Group Blog
 
All blogs
 

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 5


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 5


ภัทรนั่งมองกองเอกสารบนโต๊ะที่เขาต้องจัดแยกและคีย์ข้อมูลให้เสร็จภายในวันรุ่งขึ้นแล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มหยิบแฟ้มบนสุดขึ้นมาพลิกดูแล้วกะประมาณคร่าวๆถึงเวลาที่ต้องใช้สำหรับแต่ละแฟ้มแล้วก็คิดว่าตัวเองคงทำงานเสร็จตามเวลาได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ส่วนที่เขาเบื่อเห็นจะเป็นความจำเจของเนื้องานนี่แหละ พี่ป๋วยนี่ก็ฉลาดเป็นบ้าที่ชอบส่งงานชวนง่วงแบบนี้มาให้เขารับช่วงต่ออยู่เรื่อย

มือเรียวยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนจะเหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่มีรอยปากกาแดงขีดคร่อมจนลายพร้อย วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นศุกร์สุดท้ายของเดือนซึ่งจะมี Friday Party โดยเป็นนโยบายของบริษัทที่จะมีการประชุมรวมพนักงานเพื่อแจ้งข่าวสารต่างๆของแต่ละเดือนให้รับทราบร่วมกัน บางครั้งก็จะมีกิจกรรมเสริมเช่นแนะนำพนักงานใหม่หรือฉลองวันเกิดของคนที่เกิดในเดือนนั้นให้ ภัทรค่อนข้างแน่ใจว่าใน agenda ของวันพรุ่งนี้คงมีรายการที่เชษฐ์ต้องออกไปพูดเกี่ยวกับการไปเทรนนิงคราวนี้แน่นอนเพราะเจ้าตัวมีกำหนดกลับพรุ่งนี้พอดี

นัยน์ตาเรียวเหม่อมองวันที่บนปฏิทิน สำหรับคนอื่นที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หากมาเห็นสัญลักษณ์ดอกจันทน์สีแดงที่เขาทำไว้เหนือวันสิ้นเดือนคงคิดว่าเขามีแพลนทำอะไรเป็นพิเศษหรือแค่อยากมาร์ควันสุดท้ายของเดือนเฉยๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่าที่จริงเขาทำสัญลักษณ์ไว้เตือนตัวเองถึงวันที่เชษฐ์บินกลับต่างหาก


-- หกวันก่อน --


ป๋วยพูดอะไรหรือเปล่าหลังฉันออกมาจากครัวเธอถึงได้ท่าทางแปลกๆไปทั้งวัน ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ”

ภัทรกลืนน้ำลาย เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเพื่อนที่ออฟฟิศซึ่งเป็นลูกน้องสายตรงของเชษฐ์เวลาบ่นกันเรื่องความละเอียดถี่ถ้วนและช่างตั้งคำถามของเจ้านายตัวเอง เพราะดูเหมือนนิสัยที่ว่าจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการทำงานเสียแล้ว

“ก็ไม่นี่ครับ ผมทำตัวแปลกตรงไหน คุณเชษฐ์รู้สึกไปเองหรือเปล่า?”

คนถูกซักพยายามตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่หลังได้ยินคำแก้ตัว ภัทรแทบจะเห็นนัยน์ตาหลังกรอบแว่นหรี่ลงด้วยความไม่เชื่อได้ในทันทีราวกับกำลังนั่งคุยกันต่อหน้าเลยทีเดียว

“แน่ใจนะว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดบังกันอยู่? รู้ใช่มั้ยว่าถ้ามีอะไรฉันชอบให้บอกมาตรงๆ อย่าลืมว่าตอนนี้เราสองคนคบกันอยู่นะ”

ประโยคท้วงติงกึ่งตัดพ้อทำเอาคนฟังสะอึก คำพูดอีกฝ่ายพุ่งเข้าตรงเป้าทุกคำราวกับรู้ความในใจเขาอยู่แล้วก็ไม่ปาน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังคบกันคุณเชษฐ์จะมาโทรไล่เบี้ยกับเขาเอาตอนดึกดื่นแบบนี้ได้หรือยังไง ภัทรคิดไปก็อดนึกขวางไม่ได้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตัวเองก็ผิดที่เอาแต่หลบหน้าจนอีกฝ่ายสงสัย

“ไม่มีจริงๆครับ อาจเพราะวันนี้ผมเครียดกับงานมากไปหน่อย ยังไงผมขอโทษถ้าหากว่าทำให้คุณเชษฐ์ไม่สบายใจ”

ภัทรได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายจึงเอาหมอนมากอดทั้งที่ยังถือโทรศัพท์แนบหู จู่ๆก็ให้นึกอยากเห็นหน้าคนที่กำลังคุยด้วยขึ้นมาติดหมัด

“ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป ว่าแต่เคยมีใครทักมั้ยว่าเธอโกหกไม่เก่งน่ะ?”

“คุณเชษฐ์...”

เสียงใสทอดเสียงยาวเรียกชื่อคนที่กำลังคุยกันผ่านโทรศัพท์ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะทำตัวเหมือนเด็กช่างงอแงเข้าไปทุกที แต่ความที่ไม่เคยถูกคนอายุมากกว่าไล่ต้อนเอาแบบนี้มาก่อนทำให้เขาไม่รู้จริงๆว่าควรวางตัวแบบไหนถึงจะถูก

“เอาเถอะ ท่าทางคุยกันทางโทรศัพท์แบบนี้ต่อก็คงไม่ได้ความอะไรอยู่ดี เอาเป็นว่าคืนนี้จะยอมปล่อยไปก่อน แต่ฉันกลับมาเมื่อไหร่เราคงต้องคุยกันหน่อยนะ”

“...แล้วแต่คุณเชษฐ์แล้วกันครับ”

ภัทรตอบรับอย่างอ่อนใจ อาจเพราะความเพลียทำให้ไม่มีพลังงานเหลือจะดื้อดึงและพยายามคิดในแง่ดีว่ากว่าเชษฐ์จะกลับมาอีกฝ่ายอาจลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็ได้

“ทำไมจู่ๆก็ว่าง่ายขึ้นมาล่ะ ง่วงนอนแล้วหรือไง?”

น้ำเสียงเย้าแหย่ราวอีกฝ่ายกำลังยิ้มไปด้วยทำให้คนที่กำลังกลั้นหาวถลึงตาแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น เพิ่งพูดเรื่องเครียดกันอยู่หยกๆก็หาเรื่องแซวเขาอีกแล้ว คุณเชษฐ์นี่จะเอายังไงกันแน่นะ ท่าทางสำนวนที่ว่าคบเด็กสร้างบ้านนี่ในกรณีของเขาคงต้องเปลี่ยนเป็นคบผู้ใหญ่สร้างบ้านถึงจะถูก ก็เล่นเปลี่ยนอารมณ์ปุบปับซะจนเขาแทบจะตามไม่ทันเลยนี่

“อย่าว่าแต่ผมเลยครับ พรุ่งนี้คุณเชษฐ์ก็ต้องไปสนามบินแต่เช้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ นอนไม่พอไม่ดีต่อสุขภาพนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน”

“อืม ถ้าถูกแฟนไล่ให้ไปนอนขนาดนี้ก็คงต้องไปแล้วล่ะ สงสัยจะง่วงจริงถึงได้ไม่เถียง ยังไงช่วงอยู่ที่โน่นฉันอาจยุ่งแต่จะเมสเสจมาหาทุกวันแล้วกัน ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ห้ามไม่สบายเด็ดขาดเข้าใจมั้ย?”

นัยน์ตาเรียวหลับลงเมื่อได้ยินรูปประโยคเหมือนคำสั่งนั้น ขนาดคำพูดแสดงความเป็นห่วงยังฟังเฉียบขาดสมกับเป็นเจ้านาย แต่เพราะความอ่อนโยนที่สัมผัสได้จากน้ำเสียงทำให้ภัทรรู้สึกว่านี่เป็นคำสั่งที่เขาไม่อยากขัดขืน
ทั้งบริษัทคงมีเขาคนเดียวกระมังที่ได้เห็นด้านนี้ของคุณผู้จัดการจอมดุ พอคิดได้แบบนี้ใบหน้าหวานก็ยิ้มออก

“คุณเชษฐ์ก็เหมือนกัน...ยังไงเดินทางปลอดภัยนะครับ”

ภัทรได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะในคอเบาๆก่อนจะวางสายไปจึงกดตัดสายและนอนลงบ้าง แต่แทนที่จะหลับทันทีร่างบางกลับพลิกตัวไปมาอยู่นาน พอยกมือขึ้นลูบหน้าก็รู้สึกว่าตัวเองยังยิ้มอยู่จนต้องตบแก้มตัวเองเบาๆแล้วพยายามข่มตานอน

มาทำให้คนอื่นใจเต้นแรงจนแทบจะนอนไม่หลับกันแบบนี้...สักวันเถอะจะเอาคืนให้ได้เลยเชียว


+------+


“ภัทร ภัทร...เฮ่ยภัทร!”

“ครับ! อ้าวพี่เอ๋ มีอะไรรึเปล่าพี่?”

เจ้าของชื่อรับคำอย่างตกใจเมื่อถูกมือหนาหนักตบไหล่จนเกือบทำกาแฟกระฉอก พอหันกลับไปก็เจอรุ่นพี่กราฟฟิคดีไซเนอร์ซึ่งเป็นคนดูแลงานออกแบบให้โปรเจ็กต์ของเขากำลังยืนอยู่

“มีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย พอดีพี่เพิ่งปริ๊นท์ฟลอร์แปลนกับไดเร็คทอรีสำหรับโปรเจ็กต์ของคุณนินเสร็จ เลยจะฝากภัทรไปให้แกตรวจให้ที”

มือเรียววางแก้วกาแฟลงบนที่รองข้างคอมพิวเตอร์ก่อนจะรับเอกสารมาพลิกดู แล้วก็อดถามอีกฝ่ายด้วยความฉงนไม่ได้เพราะปกติการประสานงานระหว่างแผนกกราฟฟิคกับผู้จัดการโปรเจ็กต์ไม่ใช่หน้าที่เขา แต่พอได้ยินคำถามอีกฝ่ายก็ทำหน้ายู่

“ก็ผู้ช่วยคุณนินแกลาป่วยวันนี้ แล้วเซลส์ก็ดันออกไปหาลูกค้ากันหมด พอดีพี่มีงานต้องรีบทำต่อเลยไม่อยากเข้าไปคุยไม่งั้นเดี๋ยวยาว ยังไงถ้าภัทรไม่อยากเอาให้แกเองก็ฝากเจ๊ป๋วยไปสิ จะว่าไปเจ๊เค้าหายไปไหนล่ะ?”

รุ่นพี่ร่างท้วมเตี้ยถามแล้วก็มองไปทางโต๊ะของคนที่พูดถึง ภัทรมองตามแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นอีกฝ่ายที่โต๊ะนานแล้วจริงๆด้วย

“ไม่เป็นไรพี่เอ๋ บางทีพี่ป๋วยอาจไปเบรกอยู่ก็ได้มั้ง งั้นเดี๋ยวผมเอานี่ไปส่งคุณนินให้ก็ได้ เดี๋ยวแกดูแล้วอยากให้แก้ตรงไหนก็คงต่อสายหาพี่เองแหละ”

พอบอกไปอย่างนั้นคนที่ยืนอยู่ก็แกล้งทำท่าแขยงจนภัทรอมยิ้ม เขารู้นิสัยนินนาทซึ่งเป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์ของตัวเองดีว่าเป็นคนค่อนข้างจุกจิกเกี่ยวกับงานดีไซน์ แต่เป็นการจุกจิกคนละแบบกับเชษฐ์ ขณะที่เชษฐ์มักตีกลับงานที่ไม่เข้าตาให้แผนกกราฟฟิคพร้อมรายละเอียดที่ต้องแก้ไขยาวเป็นหางว่าว แต่ถ้าได้รับงานใหม่ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ตรงตามที่เขียนบอกไปจากนั้นก็จะให้แก้ไขเพียงในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ หรือถ้าหากยังไม่ได้งานที่ถูกใจก็จะให้แก้ใหม่จนกว่าจะได้ตามที่ต้องการจริงๆ แต่ว่าเจ้านายของเขาเองกลับชอบให้คอมเม้นต์วกไปวนมา บางทีกราฟฟิคแก้งานส่งให้เป็นสิบรอบแต่สุดท้ายเจ้าตัวกลับบอกว่าชอบงานที่ส่งให้ตอนแรกเสียอย่างนั้น

“งั้นพี่ฝากหน่อยแล้วกันว่ะ ว่าแต่เมื่อกี้รู้ตัวเปล่าว่านั่งมองปฏิทินแล้วยิ้มคนเดียว มีนัดพิเศษกับใครหรือไงเรา?”

ใบหน้าอวบอูมยิ้มแซวจนภัทรหน้าร้อนวูบขึ้นทันที ไม่คิดว่าจะมีคนมาเห็นตอนที่เขากำลังเหม่ออยู่จนต้องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ผมแค่ดูปฏิทินเช็ควันหยุดเดือนหน้าเฉยๆหรอก พี่เอ๋อย่าขี้ตู่เอาเองสิ”

“อ่าฮะ ยิ่งเฉไฉแบบนี้ยิ่งมีพิรุธ ร้ายเหมือนกันนี่หว่าเรา เดี๋ยวคนแถวนี้จะอกหักเอารู้เปล่า?”

พอได้ยินแบบนั้นภัทรก็หัวเราะ หากเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้ด้วยเขาคงไม่ค่อยชอบใจ แต่กับรุ่นพี่คนนี้เขารู้สึกว่าเป็นคนไม่มีนอกมีในกับใครจึงไม่ค่อยอึดอัดเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแซวเขาเล่น

“พี่เอ๋พูดแบบนี้เดี๋ยวพี่เจี๊ยบได้มาหักคอผมพอดี ถ้าจะหากิ๊กก็ไปหาฝั่งคอลเซ็นเตอร์ดีกว่าพี่ สาวๆน่ารักเยอะแยะ”

“อ้าวไอ้เด็กนี่ แล้วใครบอกล่ะว่าพี่จะเป็นคนอกหัก พี่หมายถึงคนอื่นแถวๆนี้ต่างหาก”

คนพูดยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินกลับไปห้องแผนกตัวเอง ภัทรมองตามหลังร่างท้วมที่เพิ่งเดินจากไปอย่างงงๆกับคำพูดทิ้งท้ายแล้วก็ส่ายหน้า อาจเพราะความที่อีกฝ่ายชอบพูดเล่นไปเรื่อยทำให้ภัทรไม่ค่อยอยากเชื่อถือทุกคำพูดของเจ้าตัวเป็นจริงเป็นจังนัก

ชายหนุ่มพลิกดูปริ๊นท์เอ๊าท์ในมือไปมาคร่าวๆก่อนจะหยิบแฟ้มพลาสติกใสมาใส่ พอลุกเดินไปออฟฟิศด้านในที่มีห้องของเหล่าผู้จัดการตั้งเรียงกันเป็นแถบก็อดหยุดมองประตูห้องของเชษฐ์ไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้อีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่ผู้จัดการโปรเจ็กต์ของบริษัทมีสี่คนแต่ดูเหมือนเชษฐ์ซึ่งอายุน้อยที่สุดก็มักจะเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมงานต่างประเทศบ่อยที่สุดด้วย นอกจากเรื่องความสามารถแล้วก็คงเป็นเพราะความที่เจ้าตัวยังไม่มีครอบครัวเหมือนอีกสามคนที่เหลือทำให้ถูกมองว่าน่าจะคล่องตัวกว่ากระมัง

ภัทรถอนหายใจก่อนจะเดินเลยลึกเข้าไปที่ห้องผู้จัดการตัวเองแล้วยกมือเคาะเบาๆ แต่รออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่มีเสียงตอบจึงขมวดคิ้ว จะว่าไปเขาก็ลืมโทรมาแจ้งไว้ก่อนว่าจะเอางานมาให้ตรวจ บางทีคุณนินอาจจะไปเข้าห้องน้ำหรือออกไปธุระอยู่ก็ได้

ชายหนุ่มกอดอกแล้วก็เอียงคออย่างใช้ความคิด ถ้าอย่างนั้นเอาแฟ้มวางไว้ให้บนโต๊ะแล้วเขียนโน้ตบอกไว้ก็แล้วกัน พอคิดได้อย่างนั้นมือเรียวก็จับลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไปทันที

“อืม คุณนิน...ว้าย!! ภัทร!!!”

“พี่ป๋วย!”

ภัทรอึ้งมองภาพไม่คาดฝันตรงหน้าด้วยความตกตะลึงพอๆกับรุ่นพี่ของเขาที่นั่งกอดคอผู้จัดการของตนอยู่บนตักโดยที่อีกฝ่ายก็กอดตอบ กระดุมสองเม็ดบนของเสื้อแบบคอปกมีระบายแบะออกจนเห็นขอบชั้นในลูกไม้สีดำ ชายหนุ่มอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนสายตาเอาเรื่องจากรุ่นพี่สาวถลึงใส่อย่างไม่พอใจ

“มีธุระอะไรภัทร แล้วทำไมก่อนเข้าห้องคนอื่นถึงไม่รู้จักเคาะประตูก่อน!?”

“ผม...เอ้อ พอดีพี่เอ๋ฝากให้ผมเอางานมาให้คุณนินครับ ขอโทษที่มารบกวนครับ!”

ภัทรรีบวางแฟ้มที่ถือติดมาลงบนโต๊ะแล้วรีบถอยออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าบอกว่าที่จริงเขาเคาะประตูแล้วแต่คนในห้องไม่ได้ยินกันเองต่างหาก เสียงเหมือนคนเถียงกันที่ดังอู้อี้ออกมาแว่วๆทำให้คนที่มัวแต่ยืนตกใจรีบจ้ำกลับไปที่โต๊ะตัวเองทันที

“อ้าวภัทร เป็นอะไรทำไมหน้าแด๊งแดง”

เพื่อนร่วมงานที่นั่งคอกตรงข้ามกับเขาเอ่ยทักจนภัทรต้องรีบส่ายหน้า แต่พอนั่งลงบนเก้าอี้ก็รู้สึกว่าภาพที่เพิ่งได้เห็นยังติดตาจนไม่มีสมาธิทำงานต่อเลยลุกไปล้างหน้าในห้องน้ำ ในสมองสับสนไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่

ในสายตาของเขา พี่ป๋วยเป็นสาวเก่ง พูดจาฉะฉานมีความคิดแถมยังเป็นคนสวย ส่วนคุณนินเองถึงจะอายุสี่สิบกว่าแล้วแต่ก็ยังดูค่อนข้างหนุ่ม นอกจากนั้นยังเป็นคนที่ใครๆก็พูดกันว่ามีแนวโน้มจะได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าผู้จัดการคนอื่นเพราะอยู่กับบริษัทมานานที่สุด แม้การจับคู่ของฝ่ายหนึ่งที่เป็นสาวเปรี้ยวไม่สนใจใครกับอีกฝ่ายที่เป็นหนุ่มใหญ่หัวโบราณจะดูเป็นจิ๊กซอว์ที่ไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นภัทรก็คงไม่ติดใจกับเรื่องนี้นักถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น

“ภัทร...”

เสียงคุ้นเคยของคนที่รอเขาอยู่หน้าห้องน้ำทำเอาคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มหันไปสบตาคนเรียกช้าๆอย่างหวาดๆ

“พี่ป๋วย...คือว่าเมื่อกี้...”

ภัทรยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อก็โดนมือขาวๆยื่นมาปิดปากก่อนนัยน์ตาคมสวยจะทำตาเขียวใส่ หญิงสาวหันกลับไปมองรอบตัวก่อนจะหันกลับมากระซิบเสียงลอดไรฟัน

“จะพูดอะไรดูสถานที่ซะมั่งสิยะ! อยากให้คนอื่นเค้ารู้กันทั้งออฟฟิศรึไง ตามมานี่!”

ชายหนุ่มนึกอยากพูดโต้ตอบเจ้าของมือบอบบางที่กำลังฉุดเขาให้เดินตาม แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันมาถลึงตาใส่อีกครั้งก็ปิดปากเงียบ กุ้งมองตามอย่างงงๆเมื่อเห็นทั้งสองเดินผ่านเคาน์เตอร์ที่ตัวเองประจำอยู่บริเวณหน้าออฟฟิศ ตอนแรกภัทรคิดว่าอีกฝ่ายคงพาเขาเข้าไปคุยกันในห้องประชุมเล็กแต่กลายเป็นว่าหญิงสาวกลับพาเขาเดินต่อไปจนถึงทางออกฉุกเฉินด้านในสุด

“เอาล่ะ ถ้าเป็นที่นี่ตอนนี้คงไม่มีใครขึ้นมาหรอก”

หญิงสาวปล่อยมือรุ่นน้องได้เมื่อขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าที่ไม่มีคนอยู่ ภัทรมองไปรอบตัวอย่างทึ่งๆเพราะไม่เคยขึ้นมาชั้นเหนือออฟฟิศตัวเองเช่นนี้มาก่อน แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อโดนมือข้างหนึ่งบีบลงบนไหล่

“เรื่องที่เห็นเมื่อกี้ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด เข้าใจใช่มั้ย?”

คนถูกกำชับมองสายตาดุดันของคนพูดแล้วก็รีบพยักหน้า ต่อให้อีกฝ่ายไม่เตือนเขาก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงเป็นขี้ปากคนในบริษัทอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างเขาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นภัทรก็อดถามคำถามที่กวนใจตัวเองอยู่ไม่ได้

“ผมไม่เอาไปพูดต่ออยู่แล้วล่ะพี่ป๋วย แต่ว่าพี่รู้หรือเปล่าว่าทำอะไรอยู่ คุณนินเค้าแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ?”

รุ่นพี่สาวจ้องตาเขานิ่งก่อนจะคลายมือที่บีบไหล่ไว้แน่นออก หญิงสาวกอดอกแล้วก็หันหนีสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของรุ่นน้องก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เรื่องมันยาวน่ะภัทร แต่ขอบอกให้รู้ไว้ก่อนว่าพี่ไม่ได้แย่งคุณนินจากเมียเค้านะ ถึงยังไงเค้าก็มีเรื่องระหองระแหงกันแล้วก็แยกบ้านกันอยู่มาเป็นปีแล้ว”

ภัทรขมวดคิ้วกับข้อมูลที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะในงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทเมื่อต้นปีที่ผ่านมาผู้จัดการของเขายังพาภรรยามาร่วมงานด้วยอยู่เลยนี่นา

ป๋วยเห็นสายตาไม่เชื่อถือของคู่สนทนาเข้าก็แค่นยิ้มขื่นๆ “เชื่อยากใช่มั้ยล่ะ? แต่ว่าเป็นเรื่องจริงนะ ที่จริงคุณนินก็อยากขอหย่าอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่แฟนเค้าเป็นข้าราชการระดับสูงเจ้าหล่อนเลยไม่อยากเสียหน้า นี่นับว่าโชคดีที่เค้าไม่มีลูกด้วยกันไม่งั้นพี่ก็คงไม่เล่นด้วยหรอก”

ชายหนุ่มมองรุ่นพี่สาวที่กอดอกเชิดคางขึ้นแล้วก็อดเหนื่อยใจไม่ได้ ไม่รู้จะออกความเห็นอย่างไรเพราะอีกฝ่ายเล่นหาเหตุผลให้ตัวเองหมดแล้ว นี่ถ้าพี่สาวเขามาได้ยินเรื่องนี้เข้าคงตั้งแง่รังเกียจรุ่นพี่เขาไปเลยแน่ๆ

“ถ้าพี่ป๋วยคิดแบบนั้น ผมก็คงพูดอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

ภัทรพูดไปแล้วก็ถอนหายใจ หญิงสาวมองหน้าเขาแล้วก็เดินเข้ามาตบไหล่เบาๆ “เอาเถอะน่ะ ยังไงนี่มันก็ชีวิตพี่ ภัทรไม่ต้องมาช่วยปวดหัวด้วยหรอก ว่าแต่เข้าใจแล้วใช่มั้ยเรื่องที่พี่เคยเตือนเรื่องการวางตัวของเรากับคุณเชษฐ์น่ะ ครั้งนี้ถือว่าพี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเองที่แอบทำอะไรในออฟฟิศแล้วดันไม่ล็อคประตูห้องให้ดีก่อน แต่ว่าภัทรหน้าตาดูง่ายกว่าพี่เยอะพี่ถึงได้เป็นห่วงไง”

“แล้วนี่ภัทรจะทำหน้ายังไงเวลาเจอคุณนินดีล่ะพี่ป๋วย?”

ชายหนุ่มพยายามเบนหัวข้อสนทนาออกจากตัวเองแล้วเอ่ยถามเรื่องที่กวนใจอีกเรื่องแทน เพราะอย่างไรเสียนินนาทก็เป็นเจ้านายเขา แต่การได้มารู้ความลับที่เจ้าตัวก็คงไม่ได้อยากเปิดเผยแบบนี้ทำให้อดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ ทว่าคนถูกขอคำปรึกษากลับแค่ยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“ก็ไม่ต้องทำไง ทำหน้าเฉยๆเหมือนเดิมไปน่ะแหละ พี่บอกคุณนินแล้วว่าพี่จะคุยกับเธอเอง อีกอย่างเค้าก็พอรู้ว่าภัทรไม่ใช่คนพูดมากเพราะงั้นคงไม่มาคุยซ้ำอีกแล้วล่ะ”

“...ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ”

ภัทรค่อยโล่งอกขึ้นเมื่อได้ยินรุ่นพี่ยืนยันแบบนั้น แต่ขณะที่เดินตามหลังอีกฝ่ายกลับเข้าไปในออฟฟิศก็อดคิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ขนาดพี่ป๋วยกับคุณนินที่ดูแล้วไม่มีท่าทีอะไรกันมาก่อนยังเป็นได้ขนาดนี้ เขาเองไม่ยิ่งต้องระวังตัวเวลาอยู่กับเชษฐ์ในออฟฟิศมากขึ้นกว่าเดิมหรือนี่


+------+


ภัทรเริ่มงานในเช้าวันศุกร์อย่างไม่แจ่มใสนักทั้งที่เป็นวันที่เขาจะได้เจอคนที่คิดถึงมาทั้งอาทิตย์แท้ๆ และถึงแม้รุ่นพี่ของเขาจะออกปากไว้แล้วว่าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ตอนที่เขาเดินสวนกับนินนาทหน้าออฟฟิศเมื่อเช้าภัทรก็ยังอดเกร็งไม่ได้ว่าจะโดนเรียกไปคุยหรือเปล่า แต่ว่าเจ้านายของเขาก็พูดทักทายด้วยท่าทางเป็นปกติดี แสดงว่าคงเชื่อใจเขากับรุ่นพี่ของเขาจริงๆ ภัทรจึงยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกที่ไปรู้เรื่องของทั้งคู่เข้าแม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม

ยังดีว่ากองแฟ้มงานแสนน่าเบื่อที่ป๋วยจ่ายมาให้เขาตั้งแต่เมื่อวานยังรออยู่ทำให้ภัทรไม่มีเวลาคิดอะไรฟุ้งซ่าน จะว่าไปเขาไม่เคยรู้สึกขอบคุณการต้องทำงานที่ซ้ำซากจำเจเช่นนี้เท่ากับวันนี้มาก่อนเลย

เวลาล่วงเลยถึงช่วงบ่ายโดยที่ยังไม่มีวี่แววของคนที่รออยู่เดินเข้ามาในบริษัท ภัทรเหลือบมองเวลาที่ขอบล่างของจอคอมพิวเตอร์แล้วก็เริ่มจะเป็นห่วงเชษฐ์ขึ้นมา กุ้งเคยบอกเขาว่ากำหนดบินกลับถึงเมืองไทยของเจ้าตัวคือตั้งแต่เมื่อเก้าโมงเช้า แต่นี่บ่ายสองครึ่งเข้าไปแล้วก็ยังไม่เห็นมาเลย

เครื่องดีเลย์หรือเปล่านะ...หรือว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยต้องอยู่ที่นั่นต่อหรือเปล่า...

ภัทรยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวายใจ จึงตัดสินใจพักสายตาด้วยการหยิบแก้วกาแฟของตัวเองที่ว่างเปล่าแล้วเดินเข้าไปในครัวพลางคิดว่ากลับมาที่โต๊ะเมื่อไหร่จะลองโทรหาเชษฐ์ดู ด้วยเวลาที่เพิ่งคล้อยหลังจากหมดช่วงพักกลางวันไม่นานทำให้ไม่มีคนอื่นอยู่ในห้องครัว ร่างบางจัดการชงกาแฟให้ตัวเองเสร็จแล้วก็เพิ่งเห็นว่าน้ำตาลที่เหลือติดกระปุกมีนิดเดียวจึงเอื้อมเปิดตู้เหนือศีรษะเพื่อหยิบถุงน้ำตาลออกมาเติม ขณะมองหาว่าถุงน้ำตาลอยู่ตรงไหนสายตาก็ปะทะเข้ากับแก้วเซรามิกเคลือบสีเขียวเข้มใบใหญ่ซึ่งวางอยู่ริมสุดเข้า นัยน์ตาเรียวจึงกระพริบก่อนจะไล้ปลายนิ้วบนแก้วนั้นแล้วหยิบออกมาดูใกล้ๆ


“ชงให้มั่งสิ เอาแบบที่เธอดื่มนั่นแหละ”


ถ้าเขาจำไม่ผิดนี่เป็นแก้วใบที่เชษฐ์ใช้ตอนขอให้เขาชงกาแฟให้เมื่อวันที่ป๋วยเดินเข้ามาเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน และถ้าพยายามนึกดีๆก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะใช้ใบนี้เป็นประจำด้วย นัยน์ตาหวานทอดมองแก้วที่ถืออยู่ในมืออย่างเหม่อลอยแล้วก็ยิ่งคิดถึงเจ้าของแก้วมากขึ้นอีก เมื่อไหร่จะกลับมาเสียทีก็ไม่รู้

“กำลังอยากได้กาแฟพอดี ชงให้หน่อยสิ”

ภัทรสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆก็โดนเสียงทุ้มกังวานกระซิบที่ข้างหู อารามตกใจทำให้รีบหันหลังกลับจนผิวแก้มเนียนเฉียดผ่านริมฝีปากบางที่ก้มมาอยู่ในระยะประชิด มือเรียวจึงรีบยกขึ้นกุมแก้มตัวเองทันทีเมื่อรู้ตัวว่าหลงกลเสียแล้ว

“คุณเชษฐ์! ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียงกันอย่างนี้ล่ะครับ!”

นัยน์ตาคมหลังเลนส์แว่นทอยิ้มกับประโยคทักท้วงของคนอ่อนวัยกว่า ร่างสูงยกมือสองข้างขึ้นแล้วถอยหลังให้แม้จะยังนับว่าอยู่ในระยะค่อนข้างใกล้อยู่ดีก็ตาม

“ไม่ได้เห็นหน้ากันตั้งอาทิตย์นึง พอเจอฉันปุ๊บก็ทักแบบนี้เหรอ?”

ร่างสูงเย้าก่อนจะอ้อมแขนผ่านคนตัวเล็กกว่าไปหยิบแก้วกาแฟที่ชงเสร็จแล้วขึ้นดื่มแล้วก็ยิ้ม คนถูกแซวหน้าแดงเรื่อขึ้นพลางคิดค่อนขอดอีกฝ่ายในใจ ก็จู่ๆเล่นเข้ามาตอนไม่ตั้งตัวแบบนี้จะให้พูดต้อนรับแบบปกติได้ยังไงกันเล่า!

“ก็ผมไม่คิดว่าคุณเชษฐ์จะกลับมาตอนนี้นี่นา เห็นกุ้งบอกว่าไฟลต์น่าจะมาถึงตั้งแต่เช้าแต่ผมรอจนบ่ายก็ไม่เห็นมาสักที...”

ภัทรทิ้งท้ายประโยคเสียงเบาก่อนจะเงียบไปแล้วก็หลบตา มือใหญ่จึงวางแก้วกาแฟบนเคาน์เตอร์แล้วก้มลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกับคนตรงหน้า

“เป็นห่วงเหรอ? พอดีเครื่องดีเลย์ตั้งแต่ที่โน่นเลยมาถึงช้ากว่ากำหนดน่ะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้โทรมาบอกก่อน”

นัยน์ตาเรียวช้อนขึ้นสบตากับคนตัวโตกว่าแล้วก็ยิ้มให้ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายที่เครื่องบินมาถึงช้าแต่ก็ยังรู้สึกดีกับคำขอโทษเพราะแสดงว่าคนพูดก็เป็นห่วงความรู้สึกเขาอยู่เหมือนกัน พอเห็นว่าภัทรอารมณ์ดีขึ้นแล้วเชษฐ์จึงยิ้มให้ก่อนจะโน้มใบหน้าลงหา คนตัวเล็กกว่าจึงสะดุ้งแล้วรีบยืดแขนออกดันแผ่นอกกว้างให้ออกห่างตัวทันที

“เป็นอะไรไปน่ะ?”

พอได้ยินน้ำเสียงเข้มเอ่ยถามภัทรก็รีบส่ายหน้า จะให้พูดได้ยังไงว่าจู่ๆเมื่อกี้เขาก็ดันนึกถึงภาพตอนที่ตัวเองเดินเข้าไปเจอคุณนินกับพี่ป๋วยในห้องเมื่อวันก่อนขึ้นมา แล้วนี่เขากับเชษฐ์ยังอยู่ในห้องครัวซึ่งอาจมีใครเดินเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้อีกต่างหาก ร่างผอมบางทำเป็นหันไปหยิบแก้วกาแฟตัวเองขึ้นก่อนจะพูดรัวเร็วโดยไม่ยอมสบตาอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วอยู่

“เปล่าครับ แต่ว่าผมเข้ามาเบรกนานแล้ว ยังไงขอตัวกลับไปทำงานก่อนแล้วกันนะครับ”

ภัทรรีบเดินหนีทั้งที่รู้สึกว่าหัวใจยังเต้นแรงไม่หาย การเผลอปล่อยใจในออฟฟิศนี่อันตรายจริงๆเพราะไม่รู้เลยว่าจะมีคนอื่นมาเห็นเข้าเมื่อไหร่ อีกอย่างเขาก็ไม่คิดว่าควรจะเล่าเรื่องของรุ่นพี่ตัวเองให้เชษฐ์ฟังด้วยถึงแม้ว่าทั้งสองจะคบกันอยู่ก็ตามเพราะให้สัญญากับป๋วยไว้แล้ว

พอกลับมานั่งที่โต๊ะใบหน้าหวานก็ระบายลมหายใจยาวก่อนจะหันกลับไปมองคนตัวโตที่เดินออกมาจากครัวด้วยสีหน้าตึงๆ พอมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินกลับไปห้องทำงานของตัวเองแล้วปิดประตูเสียงดังภัทรถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ เขายังไม่ได้เอ่ยต้อนรับที่อีกฝ่ายกลับมาแล้วเลยนี่นา นี่เขากำลังโดนโกรธอยู่หรือเปล่านะ...


+---tbc---+




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 มกราคม 2553 0:12:07 น.
Counter : 884 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 4


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 4


“SMS me when you get home”

ภัทรยกมือถือขึ้นเปิดอ่านข้อความจากคนตัวใหญ่แล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นเมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบสถานีปลายทาง ไม่รู้ว่าเมื่อเย็นที่เขารีบออกมาจากออฟฟิศทันทีหลังเลิกงานโดยไม่รอจะทำให้เชษฐ์โกรธหรือเปล่า แต่หลังจากบทสนทนาสั้นๆในห้องน้ำเมื่อช่วงบ่ายแล้วภัทรรู้สึกว่ายังไม่อยากตอบคำถามอะไรอีกฝ่ายตอนนี้

ชายหนุ่มเดินลงจากสถานีแล้วก็แวะซื้อขนมจากรถเข็นก่อนเดินเข้าซอยที่คุ้นเคย อย่างน้อยการได้พูดคุยกับคนที่เขาสนิทที่สุดในเวลาแบบนี้อาจทำให้ความหนักอึ้งในใจบรรเทาลงได้บ้าง

เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพูวิ่งออกมาจากประตูบ้านหลังได้ยินเสียงออด แล้วร่างเล็กก็กระโดดโลดเต้นบอกผู้ที่เดินตามออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นผู้มาเยือน

“แม่จ๋า น้าภัทรมา น้าภัทรมา”

ภัทรยิ้มแล้วก็ก้มลงอุ้มหลานสาววัยสี่ขวบที่โผเข้าหา แขนเล็กป้อมเอื้อมมากอดคอเขาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาอย่างดีใจจนคนอุ้มหัวเราะ

“มิมิจังโตขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย อีกหน่อยน้าภัทรอุ้มไม่ไหวแน่เลย”

“อารมณ์ไหนเนี่ยภัทร ร้อยวันพันปีพี่ชวนล่ะไม่ค่อยมา จู่ๆวันนี้ก็ขอมาทานข้าวด้วยเฉยเลย”

พี่สาวที่อายุห่างกันเจ็ดปีเอ่ยทัก ภัทรเลยยิ้มเอาใจก่อนจะหอมแก้มยุ้ยๆของหลานสาวคืนอย่างมันเขี้ยว

“ก็คิดถึงมิมิจังไง อีกอย่างภัทรไม่ได้มาหาพี่แพนตั้งแต่ปีใหม่แล้วนี่นา วันนี้ภัทรซื้อขนมถ้วยมาฝากด้วยนะ”

ผู้เป็นพี่ส่ายหน้า ต่อให้น้องชายชอบทำเป็นเฉไฉแค่ไหนเธอก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องไม่สบายใจ อีกฝ่ายไม่มาเยี่ยมถึงที่แน่ๆ

“เอาเถอะ โทรุเพิ่งโทรมาบอกว่าคืนนี้คงทำโอทียันดึก งั้นเราทานข้าวกันเลยแล้วกัน มิมิจังรอทานข้าวก่อนถึงจะทานขนมได้นะลูก”

เด็กหญิงลูกครึ่งญี่ปุ่นตัวน้อยทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมส่งถุงขนมให้แม่แต่โดยดี ภัทรอุ้มหลานสาวเข้าบ้านก่อนจะปล่อยเด็กหญิงลงเมื่อถึงโต๊ะอาหาร ท่าทางแม่ลูกจะค่อนข้างชินกับการที่พ่อกลับบ้านดึกเป็นประจำ แถมวันนี้น้าชายคนโปรดมาเยี่ยมมายูมิเลยไม่งอแงแถมชวนคุยจ้อเลยทีเดียว

“ช่วงนี้งานเป็นไงมั่งล่ะภัทร เราย้ายมาบริษัทนี้ครบปีหรือยังนะ?”

ผู้เป็นพี่ถามหลังทั้งสามจัดการมื้อเย็นเรียบร้อยและย้ายที่มาในห้องนั่งเล่นกันแล้ว ภัทรเอียงคอคำนวนในใจขณะตักขนมถ้วยป้อนหลานสาวที่นั่งตักตัวเองไปด้วย

“เดือนหน้าก็ปีครึ่งแล้วล่ะ เพราะภัทรย้ายมาที่นี่ช่วงเดียวกับที่พี่แพนย้ายกลับมาพอดี”

พี่สาวของภัทรเคยย้ายตามสามีไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นหลังคลอดลูกได้ไม่นาน แต่หลังจากใช้ชีวิตที่นั่นได้สองปีหญิงสาวก็ทนเบื่อไม่ไหวเลยขอร้องแกมบังคับให้สามีทำเรื่องย้ายกลับมาเมืองไทย จะว่าไปภัทรก็ค่อนข้างชื่นชมพี่เขยที่ยอมตามใจภรรยาทั้งที่ปู่กับย่าของมายูมิอยากให้หลานอยู่ใกล้ๆมากกว่า

“เร็วเหมือนกันแฮะ ว่าแต่หลังจากภัทรเลิกกับตาคนนั้นไปก็นานแล้วเหมือนกันนี่ ตอนนี้มีแฟนใหม่หรือยังล่ะเรา?”

“น้าภัทร เอาอีก”

หลานสาวตัวน้อยกระตุกแขนเสื้อขอแล้วก็อ้าปากกว้าง คงเพราะได้กลับมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ยังพูดไม่ค่อยได้ ตอนนี้เด็กหญิงเลยถนัดภาษาไทยมากกว่าภาษาญี่ปุ่นไปแล้ว ภัทรตักขนมป้อนให้หลานอีกคำแล้วก็ตอบด้วยเสียงเรื่อยๆ

“ก็...มีแล้ว แต่ไม่รู้สิพี่แพน...ภัทรชักไม่แน่ใจ”

หญิงสาวฟังเสียงงึมงำของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันแล้วก็ส่ายหน้า ว่าแล้วไหมล่ะ น้องชายของเธอมีเรื่องไม่สบายใจอยู่จริงๆด้วย แต่นิสัยชอบทำเหมือนปัญหาของของตัวเองไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่แหละทำเอาหล่อนหนักใจมาหลายครั้งแล้ว ตอนที่น้องชายเลิกกับแฟนเก่าก็เหมือนกัน ตอนนั้นหญิงสาวยังอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยไม่ทันรู้เรื่องละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น พอกลับมาจึงได้รู้ว่าน้องชายเลิกกับแฟนเพราะฝ่ายนั้นไปแต่งงานแล้ว ไม่งั้นหล่อนได้ตามไปอาละวาดถึงบ้านไอ้หมอนั่นแน่ๆ

“อะไรล่ะที่ไม่แน่ใจ ท่าทางเขาเจ้าชู้เหรอ จะว่าไปภัทรคบกับเค้ามานานเท่าไหร่แล้วล่ะ แล้ว...แฟนคนนี้ก็ผู้ชายใช่หรือเปล่า?”

ภัทรพยักหน้า แพนรู้ว่าน้องชายไม่ใช่คนที่เที่ยวชอบคนเพศเดียวกันไปทั่ว แต่บังเอิญแฟนเก่าซึ่งเป็นแฟนคนแรกและคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเป็นผู้ชาย น้องชายเธอเลยชินกับการเป็นฝ่ายถูกดูแลไปโดยอัตโนมัติ

“ก็เพิ่งคบกันได้ราวๆสองเดือน ที่จริงเค้าเป็นคนดีนะพี่แพน แต่ภัทรรู้สึกว่าเราอาจไม่เหมาะกันหรือเปล่ายังไงไม่รู้”

คนถามขมวดคิ้วจนภัทรชักหวาดๆ เพราะพี่สาวของเขาเป็นคนนิสัยตรงข้ามกับตัวเองโดยสิ้นเชิง ขณะที่ภัทรเป็นคนค่อนข้างเงียบ มีบ้างที่จะเอาแต่ใจหรือดื้อเงียบในบางครั้ง แต่แพนกลับเป็นคนปากตรงกับใจ และเห็นอะไรที่ไม่ถูกใจก็จะโวยวายทันทีโดยไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม เพิ่งจะหลังแต่งงานและมีลูกนี่แหละที่อีกฝ่ายดูจะสงวนท่าทีเวลาเจอเรื่องไม่สบอารมณ์บ้าง

“ทำไม ภัทรจะไม่เหมาะกับเค้าเพราะอะไร ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”

ภัทรถอนหายใจ เขาคงไม่ได้ตัดสินใจผิดที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้พี่สาวฟังนะ...


+------+


“โธ่เอ๊ย! พี่ก็นึกว่าเค้าเป็นคนโลเลหรืออะไรซะอีก ที่ฟังมาก็ดูเอาใจใส่ภัทรดีนี่ แล้วเราจะกังวลทำไมเนี่ย?”

หญิงสาวฟังเรื่องจบแล้วก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะหล่อนรู้นิสัยน้องดีว่าเป็นคนชอบคิดมาก แถมยังไม่นิยมตอบโต้ใครกลับซึ่งหน้าเวลามีเรื่องทะเลาะจนเธอต้องคอยออกหน้าให้ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ก็ทั้งน่าแกล้งและน่าถนอมไปพร้อมกันแบบนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะ

“ก็เค้าเป็นผู้ใหญ่กว่าภัทรตั้งเยอะ แล้วรุ่นพี่ในออฟฟิศก็เตือนว่าให้ภัทรทำตัวดีๆไม่ให้เค้าเดือดร้อน ภัทรก็กลัวจะไปเผลอทำอะไรไม่เหมาะสมเข้าน่ะสิ”

ชายหนุ่มสางนิ้วผ่านผมเส้นเล็กละเอียดของหลานสาวที่หลับคาตักไปตั้งแต่เริ่มเล่าเรื่องให้พี่สาวฟัง จะว่าไปถ้าหากเชษฐ์แต่งงานมีครอบครัวตามปกติ ตอนนี้อีกฝ่ายก็คงจะมีลูกอายุไล่เลี่ยกับหลานเขาเหมือนกัน พอคิดอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

“เขาแก่กว่าภัทรเท่าไหร่นะ? เก้าปีใช่มั้ย? งั้นก็เด็กกว่าโทรุแค่ปีเดียวเองสิ”

ภัทรพยักหน้า ผู้เป็นพี่เลยอมยิ้มแล้วก็ตบไหล่น้องชายเบาๆ ถึงปากจะบอกว่าเพิ่งคบกันได้แค่สองเดือน แต่หล่อนก็ดูออกว่าน้องตัวเองคงรู้สึกดีกับฝ่ายนั้นมากพอที่จะเก็บเอาเรื่องที่รุ่นพี่เตือนมาคิด แล้วยังเลยไปห่วงเรื่องภาพพจน์ของคนคนนั้นให้อีกด้วย แต่จู่ๆจะบังคับให้คนที่ชอบคิดมากเป็นนิสัยเปลี่ยนวิธีคิดกันทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้

“นี่ภัทร พี่จะบอกอะไรให้นะ ผู้ชายวัยคุณเชษฐ์เนี่ยเค้าไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ตลอดอย่างที่ภัทรคิดนะ ต่อให้มีหน้าที่การงานเป็นระดับผู้จัดการก็เถอะ ถ้าเป็นเรื่องคนใกล้ตัวเขาก็น้อยใจหรืองอนเป็นเหมือนกันนะ”

ชายหนุ่มหันไปสบตาพี่สาวแล้วก็ขมวดคิ้ว เขานึกภาพคุณเชษฐ์เวลาเป็นแบบนั้นไม่ออกนี่นา

“พี่โทรุเป็นบ่อยเหรอ?”

“โอ้ย ตัวดีเลยคนนั้นน่ะ ต่อหน้าลูกน้องก็เป็นคุณลุงจอมเฮี้ยบแหละนะ แต่อยู่บ้านแล้วหือไม่ขึ้นหรอก แน่ะ...สงสัยร้อนตัว พูดถึงก็มาเลย”

เสียงรถยนต์ที่ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านดึงความสนใจของทั้งคู่ สักพักพี่เขยชาวญี่ปุ่นของภัทรก็เปิดประตูเข้ามาแล้วหอมแก้มภรรยาอย่างเอาใจก่อนจะหันมารับไหว้

“สวัสดีๆ ไม่เจอกันนาน สบายดีมั้ย?”

ด้วยความที่ต้องทำงานกับคนไทยเป็นหลักแถมยังโดนภรรยาบังคับให้หัดพูด พี่เขยของเขาเลยพูดไทยคล่องแม้จะติดสำเนียงญี่ปุ่นอยู่บ้าง ภัทรเอ่ยทักทายก่อนจะส่งหลานสาวที่กำลังสะลึมสะลือให้ แล้วพ่อลูกก็ขอตัวขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้พี่น้องได้คุยกันต่อตามลำพัง

“พี่ว่านะ ภัทรอย่าเอาเรื่องที่รุ่นพี่เราเตือนมาคิดมากให้รกสมองเลย เรื่องคบแฟนในออฟฟิศเดียวกันมันไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้นหรอก เราน่ะมัวแต่คิดมากจะทำให้ไม่มีความสุขรู้มั้ย?”

ก็คงไม่ต้องคิดมากขนาดนี้หรอกถ้าเป็นคู่ชายหญิงธรรมดาน่ะ ภัทรคิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เหมือนพี่สาวจะเดาความคิดเขาออกเลยสำทับให้อีก

“แล้วก็ไม่ต้องคิดด้วยว่าเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ถ้าเค้าเป็นผู้ใหญ่จริง การที่เค้าขอคบกับภัทรก็แปลว่าเค้าเลือกเราแล้ว เพราะงั้นก็เลิกกังวลแทนเค้าซะที เข้าใจมั้ย?”


+------+


ภัทรไขกุญแจเข้าห้องตัวเองอย่างเพลียๆแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอน การได้คุยปรึกษากับพี่สาวทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่พอได้กลับมาอยู่คนเดียวก็อดจะคิดมากเรื่องคำพูดของพี่ป๋วยเมื่อเช้าไม่ได้อยู่ดี นี่ถ้ามีตัวอย่างของคู่รักอื่นในออฟฟิศที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันเขาคงรู้สึกเบาใจว่าไม่ได้มีแต่ตัวเองที่จะเป็นเป้าสายตา แต่เท่าที่เห็นก็มีแต่คู่ที่เป็นชายหญิงธรรมดาแถมไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่างกันเหมือนเขากับคุณเชษฐ์ ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามยังไงภัทรก็ยังสลัดความคิดที่รบกวนจิตใจออกไปไม่ได้เสียที

เสียงโทรศัพท์ที่เสียบไว้บนแท่นชาร์จเหนือหัวเตียงทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มหลับสะดุ้ง พอภัทรหยิบมาดูชื่อคนโทรเข้าแล้วก็ยิ่งตกใจ เขาลืมไปสนิทว่าอีกฝ่ายบอกให้ส่งข้อความหาหลังกลับถึงคอนโดแล้ว

“กลับถึงห้องหรือยัง?”

เสียงหงุดหงิดหน่อยๆที่ดังมาจากลำโพงโทรศัพท์ทำเอาความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง นี่เขาทำให้ฝ่ายนั้นโกรธแล้วจริงหรือเนี่ย ภัทรกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยตอบ

“ขอโทษครับ พอดีผมเพิ่งกลับจากบ้านพี่สาวเมื่อกี้เอง เห็นว่าดึกแล้วเลยไม่อยากรบกวนคุณเชษฐ์ แล้วเห็นว่าพรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าอีก”

ปลายสายถอนหายใจเมื่อได้ยินคำอธิบายก่อนจะเสียงอ่อนลง “ไม่เป็นไรหรอก ปกติฉันนอนดึกอยู่แล้ว หรือต่อให้นอนไปแล้วก็ส่งเมสเสจมาก็ได้ ฉันจะได้รู้ว่าเธอกลับถึงคอนโดเรียบร้อยดี”

ทั้งๆที่คำพูดของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ไม่รู้ทำไมภัทรกลับนึกฉุนซะอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ชายอ่อนแอหรือท่าทางตุ้งติ้งอะไร มองจากสายตาฝ่ายนั้นแล้วเขาดูไม่มีน้ำยาจะปกป้องตัวเองหรือไงกัน?

“ขอโทษครับ คราวหลังผมจะทำตามที่คุณเชษฐ์สั่งก็แล้วกัน”

ภัทรอดประชดไม่ได้ ในเมื่ออยากให้ทำตามที่สั่งนักก็จะทำ ยังไงคุณเชษฐ์ก็เป็นเจ้านายนี่ เลยติดนิสัยชอบบงการแม้แต่กับคนที่ตัวเองขอคบด้วยหรือไงก็ไม่รู้
แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น แทนที่อีกฝ่ายจะโต้ตอบด้วยเสียงชวนทะเลาะ ภัทรกลับต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะในคอแทน

“ไม่ได้สั่งสักหน่อย ขอร้องต่างหาก คนเป็นห่วงแฟนนี่ผิดด้วยเหรอ แล้วตกลงงอนฉันเรื่องอะไร?”

คนถูกถามหน้าร้อนฉ่า ตกลงไอ้ที่เขาเผลอแสดงอารมณ์ไปเมื่อกี้เลยโดนอีกฝ่ายมองว่าเขางอนเป็นเด็กๆงั้นสิ!

“เปล่างอนครับ พอดีผมง่วงแล้ว”

พอหลุดปากไปแล้วภัทรก็แทบอยากตบปากตัวเอง เพราะกลายเป็นว่าอีกฝ่ายยิ่งหัวเราะเขาหนักเข้าไปอีกจนชายหนุ่มหน้างอ

“คุณเชษฐ์ ตกลงโทรมาหาเรื่องหัวเราะผมก่อนนอนเหรอครับ?”

“หึๆ เปล่า แต่เธอทำเสียงน่าหัวเราะเองนี่ แล้วตกลงเมื่อเย็นเป็นอะไร บอกแล้วแท้ๆว่าให้รอจะได้ไปส่งก็ยังหนีกลับเองอีก ฮึ?”

พอโดนถามด้วยเสียงอ่อนโยนภัทรก็เริ่มจะอ่อนลงบ้าง แต่ก็ยังไม่อยากบอกเหตุผลอยู่ดีว่าเพราะอะไรเขาถึงได้พยายามหลบหน้าอีกฝ่ายตลอดบ่ายขนาดนั้น

“ไม่มีอะไรจริงๆครับ ผมไม่อยากรบกวนคุณเชษฐ์แล้วก็คิดว่าไปเองสะดวกกว่า คราวหลังเลิกงานแล้วผมจะให้คุณเชษฐ์มาส่งเหมือนเดิมแล้วกัน”

จนแล้วจนรอดคนถูกถามก็ยังบ่ายเบี่ยงจนคนถามถอนหายใจ บทจะดื้อขึ้นมาภัทรกรก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน “เอาเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องเมื่อเย็นจะปล่อยให้ แต่เรายังมีเรื่องต้องเคลียร์กันอยู่นะ”

“เห? เรื่องอะไรครับ?”

ภัทรได้ยินเสียงที่เข้มขึ้นของอีกฝ่ายแล้วก็ชักร้อนๆหนาวๆ หรือว่ามีคนอื่นมาเห็นเวลาเขาอยู่กับเชษฐ์เข้าอีกคนแล้วเอาไปคุยกันแล้วหรือเปล่า? แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“ป๋วยพูดอะไรหรือเปล่าหลังฉันออกมาจากครัวเธอถึงได้ท่าทางแปลกๆไปทั้งวัน ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ”


+---tbc---+




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 มกราคม 2553 0:10:32 น.
Counter : 947 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 3


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 3


“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ภัทร วันนี้มาเช้าจังเลย”

เสียงของรีเซพชันนิสต์สาวเอ่ยต้อนรับอย่างสดใสจนร่างผอมเพรียวที่เพิ่งผลักบานประตูออฟฟิศเข้ามายิ้มตอบ

“กุ้งก็มาเช้าเหมือนกันแหละ โชคดีวันนี้ทางที่พี่มารถไม่ติดน่ะ ต้องขอบคุณที่โรงเรียนปิดเทอมนะเนี่ย”

ภัทรเอ่ยทักทายตอบก่อนจะเดินเลี้ยวผ่านเคาน์เตอร์รีเซฟชันไปยังฝั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองตั้งอยู่ เนื่องจากบริษัทของเขาครองพื้นที่ชั้นบนสุดของอาคารทั้งชั้น จึงมีการแบ่งผังการทำงานให้ปีกตะวันออกเป็นห้องของผู้บริหาร ห้องแผนกกราฟฟิคดีไซน์และพนักงานทั่วไป ส่วนปีกตะวันตกประกอบด้วยห้องประชุมยาวที่สามารถเลื่อนฝากั้นเป็นห้องประชุมย่อยได้สามห้อง ห้องสำหรับฝ่ายไอทีกับคอลเซ็นเตอร์ ห้องพักสำหรับเมสเซนเจอร์และห้องเก็บของ และทั้งสองฝั่งมีห้องน้ำกับครัวขนาดเล็กเหมือนกันเพื่อความสะดวกของพนักงาน

ด้วยความที่มาถึงก่อนเวลาเข้างานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงยังไม่มีคนอื่นในฝั่งเดียวกันมา ภัทรแวะที่โต๊ะของตัวเองเพื่อวางกระเป๋ากับเปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว แล้วก็จ๊ะเอ๋กับพนักงานทำความสะอาดที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเคาน์เตอร์อยู่พอดี

“อ้าวคุณภัทร โทษทีนะคะ พอดีน้าเพิ่งจะเสียบปลั๊กกระติกน้ำไปเมื่อกี้เอง น้ำยังไม่ร้อนเลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับน้าหมู เดี๋ยวผมรอก็ได้ เช้าๆไม่ดื่มกาแฟแล้วหัวไม่ค่อยแล่น”

แม่บ้านวัยกลางคนในเครื่องแบบพนักงานทำความสะอาดยิ้มแล้วก็ขอตัวออกไป ภัทรเลยหยิบถ้วยแก้วประจำตัวออกจากชั้นมาตักกาแฟรอ ที่จริงการมาแต่เช้าก็ดีตรงที่เขาไม่ต้องรอคิวชงกาแฟเพราะสาวๆในบริษัทชอบเข้ามาเม้าท์กันแล้วติดลม ทำให้ปกติเขาต้องคอยจนทุกคนเริ่มนั่งประจำโต๊ะกันแล้วจึงค่อยได้ใช้ครัวบ้างเพราะห้องครัวที่นี่เล็กมากขนาดที่ยืนสี่คนก็อึดอัดแล้ว

“ไง วันนี้มาเช้านะ”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยจากด้านหลังทำให้ภัทรหันขวับไปหาต้นเสียง ใบหน้าหวานยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปกดน้ำร้อนใส่แก้วหลังกระติกไฟฟ้าส่งสัญญาณว่าน้ำเดือดแล้ว

“ถึงจะขี้เซา แต่วันที่ต้องมาทำงานผมก็ตื่นเช้าได้นะครับคุณเชษฐ์ นาฬิกาปลุกผมก็มีนี่นา”

ภัทรย้อนแบบไม่จริงจังเพราะจำได้ว่าตัวเองเคยโดนแซวว่ายังไง คนทักจึงหัวเราะในคอก่อนจะเดินเข้ามายืนเคียงข้าง นัยน์ตาคมทอยิ้มล้อเลียน

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย แบบนี้เขาเรียกร้อนตัวรู้หรือเปล่า?”

คนถูกแซวค้อนให้ก่อนจะยกกาแฟตัวเองขึ้นจิบ แล้วก็ต้องกระพริบตามองแก้วที่อีกฝ่ายยื่นมาให้อย่างงงๆ

“ชงให้มั่งสิ เอาแบบที่เธอดื่มนั่นแหละ”

“แต่ปกติคุณเชษฐ์ดื่มกาแฟดำไม่ใช่เหรอครับ ถ้าชงสูตรผมอาจจะเลี่ยนก็ได้นะ ผมชอบหนักครีมอยู่ด้วย”

ภัทรท้วง เพราะเขาพอจะรู้รสนิยมอีกฝ่ายอยู่บ้าง นอกจากจะติดบุหรี่แล้ว เชษฐ์ยังไม่ค่อยชอบอาหารที่มีรสหวานๆ เวลาดื่มกาแฟก็จะชงเสียเข้ม แถมยังไม่เติมน้ำตาลหรือครีมเทียมตัดรสจนเขาไม่รู้ว่าทนดื่มเข้าไปได้ยังไง

“ไม่เป็นไร ฉันอยากรู้ว่าปกติเธอดื่มกาแฟรสไหน วันหลังเวลาไปที่บ้านจะได้ชงให้ถูก”

เชษฐ์ตอบแล้วก็ยิ้ม ภัทรเลยรีบรับแก้วไปแล้วทำเป็นง่วนตักกาแฟและน้ำตาลกับครีมเทียมแก้เขิน ในใจก็ให้รู้สึกเสียเปรียบที่ตัวเองเหมือนโดนแกล้งอยู่เรื่อยแต่ไม่รู้จะเอาคืนยังไงดี พอเติมน้ำร้อนใส่แก้วและคนจนกาแฟละลายดีแล้วชายหนุ่มก็หันกลับไปหาคนที่ยืนรออยู่

“เสร็จแล้วครับคุณเชษฐ์ ยังไงชิมก่อนนะ ถ้าหวานไปผมจะได้เติมกาแฟให้”

มือใหญ่รับแก้วกาแฟไปจิบแล้วก็เงียบไป ภัทรเลยถามด้วยความกังวลว่ารสชาติที่ตัวเองชอบจะไม่ถูกใจอีกฝ่าย

“เป็นไงมั่งครับ?”

“อืม...จะว่าไงดี”

เชษฐ์ทำท่าคิดนานจนภัทรหน้าเสีย สงสัยกาแฟที่เขาชงจะไม่ถูกปากจริงๆด้วย

“ไม่อร่อยใช่ไหมล่ะ ผมก็บอกแล้ว ถ้าไงผมชงกาแฟดำธรรมดาให้ใหม่ดีกว่า”

ชายหนุ่มกำลังจะหันไปหยิบแก้วใหม่ แต่โดนเสียงอีกฝ่ายรั้งไว้ก่อน

“ไม่ต้องหรอก ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่อร่อย แค่กำลังคิดว่า กาแฟที่เธอชง...รสชาติเหมือนเธอดี”

คนถูกถามพูดยิ้มๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกอึก แต่คำตอบเปรียบเปรยอย่างจงใจทำเอาภัทรหน้าแดงอย่างหยุดไม่อยู่ คนคนนี้เคยกระดากปากเรื่องอะไรกับเขามั่งไหมเนี่ย!?

“คุณเชษฐ์! มันจะไปเหมือนกันได้ไงล่ะครับ เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว...โอ๊ย!”

“ภัทร เป็นอะไร?”

คิ้วเข้มเหนือกรอบแว่นขมวดก่อนจะรีบวางแก้วในมือลง ภัทรยกมือขึ้นขยี้ตาข้างหนึ่งที่จู่ๆก็แสบขึ้นกะทันหัน

“สงสัยอะไรปลิวเข้าตาน่ะครับ คุณเชษฐ์...จะทำอะไรครับ?”

ภัทรถามอย่างตกใจเมื่อโดนมือใหญ่รั้งข้อมือเขาที่กำลังขยี้ตาอยู่ คนสูงวัยกว่าทำเสียงดุ

“อย่าขยี้สิ ตายิ่งแดงเข้าไปใหญ่กันพอดี เงยหน้าซิฉันจะได้ดูให้”

มือที่จับมือเขาอยู่เลื่อนไปเชยคางเรียวขึ้นแทน ขณะที่อีกมือหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อแล้วใช้ปลายผ้าเขี่ยเศษผงที่ติดอยู่ให้

“ขนตาเธอคงปลิวเข้าไปน่ะ อย่าเพิ่งกระพริบตานะ ลืมตานิ่งๆก่อน”

“อื๊อ~”

ภัทรรู้สึกแสบตานิดหน่อยเมื่อโดนขอบผ้าเช็ดหน้าเขี่ยที่ผิวบอบบางจนเผลอกระพริบตาอีกหลายครั้ง แต่แล้วสัมผัสอ่อนโยนที่แนบอยู่บนแก้มกับลมหายใจอุ่นๆที่รดลงบนปลายจมูกทำให้เริ่มรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ชิดตัวเองแค่ไหน ร่างโปร่งเผลอกลั้นหายใจเมื่อรับรู้ถึงไออุ่นของร่างตรงหน้าราวกับอุณหภูมิในห้องครัวสูงขึ้นทั้งที่เครื่องปรับอากาศทำงานเป็นปกติ

ราวกับท่าทางที่เกร็งขึ้นกะทันหันของคนตัวเล็กกว่าจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัวเช่นกัน มือใหญ่ที่จับผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือจึงชะงักการเคลื่อนไหว นัยน์ตาคมหลังแว่นมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สั่นระริกด้วยแววตื่นอายระคนคาดหวัง แล้วคนถูกจ้องก็เบิกตากว้างเมื่อร่างสูงใหญ่ค่อยๆย่นระยะที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองด้วยการก้มลงหา

“ภัทร มาแล้วเหรอ เดี๋ยวมาช่วยพี่หาเอกสารของงานปีที่แล้วหน่อยสิ อุ๊ย!”

เสียงแหลมสูงของคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าครัวทำเอาทั้งสองสะดุ้ง แต่แทนที่เชษฐ์จะถอยห่าง ชายหนุ่มกลับยังคงประคองใบหน้าเรียวไว้ทั้งที่ภัทรพยายามจะยกแขนอีกฝ่ายออก

ราวผู้มาใหม่จะถูกภาพที่เห็นตรงหน้าสะกดให้ชะงักจนอ้าปากค้าง พอเห็นสายตาของร่างสูงใหญ่ที่หันมามองผ่านเลนส์แว่นเลยสะดุ้งสุดตัวทันที

“เอ้อ! คุณเชษฐ์ ขอโทษค่ะ เอ่อ...งั้นป๋วยขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก พอดีภัทรเขาเข้ามาชงกาแฟแล้วฝุ่นเข้าตาฉันเลยช่วยดูให้ รู้สึกจะออกแล้ว ยังไงเอาน้ำสะอาดล้างตาอีกรอบแล้วกัน”

ท้ายประโยคเชษฐ์หันกลับมาพูดกับคนใกล้ตัวก่อนจะหยิบแก้วกาแฟของตัวเองเดินออกไป ภัทรรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวูบวาบไปหมดจนต้องหันหน้าเข้าหาอ่างล้างจานแล้วทำเป็นวักน้ำขึ้นลูบหน้าเพื่อหนีคำถามของรุ่นพี่

ตกลงเมื่อครู่อีกฝ่ายเช็ดขนตาออกไปจากตาเขานานแล้วหรือไงกันนะ? แล้วถ้าเมื่อกี้ไม่มีใครเดินเข้ามาขัดจังหวะจะเกิดอะไรขึ้น? ภัทรยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกร้อนหน้าจนต้องเอาน้ำเย็นๆลูบมากเข้าไปอีก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินจากไปเสียที แล้วทำไมพี่ป๋วยต้องมายืนรอเขาด้วยเนี่ย!

“พอได้แล้วภัทร นี่เธอจะถูให้ลูกตามันหลุดติดออกมากับมือเลยรึไงยะ เช็ดหน้าได้แล้ว”

ลำแขนระหงยื่นมาปิดก๊อกน้ำแล้วก็ดึงกระดาษทิชชูส่งให้ ภัทรเลยยิ้มเจื่อนๆก่อนจะรับกระดาษเนื้อนิ่มมาซับน้ำที่เกาะพราวอยู่บนหน้า นัยน์ตาเฉียบคมของรุ่นพี่ที่กำลังกอดอกแล้วก็จ้องหน้าเขาอย่างเต็มไปด้วยคำถามทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าสบตาด้วย

คุณเชษฐ์นะคุณเชษฐ์! ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ๆ ดันทิ้งระเบิดไว้ให้เขากู้คนเดียวเลย!!

ภัทรคิดค่อนขอดคู่กรณีในใจ แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนโดนธนูยิงเข้ากลางหน้าอกเมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวรุ่นพี่ที่ยืนเงียบอยู่นาน

“ภัทร พี่ขอถามตรงๆนะ เธอกับคุณเชษฐ์คบกันอยู่หรือเปล่า?”

“พี่ป๋วย! ทำไมถามผมอย่างนั้น!?”

ภัทรรีบหันไปมองหน้าทางเข้าครัวด้วยความตระหนกว่าอาจจะมีคนอื่นเดินเข้ามาอีก ฝ่ายคนถามพอได้เห็นอากัปกริยาร้อนตัวของคนตรงหน้าก็ถอนหายใจ

“ปิดบังความลับไม่เก่งเลยนะเราน่ะ ถ้าคนอื่นถามเหมือนพี่ ภัทรห้ามลนลานแบบนี้รู้มั้ย?”

ชายหนุ่มหน้าถอดสีทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตวัดขึ้นสบกับนัยน์ตาอีกฝ่ายแล้วก็ก้มหลบสายตาเหมือนเดิมก่อนเอ่ยถามเสียงเบา

“พี่ป๋วย...หมายความว่าพี่รู้อยู่แล้วเหรอ?”

คนถูกถามเอียงคอมองสีหน้าของรุ่นน้องที่ตอนนี้ซีดเผือดแล้วก็รู้สึกเห็นใจ หญิงสาวชะโงกหน้าออกไปดูหน้าครัวให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยเสียงเบา

“พี่แค่ลองถามดู เพราะมันผิดสังเกตตั้งแต่วันวาเลนไทน์ที่คุณเชษฐ์เขาโทรมาบอกว่ารอภัทรแล้ว ก็ทีมเราไม่ได้ทำงานให้โปรเจ็กต์เขานี่นา แล้วอีกอย่าง ถึงพวกเธอจะไม่ได้ทำอะไรผิดสังเกตกันในที่ทำงาน แต่สีหน้าเธอตอนมองคุณเชษฐ์เดินออกไปเมื่อกี้น่ะ ไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องสงสัยแน่ๆ”

“ผมเหรอ? ผมมองคุณเชษฐ์แบบไหน?”

ภัทรลูบหน้าตัวเองอย่างเป็นกังวล เพราะปกติเวลาอยู่ในออฟฟิศเขาแทบไม่เคยอยู่ใกล้เชษฐ์ต่อหน้าคนอื่น เขาจึงไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเผลอแสดงสีหน้าหรือแววตาแบบไหนไปเวลาอยู่กับอีกฝ่าย ป๋วยได้ยินคำถามแล้วก็ค้อนหนุ่มรุ่นน้องตาคว่ำ

“ไปส่องกระจกดูเอาเองสิแล้วจะได้รู้ เอาเป็นว่ายังไงต่อไปนี้ระวังตัวให้มากหน่อยก็แล้วกัน พวกปากหอยปากปูในบริษัทนี้มันไม่ได้มีกันคนสองคน เธอคงไม่อยากให้คุณเชษฐ์เดือดร้อนไปด้วยใช่ไหม?”

ท้ายประโยคหญิงสาวถามเสียงเข้ม ภัทรหลบตาอีกฝ่ายแล้วก็พยักหน้า เสียงคนคุยกันที่ดังมาจากห้องทำงานทำให้รู้ว่าคนอื่นๆเริ่มทยอยเข้าออฟฟิศกันแล้ว หญิงสาวรุ่นพี่จึงหันมาตบบ่าเขาเบาๆ

“เอาล่ะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย ถ้าเธอทำตัวปกติอย่างเดิมไปก็คงไม่มีใครรู้หรอก แล้วก็ระวังอย่าอยู่กับคุณเชษฐ์สองต่อสองในออฟฟิศอีกแล้วกัน ถ้าคราวต่อไปคนเห็นไม่ใช่พี่จะแย่เอา”

หญิงสาวว่าแล้วก็เดินออกไปก่อน ภัทรยิ้มให้เพื่อนร่วมงานอีกคนที่เดินสวนเข้ามาในครัวก่อนจะหยิบแก้วกาแฟของตัวเองกลับไปที่โต๊ะ ทว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับคำเตือนของรุ่นพี่ก็ติดอยู่ในหัวเขาแน่นจนสลัดไม่หลุดไปแทบทั้งเช้า

โชคดีว่าวันนั้นเชษฐ์ต้องออกไปประชุมกับสมาคมที่เป็นพันธมิตรของบริษัททำให้ภัทรไม่ต้องเห็นหน้าคู่กรณีทั้งวัน ส่วนตัวเขาเอง พอได้เริ่มทำงานแล้วก็กดตัดสวิทช์เรื่องกวนใจทั้งหลายทิ้ง ชายหนุ่มจึงมุอยู่กับงานจนไม่ยอมลงไปทานข้าวกลางวันแต่ฝากคนอื่นซื้อแซนด์วิชขึ้นมาให้

ทว่าพอถึงช่วงบ่ายที่งานในส่วนของเขาเริ่มเคลียร์ไปเกือบหมด ความกังวลใจกับเรื่องเมื่อเช้าก็เริ่มแทรกกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง เพราะถึงแม้ป๋วยจะแสดงความเข้าใจและกำชับให้สบายใจว่านอกจากเธอแล้วคนอื่นไม่รู้ แต่ภัทรก็คิดได้ว่าอาจจะยังมีคนรู้อยู่อีกคน แถมคนคนนั้นอาจรู้มาก่อนรุ่นพี่ของเขาเสียอีกด้วย ก็คนที่จองห้องพิเศษในร้านอาหารที่เชษฐ์พาเขาไปเมื่อวันวาเลนไทน์ไงล่ะ


+------+


“กุ้ง...พี่ขอคุยด้วยแป๊บสิ”

สาวน้อยผู้ถูกทักเงยหน้าจากโทรศัพท์และกระดาษจดโน้ตที่คาอยู่ในมือแล้วก็มองหน้าภัทรอย่างประหลาดใจ แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็รีบยกมือห้ามก่อน

“เดี๋ยวนะคะพี่ภัทร พอดีตอนนี้กุ้งต้องรีบจองไฟลต์ด่วน เอเจ้นต์ไหนๆก็เต็มหมดเลย ขอกุ้งจัดการตรงนี้เรียบร้อยแล้วเดี๋ยวโทรบอกพี่ภัทรนะ ค่ะ...ค่าพี่ยู ไฟลต์แรกสุดไม่ว่างเลยเหรอคะพี่ แต่นายหนูต้องเดินทางด่วนพรุ่งนี้นะ พี่ช่วยดูรอบที่เวลาใกล้กันให้หนูหน่อยสิ”

ภัทรต้องยอมถอยแต่โดยดีเมื่อเห็นท่าว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ว่างในเวลาอันใกล้ เขาจึงเสเดินเข้าไปชงโอวัลตินในครัวแล้วก็เดินกลับมาเช็คเมล์ที่โต๊ะ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมากุ้งก็โทรมาเรียก ภัทรจึงลุกออกไปหาที่เคาน์เตอร์หลังถามอีกฝ่ายจนแน่ใจว่าไม่มีใครนั่งอยู่ด้วย

“ว่าไงคะพี่ภัทร มีอะไรจะคุยกับกุ้งเอ่ย?”

สาวน้อยรุ่นน้องเอ่ยถามแล้วยิ้มให้อย่างสดใส ภัทรอดนึกอิจฉาไม่ได้ที่อีกฝ่ายดูจะร่าเริงและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาตลอดเวลาไม่ว่าจะเพิ่งผ่านเรื่องเครียดมาแค่ไหน ไม่แปลกที่ใครๆในบริษัทจะให้ความเอ็นดู

ภัทรวางแก้วโอวัลตินที่เพิ่งชงติดมือมาให้ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง แต่แล้วชายหนุ่มก็เกิดอาการอิหลักอิเหลื่อที่จะถามขึ้นมากะทันหัน เพราะถ้าหากว่ากุ้งไม่ได้รู้เรื่อง ไม่เท่ากับเขากินปูนร้อนท้องเองหรือ แต่สายตาที่รอคำถามทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจออกปากแม้จะไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่า

“คือว่า กุ้งจำได้ไหมว่าเมื่อวันวาเลนไทน์คุณเชษฐ์เขาให้กุ้งจองร้านอาหารให้...”

ชายหนุ่มเอ่ยถามเหมือนชวนคุยเรื่องทั่วไป คนถูกถามจึงกระพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มกว้าง

“อ๋อ...จำได้สิคะ ขนาดคุณเชษฐ์บอกกุ้งล่วงหน้าตั้งเกือบอาทิตย์ยังแทบไม่ได้ห้องพิเศษแน่ะ กุ้งก็ไม่รู้มาก่อนว่าร้านนั้นจะป๊อบขนาดนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงวันนั้นคุณเชษฐ์พาใครไป แต่น่าอิจฉาคนคนนั้นจริงๆเลย”

คนถามถามคำเดียวแต่คนถูกถามร่ายคำตอบยาวเหยียด ทว่าภัทรก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกกับคำตอบที่ได้ โชคดีไปที่ท่าทางเชษฐ์คงไม่ได้บอกรายละเอียดตอนที่ให้จองว่าตั้งใจจะพาเขาไป แต่คำถามถัดมาของรุ่นน้องสาวก็ทำให้เขาสะดุ้งโหยง

“แต่ว่า เรื่องที่คุณเชษฐ์ให้กุ้งจองโต๊ะเมื่อวันวาเลนไทน์เนี่ย แกกำชับกุ้งว่าห้ามบอกใครเด็ดขาดเลยนะคะ แล้วทำไมพี่ภัทรถึงได้รู้ล่ะ?”

สาวน้อยยกนิ้วชี้ขึ้นแตะแก้มแล้วก็เอียงคอมองเขา ภัทรเลยชักเริ่มไม่แน่ใจว่าคนถามไม่รู้จริงๆหรือกำลังแกล้งปั่นหัวเขาเล่นกันแน่

“ก็...วันนั้นที่กุ้งฝากเอกสารพี่ลงไปให้คุณเชษฐ์ใช่มั้ยล่ะ ก่อนแยกกันพี่เลยถามคุณเชษฐ์ว่าจะไปไหน เค้าก็เลยบอกไง”

ชายหนุ่มตอบแบบตะกุกตะกักแล้วก็ทำเป็นมองไปนอกหน้าต่างที่เห็นรางรถไฟฟ้าวิ่งผ่านด้านล่าง ได้แต่หวังว่าคำตอบตัวเองคงฟังแล้วมีเหตุผลพอที่จะกันคำถามอื่นๆไม่ให้ตามมา แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่

“เหรอคะ เอ...แล้วตกลงร้านนั้นบรรยากาศดีจริงๆหรือเปล่า?”

กุ้งถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น ภัทรเลยหันกลับมายิ้มบางๆตอบ

“ก็ดีนะ เค้าแต่งร้านสวยดี...กุ้ง!!”

ชายหนุ่มยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว คนตรงหน้าเลยอมยิ้มอย่างภูมิใจที่หลอกถามได้สำเร็จ

“ฮั่นแน่! สุดท้ายก็ยอมหลุดปากออกมาจนได้ พี่ภัทรนี่เป็นประเภทอำใครไม่ขึ้นนะเนี่ย รู้ตัวมั้ยคะ?”

“กุ้ง...ตกลงนี่รู้มาก่อนแล้วจริงๆใช่มั้ย?”

ภัทรเอ่ยถามเสียงแห้ง รู้สึกเหมือนตัวเองปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มไปถึงสองตัวในวันเดียวกัน ตกลงนี่เขาเป็นประเภทปิดความลับจากคนอื่นไม่ได้หรือไงกันนะ?

“เปล่านะคะ แต่พี่ภัทรไม่คิดว่ามันน่าสงสัยเหรอ ก็วันนั้นจู่ๆคุณเชษฐ์ก็โทรเข้ามาให้ต่อสายหาพี่ภัทร บอกให้เอาเอกสารลงไปให้ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับงานของพี่ภัทรสักหน่อย แล้ววันนี้พี่ภัทรก็มาถามกุ้งเรื่องนี้ จะไม่ให้กุ้งสงสัยยังไงไหว”

ภัทรยกมือนวดขมับ สรุปแล้ว ถ้าจะมีใครทำให้เรื่องที่เขาคบกับเชษฐ์ความแตกในออฟฟิศ ก็เห็นท่าว่าจะเป็นเพราะเขาเองนี่แหละ

“กุ้ง พี่ขอร้องล่ะ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครได้มั้ย?”

ภัทรเงยหน้าซีดเซียวขึ้นหาคนข้างตัว เพื่อนรุ่นน้องเลยยิ้มให้ก่อนจะเอื้อมมือบีบไหล่อย่างให้กำลังใจ

“พี่ภัทรล่ะก็ เห็นกุ้งคุยเก่งอย่างนี้แต่กุ้งก็เก็บความลับเก่งนะคะ เชื่อใจได้เลย ยังไงกุ้งก็เป็นกำลังใจให้พี่ภัทรนะ”

ชายหนุ่มยิ้มตอบแม้จะไม่เต็มที่ แล้วก็อดถามสิ่งที่ยังสะกิดใจอยู่ไม่ได้

“ว่าแต่ กุ้งคิดว่า นอกจากกุ้งแล้วมีคนอื่นที่ดูพี่กับคุณเชษฐ์ออกหรือเปล่า?”

“เอ...ไม่น่ามีนะคะ คุณเชษฐ์แกนิ่งออกจะตายไป อีกอย่างก็ไม่ค่อยมีใครเห็นพี่ภัทรอยู่กับคุณเชษฐ์ด้วยกันในออฟฟิศเท่าไหร่ ไม่น่าจะต้องห่วงหรอกค่ะ”

รุ่นน้องสาวทำท่าคิดก่อนจะส่ายหน้า ภัทรจึงรับคำในคอก่อนจะถอนหายใจ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจที่ได้เห็นร่างสูงใหญ่กำลังผลักประตูหน้าเข้ามาพอดี ใบหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นภัทรนั่งอยู่ในที่ที่ไม่ใช่โต๊ะทำงานของตัวเอง

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ งานเสร็จหมดแล้วเหรอ?”

พอถูกทักภัทรเลยรีบลุกทันที ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้องวางท่า “เจ้านาย-ลูกน้อง” ไว้ก่อน ต่อให้สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างเขาจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วก็เถอะ

“เปล่าครับ พอดีผมเบรกมาคุยกับกุ้งเฉยๆ”

เชษฐ์พยักหน้าก่อนจะหันไปหารีเซพชันนิสต์สาวที่ยิ้มหวานให้ ภัทรไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าว่าแววตาของอีกฝ่ายดูดุชอบกลจึงถอยออกจากเคาน์เตอร์ กลิ่นบุหรี่เจือโคโลญจน์จากคนที่เพิ่งเข้ามาลอยมากระทบจมูกเจือจาง แต่พักหลังมานี้เขาเริ่มชินแล้วเลยไม่ได้ย่นจมูกอีก

“ตกลงว่าไฟลต์ของฉันสำหรับวันพรุ่งนี้เรียบร้อยหรือยัง?”

“เรียบร้อยค่ะ พอดีไฟลต์เช้าสุดไม่ว่าง แต่ไฟลต์ถัดไปมีคนแคนเซิลกุ้งก็เลยบุ๊คไว้ให้คุณเชษฐ์แล้วก็ปริ๊นท์ e-ticket วางไว้บนโต๊ะให้แล้วค่ะ”

“คุณเชษฐ์มีบินไปต่างประเทศพรุ่งนี้เหรอครับ?”

ภัทรหันไปถามคนข้างตัวอย่างตกใจ ได้แต่หวังว่าน้ำเสียงของตัวเองจะไม่ฟังแล้วหงอยจนเกินไป เพราะอีกฝ่ายหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าตอนแรกนิดหน่อย

“อืม พอดีมีเทรนนิ่งด่วนของ regional office ตอนแรกฉันนึกว่าคุณปรีชาจะให้คนอื่นไป แต่เค้าเพิ่งโทรบอกเมื่อเช้าว่าตกลงจะให้ฉันไป ก็กะทันหันเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแหละนะ”

เชษฐ์อธิบายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ภัทรเลยเห็นใจคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ เมื่อก่อนเขาพอรู้อยู่บ้างว่าระดับผู้จัดการโปรเจ็กต์ของบริษัทขึ้นไปมักโดนท่านประธานมอบหมายให้บินไปประชุมต่างประเทศด่วนกันบ่อยๆ แถมบางครั้งอาจต้องบินไปถึงสามสี่ประเทศติดกันในเวลาไม่กี่วันซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แต่ว่าเขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจเพราะรู้สึกว่าเป็นภาระของผู้บริหารที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ทว่าตอนนี้คนใกล้ชิดกับเขาเป็นคนที่โดนเองจึงอดใจหายไม่ได้

“เห็นว่าไปสัปดาห์เดียวใช่ไหมคะคุณเชษฐ์ เพราะกุ้งบุ๊คไฟลต์กลับไว้ให้แล้ว ยังไงถ้าต้องเลื่อนวันก็โทรบอกกุ้งแล้วกันนะคะ”

ราวกับสาวน้อยจะรู้ว่าภัทรอยากถามอะไรจึงช่วยพูดออกมาให้ เชษฐ์หันไปพยักหน้าขอบใจก่อนจะทำหน้าบุ้ยคางให้ภัทรเดินตาม ชายหนุ่มจึงเดินตามร่างสูงอย่างเหม่อๆ

“เย็นนี้งานยุ่งหรือเปล่า?”

พอโดนเสียงนุ่มกระซิบใกล้หูภัทรก็กระพริบตาแล้วถึงรู้ตัวว่าเดินตามอีกฝ่ายเข้ามาในห้องน้ำ คนถูกถามเอียงคอคิดแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่ค่อยยุ่งแล้วครับ พวกที่เป็นงานด่วนเคลียร์เสร็จหมดแล้ว ที่เหลือค่อยมาตามเก็บพรุ่งนี้ก็ได้”

“โอเค งั้นหลังเลิกงานไปรอที่เดิมแล้วกัน ฉันจะวนรถไปรับ”

คนตัวโตเอ่ยก่อนจะวางแฟ้มเอกสารกับสูทลงบนขอบอ่างล้างหน้าแล้วถอดแว่นออกพลางวักน้ำขึ้นลูบหน้า ภัทรยืนเงียบแล้วก็กัดริมฝีปาก

“เอ่อ...พอดีเย็นนี้ผมนัดทานข้าวกับพี่สาวน่ะครับ คุณเชษฐ์กลับได้เลย ไม่ต้องรอผมหรอกครับ”

มือใหญ่หมุนปิดก๊อกน้ำก่อนจะขมวดคิ้วสบตากับเขาผ่านกระจก

“ก็ไม่เป็นไรนี่ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งให้ก็ได้ หรือมีอะไรไม่สะดวกหรือไง?”

ภัทรเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของนัยน์ตาคมที่ไร้กรอบแว่นบังแล้วก็รู้สึกหนาวเยือกในใจ แต่สิ่งที่ทำให้หนักใจมากยิ่งกว่าคือสายตาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจก ชายหนุ่มจึงรีบตัดบทก่อนจะถูกอีกฝ่ายซัก

“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมนั่งรถไฟฟ้าไปสะดวกกว่า คุณเชษฐ์จะได้กลับไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางด้วย ยังไงผมกลับไปที่โต๊ะก่อนแล้วกันนะครับ แล้วค่อยคุยกันครับ”

ภัทรพูดจบแล้วก็รีบเดินหนีออกมาก่อนอีกฝ่ายจะทันทักท้วง เขากลัวว่าถ้าหากใครเดินเข้ามาในห้องน้ำตอนนี้แล้วเห็นว่าเขามองคนตัวใหญ่ด้วยสายตาแบบไหนอยู่ คราวนี้เขาคงแก้ตัวไม่ถูกแน่

ที่พี่ป๋วยเตือนเขาว่าให้ระวังตัวเวลามองคุณเชษฐ์ ภัทรเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไง...


+---tbc---+




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 มกราคม 2553 0:07:00 น.
Counter : 1828 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 2


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 2


“ภัทร ตื่นได้แล้ว”

สัมผัสอบอุ่นที่ไล้ไปมาอยู่บริเวณไรผมกับเปลือกตาสร้างความจั๊กกะจี้ให้จนคนที่กำลังหลับขมวดคิ้วมุ่น ความงัวเงียทำให้ร่างบางส่งเสียงครางอย่างขัดใจก่อนจะหันหนีสัมผัสที่ยังตามมาระรานบนเส้นผมและขมับ

“ไม่เอา...ง่วง...”

เสียงหัวเราะในคอเล็ดลอดเข้าสู่โสตประสาทที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น อ้อมแขนเรียวยิ่งกระชับกอดหมอนอิงใบเล็กแน่นเข้า ก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆกับเสียงทุ้มที่ดังขึ้นริมหูจะปัดเป่าความง่วงให้หายเป็นปลิดทิ้ง

“ถ้ายังไม่ตื่น จะจูบแล้วนะ”

“เฮ้ย!!”

ภัทรดีดตัวลุกขึ้นจากจุดที่นอนขดอยู่บนโซฟาแล้วถอยกรูดรวดเดียวชิดกับพนักฝั่งที่ห่างคนพูดที่สุด ใบหน้าขาวเนียนร้อนฉ่าเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านกำลังนั่งขำกับปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเอง

“คุณเชษฐ์! ปลุกดีๆก็ได้นี่ครับ ล้อเล่นแบบนี้ผมไม่ขำด้วยนะ”

คนเพิ่งตื่นเอ่ยท้วงตาดุโดยหารู้ไม่ว่ากลับยิ่งเข้าทางคนปลุกมากเข้าไปอีก คิ้วเข้มเหนือกรอบแว่นเลิกขึ้นข้างหนึ่งโดยที่มุมปากยังมีรอยยิ้มติดอยู่

“ใครบอกว่าล้อเล่น ถ้าเมื่อกี้เธอไม่ตื่นฉันกะจะลักหลับเธอจริงๆแล้ว มีใครเคยบอกหรือเปล่าว่าตัวเองขี้เซาน่ะ”

ภัทรทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กที่รู้ว่าไม่มีวันเถียงผู้ใหญ่ชนะ เชษฐ์เลยส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งตบแก้มขาวเบาๆ

“ไปล้างหน้าล้างตาไปจะได้ทานข้าวเย็นก่อนกลับคอนโด ยกเว้นว่าคืนนี้เธอจะอยากนอนที่นี่”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจัดค้อนคนพูดที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ก่อนจะลุกหายเข้าไปในครัว ภัทรนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิมอีกครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจแล้วลุกไปล้างหน้าในห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาก็พบว่าเจ้าของบ้านยกอาหารออกมาจัดไว้บนโต๊ะกลมตัวเล็กริมระเบียงเรียบร้อยแล้ว

“ที่จริงคุณเชษฐ์ไม่เห็นต้องเตรียมเองคนเดียวเลยนี่ครับ ถ้าหิวก็น่าจะปลุกผมให้เร็วกว่านี้จะได้ตื่นมาช่วย”

ภัทรเอ่ยเสียงอ่อยพลางทรุดตัวลงนั่ง อีกฝ่ายจึงยิ้มบางก่อนจะตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ยื่นใส่จานให้

“ไม่เป็นไรหรอก กับข้าวพวกนี้ป้าแย้มเค้าทำเตรียมไว้ให้แล้ว ฉันก็แค่เอาออกมาอุ่นใส่จานเท่านั้นเอง เอาไว้วันไหนฉันอยากทำกับข้าวขึ้นมาเธอค่อยช่วยก็แล้วกัน”

ภัทรพยักหน้าขอบคุณแล้วก็รีบตักยำถั่วพูจากอีกจานส่งให้เจ้าของบ้านบ้าง “คุณเชษฐ์ทำอาหารเองด้วยเหรอครับ?”

“ก็เป็นบางครั้ง แต่ก็พวกอาหารง่ายๆเท่านั้นแหละ พอดีว่าเคยเป็นลูกมือในร้านอาหารตอนเรียนอยู่ต่างประเทศก็เลยพอทำได้”

ร่างสูงตอบแบบไม่ใส่ใจก่อนจะเริ่มตักข้าวเข้าปาก ภัทรพยักหน้าแล้วก็เริ่มจัดการอาหารของตัวเองบ้าง ความที่ได้คุ้นเคยกับเชษฐ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาจึงรู้ว่าคำจำกัดความของคำว่า “พอทำได้” ของอีกฝ่ายหมายถึง “ดีมาก”ในพจนานุกรมของคนทั่วไป เพราะชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่มีมาตรฐานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพค่อนข้างสูง ซึ่งก็ไม่ต่างกับข้าวของเครื่องใช้ที่เจ้าตัวเลือก แม้น้อยครั้งจะไม่ใช่ของที่มียี่ห้อหรือราคาแพง แต่เรื่องคุณภาพและความใหม่ก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอไป

ความพิถีพิถันของอีกฝ่ายทำให้บางครั้งภัทรอดย้อนคิดถึงตัวเองไม่ได้ คนที่เคยคบผู้ชายอื่นมาก่อนอย่างเขาจะนับว่าเป็นของมือสองได้หรือเปล่านะ?

เสียงน้ำไหลในบ่อปลาคาร์ฟเล็กๆข้างบ้านที่ดังลอดระเบียงเข้ามาทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงบ้าง ภัทรลอบมองคนที่กำลังนั่งทานข้าวด้วยกันแล้วก็ตักอาหารส่งให้เป็นระยะพลางเตือนตัวเองไม่ให้คิดมาก

จากวันที่ทั้งสองตกลงคบกันเวลาก็ผ่านไปกว่าสองเดือนแล้ว แต่นอกจากเวลาที่อยู่กันตามลำพังจริงๆทั้งคู่จะวางตัวเหมือนเจ้านายลูกน้องธรรมดา ทำให้คนในออฟฟิศยังไม่มีใครรู้เรื่องที่ตอนนี้ผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่งกับพนักงานแผนกโอเปอเรชันกำลังอยู่ในสถานะ “คนพิเศษ” ของกันและกันอยู่

วันไหนที่ทั้งคู่เลิกงานเวลาไม่ห่างกันนักเชษฐ์จะไปส่งภัทรที่คอนโดซึ่งเป็นห้องเก่าของพี่สาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ส่วนในวันหยุดถ้าไม่ติดธุระอะไรก็จะออกไปข้างนอกด้วยกัน และบางครั้งคนตัวใหญ่ก็จะพาภัทรมาที่บ้านซึ่งตัวเองอาศัยอยู่คนเดียวโดยมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้วันละครั้ง ส่วนพ่อแม่ของเจ้าตัวนั้นย้ายไปต่างประเทศถาวรหลายปีแล้วเพราะมีธุรกิจอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับพี่ชายแฝดคนละฝาซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศเช่นกัน

หลังทานอาหารเย็นเสร็จภัทรอาสาขอล้างจานเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบเจ้าของบ้าน แต่พออีกฝ่ายปฏิเสธชายหนุ่มก็ยืนยันเสียงแข็ง

“ผมไม่ใช่แขกนะครับคุณเชษฐ์ ถ้ามาแล้วคุณเชษฐ์ให้ผมนั่งเล่นนอนเล่นอย่างเดียวคราวหลังผมไม่มาแล้วนะ”

พอเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังร่างสูงก็ถอนหายใจก่อนจะดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปหอมแก้มเบาๆ “เข้าใจละ ฉันก็แค่อยากให้เธอได้นั่งเล่นสบายๆเท่านั้นเอง แต่ถ้าอยากทำก็ตามใจ”

ภัทรหลบตาเปื้อนยิ้มของคนตัวใหญ่แล้วก็รีบยกจานชามส่วนหนึ่งเดินนำลิ่วเข้าครัว ความที่ห่างหายการใกล้ชิดกับใครมาสองปีกว่า บวกกับความยังไม่คุ้นเคยในสถานะที่เพิ่งเลื่อนขั้นของตัวเองกับเจ้านายแม้ไม่ใช่เจ้านายโดยตรงทำให้เขายังไม่อยากปล่อยใจไปกับบรรยากาศหวานๆมากนัก

จริงอยู่ที่เชษฐ์เคยบอกตอนที่ขอคบกันว่าเจ้าตัวเริ่มมองเขาตั้งแต่ยังเป็นพนักงานใหม่ แต่ภัทรก็รู้ตัวดีว่าตัวเองก็ยังมีช่องว่างระหว่าง “ภัทรกร” ที่เอาจริงเอาจังกับงาน กับ “ภัทรกร” ที่เป็นตัวของตัวเองยามไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น และเขาก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหากเชษฐ์ได้รู้จักเขาดีขึ้นแล้วอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า บางทีตอนนี้คนตัวใหญ่อาจแค่หลงเพราะเห็นว่าเขายัง “แปลกใหม่” อยู่ก็ได้

“คิดอะไรอยู่ คิ้วจะผูกกันแล้ว”

ร่างผอมบางสะดุ้งเมื่อโดนปลายนิ้วของคนที่มายืนข้างตัวตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้จิ้มเบาๆที่หน้าผาก มือเรียวรีบหมุนก๊อกน้ำเพื่อล้างฟองน้ำยาล้างจานจากถ้วยในมือแล้วคว่ำลงบนตะแกรง

“เปล่าครับ แค่กำลังคิดว่า ผมมาบ้านคุณเชษฐ์ก็หลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้เจอป้าแย้มเลยนะครับ”

ภัทรเอื้อมหยิบผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่เหนืออ่างมาซับมือที่เปียกชุ่ม แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อโดนอ้อมแขนอุ่นดึงตัวเองไปกอดจากข้างหลังโดยอีกฝ่ายเอาคางมาเกยศีรษะไว้

“ป้าแย้มแกก็มีลูกมีหลานต้องกลับไปดูแลที่บ้านเหมือนกันนี่ อีกอย่าง เวลาได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ไม่ค่อยมี ทำไมจะต้องอยากให้มีก.ข.ค. มาป้วนเปี้ยนตอนเราอยู่กันสองคนด้วยล่ะ?”

ภัทรคิดว่าตัวเองโชคดีที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นหน้าเขาตอนนี้ เพราะความรู้สึกร้อนวูบวาบบนผิวแก้มทำให้รู้ว่าตัวเองต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ ทั้งที่เพิ่งคบกันได้แค่ไม่นาน แต่บทเชษฐ์จะพูดเอาใจอีกฝ่ายก็จะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมจนทำเขาโต้ตอบไม่ถูก ไปต่อก็ไม่ได้อยู่หลายครา

อีกอย่าง...ต่อให้เวลาที่อยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสอง ภัทรก็ไม่เคยยอมให้อีกฝ่ายล่วงเกินมากไปกว่าแตะเนื้อต้องตัวนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ประสบการณ์ฝังใจที่ผ่านมาทำให้เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป หากต้องเสียใจรอบสองกับคนในที่ทำงานเดียวกันภัทรไม่รู้ว่าคราวนี้ตัวเองจะรับไหวหรือเปล่า

“ฟ้ามืดแล้ว ถ้ายังไงคืนนี้นอนที่นี่เลยมั้ย? พรุ่งนี้ฉันแวะไปส่งเธอที่คอนโดตอนเช้าก่อนแล้วค่อยเข้าออฟฟิศด้วยกันก็ได้”

เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบอยู่ข้างหูกับมือของคนกอดที่เริ่มอยู่ไม่สุขทำเอาคนถูกกอดขนลุกซู่ ภัทรรีบเบี่ยงตัวหนีก่อนจะตอบโดยไม่ยอมสบตาคนตัวใหญ่ที่กำลังขมวดคิ้ว

“ผมว่าผมกลับดีกว่าครับคุณเชษฐ์ ยังไม่ได้รีดเสื้อกางเกงสำหรับอาทิตย์นี้เลย อีกอย่างคุณเชษฐ์จะได้พักผ่อนด้วย”

ภัทรรักษาระยะห่างกับอีกฝ่ายก่อนจะช้อนตาขึ้น แวบหนึ่งนัยน์ตาหวานเหมือนจะเห็นประกายตาของอีกฝ่ายเข้มขึ้นจนเสียวสันหลังวาบ แต่แล้วเชษฐ์ก็เพียงยักไหล่แล้วเดินนำออกจากครัวก่อนจะพูดเสียงเนิบๆ

“เอางั้นก็ได้ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง”


...

...

...

...

...

...



ตั้งแต่ออกจากบ้านของเชษฐ์มาทั้งสองก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกัน ภัทรพยายามบังคับตัวเองให้เลิกบิดมือที่วางอยู่บนตักแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเผลอทำอะไรผิดไปหรือเปล่าถึงทำให้คนข้างตัวเงียบผิดปกติไป แต่ถ้าหากเชษฐ์จะโกรธเพราะเขาไม่ยอมตามใจ ฝ่ายนั้นก็ควรต้องเข้าใจเสียใหม่ว่าเขาไม่ใช่เด็กน้อยใสซื่อที่จะเคลิ้มตามใครง่ายๆ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นถึงเจ้านายและอายุมากกว่าเขาหลายปีก็ตาม

โตจนเป็นระดับผู้บริหารขนาดนี้ ถ้าอยากงอนกับเรื่องแค่นี้ก็คงต้องปล่อยให้งอนไป นึกว่าเขาจะง้อหรือยังไงกัน ก็เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่ แล้วทำไมจะต้องมานั่งปวดหัวที่อีกฝ่ายไม่ยอมพูดด้วยแบบนี้ด้วยเล่า!?

คนถูกพามาส่งมัวแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกับความคิดที่ตีกันยุ่งในหัว ยิ่งคิดมากเข้าก็ยิ่งพาลน้อยใจ จึงไม่ได้รู้สึกตัวว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ในลานจอดของคอนโดตัวเองเรียบร้อยแล้ว

“ภัทร”

“....”

“ภัทรกร”

“....”

“ภัทรกรครับ เรียกแล้วไม่ได้ยินหรือไง?”

“จะเรียกทำไม! คนใช้ความคิดอยู่!”

ภัทรลืมตัวหันไปแหวใส่คนที่พาตัวเองมาส่ง แต่พอประสานสายตากับนัยน์ตาคมหลังแว่นที่เลิกคิ้วอย่างงงๆก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่กับใคร หน้าขาวเนียนแดงขึ้นโดยอัตโนมัติก่อนจะรีบละล่ำละลักขอโทษ

“คุณเชษฐ์! ขอโทษครับ! ผมลืมตัวไป อย่าโกรธผมนะ ผมขอโทษจริงๆ คุณเชษฐ์...อย่าหัวเราะกันสิ!!”

หน้าหวานแดงขึ้นอีกรอบเมื่อคนข้างตัวระเบิดหัวเราะเสียงดังจนต้องฟุบหน้าลงกับแขนข้างหนึ่งที่เท้าพวงมาลัยอยู่ ทั้งที่ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายปลดปล่อยอารมณ์ตัวเองเต็มที่แบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่ความอายที่มีมากกว่าทำให้รีบหันไปปลดล็อคแล้วก็ทำท่าจะเปิดประตู แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าอีกฝ่ายที่คว้าตัวเขากลับไปกอดไว้จนคนถูกกอดแน่นหน้าอกเพราะหัวใจที่เต้นรัวแรงไปหมด

“อยู่กับเธอนี่ ไม่มีเบื่อจริงๆด้วยนะ ภัทร หึๆๆ”

อีกฝ่ายว่าแล้วก็หัวเราะในคอต่อจนคนถูกกอดเริ่มดิ้น ได้รับความเอ็นดูมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่คิดเลยหรือไงนะว่าเดี๋ยวคนอื่นจะผ่านมาเห็น ตาลุงลามกนี่!

“คุณเชษฐ์! ผมจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วนะ ปล่อยผมก่อน”

คนตัวใหญ่ก้มสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมนิ่มก่อนจะคลายแขนเป็นกอดหลวมๆแต่ไม่ยอมปล่อยเสียทีเดียว ภัทรพยายามหันหนีนัยน์ตาคมที่พยายามจะสบตาเขาให้ได้ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาบ้าง

“คุณเชษฐ์ ตกลงไม่ได้โกรธผมแล้วนะ?”

คนตัวเล็กยอมพิงอกกว้างแต่โดยดีเมื่อรู้ตัวว่าคงไม่ถูกปล่อยง่ายๆ มือใหญ่จึงลูบหลังบางไปมาก่อนจะถามด้วยเสียงเจือรอยยิ้ม

“โกรธเรื่องอะไรล่ะ ฉันสินึกว่าเธอโกรธ เล่นนั่งเงียบแล้วก็ทำหน้าบึ้งมาตลอดทาง เลยไม่รู้จะชวนคุยยังไงดีเลยเนี่ย”

พอได้ยินดังนั้นภัทรก็เงยหน้ามองคนกอดด้วยความประหลาดใจ ตกลงเมื่อครู่นี่เขาคิดไปเองหรือ? แต่ว่า...ก็อีกฝ่ายดันนั่งทำหน้ายักษ์มาตลอดทางแบบนั้น ใครจะไปกล้าชวนคุยด้วยล่ะ...

“ก็ผมเห็นคุณเชษฐ์เงียบไป ผมก็นึกว่าคงโกรธ...เรื่องที่ผม...ไม่ยอมค้าง”

ภัทรก้มหน้าพูดตะกุกตะกัก เลยโดนมือใหญ่ลูบสางผมบริเวณต้นคอให้อย่างแผ่วเบา

“เด็กเอ๊ย ฉันไม่ได้โกรธเธอสักหน่อย ฉันกำลังโมโหตัวเองต่างหากที่เร่งเธอมากไป ถ้าหากว่าเธอไม่พร้อมฉันก็ไม่อยากบังคับหรอก ฉันอยากให้ระหว่างเรามีแต่ความทรงจำดีๆนะ ต่อให้มันคงยากที่จะมีอะไรเพอร์เฟ็คต์แบบนั้นก็ตาม”

คำพูดของอีกฝ่ายที่สะท้อนความไม่มั่นใจออกมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ภัทรอดประหลาดใจไม่ได้เพราะเป็นคำจากปากของคนที่ใครๆก็พากันเรียกว่า “Mr. Perfectionist” แต่นั่นกลับทำให้ร่างบางใจชื้นขึ้นที่ไม่ใช่มีแต่ตัวเองคนเดียวที่กังวลกับความสัมพันธ์ครั้งนี้

น่าแปลก...ที่การแสดงความกังวลใจของอีกฝ่ายก็สามารถถมทับความไม่มั่นใจของเขาให้เติมเต็มขึ้นได้ เพราะสิ่งเล็กน้อยแค่นี้กลับแสดงให้เห็นว่าคนตัวโตเองก็มุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวของทั้งสองขนาดไหน

ภัทรถูแก้มเข้ากับอกกว้างแล้วก็กอดเอวอีกฝ่ายแน่น ถ้าแค่นี้...สำหรับตอนนี้ เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเขาเองก็อยากจะเปิดหัวใจแล้วก้าวเดินไปด้วยกัน คงไม่เป็นไร

“ขอบคุณนะครับคุณเชษฐ์”

อ้อมกอดแข็งแรงกระชับวงแขนรอบร่างบางแน่นเข้า สองร่างถ่ายทอดความอบอุ่นและความในใจให้กันและกันผ่านการแสดงออกทางกายโดยไร้คำพูด ภัทรถอนหายใจแผ่วเบา ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลายที่สุดตั้งแต่ตกลงคบกับเชษฐ์เป็นต้นมา อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาพยายามระมัดระวังตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมามากเกินไป จึงลืมไปว่าการจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ดีที่สุดคือการพูดอะไรตรงๆแบบนี้กระมัง

ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนขมับก่อนจะค่อยดันตัวคนในอ้อมแขนออกอย่างเชื่องช้า ภัทรสบตากับนัยน์ตาคมที่ทอประกายอยู่หลังแว่นแล้วก็คลี่ยิ้มเขิน ก่อนจะหลับตารับจุมพิตที่แนบลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน

“กลับห้องเถอะ ถ้ายังอยู่อย่างนี้ต่อเดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจพาเธอกลับบ้านแน่”

ภัทรพยักหน้ารับแม้จะยังรู้สึกเสียดายบรรยากาศอ่อนหวานที่อ้อยอิ่งอยู่รอบตัว แต่แล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วเดินลงไปยืนโบกมือลาให้เจ้าของรถหรูที่เลี้ยวรถออกจากลานจอดไป มือที่โบกไกวเมื่อครู่ย้อนกลับมาแตะหน้าผากตัวเอง สัมผัสอบอุ่นตรงจุดที่โดนจูบยังประทับแน่นไม่จางหายจนใบหน้าหวานเผลอยิ้มกว้าง

แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอก้าวไปช้าๆทีละก้าวสำหรับความสัมพันธ์ครั้งนี้ก็แล้วกัน...


+---tbc---+




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 มกราคม 2553 0:04:37 น.
Counter : 1001 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 1


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


ตอนที่ 1


แสงไฟที่เริ่มดับลงบางจุดส่งสัญญาณว่าถึงเวลาพักกลางวันตามนโยบายประหยัดไฟของบริษัท พนักงานหลายคนเริ่มทยอยลุกจากที่นั่งเพื่อไปรอลิฟต์ที่หน้าประตู เสียงถามไถ่กันและกันถึงจุดหมายในการฝากท้องของแต่ละคนดังเซ็งแซ่จนระงมไปทั่วออฟฟิศที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคารระฟ้ากลางย่านธุรกิจชื่อดัง

“อ้าว ภัทรไม่ลงไปกินข้าวเหรอ”

ชายหนุ่มร่างเพรียวหันไปตามเสียงเรียก แล้วก็ยิ้มให้ชายหนุ่มร่างท้วมเตี้ยที่เป็นมือกราฟฟิคดีไซน์จอมขยันของบริษัทผู้เอ่ยทักเขา

“ยังไม่ค่อยหิวน่ะพี่เอ๋ อีกอย่างลงไปตอนนี้ร้านไหนๆก็คนเต็มไปหมด ผมลงไปตอนบ่ายโมงดีกว่า แล้วนี่พี่ไม่ได้ลงไปกินข้าวกับพี่เจี๊ยบเหรอ”

หญิงสาวที่ภัทรเอ่ยถึงคือแอดมินคนเก่งของบริษัทที่เพิ่งแต่งงานกับคนตรงหน้าเขาไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้งสองคนพบและรู้จักกันที่บริษัทนี้ จากนั้นก็คบหาดูใจกันมานานหลายปีก่อนจะตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันท่ามกลางความยินดีของเพื่อนร่วมงานทุกคน จึงนับได้ว่าเป็นคู่ขวัญที่โด่งดังของบริษัทเลยทีเดียว

ชายหนุ่มร่างท้วมส่ายหน้า แล้วก็แอบมองซ้ายขวาก่อนจะก้มลงป้องปากพูดเสียงเบาทั้งที่ไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณนั้น

“ที่จริงวันนี้พี่แกล้งลาป่วยครึ่งเช้าว่ะ กะเอานี่มาเซอร์ไพรส์แฟน ยังไงเดี๋ยวเค้าขึ้นมาแล้วภัทรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหน่อยก็แล้วกันนะ”

สิ้นประโยคผู้พูดก็ชูช่อกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ที่ซ่อนไว้ด้านหลังขึ้นมาอวดประกอบจนคนฟังอมยิ้ม

“โอ้โฮ กุหลาบช่อเบ้อเริ่มขนาดนี้พี่เอ๋หลุดรอดสายตาคนในบริษัทมาได้ไงเนี่ย?”

“ก็ต้องแอบแทบตายเหมือนกันล่ะวะ ดีว่าพี่เข้ามาก่อนพักกลางวันเลยฝากกุ้งให้ซ่อนตรงเคาน์เตอร์รีเซพชันให้ แล้วก็ระเห็จตัวเองไปสิงอยู่ห้องประชุมเล็กเพราะกุ้งบอกว่าห้องนั้นว่างช่วงเช้า พอทุกคนลงไปทานข้าวกันแล้วพี่ถึงค่อยออกมาเนี่ยแหละ”

ภัทรหัวเราะเบาๆแล้วก็ส่ายหน้า กุ้งเป็นเด็กนักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งมาทำหน้าที่รีเซพชันประจำเคาน์เตอร์หน้าทางเข้าบริษัทแทนพนักงานคนเก่าที่ลาออกไป ด้วยความเป็นเด็กอัธยาศัยดีและช่างพูดช่างคุยทำให้เข้ากับใครๆในบริษัทได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากเขาที่ทั้งๆที่เข้ามาทำงานได้ปีกว่าแล้วแต่ก็ยังไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนร่วมงานเท่าไรนัก แม้ภัทรจะพูดคุยหยอกล้อกับคนอื่นๆบ้างตามโอกาส แต่การที่ชายหนุ่มมักเลือกที่จะทานข้าวกลางวันคนเดียวและไม่ค่อยตอบรับคำเชิญไปเที่ยวสังสรรค์ยามค่ำก็ตอกย้ำถึงความเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงได้เป็นอย่างดี

“ไว้ใจได้พี่ แต่หวานกันขนาดนี้ระวังคนอื่นเค้าจะหมั่นไส้เอานะ”

ภัทรแซวทิ้งท้ายหลังชายหนุ่มรุ่นพี่วางช่อกุหลาบพร้อมกับการ์ดลงบนโต๊ะแล้วเดินผิวปากออกไป นัยน์ตาเรียวมองช่อกุหลาบนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย แล้วก็ให้รู้สึกเสียวแปลบในอกขึ้นมาเมื่อนึกถึงวันเดียวกันเมื่อสองปีที่แล้ว ใครคนหนึ่งเคยมอบของคล้ายกันนี้ให้ เพื่อที่ในอีกไม่กี่เดือนถัดจากนั้นจะย่ำยีความรู้สึกของเขาจนแทบไม่เหลือชิ้นดี

“ภัทรกร ยังไม่ไปกินข้าวหรือ”

เสียงเรียกชื่อเต็มเนิบๆที่จู่ๆก็ดังขึ้นในระยะกระชั้นชิดทำเอาคนที่กำลังเหม่อสะดุ้ง เมื่อหันหลังกลับไปก็พบใบหน้าคมสันของผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่งหนึ่งในสี่เสาหลักของบริษัทยืนอยู่ แสงเรืองๆจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของภัทรสะท้อนกับเลนส์แว่นที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวม ประกอบกับความสลัวของแสงไฟในออฟฟิศทำให้ผู้ถูกถามเห็นแววตาของอีกฝ่ายไม่ถนัด

“ยังครับ พอดีผมยังไม่หิว กะว่าเดี๋ยวลงไปตอนที่คนเริ่มซาๆกันก่อน คุณเชษฐ์กำลังจะไปทานข้าวหรือครับ”

“เปล่าหรอก ฉันกำลังจะไปประชุมกับลูกค้าข้างนอก เดี๋ยวคงซื้อแซนด์วิชไปกินในรถ”

นัยน์ตาเรียวรีเหลือบลงก็เห็นว่ามือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายถือกระเป๋าเอกสารอยู่ขณะที่อีกข้างมีเสื้อสูทพาดทับ ผู้ถูกมองเบนสายตาไปทางช่อกุหลาบบนโต๊ะข้างๆแล้วก็ยิ้มบาง

“เอ๋สินะ ไม่น่าเชื่อว่าหมอนั่นจะโรแมนติกเอาเรื่อง”

พอได้ยินประโยคชวนคุยที่เบี่ยงประเด็นออกจากตัวเองทำให้ความเครียดเขม็งเมื่อครู่ค่อยคลายตัว ภัทรคลี่ยิ้มก่อนจะตอบรับ

“ครับ เห็นว่าวางแผนมาเซอร์ไพรส์พี่เจี๊ยบเต็มที่”

ชายหนุ่มร่างสูงรับคำในคอ ก่อนจะตบบ่าบางเบาๆ แต่สัมผัสนั้นกลับทำให้ฝ่ายที่เพิ่งจะผ่อนคลายเมื่อครู่ตัวเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง

“งั้นฉันไปล่ะ ยังไงก็ทานข้าวให้เป็นเวลาแล้วกันจะได้ไม่เป็นโรคกระเพาะ”

คำพูดเปรยๆที่แฝงความห่วงใยอยู่ในทีทำให้คนถูกเตือนส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายไว้

“เอ่อ คุณเชษฐ์ครับ”

ร่างสูงหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามอง ภัทรเม้มริมฝีปากก่อนจะกลั้นใจพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกไป

“เรียกผมว่าภัทรเฉยๆก็ได้นะครับ ผมเห็นคุณเชษฐ์เรียกผมเต็มยศตลอดเลยทั้งที่ผมก็ทำงานมาปีกว่าแล้ว”

คนฟังเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น พอคนพูดเห็นอากัปกริยานั้นแล้วก็ให้นึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมา บางทีเขาอาจจะโดนมองว่าเรื่องมากที่จู้จี้จุกจิกกับผู้ใหญ่ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญก็ได้

“ทำไมล่ะ ชื่อภัทรกรก็เพราะดีนี่ ไม่ชอบให้เรียกเต็มๆหรือไง”

น้ำเสียงที่ติดแววหยอกเย้านิดๆทำให้เจ้าของชื่อรู้สึกร้อนที่ผิวแก้มขึ้นมา ได้แต่หวังว่าความสลัวภายในออฟฟิศจะช่วยบดบังสีหน้าตัวเองไว้จากสายตาที่ราวจะมองทะลุจิตใจของอีกฝ่ายได้ แล้วก็ให้นึกค่อนคนพูดในใจที่ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไปกับคำพูดหยอกล้อนั้นจนคิดคำพูดโต้ตอบไม่ออก
ภัทรได้ยินเสียงหัวเราะในคอเบาๆจึงช้อนสายตาขึ้นมอง แล้วก็เห็นรอยยิ้มขันจุดอยู่บนใบหน้าคมคายที่ยืนห่างไปไม่ไกลนัก

“ถ้าเธออยากให้ฉันเรียกชื่อเล่นมากกว่าก็เอาตามนั้นก็ได้ งั้นฉันไปล่ะนะ ภัทร”

ร่างสูงเดินจากไปแล้ว แต่คนที่ยังนั่งอยู่รู้สึกว่าผิวหน้าตัวเองยังร้อนวูบวาบไม่หยุด ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตีความเจตนาเขาผิดไป เพราะตั้งแต่เข้ามาทำงาน ใครๆในบริษัทต่างก็เรียกเขาด้วยชื่อเล่นซึ่งย่อมาจากชื่อจริงที่แสนยาวกันทั้งนั้น ทว่ามีเชษฐ์เพียงคนเดียวที่เรียกเขาต่างออกไป ดังนั้นเวลาโดนน้ำเสียงทุ้มนุ่มเรียกตัวเองด้วยชื่อเต็มครั้งใดเขาจึงรู้สึกประหม่าทุกครั้งอย่างบอกไม่ถูก

ราวกับว่า วิธีเรียกอย่างเป็นเอกลักษณ์นั้น อีกฝ่ายจงใจเลือกใช้กับเขาเป็นพิเศษอยู่เพียงคนเดียว แรกๆภัทรไม่ได้ติดใจเพราะคิดว่าคงคล้ายกับเวลาที่เขามักเรียกชื่อคนที่ไม่คุ้นเคยด้วยชื่อเต็มก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาไปเรียกชื่อเล่นหลังจากเริ่มสนิทสนมกับอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าและคนอื่นในบริษัทต่างเรียกเขาด้วยชื่อเล่นไม่เว้นแม้แต่ท่านประธาน ภัทรจึงอยากให้ชายหนุ่มที่ดูจะอยากดึงดันเรียกเขาแบบนั้นให้เปลี่ยนวิธีเรียกบ้าง เผื่อว่าการทำแบบนั้นจะช่วยให้ความรู้สึกประดักประเดิดเวลาเขาสนทนากับอีกฝ่ายจางหายไปเสียที

แต่เหมือนคนตัวใหญ่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงทำเหมือนแกล้ง เพราะกระทั่งหลังจากที่เขาขอให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเพียงสั้นๆเมื่อครู่ แม้แต่น้ำเสียงที่เจ้าตัวใช้ก็ยังทำให้เจ้าของชื่อรู้สึกหวิวไหวในอกอย่างบอกไม่ถูก


+------+


หลังจากภัทรลงไปทานข้าวมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ยุ่งจนหัวปั่นกับการช่วยรุ่นพี่ติดต่อตามงานจากลูกค้าตลอดบ่ายเนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเส้นตายที่วางแผนกันไว้ และถ้างานของบริษัทมาติดขัดที่แผนกเขาคงไม่แคล้วส่งผลกับการประเมินผลงานในช่วงกลางปี ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดความว้าวุ่นใจที่รบกวนความคิดเมื่อตอนเที่ยงออกไปแล้วให้ความสนใจกับการตามงานตรงหน้าแทนอย่างเต็มที่

โชคดีที่บริษัทที่ภัทรทำงานอยู่ตอนนี้ไม่มีนโยบายต่อต้านคนที่มีรสนิยมแบบเขาในการเข้าทำงาน จริงอยู่ว่าชายหนุ่มไม่เคยป่าวประกาศหรือแสดงอากัปกริยาที่แสดงออกโจ่งแจ้งว่าตนเป็นอะไรให้ใครเห็น และถ้าจะว่ากันตามตรง แทบทุกคนที่รู้ว่า “อดีต” แฟนของภัทรเป็นผู้ชายต่างก็แสดงท่าทางประหลาดใจและพูดเหมือนๆกันว่าดูไม่ออกว่าภัทรเป็น “แบบนั้น” กันทั้งนั้น ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มสบายใจพอสมควรเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาสนใจตัวตนของเขามากไปกว่าเนื้องานที่ตนเป็นผู้ลงมือทำ

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำให้มือเรียวที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นจิบชะงัก ภัทรใช้มืออีกข้างยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับเมื่อเห็นว่าเจ้าของหมายเลขที่โทรเข้าคือใคร

“ฮัลโหล ว่าไงกุ้ง”

“พี่ภัทรคะ มีโทรศัพท์สายนอกเข้ามา เดี๋ยวรับสายด้วยนะคะ”

คิ้วเรียวขมวด ปกติถ้าหากมีโทรศัพท์จากข้างนอกเข้ามากุ้งจะขอรายละเอียดก่อนแล้วแจ้งให้เขาทราบจึงค่อยโอนสายให้ การที่อีกฝ่ายบอกเชิงบังคับว่าเขาต้องรับสายที่ไม่ระบุตัวผู้โทรทำให้เขาอดรู้สึกสังหรณ์แปลกๆไม่ได้

“ใครล่ะกุ้ง ลูกค้าหรือเปล่า เค้าไม่ได้บอกชื่อเหรอ?”

“เดี๋ยวพี่ภัทรคุยด้วยก็รู้เองแหละค่ะ กุ้งจะโอนสายให้ล่ะนะ”

เสียงของอีกฝ่ายสดใสราวกับเจือไปด้วยรอยยิ้มจนภัทรขมวดคิ้วอีกรอบ แต่แล้วพอได้ยินสัญญาณโอนสายและเสียงของคู่สนทนาชายหนุ่มก็เผลอนั่งตัวตรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

“ฮัลโหล ยังไม่เลิกงานอีกรึ?”

“คุณเชษฐ์! เอ่อ...ยังครับ พอดีพี่ป๋วยมีงานด่วนให้ผมช่วยตามอยู่น่ะครับ”

ชายหนุ่มค่อนข้างตกใจที่คนที่ไม่คาดคิดโทรหาเขาในช่วงใกล้เวลาเลิกงานเช่นนี้ และถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้จัดการโปรเจ็กต์ แต่โดยสายการบังคับบัญชาแล้ว โปรเจ็กต์ที่เขาดูแลไม่ได้ขึ้นกับเชษฐ์โดยตรงเขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆอีกฝ่ายก็โทรมาหา

“งั้นเหรอ ถ้างั้นขอฉันคุยกับป๋วยหน่อย”

ภัทรมองหูโทรศัพท์ด้วยแววตาสงสัยราวกับเจ้ากระบอกพลาสติกจะแสดงสีหน้าคนพูดให้เขาเห็นได้ ก่อนจะกดโอนสายไปตามที่อีกฝ่ายสั่ง เขาเห็นหญิงสาวรุ่นพี่ที่นั่งถัดออกไปยกโทรศัพท์ขึ้นรับด้วยท่าทางประหลาดใจ ไม่นานเจ้าของใบหน้าสวยคมก็วางหูแล้วเดินเข้ามาหาเขา

“ภัทร วันนี้ตามงานได้แค่ไหนก็พอแค่นั้นก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ”

“เอ๋? แต่เมื่อกลางวันพี่ป๋วยบอกว่าต้องรีบรวบรวมรายงานตัวนี้ด่วนไม่ใช่เหรอพี่ ผมเหลืออีกไม่เยอะก็น่าจะเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมทำต่อให้ก็ได้”

หญิงสาวรุ่นพี่ยิ้มให้อย่างเพลียๆก่อนจะกอดอกแล้วพิงสะโพกลงบนขอบโต๊ะ “เอาน่า ช้าไปวันสองวันคุณนินเค้าคงไม่กินหัวพี่หรอก อีกอย่างคุณเชษฐ์เค้ารอภัทรอยู่ชั้นล่างนะ รีบลงไปเร็วๆเดี๋ยวแกอารมณ์เสีย”

“คุณเชษฐ์? รอผม?”

ภัทรชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อหู เพราะขณะนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมงแล้ว และอีกอย่างทำไมอีกฝ่ายจะต้องมารอเขาในวันที่ใครๆก็ควรจะรีบไปใช้เวลากับคนพิเศษของตัวเองด้วย?

“ย่ะ เค้าคงมีธุระกับเธอน่ะแหละ ดังนั้นวันนี้ทำงานได้แค่ไหนก็เมล์มาให้พี่ก่อน เดี๋ยวพี่ช่วยดูที่เหลือเอง”

ภัทรรับคำงงๆก่อนจะทำตามที่รุ่นพี่บอก ชายหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์แล้วก็เก็บกระเป๋าด้วยความแปลกใจ แถมพอเดินผ่านเคาน์เตอร์รีเซพชันด้านหน้ากุ้งยังยิ้มแปลกๆให้เขาอีก วันนี้มันวันอะไรกันนักหนานะ?

“พี่ภัทร กุ้งฝากซองเอกสารไปให้คุณเชษฐ์ด้วยนะคะ แล้วก็ฝากบอกแกด้วยว่าเรื่องที่สั่งไว้กุ้งจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ภัทรรับซองเอกสารมาถือไว้แล้วก็พยักหน้าก่อนจะเดินออกไปที่ลิฟต์ ช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้เป็นเวลาที่ลิฟต์แทบทุกตัวมักขึ้นมาช้าเพราะชั้นที่บริษัทของเขาตั้งอยู่เป็นชั้นบนสุด แถมบางทีคนจากชั้นล่างก็ใช้วิธีลัดคิวเข้ามาออกันอยู่ก่อนทำให้กว่าชายหนุ่มจะได้เข้าลิฟต์ที่ว่างพอก็เสียเวลานาน ภัทรชำเลืองมองหมายเลขบนแผงไฟแสดงชั้นด้วยความกระวนกระวายใจ แม้เขาจะไม่เคยต้องทำงานกับชายหนุ่มที่เขากำลังจะลงไปหา แต่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ความเคร่งครัดต่อเวลาของเชษฐ์จากเพื่อนร่วมงานมาบ้าง แล้วเขาก็ไม่อยากทำให้คนที่ลูกน้องสายตรงต่างทั้งเกรงและกลัวต้องหงุดหงิดด้วยสาเหตุว่าลิฟต์ช้าเสียด้วยสิ

หลังเดินออกมาที่โถงชั้นหนึ่งภัทรก็ยืนเคว้งอยู่ตรงล็อบบี้ของอาคาร แต่แล้วพอมองไปด้านนอกก็เห็นว่าคนที่เรียกตนลงมากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ประตูด้านที่เชื่อมกับลานจอดรถจึงผลักประตูออกไปหา

“คุณเชษฐ์ครับ ผมมาแล้ว แล้วก็นี่...เอกสารจากกุ้งครับ”

ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงใหญ่คาบบุหรี่ไว้ที่มุมปากแล้วก็รับซองเอกสารไปตรวจดูข้างในก่อนจะพยักหน้า กลิ่นบุหรี่เมนทอลอวลอยู่ในอากาศจางๆจนภัทรเผลอย่นจมูก อีกฝ่ายละสายตาจากเอกสารขึ้นมองเขาแล้วก็ยิ้มให้

“โทษที ฉันลืมไปว่าเธอไม่ชอบควันบุหรี่”

ชายหนุ่มว่าแล้วก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงกับถังทรายซึ่งตั้งอยู่ข้างเสา ภัทรหน้าแดงขึ้นเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ช่วงที่เขาเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ๆ ตอนที่กำลังบอกเพื่อนร่วมงานว่าเขาไม่เห็นประโยชน์ของการสูบบุหรี่ขณะกำลังจะออกไปทานข้าวด้วยกัน แต่เมื่อหันหลังไปก็พบว่าเชษฐ์กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่แถวนั้นพอดีแถมยังยิ้มให้กับความเห็นของเขาจนภัทรอายและไม่กล้าเข้าหน้าอีกฝ่ายไปแทบทั้งเดือน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่ว่าคุณเชษฐ์จะมาสูบบุหรี่ต่อหน้าผมบ่อยๆ”

ภัทรเอ่ยก่อนจะชำเลืองมองใบหน้าคม แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นพลางเอียงคอมองเขา

“งั้นเหรอ แล้วถ้าต่อไปฉันต้องอยู่ต่อหน้าเธอบ่อยๆจะทำยังไงดีล่ะ?”

ผู้ถูกถามทำหน้าเหรอหราด้วยความไม่เข้าใจ เจ้าของคำถามเลยส่ายหน้าก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วนอกจากเอกสารนี่กุ้งฝากบอกอะไรมาอีกหรือเปล่า?”

“อ๋อ ก็บอกว่าเรื่องที่สั่งไว้เค้าจัดการให้เรียบร้อยแล้วครับ”

เชษฐ์พยักหน้าอย่างพอใจ “ดีมาก งั้นเราก็ไปกันได้แล้ว”

“เรา?”

ภัทรยังยืนงงอยู่ที่เดิม ก็นี่มันเวลาเลิกงานแล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่างเขาก็เอาเอกสารกับคำพูดที่กุ้งฝากมาบอกส่งต่อให้กับอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมเขายังต้องไปไหนด้วยอีกล่ะ

ราวกับเจ้าของร่างสูงใหญ่จะรู้ว่าในหัวเขาคิดอะไร อีกฝ่ายจึงเพียงหันมายืนรอแล้วก็ยิ้มให้

“ไม่ได้พาไปไหนเพราะเรื่องงานหรอกน่ะ ตามมาเถอะ”

ภัทรแอบค้อนคนพูดหลังจากอีกฝ่ายหันกลับไปแล้วก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเดินตาม ทำไมคนคนนี้ถึงได้อ่านความคิดเขาออกอยู่เรื่อยด้วยนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาภัทรค่อนข้างภูมิใจในความสามารถที่จะปกปิดความรู้สึกของตัวเอง แต่ทว่าพออยู่ต่อหน้าเชษฐ์ทีไร เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองโปร่งใสจนอีกฝ่ายมองเขาออกได้ง่ายดายจนภัทรเริ่มไม่มั่นใจตัวเองมากขึ้นทุกที

หลังจากร่างผอมเพรียวขึ้นนั่งรถคันหรูเรียบร้อยโดยไม่รู้ชะตากรรมว่ากำลังจะถูกพาไปที่ไหน เชษฐ์ก็ขับรถพาเขามุ่งหน้าสู่ถนนเส้นที่ออกนอกตัวเมืองโดยไม่บอกอะไรจนภัทรต้องเอ่ยปากถาม

“คุณเชษฐ์ จะไปไหนหรือครับ?”

“เดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เองแหละ”

คนถูกถามให้คำตอบโดยไม่หันมามอง แต่วิธีตอบที่แสนยียวนทำให้คนถามชักหมั่นไส้จนต้องย้อนกลับอย่างอดไม่ได้

“เหรอครับ งั้นผมคงผิดเองที่ถาม คนเป็นลูกน้องนี่นา นายเค้าจะพาไปไหนผมก็ไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรอยู่แล้ว”

เสียงหัวเราะในคอทำให้ภัทรหันขวับไปมองคนที่กำลังขับรถแล้วก็ทำตาโตอย่างแปลกใจ ใบหน้าของอีกฝ่ายยามหัวเราะอย่างที่เขาไม่เคยเห็นดูแล้วสดใสแถมยังทำให้เจ้าตัวดูอ่อนกว่าอายุจริงไปหลายปีจนเขาเผลอมองนิ่ง

“เธอนี่ ช่างประชดประชันไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ”

คนถูกทักหน้าร้อนวูบขึ้น ภัทรรีบเอ่ยตะกุกตะกักเมื่อสำนึกได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองหลุดปากพูดอะไรออกไป

“ขะ-ขอโทษครับ ผมลืมตัวไป คุณเชษฐ์อย่าถือสาผมเลยนะครับ”

ภัทรเอ่ยแล้วก็แอบเหลือบมองคนข้างๆ แล้วก็ต้องรีบเบือนสายตาลงมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตักเหมือนเดิมเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย

“ไม่ต้องคิดมากหรอก เวลาเธอเป็นแบบนี้ก็น่ารักดี”

คนถูกชมรู้สึกว่าตอนนี้หน้าตัวเองคงแดงไปถึงใบหูแล้วเพราะอีกฝ่ายยังหัวเราะเบาๆต่อ แล้วต่างฝ่ายก็ต่างเงียบกันไป แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันรู้สึกอึดอัดคนตัวโตก็เลี้ยวรถเข้าจอดในสวนอาหารชานเมืองแห่งหนึ่งที่มีคนยืนรอคิวกันอยู่จนแน่นไปหมดเสียก่อน

ตลอดทางเดินเข้าร้านได้รับการตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีขาวและสีแดงโรยสลับกันเป็นริ้วอย่างมีชั้นเชิง ไฟสีส้มอ่อนที่วางเป็นระยะข้างทางขับให้บรรยากาศดูชวนฝันสมกับเป็นค่ำคืนแห่งโอกาสพิเศษ เชษฐ์จอดรถแล้วก็เดินนำไปที่พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าร้าน แต่ภัทรกลับก้าวขาไม่ออกเมื่อเห็นป้ายชื่อร้านถนัดตา


“ภัทร เดี๋ยววาเลนไทน์ปีหน้าเราไปฉลองที่ร้านนี้กันนะ เห็นเค้าลงรีวิวไว้ในเว็บว่าบรรยากาศดีมากเลย”


คำสัญญาที่ไม่ได้รับการทำให้เป็นจริงจากอดีตคนสำคัญยังคงดังหลอกหลอนอยู่ในหู ภัทรกลืนน้ำลายที่จู่ๆก็เหนียวหนืดขึ้นกลับลงคอก่อนจะเดินตามร่างสูงที่หันมากวักมือเรียก ทั้งสองเดินตามพนักงานที่เดินนำทางไปยังห้องที่จองพิเศษไว้ด้วยกันโดยไม่มีใครพูดอะไร ดูท่าผู้สูงวัยกว่าจะสังเกตท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาออกจึงเอ่ยถามขึ้นเมื่อทั้งสองนั่งลงและคล้อยหลังบริกรที่รับออร์เดอร์อาหารไปแล้ว

“เป็นอะไรไป? ไม่ชอบที่นี่เหรอ?”

ภัทรละสายตาจากช่อกุหลาบสีแดงสดในแจกันแก้วกลางโต๊ะขึ้นมองคนถาม นัยน์ตาคมหลังกรอบแว่นของอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงจนเขาต้องรีบส่ายหน้า

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ พอดีผมเคยเห็นรีวิวร้านนี้มาบ้างเหมือนกัน พอได้มาจริงๆก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ เค้าตกแต่งได้เข้ากับเทศกาลดีนะครับ ดูมีรสนิยมดี เพลงก็เพราะ”

ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดเพ้อเจ้อเป็นน้ำท่วมทุ่งและรอยยิ้มที่พยายามปั้นก็ช่างฝืดฝืนเหลือทน แต่แล้วคนที่นั่งตรงข้ามก็ยิงคำถามเด็ดที่แทงใจดำจนเขาพูดอะไรต่อไม่ออก

“แฟนเก่าเธอเคยพามาที่นี่สินะ?”

ราวกับความเงียบที่คลี่คลุมไปทั่วห้องจะช่วยตอบคำถาม เชษฐ์มองหน้าเขานิ่งอยู่ชั่วครู่แล้วก็เลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้นจนภัทรตกใจ

“คุณเชษฐ์จะไปไหนครับ?”

“ถ้าเราอยู่ที่นี่กันแล้วเธอไม่สบายใจชั้นก็คงกินอะไรไม่ลงเหมือนกัน เราเปลี่ยนร้านก็ได้ ขอโทษด้วยที่ไม่รู้ว่าเธอมีความหลังกับที่นี่”

ร่างผอมเพรียวได้ยินคำขอโทษนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ แต่พอใบหน้าคมหันกลับมามองชายหนุ่มก็รีบปล่อยมือทันที

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณเชษฐ์ ผมกับเขาไม่เคยมาที่นี่ด้วยกัน แค่เคยเปรยๆกันไว้เท่านั้นเอง แต่ที่จริงผมก็สนใจอยากมาร้านนี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว อีกอย่างอุตส่าห์ได้ห้องพิเศษแบบนี้ทั้งที อย่าเปลี่ยนร้านเลยครับ”

ภัทรพูดจบก็กัดริมฝีปากแล้วหลบสายตาที่จ้องหน้าเขาราวจะค้นหา คนตัวโตถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากบริกรที่นำอาหารมาเสิร์ฟ ภัทรสะดุ้งเมื่อโดนมือใหญ่ข้างหนึ่งแนบลงบนแก้ม

“เข้าใจล่ะ ไม่เปลี่ยนร้านก็ได้ถ้าหากเธอไม่อยาก เลิกทำหน้าแบบนั้นสักทีเถอะ”

พอพูดจบเชษฐ์ก็ถอยกลับไปนั่งที่ตัวเองเพื่อให้บริกรได้วางอาหารตามที่สั่งลงบนโต๊ะ ภัทรทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแต่คราวนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนที่นั่งตรงข้าม ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นยังประทับติดอยู่บนแก้ม ความจริงเขาไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครมาประชิดหรือถูกเนื้อต้องตัวง่ายๆ แต่การที่เขาไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสจากคนที่กำลังนั่งทานอาหารด้วยทำให้ภัทรเริ่มกังวลกับอิทธิพลที่อีกฝ่ายดูจะมีเหนือจิตใจเขามากขึ้นทุกที

มือเรียวยกมีดและส้อมขึ้นจัดการกับอาหารตรงหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มลงมือทานแล้ว อาจเพราะความหิวหรือไม่ก็เพราะอาหารของทางร้านรสชาติดีมากจริงๆเขาจึงทานได้ลื่นคอโดยไม่รู้สึกฝืดเฝืออย่างที่กลัว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้ามือเองก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นเมื่อเห็นว่าภัทรเพลิดเพลินกับอาหารและบรรยากาศของทางร้านจึงเริ่มชวนคุยเรื่องทั่วไปบ้าง

ภัทรยกผ้าเช็ดปากขึ้นซับที่มุมปากหลังจากรวบมีดและส้อมไว้กลางจานเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยิ้มเขินเมื่อเจ้ามือยกแก้วไวน์แดงขึ้นก่อนจะเลื่อนมือไปหยิบแก้วตัวเองขึ้นชนเบาๆแล้วก็ยกจิบ

แสงสลัวจากโคมไฟระย้าบนเพดานทำให้แววตาของผู้สูงวัยกว่าดูเป็นประกายวาววาม ภัทรยิ้มให้กับเจ้าของสายตาคมก่อนจะเสมองผ้าปูโต๊ะซาตินสีนวลตรงหน้า ใช่ว่าเขาจะไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าการที่อีกฝ่ายพาเขาออกมาทานข้าวด้วยในคืนแห่งโอกาสพิเศษเช่นนี้สื่อถึงอะไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากฟังคำตอบให้แน่ใจเพราะไม่อยากหลงตัวเอง

“คุณเชษฐ์ ทำไมพาผมออกมาทานข้าวด้วยคืนนี้ล่ะครับ?”

ทั้งที่เป็นคำถามง่ายๆ แต่ภัทรกลับรู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นเมื่อหลุดคำถามออกไป ชายหนุ่มนั่งนิ่งรอฟังคำตอบระหว่างที่เสียงดนตรีบรรเลงพลิ้วหวานดังออกมาจากลำโพงที่ซ่อนอยู่ในห้องอย่างแผ่วเบา มือใหญ่เอื้อมมาทาบทับลงบนมือของเขาที่ยังวางอยู่รอบฐานแก้วไวน์เนื้อดีบนโต๊ะ ใบหน้าหวานก้มงุดเมื่อมืออีกฝ่ายกระชับมือตนแน่นเข้า

“ถามแล้วไม่มองหน้ากันแบบนี้ จะให้ฉันตอบได้ยังไงล่ะ?”

น้ำเสียงหยอกเย้าแกมยั่วทำให้ภัทรอดตวัดสายตาขึ้นมองอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ แต่พอเห็นประกายกรุ้มกริ่มจากนัยน์ตาอีกฝ่ายผ่านเลนส์แว่นเนื้อใสก็ต้องรีบก้มหลบสายตาดังเดิม

“ก่อนหน้านี้ฉันอาจไม่ได้ทำอะไรกระโตกกระตากก็จริง แต่ก็ยอมรับว่ามองเธอมานานแล้ว และที่ฉันยอมรอจนวันนี้ ก็เพราะอยากให้มันเป็นวันพิเศษที่จะมีความหมายกับเราสองคนในทุกๆปีต่อจากนี้ไป”

ภัทรปล่อยให้คำพูดของอีกฝ่ายซึมซาบเข้าในหัวที่กำลังเริ่มเบาหวิว เขาไม่รู้ว่าหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกเป็นผลมาจากไวน์หรือเพราะน้ำเสียงจริงจังของเจ้าของมือใหญ่ที่กำลังกุมมือตัวเองแน่นกันแน่

“จะดีเหรอครับคุณเชษฐ์ ผมก็แค่พนักงานบริษัทคนหนึ่ง แถมถ้าเราคบกันก็อาจต้องหลบๆซ่อนๆอีก แล้วผมก็ไม่มีอะไรที่น่าจะคู่ควรกับคุณเชษฐ์เลยสักอย่าง”

ชายหนุ่มพูดจบแล้วก็เม้มปาก ก็ไม่ใช่เพราะเขาเป็นแค่คนธรรมดาแบบนี้ แถมยังไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างครอบครัวแบบปกติได้ไม่ใช่หรือ คนที่เขา “เคย” รักและคิดว่าจะสร้างอนาคตด้วยจึงเลือกที่จะจากเขาไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ลูกที่ดีตามที่พ่อแม่ของฝ่ายนั้นเรียกร้อง

“ไม่มีใครทำให้เธอรู้สึกแย่ได้ถ้าเธอไม่ยอมเสียอย่าง และฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะหยุดอยู่แค่นี้ตลอดไปหรอกนะ อายุเธอยังน้อย โอกาสที่จะเติบโตในหน้าที่ยังมีอีกมาก ถ้าหากว่านั่นคือสิ่งที่เธอกังวลอยู่ล่ะก็”

มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นเชยคางคนที่ยังไม่ยอมเงยหน้า แต่เมื่อสบตากันภัทรก็ต้องสะท้านกับแววตาแฝงความปรารถนาที่อีกฝ่ายมอบให้

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ฉันสนใจเธอ ตั้งแต่เธอเริ่มมาทำงานที่นี่แล้ว ฉันดูออกว่าเธอเป็นคนที่มีอะไรในใจ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่เปิดเผยความอ่อนแอนั่นให้ใครเห็นแล้วก็ตั้งใจทำงานโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น ความเข้มแข็งภายนอกที่ดูแล้วขัดกับแววตาเหงาๆเวลาเธอคิดว่าไม่มีใครมองทำให้ฉันเริ่มรู้สึกอยากเป็นคนดูแลเธอขึ้นมา”

ภัทรทำตาโต เขาเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองตั้งกำแพงป้องกันไว้แน่นหนาดีแล้ว แต่คำนิยามตัวเขาที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ชายหนุ่มแทบจะอยากร้องไห้ออกมาทันที นี่เขาดูอ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ?

“ผม...ดูเป็นแบบนั้นในสายตาทุกคนเลยหรือเปล่าครับ?”

น้ำเสียงที่ถามออกไปฟังดูหงอยราวเด็กหลงทางจนภัทรรู้สึกสะท้อนใจ ใบหน้าคมจึงคลี่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“อาจจะมีบางคนที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับเธอที่รู้สึก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เวลาถามเรื่องเธอกับใคร แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอทำงานเก่งแล้วก็เรียบร้อย เพียงแต่บางครั้งก็ดูเย็นชาไปหน่อย ฉันเลยต้องรีบจองตัวเธอเสียก่อนจะมีคนอื่นมาคิดตรงกันไง”

คำพูดที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายใส่ใจเรื่องเกี่ยวกับเขาแค่ไหน ประกอบกับคำบอกรักที่พุ่งตรงเข้าเป้าแบบไม่อ้อมค้อมทำให้ภัทรเขินขึ้นมาอีกรอบ แต่สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองอยู่ก็ตรึงเขาไม่ให้หันไปทางอื่นแม้ว่าจะรู้สึกอายมากสักเพียงใดก็ตาม

“จะคบกับฉันได้มั้ย ภัทรกร?”

ประสบการณ์รักที่เคยผิดพลาดครั้งก่อนยังทิ้งรอยแผลเป็นจางๆในหัวใจจนภัทรขยาดการใกล้ชิดกับใครเกินขอบเขต แต่ทว่าน้ำเสียงที่สื่อถึงความเอาใจใส่และบุคลิกที่มั่นคงราวจะเป็นที่ให้เขายึดเหนี่ยวยามอ่อนแอทำให้ภัทรรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ บางทีการเริ่มต้นครั้งใหม่อาจไม่มีจุดจบที่เจ็บปวดเฉกเช่นครั้งแรก

อีกอย่าง เชษฐ์ก็บอกเองว่าไม่มีใครทำให้เขารู้สึกแย่ได้ถ้าเขาไม่ยอม มิใช่หรือ?

ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นซ้อนบนหลังมือใหญ่ที่กุมมือของตัวเองอยู่ แล้วเอ่ยช้าๆแต่หนักแน่นให้กับคนที่กำลังยิ้มรอคำตอบ

“แน่นอนครับ”


+---End---+


Note: เรื่องนี้ ตอนแรกที่เขียนก็ตั้งใจจะให้เป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบเพื่อรับเทศกาลวาเลนไทน์ค่ะ แต่ไปๆมาๆ เราอยากเขียนต่อถึงความสัมพันธ์ของคุณเชษฐ์กับภัทร เพราะนิยายโดยทั่วไปมักเริ่มที่คู่ตัวเอกเจอกัน เรียนรู้กัน และจบท้ายด้วยการตกลงคบหากัน แต่เราอยากจะนำเสนอนิยายในมุมมองของเราว่า ความสัมพันธ์ของคนสองคนหลังจากคบกันแล้วมันมีอะไรซับซ้อนยิ่งกว่าก่อนจะคบกันเยอะ ดังนั้นนิยายที่เราเขียนส่วนมากเลยจะไปในแนวทางนั้น

ยังไงถ้าใครอ่านเรื่องนี้แล้วติดใจก็ติดตามความรักของเจ้านาย-ลูกน้องคู่นี้กันต่อไปด้วยน้า




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 มกราคม 2553 0:02:38 น.
Counter : 3080 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.