Group Blog
 
All blogs
 

นักเขียนมุสลิม คุณนิมิตร เลาะมะ เรียบเรียง

ซะการียา อิดรีส
ที่อยู่
มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นครปฐม
อาชีพ
นักศึกษาปริญญาโทสาขาศาสนาเปรียบเทียบ ภาควิชามนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การศึกษา
ปริญญาตรี อิสลามศาสตร์ ภาษาและวรรณคดีอาหรับ มหาวิทยาลัยดารุล อูลุมนัดวาตุ้ล อูลามา ประเทศอินเดีย
ผลงาน
-ด้วยจิตวิญญาณอันเปี่ยมสุข

อับดุลเลาะ อับรู
นามปากกา
ซะการียา อัลนัดวีย์
ที่อยู่
ต.ปูยุด อ.เมือง จ.ปัตตานี
อาชีพ
หัวหน้าโครงการแผนกวิชาเศรษฐศาสตร์และการจัดการในอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
การศึกษา
เศรษฐศาสตร์มหาบํณฑิต มหาวิทยาลัยลัคเนาว์ ประเทศอินเดีย
ผลงาน
-อิสลามและมุสลิม
-ระบบเศรษฐกิจอิสลามเบื้องต้น
-บันทึกความในของผู้แสวงหา

เสาวนีย์ จิตต์หมวด
ที่อยู่
อิสรภาพ 9 หิรัญรูจี ธนบุรี กทม
อาชีพ
รองศาสตราจารย์ ระดับ 9
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏธนบุรี
การศึกษา
ปริญญาโท สังคมและมานุษยวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงาน
-วัฒนธรรมอิสลาม
-กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยมุสลิม
-อิสลามกับชาวไทยมุสลิม
-ข้อเท็จจริงและการตีความในอิสลามเรื่องสุขภาพอนามัยและบทบาทหญิงชายมุสลิม
-ผู้หญิงมุสลิมในยุคไฮเทค

สง่า วิไลวรรณ
ภัทระ คาน
ถวัลย์ ภู่เงิน
ดนรอหีม สุนทรมาลาตี
ฆุลามมุฮัมมัด อคุนซาด้า
รังสรรค์ เอมสุวรรณ์
มุฮัมมัด ส่าเหล็ม
มุฮัมมัด พายิบ
จารึก เซ็นเจริญ
สามารถ มีสุวรรณ
อรุณ บุญชม
ไรน่าน อรุณรังษี
ศ.ดร.อิมรอน มะลูลีม
ซอยรามคำแหง 5 ถนนรามคำแหง แขวงสวนหลวง
เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
ชัช หะซาเล็ม
สุพล บุญมาเลิศ
สมศักดิ์ มูหะหมัด
สมชาย นีละไพจิตร
อาลยัส หะยีสาและ
ประเสริฐ มินิ
มัรวาน สะมะอูน
ศิริ(ซำซุดดีน) และมัด
ประจักษ์ ช่วยไล่
สมบูรณ์(ยะอกู๊บ) สืบสุข
สามารถ หมัดตะพงศ์
ปริญญา ประหยัดทรัพย์
ผช.ศจ.อิสมาแอล อาลี
ผศ. หะสัน หมัดหมาน
อับดุลรอชีด เจะมะ
อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต
รศ.ดลมนรรจน์ บากา
ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข
ดร.จรัญ มะลูลีม
อัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง
ปราโมทย์ ตะวันธรงค์
แพทย์หญิงวารุณี อมรทัต

ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์


บรรจง บินกาซัน
อาลี เสือสมิง
ประยูรศักดิ์ ชลายนเดชะ
ปรีชา เริงสมุทร
ร.ศจ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
Books by Chaiwat Satha-Anand
อาหมัดอูมาร์ จะปะเกีย
ต่วน สุวรรณศาสตร์

ลดา อมรทัต
บ้านใหม่
แปลจากหนังสือ The Ark
โดย Margot Benary Isbert.
กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ, 2527, 356 หน้า, ภาพประกอบ
หนังสือระดับ มัธยมศึกษา
สาขาวิชา วัฒนธรรม

เรื่องราวชีวิตการต่อสู้ของครอบครัวหนึ่ง ที่แตกฉานซ่านเซ็นเพราะภัยสงครามโลก ครอบครัวนี้ต้องพลัดพรากจากพ่อ ทุกคนจึงต้องทำงานหนักเพื่อสร้างชีวิตใหม่ แต่ในที่สุดทั้งหมดก็ได้กลับมาร่วมชีวิตกันอีกครั้งหนึ่งในบ้านใหม่ เนื้อหานอกจากให้ความบันเทิงแล้ว ยังให้คุณค่าชีวิตสามารถนำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งในด้านการประกอบอาชีพและด้านจริยธรรม เหมาะสำหรับใช้เป็นหนังสือส่งเสริมการอ่าน ระดับมัธยมศึกษา

โลกที่แท้จริงของประชาธิปไตย
แปลจากหนังสือ The Real World of Democracy
โดย C.B. Macpherson.
กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ, 2529. 73. หน้า. ภาพประกอบ
หนังสือระดับ มัธยมศึกษา
สาขาวิชา สังคมศาสตร์

กล่าวถึงพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย และความเป็นมาของประชาธิปไตยในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนความสัมพันธ์ของประชาธิปไตยกับระบบสำคัญอื่น ๆ ในสังคมของประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทราบ เพื่อจะได้ช่วยธำรงรักษาส่วนที่ดีของประชาธิปไตยไว้ เนื้อหาเช่นนี้จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชน

ดร.ขัตติยา กรรณสูต
มาลินี วงศ์พานิช(อมรทัต)
อิสรา อมันตกุล
อับดุลเราะห์มาน ป้อมขุนพรหม
เสกสิทธิ์(อีซา) สิงห์งาม
วิสุทธิ์(ฏอบรอนีย์) บินล่าเต๊ะ
อาศิส พิทักษ์คุมพล

Home Page ที่น่าสนใจสำหรับชาวห้องสมุด




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2548    
Last Update : 22 กันยายน 2550 23:18:38 น.
Counter : 1766 Pageviews.  

อาหารและธุรกิจต้องห้ามในอิสลาม



เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ เพราะการกินเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจ ถ้ามนุษย์ต้องการกินสิ่งใด มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งนั้นขึ้นมาตอบสนอง

ถ้ามนุษย์รู้จักกินของดีและมีประโยชน์ มนุษย์ก็จะผลิตแต่ของดีและมีประโยชน์ต่อมนุษย์เอง แต่ในทางตรงข้ามถ้ามนุษย์กินของที่เป็นโทษ มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งที่เป็นโทษออกมาตอบสนองซึ่งจะเป็นโทษต่อมนุษย์เองหรือถ้าไม่รู้จักกินมนุษย์ก็จะกินทุกอย่างแม้กระทั่งเนื้อหมาและกินเลือดกินเนื้อของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นคำสอนของทุกศาสนาจึงวางกรอบการกินไว้สำหรับมนุษย์มานานนับตั้งแต่โลกนี้ยังไม่มีกฎหมายและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้มิใช่เพื่ออะไรนอกไปจากเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์นั่นเอง แม้แต่สัตว์ก็ยังมีกรอบการกินของมันเอง เช่น ปศุสัตว์ทั้งหลายจะกินแต่หญ้าและพืช ไม่กินเนื้อในขณะที่สัตว์มีเขี้ยวเช่นเสือ จระเข้ก็จะกินแต่เนื้อ ไม่กินพืช

คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่าแม้แต่คำสอนของพุทธศาสนาเองก็ยังห้ามดื่มสุราเหมือนกับคำสอนของศาสดาคนอื่นๆ
คัมภีร์ไบเบิลเองก็มีข้อจำกัดเรื่องอาหารมากกว่าคำสอนของพุทธศาสนาเพราะนอกจากจะห้ามสิ่งมึนเมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลยังห้ามกินเนื้อหมูและเนื้อสัตว์อื่นๆอีกบางชนิดด้วย ดังนั้นถ้าคนคริสเตียนเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลจริงๆก็จะต้องไม่กินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ๆก็คือชาวยิวที่ยึดถือคัมภีร์โตราห์(หรือพันธสัญญาเดิม)จะไม่กินเนื้อหมูและอาหารบางประเภทที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ของตนด้วยเช่นกัน ชาวยิวมีกฎหมายกำหนดว่าอะไรที่กินได้และอะไรที่ศาสนาไม่อนุมัติให้กินเป็นของตนเองโดยเฉพาะ สิ่งที่ศาสนาของชาวยิวอนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “โคเชอร์” ส่วนอาหารที่ศาสนาของชาวยิวไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “เทรฟาห์” (สิ่งต้องห้าม) เช่น เลือด เนื้อหมู กระต่าย สัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก นกป่า เป็ดป่า และนกล่าเนื้อ เป็นต้น (ดูพันธสัญญาเก่า ฉบับอพยพ 22:31)

ที่กล่าวมานั้นเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีกรอบในการกินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว และเรื่องการกินก็เป็นสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรดังคำพังเพยที่ว่า “ยูอาร์ว็อทยูอีท” (You are what you eat) หรือ “คุณเป็นอย่างที่คุณกิน” ถ้ามนุษย์กินทุกอย่างที่ขวางหน้า มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากหมู ชาวยิวรักษาความเป็นยิวไว้ได้ก็เพราะชาวยิวมีอาหารการกินเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ดังนั้น ถ้าใครจะถามชาวยิวว่าทำไมจึงไม่กินนั่นไม่กินนี่ คำตอบที่จะได้ก็คือมันเป็นคำสั่งทางศาสนาที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม

สำหรับมุสลิมก็เช่นกัน การกินไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อความสะอาด ความเข้มแข็งและการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ด้วย เพราะอาหารที่สกปรกในทัศนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่จะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่มันยังจะทำให้วิญญาณพลอยสกปรกไปด้วยและที่สำคัญก็คือการกินอาหารต้องห้ามเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าไม่รับคำวิงวอน(ดุอาอ์)ของคนผู้นั้น
ดังนั้น มุสลิมจึงมีกฎเกี่ยวกับอาหารเช่นเดียวกับชาวคัมภีร์รุ่นก่อนๆ สิ่งที่ศาสนาอิสลามอนุมัติให้มุสลิมกินได้นั้นเรียกว่า “ฮะลาล” ส่วนสิ่งต้องห้ามนั้นเรียกว่า “ฮะรอม” แต่กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับเรื่อง “ฮะลาล” และ “ฮะรอม” นั้นจะละเอียดและกว้างขวางครอบคลุมพฤติกรรมอื่นๆของมนุษย์ในทุกๆด้านนอกเหนือไปจากเรื่องอาหารการกินด้วย อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมุสลิมนั้นขึ้นอยู่กับการกินและการทำสิ่งที่ “ฮะลาล” และละเว้นจากสิ่งที่ “ฮะรอม” นั่นเอง

หากใครถามว่าใครเป็นผู้กำหนดว่าอะไรเป็นสิ่ง “ฮะลาล” และอะไรเป็นสิ่ง “ฮะรอม” ? คำตอบก็คือพระเจ้า และหลักการอิสลามก็ห้ามมนุษย์ไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ใครถืออำนาจบาทใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงก็หมายความว่าคนนั้นกำลังตั้งตัวเป็นพระเจ้าแข่งกับพระองค์ นรกกินกบาลตราบกาลนานครับ ตัวอย่างชัดๆที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือพระเจ้าสั่งห้ามกินดอกเบี้ย ห้ามเสพสิ่งมึนเมา แต่มนุษย์ฝ่าฝืน ความวิบัติฉิบหายจึงเกิดขึ้นให้เราเห็นดังทุกวันนี้

กฎการกินของอิสลาม
1) อาหารและสิ่งที่จะนำมาใช้ต้องเป็นที่อนุมัติและสะอาด (ฮะลาลันและฏ็อยยิบัน)
2) เป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์
3) กินอย่างพอประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือยหรือสุรุ่ยสุร่าย เพราะคนที่สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของมาร
อะไรบ้างที่เป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม ?
1) เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เยลละตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)
2) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ถือเป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม
3) เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะเนื้อของสัตว์เหล่านี้อาจเป็นอันตรายจากโรคที่ทำให้สัตว์นั้นตาย
4) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ ทั้งนี้เนื่องจากการฆ่าเป็นวิธีการที่ทารุณและการฆ่าโดยวิธีนี้ไม่ทำให้เลือดของสัตว์ไหลออกมา
5) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิต และชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน หากไม่กล่าวนามพระเจ้าก็แสดงว่าไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของชีวิตสัตว์และขโมยทรัพย์สินของพระองค์ นอกจากนั้นแล้ว คนที่จะกล่าวนามพระเจ้าในตอนเชือดสัตว์นั้นก็ต้องเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาในพระองค์ด้วย มิเช่นนั้นแล้ว เนื้อของสัตว์นั้นก็เป็นที่ต้องห้าม ชาวยิวสมัยก่อนก็เชือดสัตว์โดยกล่าวนามพระเจ้าด้วยเช่นกัน แต่ในปัจจุบันนี้ ชาวยิวไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้แล้ว เนื้อของสัตว์ที่ชาวยิวเชือดซึ่งมุสลิมเคยได้รับการอนุมัติให้กินได้ในสมัยอิสลามยุคต้นจึงไม่เป็นที่ปลอดภัยสำหรับมุสลิมในปัจจุบัน แต่ชาวยิวจะสามารถกินเนื้อที่มุสลิมเชือดได้อย่างปลอดภัย
6) อาหารใดๆก็ตามที่นำไปเซ่นสรวงผีสางเทวดาหรือนำไปถวายเจ้าอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากคนมุสลิมศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว อาหารใดก็ตามที่นำไปถวายเจ้าอื่นแล้วถือว่าเป็นอาหารเหลือเดนที่อิสลามห้ามมุสลิมนำมากินหรือนำมาใช้
7) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่นๆ เนื้อของสัตว์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และการล่าสัตว์เหล่านี้มาเป็นอาหารก็เป็นการทำลายดุลย์ทางนิเวศวิทยาด้วย ในพระไตรปิฎก เนื้อของเสือ หมา หมี ราชสีห์ งู ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน
8) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรานั้น อิสลามถือว่าเป็น “แม่ของความชั่ว” ที่จะออกลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ส่วนยิวถือว่าเหล้าองุ่นทุกอย่างเป็น “โคเชอร์”
เราจะเห็นได้ว่าอาหารต้องห้ามดังกล่าวมาทุกอย่างนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดกับมนุษย์เลย ไม่กินสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ตาย และถ้ากินเข้าไปก็มีแต่จะเกิดโทษกับตัวเอง

นอกจากสิ่งต้องห้ามดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งทั้งอิสลามและศาสนาคริสต์ห้ามและถือเป็นบาปอย่างร้ายแรงก็คือ “ดอกเบี้ย”
ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวถึงพิษภัยของดอกเบี้ยว่า : “เมื่อดอกเบี้ยและการผิดประเวณีปรากฏขึ้นในสังคม คนในสังคมนั้นได้นำตัวของพวกเขาไปสู่การลงโทษของอัลลอฮแล้ว”

“ดิรฮัมหนึ่งของดอกเบี้ยที่ใครกินเข้าไปนั้นเลวกว่าการผิดประเวณี 36 ครั้ง”

“ดอกเบี้ยมี 70 ประเภทด้วยกัน ความรุนแรงอย่างน้อยที่สุดของมันเหมือนกับการผิดประเวณีกับแม่ของตัวเอง”

ธุรกิจและอาชีพต้องห้าม
นอกจากอาหารที่จะนำมากินต้องฮะลาลแล้ว การได้ประกอบอาชีพซึ่งเป็นหนทางที่ได้มาซึ่งอาหารจะต้องไม่เป็นที่ต้องหามด้วย เพราะเงินที่ได้มาโดยวิธีการที่ต้องห้าม(ฮะรอม)นั้นจะพลอยทำให้อาหารและสิ่งที่เราใช้พลอยไม่สะอาดไปด้วย ดังนั้น ในการประกอบอาชีพหรือแสวงหารายได้ อิสลามจึงห้ามมุสลิมไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ :-

1. ดอกเบี้ย ไม่ว่าจะรับ ให้ ทำบัญชีหรือเป็นพยาน
2. ซื้อ ขาย โฆษณาสิ่งต้องห้าม เช่น สิ่งมึนเมา เลือด ของโจร โสเภณี
3. กักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไร
4. โกงมาตราชั่ง ตวง วัด
5. แจ้งเท็จคุณภาพสินค้า หรือการสาบานเท็จ ปลอมปนสินค้า
6. การพนัน การเสี่ยงทาย ล็อตเตอรี่
7. หมอดู เครื่องราง ของขลัง
8. การซื้อขายโดยไม่เห็นหรือไม่รู้จักสินค้า

สรุปเหตุผลของการห้ามกินและทำสิ่งต้องห้าม

1) เพื่อรักษาความสะอาดของจิตวิญญาณ
2) เพื่อป้องกันโทษภัยต่อร่างกายและสังคม
3) เพื่อเป็นการทดสอบและรักษาความศรัทธาไว้

ข้อคิดปิดท้าย

เมื่อเวลาเราไปซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง ห้างขายรถยนต์จะให้คู่มือใช้รถแก่เรามาด้วย ในคู่มือใช้รถจะระบุไว้ว่ารถยนต์คันนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเบนซิน เราก็ต้องใช้น้ำมันเบนซินตามนั้นถ้าเราไปเอาน้ำมันเครื่องบินหรือน้ำมันขี้โล้มาใช้แทน ไม่ช้าเครื่องยนต์ก็พังเพราะเราไปใช้น้ำมันผิดแบบที่วิศวกรผู้สร้างรถยนต์กำหนดไว้ ชีวิตของของมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณก็เช่นกัน มนุษย์ไม่ได้สร้างชีวิตของเขาขึ้นมาเอง พระเจ้าต่างหากที่ออกแบบและสร้างมนุษย์มา พระองค์จึงย่อมรู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมสำหรับตัวมนุษย์และพระองค์ก็บอกไว้ในคัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นคู่มือการใช้ชีวิตสำหรับมนุษย์ ใครที่เชื่อในพระเจ้าก็ใช้ชีวิตไปตามคู่มือนั้น อาจมีบางคนกินสิ่งต้องห้ามเข้าไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตทันตาเห็น แต่สิ่งที่แน่ๆก็คือ เมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนเรื่องการกิน มนุษย์ก็สามารถฝ่าฝืนพระเจ้าในเรื่องอื่นๆได้ และเมื่อมนุษย์ต่างคนต่างฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าผลที่ตามมาก็ย่อมจะไม่แตกต่าง
-----------------------------------------------------------
โดย อ.บรรจง บินกาซัน โครงการอบรมมุอัลลัฟ มัสญิดต้นสน คัดลอกจาก Thaimuslimshop.com




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 1 สิงหาคม 2548 5:10:52 น.
Counter : 1370 Pageviews.  

OMOP ต่างจาก OTOP อย่างไร???


ขณะที่ OTOP หรือสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product) ได้กลายเป็นสิ่งคุ้นหูคุ้นตาของคนไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะได้เห็นสินค้าหลากหลายชนิดติดป้าย OTOP กันเป็นทิวแถว เรียกว่าเป็นเหมือนป้ายรับรองมาตรฐานกันเลยทีเดียว

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ได้มี “สินค้า OMOP” เกิดขึ้นมา ใครสามารถให้คำตอบได้บ้างว่า OMOP คืออะไร?

แม้จะให้เดาก็คงยาก ดังนั้นจึงจะขอเฉลยเลยว่า OMOP ก็คือสินค้า 1 มัสยิด 1 ผลิตภัณฑ์ (One Masjid One Product หรือ One Mosque One Product) นั่นเอง

“ตามนโยบายของรัฐบาล รัฐจะส่งเสริมเรื่องสินค้าโอท็อป มัสยิดต่างๆ ของเราในกรุงเทพฯ ก็เลยได้ริเริ่มโครงการที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ชุมชนมุสลิมขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับการส่งเสริมจากกทม. และจากทางเขต เราก็เลยใช้นโยบายให้มัสยิดเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาบทบาทสตรี การส่งเสริมอาชีพ และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ของพี่น้องมุสลิม” สมัย เจริญช่าง ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ กล่าวถึงที่มาของ OMOP

สินค้า OMOP ยังมีอายุไม่มากนัก และเพิ่งได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547 วันเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ผ่านมานี่เอง

ขณะนี้ยังไม่ได้มีการสำรวจจำนวนชุมชนอิสลามทั่วทั้งกรุงเทพ แต่ขณะนี้ก็มีเขตที่เข้าร่วมโครงการ OMOP อยู่บ้างแล้ว เช่น เขตสวนหลวง เขตมีนบุรี เขตหนองจอก เขตคลองสามวา เป็นต้น ซึ่งเป็นเขตที่มีชุมชนชาวอิสลามอยู่กันอย่างหนาแน่น หากจะว่าไปแล้ว OMOP ก็ไม่ได้ต่างจาก OTOP มากมายนัก แค่เพียงผู้ผลิตต่างศาสนาเท่านั้นเอง

“มันก็เป็นเหมือนอันเดียวกันกับ OTOP นั่นแหละ ถ้าทางพุทธทำก็อาจจะเรียกว่า OWOP ก็ได้ เป็นวัน วัด วัน โปรดักส์ มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพียงแต่เป็นวิธีว่าทำยังไงจะกระตุ้นจิตสำนึกให้ทุกคนได้ช่วยกันสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อหารายได้เสริมให้ครอบครัว ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จะตั้งเป็นอะไรก็ได้แต่ขอให้กระตุ้นให้คนได้มีส่วนร่วม” สมัย กล่าว

แม้สินค้า OMOP จะยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากนัก แต่ขณะนี้ก็เริ่มจะมีการเคลื่อนไหว เช่น ทางโรงแรมนิวเวิร์ลลอดจ์กำลังมีเทศกาลอาหารอินเดีย ก็มีการให้นำสินค้า OMOP ไปวางขาย แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภาครัฐด้วย ในตอนนี้ก็มีปัญหาในเรื่องของตลาด
“คืออย่าไปแยกแยะว่าเป็นอิสลาม มันก็คือโอท็อปนี่แหละ แต่เป็นกลุ่มของพี่น้องมุสลิม หนึ่งตำบลนี่มันกว้างไป ตำบลในกรุงเทพฯ ก็คือแขวง บางทีในแขวงหนึ่งมีมัสยิดตั้งไม่รู้กี่แห่ง เราก็เลยลงรายละเอียดไปมากกว่านั้น เป็นหนึ่งมัสยิดหนึ่งผลิตภัณฑ์ไป มันจะได้กลุ่มเป้าหมายมาเข้าร่วมมากกว่า สำหรับตำบลถ้าเป็นในต่างจังหวัดก็ทำได้เพราะคนไม่มาก แต่ถ้าเป็นกรุงเทพมันจะไม่ทั่วถึง” สมัย ขยายความให้ฟัง

“ขณะนี้ก็ได้มีการเชิญชวนชุมชนอิสลามอื่นๆ ให้มาเข้าร่วมโครงการ โดยในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติก็จะมีการขยายฐานให้มากขึ้นกว่าเดิม และจะมีการออกร้านขายของด้วย” สมัยกล่าวปิดท้าย

ส่วนทางด้านผู้ผลิตสินค้า OMOP ณัฐธยาน์ งามเจริญ (ฮัจยะห์ มุห์มีนะฮ์) ประธานกลุ่มมุสลิมสวนหลวง (ชุมชนหัวป่า) จากมัสยิดริยาดุสซอริฮีน ซึ่งผลิตสินค้าเกี่ยวกับสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวดผม สบู่เหลว สบู่ก้อนจากสมุนไพร เช่น ว่านหางจระเข้ ดอกอัญชัน ฯลฯ กล่าวถึงการมาเข้าร่วมเป็นสินค้า OMOP ว่า

“ได้เริ่มทำสินค้าตัวนี้มา 3 ปี แล้ว เพราะโดยส่วนตัวก็เป็นคนชอบอะไรเกี่ยวกับสมุนไพรอยู่แล้ว เมื่อได้ไปเรียนเพิ่มเติมในเรื่องของการทำสบู่ใส สบู่เหลว และได้ให้สมาชิกในครอบครัว เพื่อนๆ ลองใช้ จนเหมือนเป็นการเปิดตัวไปโดยปริยาย จึงได้ทำขายอย่างจริงจัง”

“ในตอนแรกก็ยังไม่ค่อยคุ้นว่า OMOP คืออะไร แต่เมื่อได้รับการชี้แจงจากอาจารย์สมัย เจริญช่าง ก็เลยรู้ว่า อ๋อ...คือ One Masjid One Product ก็ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบหนึ่ง ทำให้คนเข้าใจในกลุ่มมุสลิมมากขึ้น ทำให้รู้ว่าคนมุสลิมไม่ได้สร้างแต่ปัญหา” ณัฐธยาน์ กล่าว

สินค้าเด่นๆ ของกลุ่มมุสลิมสวนหลวงนี้ก็คือแชมพู ครีมนวด และน้ำมันเคลือบเงาผมอัญชัน ที่ขายดีที่สุดก็คือน้ำมันใส่ผมดอกอัญชัน ที่เอาไว้ใส่แค่หยดเดียวหลังสระผมเท่านั้น

สำหรับกลุ่มมุสลิมสวนหลวง ชุมชนหัวป่านี้มีสมาชิกอยู่ด้วยกัน 45 คน ซึ่งเป็นคนมุสลิมในเขตชุมชนสวนหลวงที่ต้องการรายได้เสริม แต่สำหรับกลุ่มนี้แล้วไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น แต่ยังให้คนในศาสนาอื่นๆ มาร่วมทำงานในกลุ่มได้ด้วย

“ที่นี่ก็จะมีคนต่างศาสนามาทำด้วย ก็เป็นคนในชุมชนสวนหลวงที่ต้องการรายได้ เช่น นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นต้น แต่จะมาช่วยในส่วนปลายๆ ของการผลิตแล้ว เช่น การบรรจุภัณฑ์ หรือการขาย เรียกว่าเราสามารถช่วยสังคมได้” ณัฐธยาน์ กล่าว

ส่วนอีกหนึ่งสินค้า OMOP จากชุมชนมัสยิดอันซอริซซุนนะห์ เขตบางกอกน้อย ที่เป็นเหมือนธุรกิจภายในครัวเรือนของ มาลิก สมะดี สินค้าที่ว่านี้ก็คืออุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ตกแต่งโรงแรม หรือตกแต่งสปาก็ได้ ประเภทธูปหอม เทียนหอม รวมถึงที่วางเทียนในดีไซน์สวยงาม ซึ่งในส่วนของการผลิตนั้น จะต้องส่งไปผลิตที่โรงงานในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโรงงานของคนอิสลามเช่นกัน
“การที่ผมเลือกทำสินค้าประเภทนี้ก็เพราะเป็นแนวที่ผมสนใจ และคิดว่าน่าจะไปได้ดี เพราะของตกแต่งบ้านเป็นแนวที่กำลังเข้ากระแสในทุกวันนี้ เช่นพวกเทียนหอม ธูปหอม กำยาน และตลาดก็ตอบรับดี มีลูกค้าทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ แต่ผมเองก็มุ่งอยากได้ตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือชุมชนอิสลามในตะวันออกกลาง ซึ่งผลิตภัณฑ์บางอันเป็นสิ่งที่เขาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้หอม กำยาน เขาสามารถจุดได้ในภาชนะของผม แม้แต่ทางยุโรปก็นิยมเหมือนกัน เพื่อเอาไปตกแต่งในโรงแรม”
มาลิกบอก

สินค้าเด่นของมาลิกคือ เทียนหอมที่อยู่ในภาชนะไม้ ทำเป็นรูปทรงผลไม้ต่างๆ มีลวดลายงดงามแบบไทยๆ ซึ่งตอนนี้กำลังจะพัฒนาเป็นรูปทรงผลไม้หลายๆ ชนิด และจะทำเทียนเป็นกลิ่นผลไม้ด้วย ส่วนของที่ลูกค้านิยมซื้อก็คือแก้วที่วางเทียน เนื่องจากความสวยงามและสามารถใช้ได้นาน

แม้สินค้า OMOP ของมาลิกจะดูเหมือนเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนในชุมชนด้วยเช่นกัน เป็นความช่วยเหลือในลักษณะที่เกี่ยวกับการขาย เช่น นำของไปฝากขายตามร้านของคนในชุมชน เป็นต้น

ณ วันนี้สินค้า OMOP อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักของใครต่อใครมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่มีการส่งเสริมอาชีพให้แก่คนในชุมชนของตนเอง ส่วนใครอยากจะเอาไอเดียของคุณสมัย ที่บอกว่าน่าจะมี OWOP หรือ One Wad One Product ไปต่อยอดบ้างก็ไม่ว่ากัน คงจะน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ท่านที่สนใจสามารถติดต่อขอซื้อสินค้า OMOP ของกลุ่มมุสลิมสวนหลวง (เสาวภาคย์บารา) ได้ที่ 2105 ถ.อ่อนนุช สวนหลวง กทม. โทร. 0-2721-4983 หรือ 0-1405-4458 (หากสนใจรับสินค้าไปขายจะซื้อได้ในราคาขายส่ง)
ส่วนสินค้า OMOP ของตกแต่งบ้านของมาลิก สมะดี (Leena Collection) มีขายที่ร้านกิฟต์ช็อปชั้น 2 สยามเซ็นเตอร์ และร้านกิฟต์ช็อปของโรงแรมโนโวเทล โทร.0-2433-9402 หรือ 0-1837-8555


OMOP
อาหารอินเดียยกขบวนมาทั้งประเทศที่ Sara นิวเวิลด์ลอดจ์




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 3 เมษายน 2551 20:31:15 น.
Counter : 1146 Pageviews.  

มุสลิมจะร้องเพลง-ฟังเพลงได้ไหม?/Singing & Music: Islamic View

มุสลิมจะร้องเพลง-ฟังเพลงได้ไหม
Singing & Music: Islamic View
What Does Islam Say on Music?


ลาบานูน
ใครจะเชื่อว่า เด็กหนุ่มชาวไทยมุสลิม 3 คน ที่ไม่มีเครื่องดนตรีเป็นของตัวเองสักชิ้นจะกลายเป็น กลุ่มศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของประเทศไทย

พวกเขาทั้ง 3 คน รวมตัวกันเพื่อความฝันทางดนตรี เฉกเช่นเพื่อนรุ่นเดียวกันทั่วประเทศ นั่นคือ การประกวด Hot Wave Music Awards ก่อนการประกวด ทั้ง 3 ต่างพบเจออุปสรรค ต่าง ๆ นานา ร่วมกันมากมาย เริ่มจากการที่นักร้องนำถอนตัว จน เมธี ต้องมาร้องนำแทน ไม่มีเงินทุนในการเช่าห้องอัดเพื่อทำเดโม ส่งเข้าประกวด ซึ่งก็ทำได้
( อย่างทุลักทุเล ), การส่งเดโมกว่ากำหนด แต่ก็ยังได้เข้าร่วมประกวดแบบไม่คาดฝัน จนกระทั่งวันประกวด ก็ยังขาดเครื่องดนตรี ซึ่งทั้งสามหนุ่มก็ไม่ได้ย่อท้อต่อโชคชะตา ต่างพาเครื่องแบบลูกเสือ ในสไตล์ของพวกเขา พร้อมเครื่องดนตรีด้านหลังเวทีประกวดขึ้นโชว์ ความมุ่งมั่น และ ปลดปล่อยความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ จนชนะใจกรรมการเข้าไปติด 1 ใน 10 วงสุดท้ายของการประกวดในครั้งนั้น และแม้ว่าจะไม่ได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านสักรางวัลเดียว แต่ฝีไม้ลายมือในการเล่นของพวกเขา ก็เข้าตา ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ซึ่งเป็นกรรมการตัดสินการประกวดในครั้งนั้นด้วย


เป้ ไฮร็อก

'เป้' ฟิตเต็มร้อย...ขึ้นเวทีเพื่อรุ่นพี่ 'อิทธิ'

ถือว่าเป็นศิลปินร็อกที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ของวงการอีกคน สำหรับ หนุ่มเป้ ไฮร็อก หรือ สุรัช ทับวัง ซึ่งห่างหายจากการขึ้นคอนเสิร์ตไปนาน กลับมาครั้งนี้เป้เตรียมซุ่มซ้อมเพื่อขึ้นแจมคอนเสิร์ต “เก็บตะวัน A Tribute To อิทธิ พลางกูร” ที่จะมีขึ้น 30
ต.ค.นี้ ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก

โดยหนุ่มเป้กล่าวถึงการทำงานครั้งนี้ว่า “ได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนพ้องดนตรี 10 ชีวิต ในอัลบั้ม “เก็บตะวันฯ” ซึ่งรับหน้าที่ถ่ายทอดเพลง “เจ็บคราวนี้” ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในงานนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงในอัลบั้มนี้ หรือการขึ้นคอนเสิร์ต ผมถือว่าผมได้ทำให้กับพี่ชายคนหนึ่งที่ผมเคารพรักอย่างมาก ผมเองขอทำอย่างเต็มที่ สิ่งไหนที่ผมทำให้พี่อิทธิได้ ผมจะตั้งใจทำ โดยเฉพาะยังมีศิลปินท่านอื่น ๆ มาร่วมกันร้องเพลงด้วยแล้ว ยิ่งดีเลย
สำหรับตัวผมเองได้ฝึกซ้อมร้องเพลงอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ก็เริ่มออกกำลังกายบ้าง เพื่อที่ขึ้นคอนเสิร์ตจะได้ไม่เหนื่อยและทำได้เต็มที่ เพราะตัวเองก็ห่างจากเวทีไปนานเหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออยากทำงานนี้ออกมาให้ได้ดีที่สุดเพื่อพี่อิทธิและแฟนเพลง และผมอยากให้ทุกคนมาร่วมมอบกำลังใจให้กับพี่อิทธิในคอนเสิร์ตด้วยครับ”.




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2548 19:14:55 น.
Counter : 3302 Pageviews.  

Stories to Ponder

The Fisherman

An investment banker was at the pier of a small coastal village when a small boat with just one fisherman docked. Inside the small boat were several large yellow fin tuna. The investment banker complimented the fisherman on the quality of his fish and asked how long it took to catch them.

The fisherman replied, "Only a little while."

The investment banker then asked, "Why didn't you stay out longer and catch more fish?"

The fisherman said, "With this I have more than enough to support my family's needs."

The investment banker then asked, "But what do you do with the rest of your time?"

The fisherman said, "I sleep late, fish a little, play with my children, take siesta with my wife, stroll into the village each evening and spend time with my family, I have a full and busy life."

The investment banker scoffed, "I am a Harvard MBA and could help you. You should spend more time fishing; and with the proceeds, buy a bigger boat: With the proceeds from the bigger boat you could buy several boats. Eventually you would have a fleet of fishing boats. Instead of selling your catch to a middleman you would sell directly to the processor; eventually opening your own cannery. You would control the product, processing and distribution. You would need to leave this small coastal fishing village and move to a big town and eventually to the the city where you will run your ever-expanding enterprise."

The fisherman asked, "But, how long will this all take?"

To which the investment banker replied, "15 to 20 years."

"But what then?" asked the fisherman.

The investment banker laughed and said that's the best part. "When the time is right you would announce an IPO and sell your company stock to the public and become very rich, you would make millions."

"Millions?...Then what?"

The investment banker said, "Then you would retire. Move to a small coastal fishing village where you would sleep late, fish a little, play with your kids, take siesta with your wife, stroll to the village in the evenings and spend time with your family."

An Interview with Muhammad Ali

The following incident took place during an interview with the world famous boxer, Muhammad Ali.

It all started with an innocent question: You have beaten some of the toughest men in the world in the ring. What scares you the most?

Ali: [Points to his wife, to much laughter]

Lonnie Ali: Come on, Muhammad, joking aside, tell them what really scares you.

Ali: Nothing.

Lonnie Ali: Nothing on this earth maybe, but ... tell them Muhammad.
[There is a long pause]

Ali: Not going to heaven.
[Everyone present became silent. Sister Lonnie Ali had tears flowing down her cheeks. Others present were also shaken and silent. A few wiping their eyes. Br. Malik Mujahid broke the silence, patting Muhammad Ali on his arm.]

Malik Mujahid: "No, Insha Allah, you will enter Jannah because you have helped so many people."

Ali: [Muhammad Ali turned his face towards Br. Malik Mujahid, looking at him as though asking: Are you sure? Are you sure about yourself?]

Malik Mujahid: "The Mumin lives between hope and fear."

Where as the toughest man in the world is wondering about his place in Jannah, what do you think about yourslef. Will you go to Jannah? Its a question which everyone must ask himself and herself. A good answer may help us focus on the everlasting life.

We pray to Allah for the best of both worlds. If we want Allah to give us the best, we will have to strive for it.

Source: Extracted from the article "Will Muhammad Ali go to Jannah?" by Soundvision.com

Sincerity of a Six Years Old

There was a little girl (six years old) who was fasting in Ramadhan, even though it is not obligatory on people below the age of puberty. She was in school, and at lunch time, when all the other children went out to eat and have lunch, she sat in the classroom, because she was fasting. Her (non-muslim) teacher thought that she was too young to fast, and so said that it was not necessary, and she could eat a little. The girl still didn't eat. Then the teacher said: "Your parents are not here, it doesn't matter if you eat a little". The girl replied: "I am not fasting for my parents, I am fasting for Allah". This simple statement had such a profound effect on the teacher, that later she accepted Islam.

Removing the Obstacle

A qualified medical worker from India emigrated to Canada to live a better life. This Muslim brother had a beard. He applied to many different places for a job and was called for interviews. Though he was highly qualified for the jobs, the interviewers hesitated to hire him because of his beard. One by one, he was rejected from all the companies. One interviewer actually mentioned to him indirectly that his beard was an obstacle to getting the job. Trully, it was a big test for him from Allah. Hopeless and exhausted, the brother decided to remove the obstacle, which was to shave off his beard. Then he returned to that company and requested for another interview. When the interviewer saw him without a beard this time, he refused to give him the job again. The brother became confused and asked to know the reason. The interviewer said "If you are not faithful to your God, how will you be faithful to us?"

This true incident was narrated to us by a friend who personally knows this brother, however, his identity will remain private. In reality, obeying the commandments of Allah does not bring failure. In the beginning, we may face various problems, but the end results will be very sweet. Prophet of Allah (SAW) also faced many problems in the beginning, but in the end, he saw how hundreds and thousands of people turned towards Allah for his steadfastness. Ibn 'Umar, may God be pleased with him, said: "The Messenger of Allah, may Allah bless him and give him peace, ordered us to trim closely the mustache and leave the beard as it is (that is grow the beard)." (Reported in Sahih al-Bukhari and Sahih Muslim.)










 

Create Date : 26 มิถุนายน 2548    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2548 12:59:42 น.
Counter : 592 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

Aisha
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่
Aisha's blog ขอบคุณที่แวะมาค่ะ

Friends' blogs
[Add Aisha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.