึนๆ แต่ก็น่ารักแบบนี้ จึงเป็นที่สนใจของนักดำน้ำทั่วไป ซึ่งปกติแล้วนั้นอาจจะเจอบ้างไม่เจอบ้าง แต่ในปีนี้ (2557) ถือว่าเป็นปีที่ฉลามวาฬว่ายน้ำออกมาอวดโฉมให้นักดำน้ำได้ยลอยู่บ่อยๆ

ณัฐพล พลบำรุงวงศ์ นักดำน้ำชาวไทย เล่าว่า ในปีนี้เจอฉลามวาฬในทะเลไทยค่อนข้างเยอะ ทั้งที่หมู่เกาะสิมิลัน เกาะตาชัย เกาะสุรินทร์ กองหินริเชลิว ซึ่งแต่ละจุดนั้นเป็นสถานที่ที่สามารถพบฉลามวาฬได้อยู่แล้ว เพียงแต่ในปีนี้มีให้เห็นมากและถี่ขึ้น

ตะลึง!!!“ฉลามวาฬ” ยักษ์ใหญ่ใจดี ปีนี้โผล่ชุกที่เมืองไทย
ยักษ์ใหญ่มีปลาตัวเล็กๆ ว่ายตามเป็นพรวน (ภาพจาก FB : Armi Blue)
       “ในทะเลไทย ปกติก็จะเจอฉลามวาฬได้ตามจุดดำน้ำต่างๆ อย่างฝั่งอ่าวไทยก็จะเห็นแถวๆ ร้านเป็ด ร้านไก่ ที่ชุมพร ส่วนฝั่งอันดามันก็พบได้ทั่วไปตามแหล่งดำน้ำที่ค่อนข้างลึกหน่อย ซึ่งปกติเค้าก็จะว่ายน้ำเข้ามาหากินตามแนวเกาะบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก”

       “สำหรับปีนี้จะเจอฉลามวาฬบ่อยกว่าปกติ บางคนได้เจอฉลามวาฬแบบใกล้ๆ เลย คือนักท่องเที่ยวจะลงไปดำสน็อกเกิล จอดเรืออยู่ก็สามารถลงไปว่ายน้ำดูปลาเห็นชัดเจนเลย ไม่ต้องดำน้ำลึกก็สามารถมองเห็นได้ คิดว่าที่ปีนี้เราได้เห็นฉลามวาฬเยอะขึ้นน่าจะมาจากเรื่องอุณหภูมิของน้ำที่เย็นขึ้นนิดหน่อย พอกระแสน้ำเย็นพัดมาก็จะพาเอาแพลงก์ตอนขึ้นมาด้านบนด้วย ทำให้ฉลามวาฬมาหากินให้เราเห็น”

       “สำหรับตัวผมในปีนี้ลงดำน้ำแล้วเจอฉลามวาฬที่เกาะสุรินทร์ เค้าว่ายเข้ามาตามแนวหน้าหินกอง แต่ขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่นักดำน้ำคนอื่นๆ ที่เขาดำอยู่แถวๆ เกาะตาชัย เกาะบอน เห็นว่าเจอกันค่อนข้างถี่มาก บางคนถ่ายรูปมาลงเยอะเลยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งช่วงเดือนกุมภาบางปีก็เจอถี่ อย่างเช่นปีนี้ แต่บางปีก็เจอแค่ตัวสองตัว”

ตะลึง!!!“ฉลามวาฬ” ยักษ์ใหญ่ใจดี ปีนี้โผล่ชุกที่เมืองไทย
ปีนี้ฉลามวาฬว่ายมาให้ดูกันใกล้ๆ เห็นชัดๆ แถวหมู่เกาะสุรินทร์ (ภาพจาก FB : Armi Blue)
       นักดำน้ำชาวไทยยังเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอฉลามวาฬกับตาตัวเองว่า “ครั้งแรกที่เจอฉลามวาฬ ก็เจอที่ริเชลิว สักเกือบสิบปีแล้ว หลังจากนั้นก็มาเจอแถวๆ อันดามันเหนือที่ค่อนข้างจะเห็นบ่อยหน่อย ครั้งแรกที่เจอมันตัวใหญ่มาก ใหญ่จนน่ากลัว ถ้าใครไม่เคยเจอมาก่อนแล้วมาเห็นตัวกลางๆ เล็กๆ ก็ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าไปเจอตัวใหญ่นี่จะค่อนข้างน่ากลัวนิดนึง มันจะดูมืดๆ มาเลย”

       ส่วนพฤติกรรมของฉลามวาฬนั้น ณัฐพล อธิบายว่า “ฉลามวาฬจะว่ายน้ำช้าๆ ไปเรื่อยๆ ว่ายไปแบบไม่ค่อยจะสนใจอะไรเป็นพิเศษ เค้าจะว่ายแล้วก็กรองแพลงก์ตอนกินไปเรื่อยๆ แล้วก็ชอบมีปลาเหาฉลาม หรือปลาอื่นๆ ว่ายตามเค้ามา บางทีก็มีจำนวนเยอะเหมือนกัน แต่เค้าไม่เป็นอันตรายกับคนนะครับ เค้าเป็นสัตว์ตัวใหญ่ใจดี ยาวได้เป็น 10-12 เมตร”

       สำหรับนักดำน้ำ หรือนักท่องเที่ยวที่ลงไปดำน้ำแล้วได้พบกับฉลามวาฬ ณัฐพลให้คำแนะนำว่า สามารถดำน้ำ ว่ายตามดูฉลามวาฬได้ แต่อย่าไปว่ายดักหน้าดักหลัง หรืออย่างไปสัมผัส แตะตัว หรือว่าเข้าใกล้ฉลามวาฬมากนัก ควรจะรักษาระยะห่างประมาณ 3-4 เมตร เนื่องจากฉลามวาฬว่ายน้ำแล้วไม่ค่อยสนใจรอบข้าง จะว่ายน้ำไปเรื่อยๆ ถ้าเราไปว่ายน้ำตามหลังอาจจะโดนหางฟาดมาได้ ค่อนข้างเป็นอันตราย

       หากใครที่อยากจะไปชมฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเล สิ่งหนึ่งที่ควรระลึกไว้เสมอก็คือ เราต้องช่วยกันปกป้องและรักษาท้องทะเลอันเป็นบ้านและที่อยู่อาศัยของฉลามวาฬ รวมถึงสัตว์น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลาย เพราะหากบ้านสกปรก ก็คงไม่มีใครอยากจะอาศัยอยู่ และวันนั้นเราก็คงจะไม่ได้เห็นฉลามวาฬในท้องทะเลไทยอีกต่อไป


       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *  


จุดที่มักพบฉลามวาฬในทะเลไทย
แม้ว่าฉลามวาฬจะพบได้ทั่วไปในท้องทะเลไทย (ที่มีน้ำค่อนข้างลึก) แต่มีจุดดำน้ำบางจุดที่สามารถพบฉลามวาฬได้บ่อยกว่าที่อื่น ดังนี้

กองหินริเชลิว ทะเลอันดามันเหนือ พื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ รวมถึงเกาะบอน เกาะตาชัย ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่พบฉลามวาฬบ่อยที่สุด โดยจะพบประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน

หินม่วง-หินแดง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา พบช่วงเดือนมกราคม

เกาะเต่า-เกาะนางยวน จ.สุราษฎร์ธานี

ทะเลชุมพร บริเวณหินแพ เกาะง่ามใหญ่-เกาะง่ามน้อย

กองหินโลซิน ฝั่งอ่าวไทย มักพบในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน

เกาะตะรุเตา จ.สตูล

ระยอง-ตราด บริเวณเกาะรัง จ.ตราด เกาะทะลุ, หมู่เกาะมัน, หินเพลิง จ.ระยอง จะพบฉลามวาฬทางอ่าวไทยฝั่งตะวันออกในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์



       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2557 21:09:51 น.   
Counter : 1565 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]