Group Blog
 
All blogs
 

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 22

แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 22.


อาการของเชษฐ์ดีขึ้นเป็นลำดับหลังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งจากแพทย์และคนใกล้ตัว ในเวลาหนึ่งสัปดาห์ แพทย์เจ้าของไข้ก็อนุญาตให้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ แต่ยังกำชับห้ามไม่ให้ทำงานหนักและยังต้องมาโรงพยาบาลตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจเช็คอาการ

คนที่ดีใจที่สุดที่คนเจ็บได้ออกจากโรงพยาบาล นอกจากภัทรแล้วก็ไม่พ้นคุณชาญกับคุณเพียงมาศ รวมทั้งคนอื่นๆ ที่รับรู้เหตุการณ์และต่างหมุนเวียนกันมาเยี่ยม แต่เพราะคุณปรีชาแนะนำให้ปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้เพื่อชื่อเสียงของทุกฝ่าย ทำให้คนที่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่คุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ต้องนอนโรงพยาบาลมีเพียงหยิบมือเท่านั้น

ในช่วงบ่ายของวันสุดท้ายที่อยู่โรงพยาบาล หลังจากทานมื้อเที่ยงแล้วเชษฐ์ก็ไปเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเจ้าตัวเดินกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ ภัทรที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋าก็ยิ้มพร้อมกับความรู้สึกเบาโล่งในใจ

ในที่สุดก็ไม่ต้องเห็นคุณเชษฐ์ในชุดคนป่วยเสียที...

ร่างสูงใหญ่ม้วนแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นถึงข้อศอกโดยปล่อยชายเสื้อไว้นอกกางเกง บนสันกรามและปลายคางมีแถบไรเคราเป็นปื้นสีเขียวจาง ส่วนแว่นก็ได้ให้คนขับรถที่บริษัทเอาแว่นสำรองที่เจ้าตัวเก็บไว้ที่ห้องประจำตำแหน่งมาส่งให้ตั้งแต่วันก่อน ดังนั้นหากไม่นับเรื่องผมที่ถูกโกนออกไปจนหมดตอนผ่าตัด โดยรวมแล้วเชษฐ์ก็ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลมาเป็นสัปดาห์สักนิด

"ได้กลับบ้านสักทีนะครับคุณเชษฐ์"

ภัทรเอ่ยขณะหยิบข้าวของใส่กระเป๋า เชษฐ์จึงยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังยืนเก็บของอยู่ที่มุมห้อง จากนั้นก็ยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยผมสีดำสนิทที่เริ่มยาวลงมาระต้นคอด้านหลังให้

"ขอโทษนะ เลยทำให้เธอต้องลำบากมาคอยเฝ้า"

"ไม่หรอกครับ ถ้าผมไม่ได้มาเฝ้าเองสิ จะไม่สบายใจมากกว่านี้"

ภัทรเอ่ยก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองแผลบนศีรษะของเชษฐ์ ผมที่ถูกโกนออกไปตั้งแต่ตอนผ่าตัดเอาเลือดคั่งออกทำให้เห็นรอยแผลที่ด้านหลังหูค่อนข้างชัดเจน ถึงแม้หมอจะเคยบอกไว้ว่าเมื่อผมยาวขึ้นเมื่อไหร่ก็จะปิดรอยแผลเป็นได้หมดก็ตาม แต่เขาก็คงไม่มีวันลืมได้แน่ว่าที่อีกฝ่ายได้แผลนี้มาก็เพราะช่วยปกป้องเขา

"ดูแล้วแปลกๆ สินะ เขินหรือเปล่าที่มีแฟนหัวโล้น?"

เชษฐ์สังเกตเห็นแววตาของภัทร จึงช้อนมือข้างหนึ่งมากุมแล้วแกล้งถามเพื่อดูปฏิกิริยา และก็ได้ผลเมื่อคนถูกถามทำตาโต

"คุณเชษฐ์! ผมไม่ได้ชอบคุณเชษฐ์ที่หน้าตานะครับ!”

หน้าตาเหลอหลาของคนพูดทำให้ร่างสูงใหญ่หัวเราะออกมาได้ อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างที่ผอมเพราะนอนและพักผ่อนน้อยตั้งแต่เขาเข้าโรงพยาบาลเข้ามาในอ้อมอก กลิ่นกายอ่อนๆ ที่รวยรินเข้าจมูกจุดรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นนั้นให้เต็มรัก

ใช่ว่ามีแต่คนเจ็บที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อคนที่คอยเฝ้าคนเจ็บเองก็สมควรได้รับการเอาใจใส่ไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ค่อยชอบเรียกร้องความสนใจให้ตัวเองคนนี้

"ฉันรู้ ฉันแค่แหย่เธอเล่นเท่านั้นแหละ"

ริมฝีปากของคนพูดขยับไปมาอยู่แถวต้นคอด้านข้าง ลมหายใจอุ่นที่กระทบผิวทำให้ภัทรขนลุก แต่ความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นจากสัมผัสนั้นหาใช่ความรังเกียจ ตรงกันข้าม...มันทำให้จั๊กจี้ในแบบที่...ปลุกเร้าความวาบหวิวเสียมากกว่า

ภัทรรู้สึกถึงไอร้อนที่วูบวาบขึ้นบนผิวหน้า แต่ก็ทำได้เพียงบังคับร่างกายให้อยู่นิ่งในอ้อมแขนที่โอบรัด เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่านับตั้งแต่เชษฐ์กลับมาและตนได้คอยดูแลอยู่เคียงข้างทุกวัน ไออุ่นและสัมผัสอันอ่อนโยนก็ทำให้เขาเสพติดสิ่งเหล่านี้จากอีกฝ่ายมากขึ้นทุกที

ถ้าหากอาการดีขึ้นแล้วแบบนี้...คุณเชษฐ์จะยังต้องไปประจำที่เวียดนามอยู่หรือเปล่านะ...

จู่ๆ หัวใจของภัทรก็ถูกความกังวลอันไร้รูปร่างแผ่เข้ากดทับ ยิ่งตอนนี้ได้ประจักษ์แล้วว่าครอบครัวของคุณเชษฐ์กับคุณปรีชาสนิทสนมกันมากเพียงใด เขาก็ยิ่งตระหนักว่าโอกาสที่คุณเชษฐ์จะได้รับการสนับสนุนให้ไปดูแลสำนักงานใหม่ก็คงมีแนวโน้มสูงตามไปด้วยอย่างไร้ข้อกังขา

ถึงแม้ระยะห่างระหว่างสองประเทศจะไม่ได้ใช้เวลาเดินทางมาก แต่เมื่อคิดไปว่าทั้งสองจะได้พบกันเพียงนานๆ ทีเหมือนตอนนี้และเพียงครั้งละไม่กี่วัน เขาก็รู้สึกเหมือนหัวใจหดเล็กราวได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่พอเสียแล้ว

นี่เขากลายเป็นคนอ่อนแอและโหยหาความอบอุ่นมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

“ภัทร มีอะไรหรือเปล่า?”

ความเงียบของคนในอ้อมแขนดูจะส่งสัญญาณถึงร่างสูงที่กำลังแนบชิด ความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมาช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในใจของภัทรขณะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนถามได้บ้าง

ถ้าหากอยากรู้คำตอบของเรื่องนี้...เขามีสิทธิ์ที่จะถามใช่ไหมนะ...

“คุณเชษฐ์ครับ....”

"เก็บข้าวเก็บของกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? บวรณ์มารอรับอยู่ข้างล่างแน่ะ"

ภัทรถูกขัดจังหวะเมื่อคุณชาญผลักประตูเข้ามาในห้อง ผู้สูงวัยชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นลูกชายยืนกอดกับ ‘คนรัก’ อยู่ ฝ่ายเชษฐ์ไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือมีท่าทีจะปล่อยมือแม้ว่าจะเห็นสีหน้าของบิดาอย่างชัดเจน กลับเป็นภัทรเสียอีกที่กระดากจนต้องถอยออกจากอ้อมแขนอุ่นแล้วไปยืนจัดกระเป๋าต่อ

“พร้อมแล้วครับ แล้วคุณปรีชาไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?” เชษฐ์ถามพลางหยิบหมวกปีกแคบทรงไอวี่มาสวมเพื่อบังรอยแผล บิดาจึงส่ายหน้า

“เปล่า เห็นว่างานยุ่งเลยให้ยืมคนขับรถส่วนตัวมาเฉยๆ มีของอะไรจะให้พ่อช่วยถือมั้ย?”

ในเมื่อลูกชายไม่แสดงท่าทีเก้อเขิน คนเป็นพ่อก็ได้แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับภาพเมื่อครู่ เชษฐ์เหลือบไปเห็นภัทรซึ่งจัดของเสร็จแล้วและกำลังถือทั้งกระเป๋าของเขาและของตัวเองไว้เต็มสองมือ จึงหยิบกระเป๋าของตนซึ่งใบเล็กกว่าส่งให้ผู้เป็นพ่อ และรับกระเป๋าของภัทรมาถือให้

“รบกวนด้วยนะครับพ่อ”

แววตาอ่อนโยนที่เชษฐ์ส่งให้คนข้างกายซึ่งบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มีให้ ทำให้ผู้สูงวัยได้แต่ถอนหายใจ และนึกไปถึงวันแรกที่เดินทางไกลมาจากต่างประเทศกับภรรยาเพื่อเยี่ยมลูกชายคนเล็ก ภาพที่ผู้สูงวัยทั้งสองได้เห็นหลังเปิดประตูห้องเข้ามาวันนั้นก็คือคนเจ็บซึ่งกำลังนอนกอดชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่บนเตียง เมื่อลูกชายรู้สึกตัวตื่นมาเห็นพวกเขา ก็ไม่ได้แสดงท่าทีลนลานหรือตกอกตกใจ เพียงแต่ส่งสัญญาณว่าให้คุยกันเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนหลับ และเมื่อถูกมองด้วยแววตาสอบถามว่าคนข้างกายเป็นใคร ก็ได้คำตอบมาอย่างไม่ลังเลว่าเป็น ‘คนรักของผม’

ตอนนั้นเขากับภรรยาได้แต่สบตากัน ครั้นจะละลาบละล้วงต่อก็เกรงใจพี่สาวกับหลานสาวของภัทรซึ่งมาถึงก่อนและนั่งอยู่ในห้องด้วย โชคดีที่แพนอ่านสถานการณ์ออก จึงได้จูงมายูมิออกไปนอกห้องเพื่อให้พ่อแม่ลูกได้คุยกันตามลำพังอย่างที่ต้องการ

“ที่บอกพ่อกับแม่เมื่อกี้ แน่ใจแล้วเหรอเชษฐ์ว่าจริงจังกับเด็กคนนี้?”

ตอนนั้นภรรยาของเขาเป็นคนถาม แม้จะด้วยท่าทางที่ปลงและยอมรับไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะรู้ดีว่าลูกชายไม่ใช่คนโลเลหรือชอบล้อเล่นในเรื่องสำคัญ

คนเจ็บไม่ได้ตอบรับในทันที เพียงแต่ปรายตาลงมองคนที่นอนตะแคงหลับสนิทอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันกลับมาสบตาพวกเขาอย่างแน่วแน่

“ผมไม่เคยบอกอะไรพ่อกับแม่ถ้าหากไม่มั่นใจหรอกครับ”

เมื่อได้คำตอบเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น คุณชาญกับคุณเพียงมาศก็ได้แต่ต้องยอมรับการตัดสินใจของลูกชาย เพราะรู้ดีว่าหากเจ้าตัวออกปากมาแล้ว ใครก็เปลี่ยนความคิดไม่ได้ และก็เพราะรู้จักนิสัยลูกชายดีอีกนั่นแหละ คุณชาญจึงมั่นใจว่าเชษฐ์คงไม่ได้เล่าบทสนทนาของพวกเขาในบ่ายวันนั้นให้ภัทรฟังแน่

“ไม่เป็นไร ข้าวของส่วนใหญ่ของแกส่งกลับบ้านไปแล้วนี่นา”

คุณชาญเอ่ยพลางเปิดประตูห้องผู้ป่วยออกกว้าง คุณเพียงมาศที่ยืนรออยู่ยิ้มให้ทั้งสามก่อนจะเข้ามาคล้องแขนลูกชายขณะเดินไปที่ลิฟต์ด้วยกันโดยมีภัทรรั้งท้าย

“ไม่เจ็บตรงไหนแล้วใช่ไหมเชษฐ์?”

“ไม่มีแล้วครับแม่ สบายดีทุกอย่าง”

นอกจากแผลบนศีรษะแล้ว ร่างกายส่วนอื่นของคนพูดไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แม้แต่นิดเดียว คุณเพียงมาศกวาดสายตาขึ้นลงแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “งั้นก็ดีแล้วจ้ะ พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะได้บินกลับได้แบบหมดห่วง หลังจากนั้นก็คงต้องฝากภัทรดูแลตาเชษฐ์ต่อให้ด้วยนะลูก”

ท้ายประโยคผู้สูงวัยหันมาเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน ภัทรจึงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

"เอ๋? พรุ่งนี้จะบินกลับแล้วเหรอครับ?"

"นั่นสิ พ่อไม่เห็นบอกผมเลยว่าพรุ่งนี้จะกลับกันแล้ว"

เชษฐ์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน คุณชาญที่เดินนำอยู่จึงหันมาอธิบาย

"พอดีตาชินโทรมาบอกว่าร้านที่จะเปิดสาขาเพิ่มมีปัญหานิดหน่อยอยากให้ไปช่วยกันดู แต่ก็ฝากบอกมานะว่าเสียดายที่ปลีกตัวมาเยี่ยมน้องชายไม่ได้เหมือนกัน"

"ไว้วันหลังผมจะพาภัทรไปเยี่ยมที่โน่นก็แล้วกันครับ"

เชษฐ์เอ่ยพลางเหลียวกลับมายิ้มให้ภัทร ภัทรจึงยิ้มอ่อนๆ ตอบ

ทั้งสี่เดินไปถึงรถมินิแวนที่จอดรออยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล บวรณ์ซึ่งเป็นคนขับรถประจำตัวของคุณปรีชาและถูกส่งตัวมาช่วยดูแลความสะดวกในวันนี้คุ้นหน้าเชษฐ์และภัทรดีเพราะต้องขับรถไปรับส่งเจ้านายที่บริษัทบ่อยๆ หลังจากเก็บกระเป๋าไว้ท้ายรถแล้วชายวัยกลางคนก็ขับรถพาทุกคนไปยังบ้านของเชษฐ์อย่างคล่องแคล่ว

การจราจรที่ค่อนข้างโล่งในยามบ่ายทำให้ถึงที่หมายในเวลาไม่นาน เมื่อได้ยินเสียงแตรรถที่หน้ารั้ว ป้าแย้มซึ่งรอในบ้านอยู่แล้วก็กระวีกระวาดมาเลื่อนเปิดประตูให้ พอเห็นเชษฐ์ลงจากรถก็รีบโผเข้าไปหาทันที

"โถพ่อคุณ เป็นอะไรมากไหมคะ ป้าตกใจหมดเลยวันที่คุณภัทรโทรมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น"

เชษฐ์ยิ้มให้ผู้สูงวัยที่ช่วยดูแลงานในบ้านมาหลายปีก่อนจะบีบมือแรงๆ เพื่อให้รู้ว่าตนสบายดี "ไม่เป็นอะไรแล้วครับป้าแย้ม ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง เลยต้องให้ช่วยมาเฝ้าบ้านเสียหลายวันเลย"

“อู้ย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เห็นคุณเชษฐ์กลับมาได้ก็ดีใจแล้ว นี่ดีนะว่าคุณภัทรคอยโทรมาบอกป้าว่าคุณเชษฐ์เป็นยังไงบ้าง ไม่งั้นถ้าป้าไปเยี่ยมเองตั้งแต่แรกคงได้เป็นลมเป็นแล้งไปแน่ๆ”

ป้าแย้มเอ่ยอย่างดีใจขณะเดินนำกลับเข้าไปในบ้าน ฝ่ายเชษฐ์เพียงแต่ยิ้มขณะปรายตามองคนที่ถูกเอ่ยถึง

ภัทรคงจะทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่ทีละเล็กละน้อย เจ้าตัวเริ่มกล้าจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขามากขึ้น ซึ่งเชษฐ์มั่นใจว่าคุณชาญและคุณเพียงมาศก็คงรับรู้ได้เช่นกัน แม้ว่าจะเพิ่งได้ทำความคุ้นเคยกับภัทรเพียงไม่กี่วันก็ตาม

“ป้าจัดห้องคุณเชษฐ์ไว้ให้พร้อมแล้วล่ะค่ะ คุณภัทรก็จะค้างที่นี่ด้วยใช่ไหมคะ?”

ป้าแย้มหันมาถามหลังจากทุกคนเข้ามานั่งพักผ่อนในบ้านแล้ว ภัทรจึงนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้กลับไปที่คอนโดเลยตั้งแต่ก่อนวันที่เชษฐ์จะบินกลับมาจากเวียดนามเสียอีกเพราะแพนไม่ยอมให้อยู่คนเดียว ทำให้เริ่มกังวลและคิดว่าควรต้องกลับไปดูห้องสักครั้ง

“เอ่อ...ผมคงไม่...”

“ค้างครับป้าแย้ม นอนห้องผมเหมือนทุกทีนั่นแหละ ไม่ต้องลำบากจัดห้องเพิ่มนะครับ”

เจ้าของบ้านชิงเอ่ยตัดหน้าก่อนที่ภัทรจะพูดจบ ภัทรจึงรู้สึกว่าหน้าเห่อร้อนขึ้นเมื่อเห็นคุณชาญกับคุณเพียงมาศลอบแลกเปลี่ยนสายตากัน เพราะคำพูดของลูกชายของพวกท่านมันช่างชี้นำให้สรุปว่าเขามาค้างที่นี่เป็นประจำก็ไม่ปาน

คุณเชษฐ์นี่จริงๆ เลย พูดแบบนี้ออกมาไม่กลัวจะทำให้เขาโดนหมั่นไส้บ้างหรือยังไง

ดูเหมือนผู้สูงวัยที่สุดจะสังเกตเห็นอาการกระอักกระอ่วนของภัทรได้ ยิ่งเหลือบไปเห็นประกายเจ้าเล่ห์ในแววตาของลูกชายที่กำลังยิ้มชอบใจก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นแผนมัดมือชกของเจ้าตัว จึงได้แต่กระแอมแล้วหันไปหาภรรยาเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไหนๆ บ่ายนี้ก็ว่าง คุณอยากออกไปซื้อของอะไรหรือเปล่า? วันนี้คุณปรีชาให้ยืมตัวบวรณ์ทั้งวันอยู่แล้ว จะได้ออกไปกันเลย”

คุณเพียงมาศทำท่านึก “ก็ดีเหมือนกันค่ะ มาศอยากซื้อของไปฝากตาชินสักหน่อย แกอุตส่าห์ยอมอยู่คุมร้านคนเดียวให้ทั้งที”

“ถ้างั้นผมไปด้วย” เชษฐ์เอ่ยพลางลุกขึ้นและหยิบหมวกที่ถอดวางไว้ขึ้นสวมอีกครั้ง คุณเพียงมาศจึงแย้งด้วยความเป็นห่วง

“ออกไปเดินท่อมๆ ตอนนี้จะดีเหรอลูก เชษฐ์เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาใหม่ๆ เองนะ?”

ร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า “ผมนั่งๆ นอนๆ ในโรงพยาบาลมาพอแล้วครับ อีกอย่างปีนึงพ่อกับแม่จะมาเยี่ยมสักที ผมไปเดินเป็นเพื่อนซื้อของด้วยดีกว่า ภัทรจะไปด้วยกันใช่มั้ย?”

ท้ายประโยคเชษฐ์หันไปถามคนที่นั่งข้างตัว ซึ่งแน่นอนว่าภัทรไม่มีโอกาสปฏิเสธ หลังจากฝากป้าแย้มช่วยเก็บกระเป๋าแล้วทั้งสึ่จึงออกจากบ้านเข้าไปในเมืองอีกครั้ง โดยมีคนขับรถส่วนตัวของคุณปรีชาเป็นโชเฟอร์ให้เช่นเดิม

ตลอดเวลายามบ่ายที่ได้เดินเลือกซื้อของด้วยกัน ภัทรไม่แน่ใจว่านี่เป็นความตั้งใจขอคุณผู้จัดการหรือไม่ที่ไม่ยอมให้เขากลับบ้านและบังคับกลายๆ ให้ต้องตามติดออกมาด้วย เพราะทางหนึ่งนอกจากจะทำให้ทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกันชดเชยช่วงที่เชษฐ์ต้องห่างไปเวียดนามแล้ว เขายังพบว่านี่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้เขาได้สร้างความคุ้นเคยกับพ่อและแม่ของอีกฝ่ายมากขึ้นจากตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลอีกด้วย

ตกเย็นทั้งสี่ทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารในเมือง เนื่องจากเจ้าของร้านเป็นเพื่อนเก่าของคุณชาญที่ไม่ได้พบกันหลายปีจึงมานั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบจนเย็นย่ำ ดังนั้นกว่ามื้อนั้นจะเสร็จสิ้นและทุกคนได้กลับบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว

หลังจากบวรณ์มาส่งพวกเขาแล้วก็ขับรถตรงกลับไปบ้านคุณปรีชาทันที ฝ่ายเชษฐ์เมื่อมาถึงบ้านแล้วก็ขอบคุณป้าแย้มที่ยังอยู่เฝ้าบ้านให้ พร้อมกับออกปากให้พรุ่งนี้พักผ่อนเต็มที่โดยไม่ต้องมาทำงานได้หนึ่งวัน

“ถ้างั้นผมกับภัทรขึ้นห้องก่อนนะครับ”

เชษฐ์หันมาเอ่ยกับคุณชาญและคุณเพียงมาศก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ภัทรซึ่งกำลังจะก้าวตามทันเหลือบไปเห็นสายตาของผู้สูงวัยที่มองตามหลังลูกชายอย่างครุ่นคิด ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมารบกวนจิตใจกับแววตานั้น แต่ก็พยายามเตือนตัวเองว่าคงไม่มีอะไรและรีบก้าวตามเชษฐ์ขึ้นไปชั้นบน

เมื่อได้พ้นจากสายตาของคุณชาญกับคุณเพียงมาศ เชษฐ์ก็งับประตูห้องปิดก่อนจะรั้งตัวภัทรเข้าไปกอดแล้วระบายลมหายใจยาว

“...คุณเชษฐ์?”

ภัทรเอ่ยเรียกเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่กอดเขาไว้โดยไม่พูดอะไร ครู่ใหญ่กว่าเจ้าของอ้อมแขนจะถอยออกมองหน้าเขาโดยไม่ปล่อยมือ

"ขอโทษนะที่วันนี้พาไปโน่นไปนี่ด้วยทั้งวัน เหนื่อยหรือเปล่า?"

เชษฐ์ถามพลางยกมือหนึ่งขึ้นลูบแก้มเขาอย่างอ่อนโยน ภัทรสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มพลางส่ายหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบมือใหญ่ที่แนบแก้มตนไว้แล้วบีบเบาๆ

"ไม่เหนื่อยหรอกครับ แค่นี้เอง"

ถ้าเทียบกับช่วงเวลาที่ต้องอ้างว้างเหงาหงอยเพียงลำพังเพราะคุณเชษฐ์ไม่อยู่ด้วย ให้เขาเหนื่อยแบบนี้บ่อยๆ ภัทรก็เต็มใจ

แววตาของภัทรที่สะท้อนถึงความในใจตรึงสายตาของคนที่เห็นเอาไว้ เชษฐ์ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบผิวแก้มเนียนเบาๆ ก่อนจะค่อยไล่ปลายนิ้วนั้นลงไปหยุดบนกลีบปากของคนในอ้อมแขน แววตาเร่าร้อนที่ราวมีกองเพลิงเล็กๆ ปะทุอยู่หลังแววตาที่จดจ้องมาทำให้ลมหายใจของภัทรสะดุด

"...อื้ม"

ริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ อยู่แล้วถูกทาบทับก่อนจะทันได้เปล่งเสียง ร่างเพรียวถูกอ้อมแขนใหญ่รั้งเอวและต้นคอเข้าหามากขึ้นเพื่อมอบความลึกล้ำของจุมพิตได้ถนัด ภัทรตอบตัวเองไม่ได้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดช่วงเวลาหลายวัน หรือเพราะความอ่อนโยนที่ถูกส่งผ่านมาทางริมฝีปากและอ้อมแขนแข็งแรง แต่เขาก็ปล่อยตัวและใจให้อีกฝ่ายรั้งเข้าหาโดยไม่ขัดขืน

"ฮ้า..."

เสียงครางแผ่วหลุดลอดจากริมฝีปากได้รูปเมื่อสัมผัสอันอุกอาจทว่าก็ปลอบประโลมนั้นผละจากอย่างเชื่องช้า ภัทรหายใจหอบขณะใช้สองมือกำแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับนั่นคือหลักยึดให้สองขาที่เบาหวิวเหมือนไม่ติดพื้นยังคงยืนอยู่ได้ ลำคอของเขาตีบตันมากขึ้นกว่าเก่าเมื่อเงยหน้าและได้พบกับเพลิงปรารถนาที่ลุกโชนในดวงตาคมเข้ม

"...ไปอาบน้ำกันเถอะ"

เสียงแหบต่ำเอ่ยกระซิบก่อนที่คนพูดจะบดริมฝีปากลงมาบนริมฝีปากเขาอย่างเร็วๆ อีกครั้งหนึ่ง ในหัวของภัทรหมุนคว้างจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองตอนที่ตอบว่า "ครับ" ออกไปอย่างเบาหวิว สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้ก็คือหากคุณเชษฐ์ต้องการทำอะไร เขาก็คงไม่มีแรงหรือความคิดที่จะปฏิเสธต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งออกจากโรงพยาบาลก็ตาม

ร่างสูงใหญ่จูงมือภัทรออกจากห้องนอนและเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็บิดล็อกแน่นหนาก่อนจะหันกลับมาหาเขา แววตาร้อนแรงที่จ้องมองมาอย่างไม่ปิดบังความต้องการราวกับจุดไฟอังให้ผิวหน้าของภัทรร้อนวูบวาบไปหมด

"อ๊ะ..."

ภัทรสะดุ้งเมื่อเชษฐ์เดินเข้ามาใกล้และเริ่มปลดกระดุมเสื้อให้เขา แม้จะเตรียมใจแล้วและรู้ตัวว่าต้องการสิ่งนี้ด้วยซ้ำ กระนั้นเมื่อกำลังเผชิญกับสถานการณ์นั้นจริงๆ ภัทรก็ยังไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ตระหนกได้ ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะดูออกเช่นกัน

"ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าหากอยากให้หยุดเมื่อไหร่ก็บอก"

เชษฐ์เอ่ยพลางก้มลงหอมแก้มเขาก่อนจะไล่ริมฝีปากผะแผ่วดุจปีกผีเสื้อไปบนซอกคอและแผ่นอก หลังจากแกะกระดุมเสื้อให้จนครบทุกเม็ด ฝ่ามือใหญ่ก็ค่อยถอดเสื้อเชิ้ตออกจากร่างผอมเพรียวอย่างใจเย็น จากนั้นก็ก้มลงดูดเม้มผิวอ่อนตรงซอกคอพร้อมกับใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอกสีชมพูเข้มจนภัทรห่อไหล่เข้าหากันเพราะความวาบหวาม

อากาศเย็นๆ ในห้องน้ำกระทบร่างอันเปลือยเปล่าของภัทรเมื่อเชษฐ์รูดซิปกางเกงให้แล้วดึงรั้งลงทั้งตัวนอกและตัวใน ใบหน้าชวนมองแดงก่ำเมื่อถูกแววตาคมกริบมองสำรวจไปทั่วทุกส่วนอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ แต่เชษฐ์ไม่ยอมให้เขาก้มหน้าหลบสายตาและใช้ปลายนิ้วเชยคางเรียวขึ้นให้สบตากับตัวเอง

"ถอดเสื้อผ้าให้ฉันบ้างสิ"

ภัทรตัวสั่นเมื่อร่างสูงใหญ่ก้มลงกระซิบประโยคคำสั่งนั้นข้างหู ลมหายใจอันผ่าวร้อนที่รินรดลงมาราวจะเพิ่มอุณหภูมิบนใบหน้าของเขาให้สูงยิ่งขึ้น และเมื่อมือมือของเขาถูกดึงให้วางทาบลงบนแผ่นอกกว้าง ภัทรก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากช่วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้อีกฝ่ายตามที่โดนขอ

เมื่อจัดการถอดเสื้อเชิ้ตตัวบนออกเรียบร้อย ภัทรก็กลืนน้ำลายก่อนจะปลุกปลอบใจตัวเองและก้มลงจัดการกางเกงยีนส์บนสะโพกแกร่ง ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองเผยร่างเปลือยเปล่าต่อหน้ากันและกัน ทว่าครั้งนั้นที่ไปทะเลกับตอนนี้ บริบทที่แวดล้อมช่างต่างกันจนไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้ สิ่งเดียวที่ภัทรแน่ใจว่ายังคงเหมือนเดิมก็คงมีเพียงหัวใจที่กระหน่ำเต้นอย่างรุนแรงจนเขาทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นไปพร้อมกันเท่านั้น

เชษฐ์ยิ้มเมื่อในที่สุดภัทรก็ถอดเสื้อผ้าให้เขาจนหมดสมใจ ความต้องการที่ถูกปลุกให้ตื่นตัวมากขึ้นทุกทีเริ่มแสดงออกให้เห็นได้เด่นชัดที่ด้านล่างจนภัทรหน้าแดงก่ำและแทบวางมือไม้ไม่ถูก ท่าทีเขินอายทว่าก็เชิญชวนนั้นช่างเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ยั่วยวนเป็นธรรมชาติอย่างที่เจ้าตัวก็คงไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อย

เพราะถ้าหากรู้ตัวว่าการแสดงออกของตนส่งผลให้คนที่เห็นคิดอยากลงมือทำอะไรบ้าง...ภัทรคงไม่กล้าเปิดเผยตัวเองให้เขาในวินาทีนี้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นในยามนี้แน่

"อาบน้ำกันเถอะ"

เชษฐ์จูงมือภัทรเข้าในส่วนของห้องอาบน้ำซึ่งจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วนในห้องน้ำอีกที ร่างสูงใหญ่ดึงประตูกระจกใสปิดก่อนจะหันไปเปิดน้ำอุ่นให้ไหลลงจากฝักบัว หลังจากปรับระดับน้ำจนได้ที่ก็หันมารั้งร่างภัทรให้เข้าไปอยู่ใต้สายน้ำด้วยกัน

ร่างเพรียวครางเสียงต่ำในคอเมื่อละอองน้ำอุ่นหลั่งลงกระทบผิว เชษฐ์หยิบขวดสบู่มาเทลงบนฝ่ามือแล้วก็ช่วยไล้ฟองครีมไปบนผิวกายของเขาจนทั่ว สัมผัสที่ปัดป่ายไปทั่วร่างอย่างทะนุถนอม ทว่าก็อ้อยอิ่งและจงใจทิ้งไออุ่นจากฝ่ามือไว้บนทุกตารางนิ้วทำให้ภัทรสั่นอย่างห้ามไม่ได้

"หนาวเหรอ? ตัวสั่นเชียว"

เสียงทุ้มที่ก้มลงมากระซิบข้างหูทำให้ภัทรรู้ตัวว่าเมื่อครู่เผลอหลับตา นัยน์ตาเรียวจึงปรือขึ้นมองรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหลบนใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบแล้วก็เม้มปาก

คุณเชษฐ์ถามแบบนี้แกล้งกันนี่นา...

"ใช่ครับ เพราะคุณเชษฐ์นั่นแหละ"

เชษฐ์มองใบหน้าแดงๆ กับน้ำเสียงตัดพ้อของคนพูดแล้วก็แกล้งเลิกคิ้ว แต่ยังคงไม่หยุดมือที่ลูบไล้ไปมาบนผิวกายของคนตรงหน้า ร่างของภัทรกระตุกเมื่อฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนลงวางบนแผ่นหลังและดึงเขาเข้าหาจนปะทะกับแผงอกแกร่ง และแน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เพียงร่างกายท่อนบนที่แนบชิด เพราะส่วนล่างที่ผ่าวร้อนของร่างสูงใหญ่ก็บดเบียดกับหน้าขาของเขาเช่นกัน

"ถ้าเธอหนาวแล้วจะเป็นเพราะฉันได้ยังไงล่ะ?"

ลมหายใจอุ่นเป่ารดบนปลายจมูกเมื่อคนพูดก้มลงหา และราวกับการยั่วเย้าด้วยวาจาจะไม่เพียงพอ เพราะฝ่ามือใหญ่ข้างที่ไม่ได้รั้งเอวผอมไว้ได้เลื่อนลงวางบนหนั่นเนื้อด้านหลังของภัทรและบีบด้วยแรงพอที่จะทำให้เขาต้องจิกนิ้วลงบนต้นแขนแกร่งทั้งสองข้าง

"ก็คุณเชษฐ์...อ๊ะ"

คำท้วงติงทั้งหลายถูกดูดกลืนด้วยริมฝีปากอุ่นที่ทาบลงมาปิดเสียงของเขาไว้ ปลายลิ้นของภัทรถูกเกี่ยวกระหวัดให้ต้องตอบสนองในรูปแบบที่เขาไม่อาจต่อต้าน ภายใต้การชักนำอันเร่งร้อนและปลุกเร้า ภัทรได้แต่เลื่อนมือขึ้นโอบคออีกฝ่ายเป็นหลักยึดขณะที่มือใหญ่ทั้งสองข้างบีบเคล้นสะโพกตึงแน่นอย่างไม่รามือ

ในสติที่เริ่มพร่าเลือนด้วยถูกม่านหมอกแห่งความปรารถนาครอบงำ ภัทรยังรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากสายน้ำที่ยังคงหลั่งลงบนผิวกายของทั้งคู่ กระนั้นความหิวกระหายของคนตรงหน้าที่กำลังตักตวงความหวานหอมจากตัวเขากลับแจ่มชัดราวแสงไฟในห้องที่มืดสนิท ความอบอุ่นของผิวกายที่เสียดสี ถ่ายเทประจุความร้อนให้แก่กันและกันฉุดให้ภัทรดำดิ่งลงสู่ห้วงของดำฤษณาที่ลึกสุดหยั่งมากขึ้นทุกที

"อ๊ะ!"

ภัทรสำลักลมหายใจเมื่อจู่ๆ ฝ่ามืออุ่นข้างหนึ่งก็เลื่อนจากสะโพกเขามาทาบบนความร้อนรุ่มด้านหน้า แรงสัมผัสที่ผลักดันทำให้เขาตระหนักว่าตอนนี้ร่างกายของตนก็กำลังตื่นตัวไม่แพ้อีกฝ่ายเลย

"ภัทร..."

เสียงกระซิบอันแหบทุ้มเรียกให้เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมองใบหน้าคมคาย แววตาที่จ้องมองมาในตอนนี้ราวกับสามารถแผดเผาภัทรแล้วกลืนกินเขาเข้าไปได้ทั้งตัว มือใหญ่ข้างหนึ่งจับมือเรียวให้เลื่อนลงไปสัมผัสความแกร่งร้อนของร่างสูงใหญ่ที่ปานจะลวกมือได้ และทันทีที่ฝ่ามือของเขาโอบกระชับความแข็งแกร่งนั้นเอาไว้ เชษฐ์ก็คำรามต่ำก่อนจะนำการเคลื่อนไหวของเขาผ่านการกระทำแทนคำพูด

"อือ อะ อ๊ะ"

เสียงครางเครือของภัทรหลุดอย่างไม่เป็นจังหวะผ่านริมฝีปากที่เผยอหอบ แผ่นอกที่กระเพื่อมถี่เพราะดึงอากาศเข้าไปหมุนเวียนไม่ทันเบียดชิดแทบเป็นเนื้อเดียวกับแผงอกตึงแน่นของร่างสูงใหญ่ ร่างผอมค่อยๆ ถูกดันจนแผ่นหลังไปแนบกับผนังกระจกโดยที่มือของทั้งสองยังคงพัลวันอยู่กับการปรนเปรอความปรารถนาให้กันและกัน ภัทรสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้ถึงปลายนิ้วแข็งแรงที่กำลังลูบไล้บนร่องระหว่างเนินเนื้อด้านหลังอย่างมุ่งมาดที่จะแทรกเข้าไปหาความอบอุ่นภายใน

"คุณเชษฐ์..."

ภัทรเอ่ยเสียงหวิวเหมือนคนที่ถูกสูบเรี่ยวแรงไปจากตัว แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนเพราะตระหนักดีว่าเมื่อมาถึงจุดนี้ก็ไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว เชษฐ์ก้มลงแนบริมฝีปากบนขมับของเขาก่อนจะกระซิบเสียงเบาอย่างปลอบโยน

"ไม่ต้องกลัวนะ"

ภัทรรวบรวมเรี่ยวแรงพยักหน้าตอบ และทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้เมื่อนิ้วมือด้านหลังกดย้ำบนปากทางคับแคบและเขี่ยไปมาอย่างช้าๆ โดยไม่ล่วงล้ำเพื่อสร้างความคุ้นเคย ทว่าเมื่อมือของเขาเริ่มผ่อนแรงขยับลงเพราะความรู้สึกที่ด้านหลังเริ่มมีอิทธิพลต่อประสาทสัมผัสมากกว่าด้านหน้า เชษฐ์ก็ก้มลงเม้มปลายจมูกของภัทรและดึงมือเขาให้กอบกุมความร้อนรุ่มของทั้งสองไว้คู่กัน จากนั้นก็วางมือทับลงมาและควบคุมจังหวะการรูดรั้งของมือนั้นโดยที่มืออีกข้างยังคงวนไล้รอบช่องทางเล็กไม่หยุด

ภัทรรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำทั้งที่สายน้ำหลั่งไหลมาจากด้านบน แต่ไออุ่นที่โอบล้อมไปทั่วทั้งร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดรวมความรู้สึกซึ่งถูกปลุกเร้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ในหัวเริ่มเบลอจนคิดอะไรไม่ออก และเมื่อรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของปลายนิ้วที่ชำแรกเข้ามาในช่องทางซึ่งแทบลืมเลือนการถูกสัมผัสไปแล้ว ร่างเพรียวก็ร้องครางและกระตุกอย่างแรงขณะปลดปล่อยความต้องการที่เขม็งเกลียวอย่างบ้าคลั่งในท้องน้อยออกมากลางฝ่ามือของทั้งคู่

"ภัทร?"

"ขอโทษครับ คุณเชษฐ์"

ภัทรเอ่ยพลางหอบหายใจหนักหน่วงราวเพิ่งเสร็จสิ้นจากการออกกำลังกายมาหลายชั่วโมง การที่ร่างกายแสดงออกว่าอิ่มเอมจากการถูกกระตุ้นเร้าทางด้านหลังเพียงเล็กน้อยทำให้เขาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ทว่าเชษฐ์กลับยิ้มด้วยความเอ็นดูและก้มลงขบกลีบปากล่างของเขาเบาๆ

"ขอโทษทำไม น่ารักดีออก"

ยิ่งได้ยินคำชมกับเห็นรอยยิ้มของคนพูด ภัทรก็ยิ่งกระดากมากขึ้นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ยอมถอนนิ้วออกจากช่องทางที่ยังบีบรัดแน่นหลังการปลดปล่อย ราวกับต้องการจะใช้ปลายนิ้วนั้นซึมซับรสสัมผัสจากภายในของเขาให้นานที่สุด

"อื้อ..."

ภัทรไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผิวหน้าของตนสุกเพราะเลือดสูบฉีดไปรวมกันหมดหรือยัง แข้งขาสองข้างอ่อนเปลี้ยจนราวจะยืนไม่อยู่หากไม่ใช่เพราะมีกระจกด้านหลังรองรับไว้ แต่แล้วอารมณ์หวิวหวามที่อ้อยอิ่งก็พลันสะดุดเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

"เชษฐ์...นี่พ่อนะ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วลงไปคุยกับพ่อแป๊บนึง"

ร่างสูงใหญ่ที่ยืนเบียดภัทรอยู่ส่งเสียงคำรามต่ำในคอ ขณะที่ภัทรตัวแข็งทื่อด้วยไม่รู้ว่าเมื่อครู่พวกเขาได้ส่งเสียงที่อาจเล็ดลอดไปถึงหูผู้สูงวัยที่ยืนอยู่หน้าประตูหรือไม่ และคำถามที่น่าตระหนกยิ่งกว่าคือเจ้าตัวยืนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว

"เชษฐ์? ได้ยินพ่อมั้ย?"

"...ได้ยินครับ ขอเวลาอีกเดี๋ยวแล้วผมจะลงไป"

เกิดความเงียบครู่หนึ่งก่อนที่ภัทรจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ร่างของเขาถูกรวบกอดแนบแผงอกกว้างที่ร้อนผ่าวกว่าปกติ ส่วนความรุ่มร้อนที่ยังคงดุนดันหน้าขาเขาอยู่ก็หาได้ลดความก้าวร้าวลงกว่าเมื่อครู่ แต่ทว่า...

"ภัทร เดี๋ยวกลับห้องไปก่อนก็แล้วกันนะ"

"เอ๊ะ? อ๊ะ"

ร่างของภัทรกระตุกอีกครั้งเมื่อปลายนิ้วแข็งแรงที่ซุกแนบอยู่ในร่างได้ถอนออกไป จากนั้นมือใหญ่ทั้งสองก็จับยึดสะโพกเขาไว้แล้วดันออกให้ถอยห่างจากตัวเอง

"ฉันคงต้องใช้เวลาจัดการตัวเองอีกหน่อยแล้วลงไปคุยกับพ่อ ถ้าหากนานก็ไม่ต้องรอนะ นอนไปก่อนได้เลย"

น้ำเสียงของคนพูดต่ำพร่าและแทบจะไม่ดังออกมานอกคอ ทว่าความเครียดเขม็งบนกล้ามเนื้อทั่วร่างก็ทำให้ภัทรรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังต่อสู้กับความต้องการจะสานต่อสิ่งที่ทั้งคู่เพิ่งเริ่มไปอย่างสุดความสามารถ

"....แล้วคุณเชษฐ์ล่ะครับ?"

แม้ว่าจะถูกเปิดทางให้ได้ไปพักผ่อนก่อน แต่ภัทรก็ยังรู้สึกว่าหากตนทิ้งอีกฝ่ายไว้แบบนี้ก็เท่ากับเห็นแก่ตัวที่บรรลุความสุขสมอยู่ฝ่ายเดียว และความคิดนั้นคงสะท้อนออกมาทางสีหน้า เพราะเชษฐ์ใช้มือหนึ่งลูบผมที่ชุ่มน้ำของเขาขึ้นจากหน้าผากแล้วแนบริมฝีปากลงอย่างแผ่วเบา

"ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องแค่นี้เอง"

ร่างสูงใหญ่หันไปบิดก๊อกฝักบัวเพื่อปิดน้ำ แต่แล้วเมื่อจะผลักประตูกระจกเพื่อให้ภัทรได้ออกไปก่อน คิ้วดกหนาก็เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจเพราะภัทรกลับดึงประตูกระจกให้ปิดเข้ามาเช่นเดิม

"ภัทร?"

แววตางุนงงที่เหลือบลงมองทำให้ภัทรหน้าแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ตัดสินใจทำตามที่ตั้งใจเพราะไม่อยากให้ตนคอยแต่เอาเปรียบความอ่อนโยนอยู่ฝ่ายเดียว

"ผมจะ...ช่วยทำให้คุณเชษฐ์ก่อนครับ"

ร่างสูงเพรียวเลี่ยงสายตาค้นหาของคนตัวใหญ่กว่าขณะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นกระเบื้อง มือทั้งสองข้างเลื่อนลงตามผิวกายแน่นตึงจนมาหยุดบนสะโพกสอบแกร่ง เขาสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อปลุกปลอบใจตนเองขณะมองความแกร่งร้อนที่กำลังชูชันอยู่ห่างจากใบหน้าเพียงไม่ถึงคืบ

นี่เป็น...ความรู้สึกที่คุณเชษฐ์มีให้เรา...

ภัทรคิดพลางใช้อุ้งมือรวบลำกายร้อนผ่าวตรงหน้าแล้วขยับศีรษะเข้าหา ลมหายใจของเขาติดขัดเล็กน้อยขณะแลบลิ้นออกเลียริมฝีปากอันแห้งผากเพื่อรวบรวมความกล้า นัยน์ตาเรียวเหลือบขึ้นมองใบหน้าของคนเบื้องบนอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าประกายลึกล้ำที่ทอดมองมาอย่างแน่วนิ่งก็ทำให้ภัทรรู้ว่ามีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งสอดเข้าประคองท้ายทอยของภัทรเอาไว้เมื่อเขาจุมพิตส่วนปลายของแท่งเนื้อที่ร้อนรุ่มจนราวกับจะลวกปาก ปลายลิ้นอุ่นนุ่มแลบออกไล้เลียขณะที่ริมฝีปากได้รูปเผยอขึ้นดูดดุนความแข็งแกร่งที่ผลุบเคลื่อนเข้าออกในปากอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งเมื่อเชษฐ์รู้สึกว่าภัทรกำลังเร่งรีบเกินกว่าที่ควร ร่างสูงใหญ่ก็จะคอยช่วยชะลอจังหวะลงทั้งโดยการรั้งศีรษะของภัทรเอาไว้ และทั้งโดยการพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้หลงระเริงกับการปรนปรอของเขาจนสร้างความลำบากให้

ถึงแม้จะอึดอัดไม่สบายเนื้อตัวจากสิ่งที่กำลังทำ ทว่าเสียงคำรามในคออย่างพอใจ รวมทั้งสีหน้าและแววตาของเชษฐ์ที่บ่งบอกว่ายินดีกับสิ่งที่ได้รับก็ช่วยลบล้างความไม่สบายเหล่านั้นให้ปลาสนาการไปสิ้น และยิ่งกล้ามเนื้อเป็นลอนบนหน้าท้องและต้นขาแกร่งใต้ฝ่ามือขมวดแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ภัทรก็รู้ว่าเขากำลังจะพาอีกฝ่ายถึงสุดทางแห่งความปรารถนาได้ในอีกไม่ช้าแล้ว

"อืม....."

เสียงครางยาวในคอของเชษฐ์มาพร้อมกับการปะทุของความเร่าร้อนที่ภัทรเป็นคนช่วยสุมเพลิงให้พัดโหม ร่างเพรียวกลืนกินทุกหยาดหยดที่อีกฝ่ายกลั่นออกมาอย่างไม่รังเกียจแม้จะไอเพราะสำลักจนน้ำตาซึม กระนั้นภัทรก็ยังฝืนใช้โพรงปากเคล้าคลึงส่วนไวสัมผัสให้เชษฐ์จนกระทั่งมันอ่อนตัวและคืนสู่สภาพเดิมบนปลายลิ้นของเขา

"ภัทร เธอนี่..."

เชษฐ์พยายามข่มลมหายใจที่หอบรัวขณะใช้สองแขนโอบรั้งร่างของภัทรให้ยืนขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้เห็นริมฝีปากที่บวมช้ำและแววตาอ่อนเชื่อมด้วยมีน้ำตาคลอซึ่งช้อนขึ้นมอง เขาก็ระงับใจไม่อยู่และดึงผมบนท้ายทอยของภัทรให้แหงนหน้าขึ้นก่อนจะบดริมฝีปากลงหาอย่างไร้ซึ่งการควบคุมตัวเอง

ถึงแม้ภัทรจะกลืนหยาดรักของเชษฐ์ไปหมดแล้ว กระนั้นรสชาติของมันก็ยังคงอวลอยู่ในช่องปากจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ ทว่าดูเหมือนคนที่กำลังบดริมฝีปากจูบเขาและเรียกร้องการสนองตอบอย่างบ้าคลั่งจะไม่ตั้งแง่รังเกียจแม้แต่น้อย การชักนำของเชษฐ์มีแต่ทำให้ภัทรต้องส่งปลายลิ้นเข้าพัวพันและยอมรับรสสวาทอันอุกอาจที่ราวจะลบทุกสามัญสำนึกในหัวของเขาจนสิ้น

จูบนั้นช่างยาวนานและเร่าร้อนจนภัทรนึกว่าตนจะขาดอากาศหายใจ เชษฐ์กอดร่างเพรียวของเขาไว้อย่างแนบแน่นก่อนจะถอนริมฝีปากออกในที่สุดด้วยความเสียดาย

"บ้าเอ๊ย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะฉันต้องลงไปคุยกับพ่อล่ะก็..."

อีกฝ่ายสบถงึมงำอยู่กับผิวที่ยังไวต่อสัมผัสบนซอกคอของภัทร ร่างของเขาสั่นเล็กน้อยเพราะความรู้สึกตอนนี้ก็หาได้แตกต่างจากคนพูด ทว่าทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าขืนยื้อเวลาที่ได้สนิทแนบกายกันเช่นนี้ต่อไป ผู้สูงวัยจะต้องเอะใจและคงไม่พอใจภายหลังที่เชษฐ์ไม่ลงไปคุยด้วยตามที่รับปากไว้แน่ๆ

"คุณเชษฐ์ ไปแต่งตัวแล้วลงไปคุยกับคุณพ่อก่อนเถอะครับ ไม่อย่างนั้นท่านจะโกรธเอา"

ภัทรเองก็ตอบเสียงงึมงำไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะให้เชษฐ์สานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ลึกซึ้งไปอีกขั้น แต่ก็รู้ดีว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไหร่

ร่างสูงใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังของภัทรไปมาอย่างปลอบโยน ขณะเดียวกันก็ราวกับจะทำไปเพื่อเรียกสติของตนกลับมาและข่มความปรารถนาในใจให้สงบลงไปพร้อมกัน ครู่หนึ่งจึงก้มลงจูบขมับภัทรเบาๆ อีกครั้งก่อนจะปล่อยมืออย่างตัดใจ

"ฉันสัญญาว่าคราวหน้ามันจะไม่จบแค่ตรงนี้ เตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ"

เชษฐ์เอ่ยขณะใช้นิ้วโป้งนวดคลึงริมฝีปากที่ยังบวมเล็กน้อยของภัทรอย่างอ้อยอิ่ง ในแววตาราวกำลังระลึกถึงภาพใบหน้าเนียนตอนที่อาสาปรนนิบัติเขาให้บรรลุถึงปลายทางของความต้องการเมื่อครู่ และนั่นทำให้ภัทรต้องรีบดันอีกฝ่ายออกจากห้องเพราะเกรงว่าคราวนี้ความตั้งใจของทั้งคู่จะพังทลายลงจริงๆ

"ตอนนี้ไปคุยกับคุณพ่อก่อนเถอะครับ"

เชษฐ์หัวเราะกับท่าทางเขินอายของภัทรก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาพันเอว โดยก่อนจะเดินออกไปก็ยังไม่ลืมกดล็อคประตูห้องน้ำแล้วค่อยงับปิดให้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้าของบ้านเดินกลับเข้าไปในห้องนอนซึ่งอยู่ข้างๆ กันเรียบร้อย เขาถึงค่อยทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยท่าทางราวกับสองขากลายเป็นเยลลี่ที่รับน้ำหนักตัวไม่ไหว

รสรักที่เชษฐ์ทิ้งไว้ยังคงกรุ่นอวลบางเบาบนปลายลิ้น สัมผัสอันแข็งขืนและร้อนเร่าเหมือนเหล็กเผาไฟก็ราวกับยังตกค้างอยู่ในช่องปาก ภัทรมองที่ว่างในห้องน้ำตรงที่ร่างสูงใหญ่เพิ่งยืนอยู่ แล้วก็ไพล่นึกย้อนไปถึงสิ่งที่ทั้งสองทำให้กันและกันเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน เมื่อหวนระลึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป เขาก็ได้แต่ยกปลายนิ้วขึ้นลูบริมฝีปากของตัวเองด้วยความเผลอไผล บัดนี้ไอร้อนได้ซ่านขึ้นมารวมตัวกันบนหน้าอีกครั้งจนราวจะแผดเผาหยดน้ำที่ยังเกาะพราวให้เหือดแห้งได้

โอย นี่เขากล้าทำอะไรอย่างนั้นกับ...ของคุณเชษฐ์ไปได้ยังไง แล้วนี่ถ้าหากคุณชาญมาได้ยินเสียงของพวกเขาก่อนที่จะมาเคาะประตูเรียก แล้วรู้ว่าเขากับลูกชายของตัวเองทำอะไรกันในห้องน้ำ เขายังจะกล้าเข้าหน้าฝ่ายนั้นไหวหรือนี่...

นั่นเป็นคำถามที่ภัทรไม่กล้าคิดถึงคำตอบ สิ่งเดียวที่เขารู้และมั่นใจในยามที่ความสุขเอิบอาบไปทั่วร่างเช่นเวลานี้ มีเพียงความจริงที่ว่าต่อให้เลือกย้อนเวลากลับไปเมื่อครู่ได้ เขาก็คงไม่ลังเลที่จะเสนอตัวทำแบบเดิมเพื่อมอบความสุขให้ผู้ชายที่เขารักที่สุดในนาทีนี้อย่างไม่ต้องสงสัย



++---TBC---++



A/N: ยิ่งเรื่องนี้ใกล้จบก็ยิ่งรู้สึกว่าเขียนยากขึ้นทุกที แถมเพราะเป็นเรื่องที่หากนับถึงปัจจุบันก็เรียกได้ว่าใช้เวลาเขียนลบสถิติเรื่องอื่นๆ ของเราไปหมดแล้ว ช่วงที่หายไปเขียนเรื่องอื่นบ้างแล้วกลับมาหาเรื่องนี้อีกทีก็ต้องใช้เวลาจูนนานมาก คงเพราะส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้อารมณ์ละเอียดอ่อนสูงกว่าเรื่องอื่นที่เขียน (โดยเฉพาะในส่วนของน้องภัทร) บทจะเขียนออกทีเลยหลั่งไหลพรวดๆ บทจะ writer's block ก็บล็อกกันจริงๆ จังๆ แต่ตอนนี้เนื้อเรื่องได้ขมวดเข้าสู่โค้งสุดท้ายของท้ายสุดจริงๆ แล้วล่ะค่ะ ก็ขอขอบคุณทุกคนทั้งที่อดทนติดตามกันมาตั้งแต่โพสต์ตอนแรก และเพิ่งได้มาอ่านรวดเดียวยาวจนถึงตอนล่าสุดด้วย ขอสัญญาว่าจะตอบแทนความเชื่อมั่นของนักอ่านทุกคนด้วยการพาคุณเชษฐ์และภัทรไปสู่ตอนจบอันสวยงามให้คุ้มกับที่ติดตามกันมานะคะ

ใครอ่านแล้ว มาเม้นต์ให้ชื่นใจกับตอนนี้กันหน่อยน้า




 

Create Date : 11 มีนาคม 2556    
Last Update : 11 มีนาคม 2556 17:25:55 น.
Counter : 2032 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 21

แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 21.


ท้องฟ้ายามสายขมุกขมัวเนื่องจากพระอาทิตย์ซ่อนอยู่หลังเมฆหนา กระนั้นไอร้อนก็ยังแทรกผ่านกลีบเมฆลงมาอย่างไม่ปรานี สิ่งที่พอจะบรรเทาความร้อนได้บ้างมีเพียงสายลมอ่อนบางที่หอบกลิ่นดอกโมกริมรั้วให้รวยรินมาตามอากาศ

เสียงนกและแมลงในสวนช่วยให้บรรยากาศรอบบ้านทรงไทยสองชั้นไม่วังเวงจนเกินไป บนชานบ้านที่เชื่อมกับบันไดไม้ด้านหลัง ภัทรนั่งเหม่อมองทิวสวนที่อยู่ถัดไปจากลำธารสายเล็กๆ ซึ่งไกลออกไปจะเห็นหลังคาบ้านอื่นในย่านเดียวกันประปราย บางครั้งนัยน์ตาหม่นหมองก็จะทอดมองไปทางลำธารบ้างเพื่อพักสายตาที่เมื่อยล้า

ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ดึงสายตากลับลงมายังพื้นไม้ข้างตัว ตรงนั้นมีซองใส่การ์ดทำจากกระดาษสีเงินเรียบหรูขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ ประกายของความปวดร้าวฉายผ่านนัยน์ตาโศกวูบหนึ่งขณะดึงการ์ดที่อยู่ด้านในออกคลี่อ่านอีกครั้ง...ซึ่งแม้แต่เขาเองก็คร้านจะนับว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ตั้งแต่ได้รับมา

'ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติในพิธีมงคลสมรส ระหว่างนาย ธราธร พรหมพิริยะ และ นางสาวเขมรุจี มิ่งมงคลกุล ในวันที่....'

การ์ดใบนั้นพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีเงินวาวบนกระดาษสีเปลือกไข่ ด้านขวาเป็นรายละเอียดเรื่องวันที่และสถานที่จัดงาน ส่วนด้านซ้ายเป็นรูปถ่ายของคู่บ่าวสาวในสตูดิโอที่มีการจัดองค์ประกอบอย่างดี งานแต่งงานตามวันที่ที่ระบุในการ์ดผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว แต่เขาก็ยังตัดใจทิ้งการ์ดใบนี้ไม่ลง

ชายหนุ่มสูดน้ำมูกก่อนจะใช้อุ้งมือเช็ดน้ำตาที่ปริ่มบนขอบตา เขารู้ดีว่าการจมจ่อมกับความเศร้าหมองนั้นเป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชสิ้นดี แต่จะให้ทำอย่างไรได้...ธราธรเป็นรักแรก เป็นคนที่เคยคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าเคียงข้างกันหลังจากเรียนจบ โดยหารู้ไม่ว่าความเชื่อมั่นอย่างไร้เดียงสานั้นจะเป็นเหตุให้ต้องเจ็บช้ำใจจนแทบตั้งตัวไม่ติดเช่นนี้

นัยน์ตาหม่นเศร้าทอดมองกลับไปยังทิวทัศน์ด้านหน้า สำหรับคนที่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อย พี่สาวก็แต่งงานไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่หลายปีก่อน ภัทรพบว่าบ้านของน้าจินและน้าบรรณที่จันทบุรีเป็นสถานที่เดียวที่จะช่วยให้เขาได้ฟื้นฟูจิตใจที่แตกสลาย รวมทั้งได้อยู่ห่างจากผู้คนและสภาพแวดล้อมที่คอยย้ำเตือนให้นึกถึงความหลังครั้งเก่าไม่เลิกรา

บางทีสักวันหนึ่ง...เขาคงจะเรียกความเข้มแข็งคืนมาได้มากพอที่จะกลับไปสู่วิถีชีวิตที่คุ้นเคยกระมัง แต่ในช่วงเวลาที่ใจยังเจ็บเหมือนเลือดยังรินไหลจากปากแผลไม่หยุดนี้...เขาไม่พร้อมจะเสแสร้งสวมหน้ากากว่าตัวเอง ‘ไม่เป็นไร’ ให้ใครดูทั้งนั้น...




ขณะที่ภัทรนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ด้านข้างร้านกาแฟเล็กๆ ในสวนหย่อมของโรงพยาบาล จู่ๆ ความทรงจำของช่วงเวลาที่กลับไปอาศัยในบ้านสวนต่างจังหวัดก็ผุดขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะท้องฟ้าวันนี้ช่างคล้ายกับวันนั้น หรือไม่ก็...เป็นเพราะเขากำลังจะได้พูดคุยกับผู้หญิงที่เคยรู้จักผ่านแต่รูปถ่ายเสียทีก็เป็นได้

"เขมสั่งคาปูชิโนมาให้นะคะ พอดีคุณภัทรบอกว่าอะไรก็ได้ เขมเลยสั่งแบบกลางๆ มาให้"

เสียงที่ดังขึ้นข้างตัวฉุดภัทรกลับมาจากอาการใจลอย เขาเงยหน้ามองหญิงสาวที่วางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะให้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม สีน้ำตาลเข้มในถ้วยของเธอทำให้รู้ว่าคงจะเป็นโกโก้ร้อน

"ได้ครับคุณเขม ขอบคุณครับ"

หญิงสาวส่งยิ้มเบาบางให้ก่อนจะยกถ้วยโกโก้ขึ้นจิบ ภัทรจึงยกกาแฟของตัวเองขึ้นชิมบ้าง กลิ่นหอมและรสละมุนลิ้นของกาแฟผสมนมทำให้จิตใจของเขาสงบลง

"ขอโทษด้วยนะคะที่ดึงตัวมาคุยข้างล่างแบบนี้ คุณภัทรคงอยากอยู่เฝ้าคุณเชษฐ์บนห้องมากกว่า"

ภัทรส่ายหน้าเบาๆ "ไม่เป็นไรครับ อาการของคุณเชษฐ์ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าหากเป็นเมื่อวานอาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่"

หลังจากเอ่ยประโยคนั้นออกไป ความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนก็แทรกตัวเข้ามาระหว่างทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างเหลือบมองถ้วยเครื่องดื่มตรงหน้าราวกับนั่นจะช่วยคลายความอึดอัดลงได้

"ดูคุณภัทรไม่ค่อยแปลกใจตอนที่เห็นเขมนะคะ"

เสียงของคู่สนทนาเรียกภัทรให้เหลือบตาขึ้น และพบว่าริมฝีปากของคนพูดหยักขึ้นน้อยๆ ทว่าในแววตากลับราบเรียบจนยากจะเดาว่ากำลังคิดอะไร

"ผมเคยเห็นรูปคุณเขมในการ์ดแต่งงานน่ะครับ อีกอย่าง...กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น...ก็เลยไม่แปลกใจที่คุณเขมจะมาเยี่ยมคุณเชษฐ์"

เขมรุจีพยักหน้าน้อยๆ ขณะวางถ้วยโกโก้ลงบนจานรอง "ครั้งนี้ธรทำผิดมากจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ติดว่าเพราะเขายังลุกจากเตียงไม่ไหว เขมก็อยากให้มาขอโทษด้วยตัวเองเหมือนกัน"

ก่อนที่จะชวนภัทรมาคุยกันเป็นการส่วนตัว เขมรุจีได้เอ่ยขอโทษเชษฐ์แทนธราธรไปแล้วรอบหนึ่ง โดยอธิบายว่าที่เจ้าตัวมาไม่ได้เพราะกระดูกซี่โครงหักและอวัยวะภายในบอบช้ำ นี่ยังไม่รวมถึงบาดแผลบนใบหน้าที่ถูกต่อยจนบวมปูดและจมูกหัก ภัทรถึงกับอึ้งไปตอนที่ได้รับรู้อาการเหล่านั้น เพราะช่วงที่ผ่านมาเขากังวลที่คุณเชษฐ์ไม่ฟื้นอย่างเดียว จึงลืมไปสนิทว่าธราธรเองก็บาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน

หากจะว่ากันตามตรง เขมรุจีมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะกล่าวหาเชษฐ์ในข้อหาที่ทำร้ายสามีของเธอก่อนด้วยซ้ำ ทว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่มีคำพูดทำนองนั้นหลุดมาให้ได้ยิน ราวกับยอมรับโดยดุษณีว่าเรื่องทั้งหมดมีสาเหตุจากธราธรคนเดียว

เขมรุจีใช้สองมือโอบถ้วยโกโก้ร้อนบนโต๊ะนิ่งๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยความจริงบางอย่างที่ทำให้ภัทรเลิกคิ้ว

"คุณภัทรอาจจะเพิ่งรู้จักเขมจากการ์ดแต่งงาน แต่เขมรู้จักคุณภัทรตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนะคะ"

"เอ๊ะ?"

ภัทรมองคู่สนทนาด้วยแววตางุนงง เพราะเขาจำได้ว่าไม่เคยเห็นหญิงสาวมาก่อนจะได้รับการ์ดแต่งงานแน่ๆ เธอเห็นแววตาของภัทรแล้วมุมปากก็หยักลึกลงอีกนิด

"เรื่องมันซับซ้อนนะคะ ความจริงเขมเรียนมหา'ลัยเดียวกับคุณภัทรนั่นแหละค่ะ เพียงแต่เราอยู่คนละคณะกัน”

"เอ่อ...เดี๋ยวนะครับ แล้วคุณเขมรู้จักผมได้ยังไง?"

ภัทรพยายามทบทวนความทรงจำ แต่เนื่องจากมหาวิทยาลัยของเขาเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ แค่เพื่อนในคณะรุ่นเดียวกันยังจำกันไม่หวาดไม่ไหว นับประสาอะไรกับเด็กที่เรียนอยู่ต่างคณะ

นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกายขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต เธอยกโกโก้ร้อนขึ้นจิบ แต่เหมือนทำไปเพื่อลดความประหม่าก่อนจะเปิดปากเล่า

"ช่วงที่คุณภัทรคบกับธร รู้หรือเปล่าคะว่าธรเขาก็ยังเที่ยวกะลิ้มกะเหลี่ยใส่คนอื่นไปเรื่อย?"

"...รู้ครับ"

ทำไมจะไม่รู้... เพราะทั้งที่ก็คบกับเขาอยู่แล้วจนเพื่อนในคณะต่างรู้กันดี ธราธรกลับยังชอบหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นไม่เลือก และเป็นสาเหตุให้เขาน้อยใจอยู่บ่อยๆ แม้จะโดนง้อภายหลังก็ตาม

"ตอนนั้นเพื่อนสนิทของเขมที่ชื่อเอื้อยก็โดนจีบเหมือนกันค่ะ เอื้อยเป็นคนสวยมาก เป็นดาวของคณะด้วย"

ภัทรมุ่นคิ้วเพราะนึกว่าจะได้ยินอีกอย่าง เขมรุจีจึงหัวเราะเบาๆ "ธรเขาไม่ได้สนใจเขมตั้งแต่ต้นหรอกค่ะ แต่พอดีมีเพื่อนของเขมที่อยู่คณะเดียวกับธรมาบอกว่าที่จริงธรมีแฟนแล้วและเป็นผู้ชาย พอเขมไปบอกเอื้อย เอื้อยเขากลับไม่ยอมเชื่อ”

หญิงสาวหยุดสังเกตปฎิกิริยาของภัทรแวบหนึ่งก่อนจะเล่าต่อ

"พอโดนเตือนบ่อยๆ เข้า เอื้อยคงรำคาญเลยหาว่าเขมต่างหากที่แอบชอบธรจนแต่งเรื่องมาโกหก พวกเราทะเลาะกันรุนแรงมาก ...สุดท้ายเขมเลยประชดเพื่อนด้วยการเข้าหาธรเองจริงๆ"

ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ภัทรหูอื้อ แน่นอนว่าเขารู้เรื่องที่ธราธรชอบไปทำเจ้าชู้ใส่คนอื่นลับหลังเพราะมีเพื่อนฝูงที่เป็นห่วงคอยมาเตือนเป็นประจำ แต่เพราะสุดท้ายเจ้าตัวก็ยังกลับมาหาเขา ทำให้ไม่เคยรู้ว่าในอดีตเคยมีเรื่องราวถึงขั้นนี้

"...ถ้าอย่างนั้น...เหตุผลที่ธรแต่งงานกับคุณเขม?"

เขมรุจีแค่นยิ้มขณะจับปอยผมที่ระบนแก้มขึ้นทัดหู "มันอาจเป็นเวรกรรมของเขมก็ได้ที่ดันไปหลงรักผู้ชายแบบนั้นเข้าจริงๆ จนได้คบกัน เขมบอกธรตั้งแต่แรกว่าเขมรู้เรื่องคุณภัทรอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้บอกให้เขาเลิกเพราะคิดว่าสักวันเขาคงจะรักเขมมากพอที่จะทิ้งคุณภัทรเอง แต่นิสัยธรไม่ใช่คนที่จะปล่อยมือจากอะไรที่คิดว่าเป็นของตัวเองง่ายๆ ...ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่สองปีก่อนพ่อของธรถูกหุ้นส่วนโกงจนธุรกิจแทบจะล่ม เขมเลยใช้โอกาสบอกธรว่าจะขอให้คุณพ่อช่วยใช้หนี้ให้ ถ้าหากธรยอมเลิกกับคุณภัทรและแต่งงานกับเขม”

คำตอบที่ภัทรไม่เคยได้รับจากธราธรมาตลอดสองปีกระจ่างในบัดดล เขาตระหนักได้ทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายจึงจากไปโดยไม่เคยให้คำอธิบายใดๆ นอกจากเพราะธราธรมีชนักปักหลังที่แอบคบเขมรุจีลับหลังเขามาตั้งแต่สมัยเรียน อีกเหตุผลก็เพราะความเย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับว่าต้องแต่งงานเพื่อใช้หนี้นี่เอง

จนแล้วจนรอด...ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยคิดจะยอมรับความผิดของตัวเองและบอกความจริงกับเขาเลยใช่ไหม...

ภัทรรู้สึกราวกับมีคลื่นอารมณ์ที่แยกแยะไม่ได้หมุนวนอยู่ในอก เสียใจ? เขาไม่แน่ใจว่าคำนั้นจะบรรยายความขมเฝื่อนที่กำลังสัมผัสได้ถูกต้องหรือเปล่า หากใช้คำว่า ‘เสียดาย’ อาจจะเหมาะสมมากกว่าในกรณีแบบนี้

...เสียดายความไว้ใจ เสียดายน้ำตาที่เคยหลั่งไหลเพราะความเจ็บช้ำ เสียดายเวลาที่สูญเปล่าไปกับคนที่ไม่ได้คิดจะมั่นคงกับเขาเพียงคนเดียวเลยมาตลอดเวลาหลายปี

เขมรุจีหลุบตาลงพลางใช้มือลูบท้องตัวเองเบาๆ กิริยานั้นดึงสายตาของภัทรให้มองตามโดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้สังเกตเห็นเนินนูนเล็กน้อยซึ่งขัดกับรูปร่างประเปรียวตรงบริเวณที่มือเรียวสวยวางอยู่

“คุณเขม...กำลังท้องเหรอครับ?”

หญิงสาวพยักหน้าพลางอมยิ้มน้อยๆ “สามเดือนแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าธรยังไม่รู้... ถึงรู้เขาก็อาจไม่ยอมรับก็ได้ว่าเป็นลูกของตัวเอง ช่วงหลังมานี้เขมช่วยงานคุณพ่อหนักมาก ต้องพบปะสังสรรค์กับลูกค้าตลอดจนธรไม่พอใจ ยิ่งเดือนที่ผ่านมาเรายิ่งระหองระแหงกันจนธรแทบไม่กลับบ้าน”

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา...ภัทรโยงเหตุการณ์ได้ทันทีว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบธราธรอีกครั้งโดยบังเอิญ เท่ากับว่าที่ฝ่ายนั้นพยายามเข้ามาตีสนิทหาใช่เพราะอยากรื้อฟื้นความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน แต่เพราะต้องการประชดภรรยาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องต่างหาก

เขาไม่มั่นใจว่าเผยความรู้สึกใดทางสายตาออกไป เพราะจู่ๆ รอยยิ้มละไมบนหน้าของเขมรุจีก็จางหาย กลายเป็นความเคร่งขรึมซึ่งเข้ามาแทนที่

“...คุณภัทรคะ เขมเข้าใจถ้าหากครอบครัวของคุณเชษฐ์จะอยากแจ้งความดำเนินคดีกับธร แต่ในทางกลับกัน ทางฝ่ายเราก็ฟ้องกลับได้เหมือนกันเพราะธรต่างหากที่ถูกทำร้ายก่อน พยานที่เห็นเหตุการณ์คืนนั้นก็มีเพียงคุณภัทรคนเดียวซึ่งหมายความว่าคุณภัทรอาจพูดเข้าข้างคุณเชษฐ์ก็ได้ เขมพูดแบบนี้ถูกไหมคะ?”

ดูเหมือนหญิงสาวจะตัดสินใจเข้าประเด็นที่ชวนภัทรมาคุยเพียงลำพังแล้ว และน้ำเสียงเป็นการเป็นงานก็ทำให้เขาอึ้งไปนิดหนึ่ง

“คุณเขม...”

“เขมมั่นใจว่าต่อให้เรื่องถึงศาล ธรก็ไม่มีทางให้การตรงกับคุณภัทรและคุณเชษฐ์แน่ๆ ดังนั้นแทนที่จะต้องยื้อเรื่องให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองกันทั้งสองฝ่าย เขมขอเสนอให้ยอมความกันดีกว่าค่ะ แน่นอนว่าเขมไม่ได้ขอร้องเรื่องนี้โดยไม่คิดจะชดเชยอะไรให้ เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวของคุณเชษฐ์ทั้งหมดเขมจะรับผิดชอบเอง และถ้าหากต้องการจะเรียกร้องค่าเสียหายอื่นๆ แต่อยู่ในจำนวนที่สมเหตุผล เขมยินดีจ่าย”

ภัทรถึงกับตะลึงในความเด็ดขาดของหญิงสาว เขามองแววตาที่บ่งบอกว่าพร้อมจะทำทุกอย่างให้การเจรจานี้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจ และเริ่มจะตระหนักได้ว่าทำไมธราธรจึงยอมแต่งงานกับเธอ

ความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวที่หญิงสาวมีคือสิ่งที่เขาเคยขาดไป บางทีต่อให้เขมรุจีไม่ใช้เงื่อนไขล้างหนี้มาบีบบังคับเมื่อสองปีก่อน ท้ายที่สุดแล้วธราธรก็ยังอาจเลือกเธอมากกว่าเขาก็ได้

แต่นั่นไม่เกี่ยวกับการเจรจาที่ทั้งสองกำลังตกลงกันในนาทีนี้

“คุณเขมครับ...เรื่องนี้ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจ...”

ภัทรไม่คิดว่าตนจะสามารถโน้มน้าวคุณชาญและคุณเพียงมาศได้ ต่อให้จะเริ่มเห็นจริงตามเหตุผลที่อีกฝ่ายให้มาก็ตาม กระนั้นเธอก็ยังยืนยันเจตนา

“เขมรู้ค่ะว่ายาก แต่เขมอยากขอให้คุณภัทรลองคุยกับคุณเชษฐ์ดู เขมไม่เชื่อว่าคุณเชษฐ์จะไม่เห็นด้วยถ้าหากอธิบายด้วยเหตุผลพวกนี้”

“คุณเขม มันคุ้มแล้วหรือครับที่ทำถึงขนาดนี้เพื่อผู้ชายคนนั้น?”

น้ำเสียงกับใบหน้าของภัทรตึงขึ้น อาจเป็นเพราะเขาไม่หลงเหลือความอาลัยอาวรณ์ในตัวธราธรอีกแล้ว ดังนั้นถึงแม้ผู้หญิงตรงหน้าจะเป็นคนที่แย่งอดีตคนรักของเขาไป แต่ภัทรกลับรู้สึกโกรธแทนเธอมากกว่าที่ต้องมาออกหน้าขอไกล่เกลี่ยเพื่อผู้ชายที่ไม่คู่ควรจะได้รับการปกป้องเช่นนี้

เขมรุจีชะงัก เธอสบตาภัทรก่อนจะหลุบตาลงมองมือที่วางอยู่บนท้องซึ่งมีชีวิตน้อยๆ อยู่ด้านใน ไหล่บอบบางทั้งคู่สั่นไหวถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามระงับเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

"เขาเป็นพ่อของลูก ต่อให้เป็นผู้ชายที่อ่อนแอใช้ไม่ได้ยังไงเขมก็ทนดูเขาเดือดร้อนไม่ได้หรอกค่ะ คุณภัทรคงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหมคะ?"

ภัทรมองขอบตาแดงก่ำที่มองมาอย่างวิงวอนจากอีกฝั่งของโต๊ะราวกับเขาคือฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยเธอได้ จากนั้นริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากันโดยไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาเป็นเวลานาน


++------++


กว่าภัทรจะกลับมาบนห้องพักผู้ป่วยอีกครั้งก็สายมากแล้ว เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ายังไม่มีใครมาเยี่ยม และคนเจ็บยังคงนั่งหลับตาพิงหมอนอยู่ในท่าเดียวกับตอนที่เขาออกจากห้อง

ภัทรปิดประตูอย่างเบามือแล้วเดินผ่านเตียงไปแง้มม่านหน้าต่าง จากมุมนี้จะมองลงไปเห็นสวนหย่อมและร้านกาแฟที่เขาเพิ่งไปนั่งมาได้อย่างชัดเจน แต่ว่าโต๊ะที่ภัทรนั่งเมื่อครู่นั้นตอนนี้มีคู่สามีภรรยาสูงวัยกับหลานชายตัวเล็กๆ มานั่งแทน ส่วนเขมรุจีขอตัวกลับไปหลังจากทั้งคู่คุยธุระเสร็จเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“ถ้าหากคุณภัทรได้ข้อสรุปว่ายังไง บอกเขมด้วยก็แล้วกันนะคะ”

ชายหนุ่มนึกถึงประโยคที่อีกฝ่ายทิ้งท้ายไว้ก่อนจากกัน จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจยาวแล้วหันกลับเข้ามาในห้อง ร่างสูงใหญ่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อยปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ ภัทรยืนนิ่งมองใบหน้าคมคายขณะที่เจ้าตัวเอียงหน้ามาทางทิศที่เขายืนอยู่

เขาชอบยามที่ได้มองคุณเชษฐ์ตอนกำลังตื่นนอนเช่นในเวลานี้เหลือเกิน

"คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือ?"

คนบนเตียงถามพร้อมกับยิ้มให้น้อยๆ ภัทรจึงยิ้มตอบพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงและใช้สองมือกุมมือใหญ่ข้างหนึ่งไว้

"เสร็จแล้วครับ คุยกันเสียนานเลย คุณเชษฐ์หิวหรือยังครับ?"

"ยังเลย ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวรอกินตอนที่แม่บ้านเอาข้าวกลางวันมาให้นั่นแหละ"

ภัทรพยักหน้าให้กับคำตอบนั้น และรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรอให้เล่าเรื่องที่ไปคุยกับเขมรุจีมาให้ฟัง ครู่หนึ่งเขาจึงค่อยเอ่ยขึ้นช้าๆ

"คุณเขม...มาขอร้องให้ยอมความกันโดยไม่ต้องให้เรื่องถึงศาลครับ"

ภัทรช้อนสายตาขึ้นสังเกตคนบนเตียงหลังเอ่ยประโยคนั้นออกไป จึงได้เห็นว่าเชษฐ์กำลังทอดสายตามองมือของทั้งคู่ที่กำลังเกาะกุมกันอยู่

"นึกแล้วเชียว ฉันก็สังหรณ์อยู่แล้วว่าเขาคงเรียกเธอไปคุยเรื่องนี้ แล้วส่วนตัวเธอคิดว่ายังไงล่ะ?"

ภัทรมองตามสายตาของคนถามแล้วก็ส่ายหน้า "ผมตอบไปว่าผมตัดสินใจแทนคุณเชษฐ์ไม่ได้ครับ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณเชษฐ์ก็คงไม่ยอมง่ายๆ ด้วย"

"ภัทร"

มือที่ถูกกำแน่นขึ้นเรียกให้ภัทรสบตากับคนบนเตียง และพบว่านัยน์ตาคมเข้มกำลังจ้องมองตรงมาที่เขา

"ตอนนี้มีเราอยู่กันแค่สองคน บอกความเห็นของเธอมาตามตรงเถอะ ฉันไม่โกรธหรอก"

ภัทรเม้มริมฝีปากแน่น หลังจากพยายามเรียบเรียงคำพูดในใจแล้วจึงยอมเอ่ยปาก

"ผมคิดว่าการยอมความเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ ไม่ใช่เพราะเห็นใจธรหรือคุณเขม แต่ผมไม่อยากให้คุณเชษฐ์ต้องสิ้นเปลืองเวลากับเงินทองไปกับเรื่องนี้ คุณเชษฐ์...ลำบากเพราะผมมาเยอะแล้ว"

มือใหญ่ขยับออกจากการเกาะกุมของภัทรและเลื่อนขึ้นไปวางบนต้นคอ จากนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย คนตัวเล็กกว่าก็เอนลงซบบ่าหนาโดยไม่ขัดขืน

"ฉันไม่เคยคิดว่าทุกอย่างที่ทำไปเป็นเรื่องลำบากนะ เรื่องที่เกิดขึ้นนี่ก็เหมือนกัน ฉันไม่เสียใจที่ทำหมอนั่นบาดเจ็บปางตายขนาดนั้น ต่อให้เกิดเรื่องแบบเดียวกันอีกกี่ครั้งฉันก็จะทำเหมือนเดิม"

"คุณเชษฐ์..."

ภัทรเอียงหน้าขึ้นมองคนข้างกายด้วยแววตาที่บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร เชษฐ์จึงกระชับมือบนบ่าผอมแน่นขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากที่มีผมปรกอยู่

"พ่อกับแม่อาจไม่ชอบใจที่ฉันถูกทำร้าย แต่สำหรับฉัน เหตุผลเดียวที่ฉันจะเอาเรื่องก็เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของเธอ ต่อให้หมอนั่นจะเคยคบเธอมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาใช้คำพูดดูถูกเธอเหมือนอย่างในคืนนั้น"

สายธารแห่งความอบอุ่นกำซาบขึ้นในอกจากคำพูดอันอ่อนโยนทว่าหนักแน่นของเจ้าของอ้อมแขน เหตุการณ์เมื่อไม่กี่คืนที่ผ่านมาแจ่มชัดขึ้นในความทรงจำของภัทรอีกครั้ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณเชษฐ์ของเขากลับมาช่วยไว้ทันเวลา ภัทรก็คิดไม่ออกเลยว่าคืนนั้นจะจบลงอย่างไร

ชายหนุ่มมองฝ่ามือของตนที่วางหงายอยู่บนตัก เนื่องจากแผลที่ถูกบาดเริ่มตกสะเก็ดแล้วจึงไม่จำเป็นต้องพันผ้าพันแผลอีก นัยน์ตาเรียวหลุบลงมองแผลนั้นนิ่งขณะคิดถึงบทสนทนากับเขมรุจี สิ่งที่เธอบอกเขาว่าเต็มใจจะทำเพื่อปกป้องธราธร กับคำพูดของคุณเชษฐ์ที่ว่าจะปกป้องเขาไม่ว่าจะเกิดผลอะไรตามมา...เท่ากับคนทั้งคู่หาได้ต่างกันเลยใช่หรือไม่...

"คุณเชษฐ์ครับ ผมอยากเล่าเรื่องที่คุยกับคุณเขมให้ฟังครับ"

ภัทรเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ เชษฐ์สบตาเขาแล้วก็พยักหน้า ภัทรจึงเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับรู้จากเขมรุจี ทั้งความหลังตั้งแต่ครั้งเป็นนักศึกษาที่ยังคบกับธราธร เรื่องที่ฝ่ายนั้นไปเกาะแกะกับเพื่อนของเขมรุจีจนเป็นเหตุให้หญิงสาวเข้ามาพัวพัน และสุดท้ายก็แย่งธราธรไปด้วยเงื่อนไขที่เจ้าตัวไม่อาจปฏิเสธ เรื่องที่ภัทรลาออกจากงานเก่าไปอยู่บ้านน้าที่ต่างจังหวัดเพื่อทำใจ กระทั่งถึงข้อเสนอที่เขมรุจีมอบให้เขาเมื่อเช้าเพื่อจะได้ไม่ต้องให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต

เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด เชษฐ์ก็ระบายลมหายใจยาวพลางกอดไหล่ของภัทรแน่นเข้าโดยไม่พูดอะไร อึดใจใหญ่กว่าที่คนบนเตียงจะทำลายความเงียบงัน

"ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจคำขอของเขาหรอกนะ"

...คุณภัทรคงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหมคะ?... ภัทรนึกถึงคำพูดประโยคนั้นพลางพยักหน้า เพราะถ้าหากคุณเชษฐ์คือคนที่เขาต้องปกป้อง เขาก็คงไม่ลังเลที่จะบากหน้าไปขอร้องคู่กรณีเช่นเดียวกับที่หญิงสาวทำ

"อาจจะฟังแล้วแปลกๆ นะครับ แต่ผมรู้สึกว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเธอ เพราะถ้าหากคุณเขมไม่ได้แย่งธรไปตอนนั้น ทุกวันนี้ผมก็คง...ยังไม่ได้เจอกับคุณเชษฐ์"

แล้วก็คงไม่ได้สัมผัสกับความสุขอย่างที่ได้พบอยู่ในวันนี้

...โชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่แปรปรวนได้ง่ายเหลือเกิน ขอเพียงเกิดเรื่องนอกเหนือความคาดหมายเพียงเล็กน้อย ผลที่ตามมาก็กลับตาลปัตรไปจากที่เคยวางแผนไว้จนหมดสิ้น ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไป ภัทรกลับรู้สึกว่าโชคชะตาช่างปรานีที่ให้เขาได้รับประสบการณ์รักแรกอันแสนเจ็บปวด เพื่อที่จะได้เป็นบทเรียนก่อนมาพบกับรางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้

"ถ้าหากผมขอให้ทำตามคำขอของคุณเขมสักครั้ง คุณเชษฐ์จะโกรธไหมครับ?"

สายตาสองคู่สบประสานโดยที่ภัทรกุมมือใหญ่อบอุ่นเอาไว้ เขาไม่ได้ต้องการจะเล่นบทคนดีเพื่อสร้างภาพให้อีกฝ่ายประทับใจ เพียงแต่ครั้งนี้เท่านั้น....เขาอยากให้เขมรุจีได้รับในสิ่งที่อุตส่าห์บากบั่นมาเจรจาด้วยตัวเอง เพื่อที่ต่อไปพวกเขาจะไม่ต้องหลงเหลือหนี้บุญคุณติดค้างกันอีก และภัทรจะได้ตัดขาดจากอดีตที่ผ่านมาเพื่อเริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริงเสียที

มือใหญ่ยกขึ้นแนบแก้มของภัทรแผ่วเบาขณะที่นัยน์ตาคมเข้มมองสบกับนัยน์ตาเรียวแน่วนิ่ง เสมือนหนึ่งว่าอยากมองให้เห็นลึกไปถึงความคิดข้างในใจ จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ก้มลงแนบหน้าผากกับหน้าผากเนียนช้าๆ จนต่างมองเห็นเงาของกันและกันในแววตาของอีกฝ่าย

ลมหายใจอุ่นจากปลายจมูกของทั้งสองคละเคล้าเป็นหนึ่งเดียว ภัทรบีบมือที่ประคองไว้แน่นขึ้นราวจะยืนยันกับผู้สูงวัยกว่าว่านี่คือสิ่งที่ต้องการ เชษฐ์จึงค่อยเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปแนบบนปลายจมูกของเขา

"เอาเถอะ ถือว่าฉันก็ฝากบทเรียนให้หมอนั่นไปพอสมควรเหมือนกัน ถ้าเล่าอาการของทางนั้นให้พ่อกับแม่ฟังก็คงขอให้ตัดใจเรื่องจะเอาความไม่ยากนักหรอก"

"ขอบคุณมากครับคุณเชษฐ์"

ภัทรเอ่ยพลางโอบแขนไปรอบเอวของคนบนเตียงแล้วเอนลงพิงอกกว้าง เชษฐ์ยกมือขึ้นลูบไหล่ของเขาก่อนจะระบายลมหายใจยาว ภัทรไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการแสดงออกว่าสบายใจหรือว่าระอาใจกับคำขอของเขากันแน่ จึงเงยหน้าขึ้นหอมแก้มที่สากเพราะไรเคราพร้อมกับกระซิบริมหู

"ผมรักคุณเชษฐ์นะครับ"

นัยน์ตาคมเป็นประกายระยับเมื่อถูกออดอ้อน แววตากรุ้มกริ่มที่จ้องมองในระยะใกล้ทำให้ภัทรเริ่มรู้สึกเขิน ทว่าก็ไม่ได้อิดออดเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นแนบลงประทับบนริมฝีปากตัวเอง

"ถ้าหากตามใจเธอแล้วได้รางวัลแบบนี้บ่อยๆ ฉันก็ยอมนะ"

เสียงเคาะประตูทำให้ภัทรรีบดึงตัวออกจากอ้อมแขนอุ่นทันเวลาที่แม่บ้านนำอาหารกลางวันเข้ามาให้ เขาหันไปกล่าวขอบคุณก่อนจะเลื่อนโต๊ะทานอาหารสำหรับผู้ป่วยมาให้คนบนเตียง ผิวแก้มเกลี้ยงเกลายังมีริ้วสีแดงอ่อนแตะแต้มจางๆ ขณะเอ่ยแก้เก้อ

"ถ้าคุณเชษฐ์ต้องเจ็บตัวก่อนถึงจะได้ตามใจผม ผมก็ไม่เอาหรอกครับ"

ภัทรเอ่ยพลางเปิดฝาพลาสติกที่ปิดทับอาหารแต่ละอย่างให้แล้ววางไว้ข้างๆ เชษฐ์จึงหลิ่วตาให้กับคนที่กำลังพยายามหลบสายตาของตนอย่างหยอกเย้า

"ถ้างั้นก็ไม่ต้องรอให้ตามใจก่อนถึงค่อยให้รางวัลสิ ถ้าแบบนั้นจะให้รางวัลตอนไหนก็ได้จริงไหม?"

ร่างสูงเพรียวเม้มปาก นึกอยากพูดอะไรกลับให้อีกฝ่ายหยุดแซวกันเสียที แต่พอเหลือบเห็นนัยน์ตาอ่อนโยนซึ่งเปี่ยมไปด้วยความในใจที่ทอดมองมา ใจก็อ่อนยวบราวกับขี้ผึ้งถูกไฟลน

ก็ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้หรือ...ที่เขาตั้งใจจะฝากชีวิตและหัวใจให้นับตั้งแต่วันที่รู้ตัวว่ารักไปแล้ว...

"ขอผมไปล้างมือก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะออกมาป้อนข้าวให้"

ภัทรเอ่ยพลางรีบเดินเร็วๆ ไปทางห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังไล่หลังมา กระแสความอ่อนหวานจากน้ำเสียงแจ่มใสนั้นรินรดไปทั้งใจจนภัทรรู้สึกเหมือนเดินไม่ติดพื้น ถึงแม้ไม่มีอะไรมาเป็นหลักประกันให้จับต้องได้ แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตได้ผ่านพ้นไปแล้ว และหลังจากนี้จะมีเพียงความสุขเท่านั้นที่รออยู่ข้างหน้า

เพราะว่าคนที่จะคอยจับจูงมือเขาตลอดเส้นทางสู่อนาคตไปด้วยกัน คือผู้ชายที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องความสุขให้แก่เขาคนนี้นี่เอง...


++--- TBC ---++


A/N: เป็นตอนที่เหมือนจะไม่มีอะไร ค่อนข้างเรียบๆ เรื่อยๆ แต่ความเรื่อยนี่แหละที่ทำให้ใช้เวลาถึงสองอาทิตย์ในการเขียน เพราะสังหรณ์ว่าถ้าเรียบเรียงไม่ดีคงจะมีคนขัดใจกันเยอะเชียว ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้รอตอนใหม่กันเสียนานเลยนะคะ ใครที่ยังกังวลกับอาการของคุณเชษฐ์ก็คงหายห่วงได้เสียที หลังจากนี้ก็น่าจะใกล้จบเต็มทีแล้ว ก็ขอให้ติดตามกันไปจนจบและรออุดหนุนเมื่อได้ทำรวมเล่มด้วยนะ ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้าค่า




 

Create Date : 15 มกราคม 2556    
Last Update : 15 มกราคม 2556 22:47:21 น.
Counter : 1277 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 20

แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 20.



เสียงซุบซิบเหมือนมีคนคุยกัน แต่ก็เบาจนจับใจความไม่ได้ทำให้ภัทรขมวดคิ้ว ทว่าหนึ่งในเสียงนั้นกลับมีเสียงเล็กๆ ที่คุ้นหูอยู่ด้วย พอเขาขยับพลิกตัวเพื่อจะจับความว่านั่นเป็นเสียงของใคร เสียงเล็กๆ นั้นก็พลันดังขึ้นใกล้หู

"อ๋า...น้าภัทรตื่นแล้วล่ะค่ะ!"

มายูมิส่งเสียงอย่างดีใจ เมื่อภัทรลืมตาขึ้นก็พบกับรอยยิ้มสดใสของหลานสาวที่กำลังยืนเกาะขอบเตียงและจ้องเขาอยู่ ชายหนุ่มตกใจจนเผลอดีดตัวขึ้นนั่ง ทำให้พบว่านอกจากคุณเชษฐ์ที่กำลังเอนหลังพิงหมอนอยู่ข้างๆ ภายในห้องยังมีคนอีกสี่คนนั่งอยู่ตรงชุดโซฟารับแขกด้วย

หนึ่งในสี่คนนั้นคือแพน พี่สาวของภัทรเอง อีกหนึ่งคือคุณปรีชาซึ่งเป็นท่านประธานบริษัท ส่วนคู่ชายหญิงวัยกลางคนที่นั่งถัดไป เขาเคยเห็นแค่ในรูปถ่าย แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอกันครั้งแรกในที่แบบนี้

พ่อกับแม่ของคุณเชษฐ์...

“อ๊ะ ขอโทษครับ”

ความงัวเงียหายวับเป็นปลิดทิ้ง ภัทรรีบตลบผ้าห่มออกและตวัดขาเพื่อลงจากเตียง ดูเหมือนเมื่อครู่เขาจะหลับสนิทจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีแขกเข้ามาในห้อง เมื่อคิดว่าทั้งสี่ได้มาเห็นเขานอนกินที่คนเจ็บนานแค่ไหนแล้ว ภัทรก็นึกอยากให้บนพื้นห้องมีหลุมเพื่อจะได้มุดหนีไปตรงนั้น

“จะรีบลุกไปไหนล่ะ เพิ่งนอนพักได้ไม่นานเองนะ”

แขนแข็งแรงข้างหนึ่งเอื้อมมารั้งเอวไว้ ความผอมบางที่ได้สัมผัสทำให้เชษฐ์ขมวดคิ้ว แต่ภัทรไม่สนใจและรีบดึงมือใหญ่ออกจากตัว

“แค่นั้นก็พอแล้วครับ เอ่อ...สวัสดีครับทุกคน ผมขออนุญาตแป๊บนึงนะครับ”

ภัทรหันไปไหว้ผู้อาวุโสแล้วก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ เขาค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่านอกจากขอบตาที่ค่อนข้างบวมเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ตอนนี้ผิวหน้าก็คงจะแดงด้วยเนื่องจากโดนเห็นตอนอยู่ใกล้ชิดคุณเชษฐ์เสียขนาดนั้น

โชคดีว่าประตูห้องน้ำอยู่หลบเข้าไปหลังฉากกั้นตรงมุมห้อง เมื่อพ้นจากสายตาทุกคนแล้วภัทรจึงค่อยหายใจโล่งขึ้น เสียงฝีเท้าเล็กๆ ที่เดินตามมาและใช้มือดึงชายเสื้อเรียกให้คุณน้ายังหนุ่มก้มลงไปมอง

“มิมิ หนูมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”

ชายหนุ่มย่อตัวลงกระซิบถามหลานสาวตัวน้อย มายูมิจึงดึงข้อมือข้างที่คาดนาฬิกาของน้าชายไปเอียงคอมอง จากนั้นก็ใช้นิ้วเล็กๆ จิ้มบนหน้าปัด

“ตอนมิมิกับแม่มาถึง เข็มสั้นอยู่เลขสอง ตอนพวกคุณลุงคุณป้ามาถึง เข็มสั้นอยู่เลขสามค่ะ”

เวลาตอนนี้สามโมงครึ่ง เท่ากับว่านอกจากพี่แพนแล้ว อีกสามคนที่เหลือได้มาเห็นเขานอนเบียดข้างคุณเชษฐ์อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมง นี่ถ้าหากด้านหลังห้องน้ำมีประตูอีกบาน ภัทรคงใช้ประตูนั้นหนีอายออกไปให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ว่า...ไม่ได้สิ...อายก็ส่วนอาย แต่สิ่งที่สมควรต้องทำในตอนนี้คือไปขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณเชษฐ์ที่ทำให้ต้องบาดเจ็บเพราะเขาต่างหาก

“น้าภัทร?”

แม่หนูน้อยเรียกเมื่อจู่ๆ น้าชายก็ทำหน้าขรึมขึ้น ภัทรยิ้มแล้วลูบผมหลานสาวเบาๆ จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา เมื่อออกมาอีกครั้ง มายูมิก็ดึงชายเสื้อเขาขณะเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง

“มิมิ หนูมานั่งนี่ดีกว่าลูก”

แพนเรียกเมื่อเห็นลูกสาวเอาแต่เดินตามน้าชายต้อยๆ แม่หนูจึงยอมเดินไปนั่งข้างแม่แต่โดยดี ท่าทางที่ไม่ตื่นคนแปลกหน้าแสดงว่าคงได้ทำความคุ้นเคยกับผู้ใหญ่ทั้งสามพอสมควรแล้ว

“ภัทร นี่คุณชาญ แล้วก็คุณมาศ พ่อกับแม่ของเชษฐ์เขา”

คุณปรีชาที่นั่งอยู่ข้างผู้สูงวัยอีกสองคนหันมาแนะนำ ภัทรจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งคู่ยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับมองเขาอย่างพินิจพิจารณา ไม่ได้มีแววรังเกียจเดียดฉันท์...แต่ก็ทำให้ภัทรประหม่าไม่น้อย บางทีคุณเชษฐ์คงแนะนำเขาคร่าวๆ ไปแล้วระหว่างที่ยังมัวแต่หลับกระมัง

ถ้าเป็นไปได้...ก็ไม่อยากต้องทำความรู้จักกับท่านทั้งสองในสถานการณ์เช่นนี้เลย

“สวัสดีครับ เอ่อ...เรื่องของคุณเชษฐ์ ...ผมต้องขอโทษ”

“อุ๊ย! ลุกขึ้นมาเถอะลูก อย่าทำอย่างนั้น”

คุณเพียงมาศรีบรั้งไหล่ภัทรเมื่อเขาก้มลงไปกราบแทบเท้า แม้แต่เชษฐ์ที่อยู่บนเตียงก็ยังทำสีหน้าตกใจ ทว่าภัทรไม่ยอมลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทั้งที่หญิงสูงวัยพยายามจะดึงให้เขาขึ้นไปนั่งข้างๆ

“ผม...เป็นเพราะผมคุณเชษฐ์ถึงบาดเจ็บ ช่วงที่คุณเชษฐ์ยังไม่ฟื้นผมทำอะไรไม่ถูกเลย เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมเอง ผมขอโทษครับ”

เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาก่อนที่คนเจ็บจะฟื้น ภัทรก็หวนระลึกได้ว่าเขาทรมานใจมากแค่ไหนในช่วงไม่กี่วันนั้น ถ้าหากว่าผู้สูงวัยทั้งสองได้มาเยี่ยมตั้งแต่ก่อนที่คุณเชษฐ์จะรู้สึกตัว เขาอาจจะรู้สึกผิดบาปมากยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้

ชายหนุ่มนั่งบนพื้นและก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกผิด จึงไม่ได้เห็นว่าผู้สูงวัยทั้งสามรวมทั้งพี่สาวของเขามองหน้ากันด้วยแววตาแบบไหน ฝ่ายคนเจ็บที่อยู่บนเตียงจึงร้อนใจจนพยายามดันตัวขึ้นเพื่อลงจากเตียงเสียเอง

“รู้ตัวว่ายังไม่หายดีก็อยู่เฉยๆ แม่เขาเกือบจะเป็นลมไปรอบนึงแล้วตอนที่รู้ข่าว พ่อไม่อยากต้องอุ้มแม่แกไปนอนบนเตียงอีกคน”

คำสั่งห้ามจากผู้เป็นบิดาทำให้เชษฐ์ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็จำต้องทำตามเมื่อมารดาส่งยิ้มอย่างเข้าใจมาให้ คุณเพียงมาศก้มลงมองภัทรอีกครั้งก่อนจะยกมือลูบผมเบาๆ

“ยอมรับว่าตอนพ่อกับแม่ได้ยินเรื่องนี้จากคุณปรีชาก็ตกใจ แต่พวกเราคุยกันแล้วว่าคนผิดไม่ใช่ภัทรหรอกจ้ะ อีกอย่างตอนนี้เชษฐ์เขาก็ฟื้นแล้ว ภัทรก็อย่าโทษตัวเองอีกเลยลูก”

ลูก...ช่างเป็นคำที่ฟังแล้วอบอุ่นเหลือเกินจากคนที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ทว่ายิ่งได้รับความอ่อนโยนมากเท่าไหร่ ภัทรก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองต้องเป็นกังวลกันเรื่องของคุณเชษฐ์ถึงเพียงนั้น

เมื่อเห็นว่าภัทรยังนั่งนิ่งโดยไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น ทว่าขอบตากับปลายจมูกแดงเรื่อ คุณปรีชาก็มองหน้าผู้มีศักดิ์เป็นอาซึ่งอายุมากกว่าตัวเองเพียงไม่กี่ปีเขม็ง คุณชาญมองตอบก่อนจะย่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ทำในสิ่งที่ทำให้ทั้งภัทรและแพนตกใจด้วยการย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าภัทรและจับไหล่เขาเอาไว้

"ฟังนะภัทร พ่อกับแม่ไม่ได้คิดโทษภัทร ถึงจะไม่พอใจที่ตาเชษฐ์ถูกทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่พ่อกับแม่แยกแยะได้ว่าคนที่ทำผิดจริงๆ คือใคร เราน่ะเลิกคิดมากเถอะนะ"

เมื่อเอ่ยจบผู้สูงวัยก็รั้งไหล่เขาให้ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาข้างๆ ภรรยา จากนั้นตนก็นั่งลงประกบอีกด้าน มือที่เริ่มเหี่ยวย่นเล็กน้อยตามวัยยกขึ้นลูบผมของเขาอย่างอ่อนโยน ซึ่งทำให้ภัทรรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลอีกครั้ง

"ขอบคุณมากครับ"

ภัทรยกมือขึ้นไหว้บนไหล่ของผู้สูงวัยที่นั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของตนเอง จากนั้นก็เหลือบตามองไปทางคนเจ็บที่กำลังมองเขาอยู่และยิ้มน้อยๆ ให้ เมื่อได้พบกับบุพการีของอีกฝ่าย เขาก็ไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมคุณเชษฐ์ถึงเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง และพร้อมจะมอบความรักให้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไขได้ถึงขนาดนี้

เป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ได้รับความรักอันเปี่ยมล้นและกำลังใจอันมากมายจากคู่ชายหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาในเวลานี้นี่เอง...

คุณปรีชาระบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าอึดอัดเริ่มผ่อนคลายลง ท่านประธานเหลือบมองคนเจ็บบนเตียงก่อนจะหันกลับมาสบตากับคุณชาญที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆ ภัทรอีกครั้ง

"เอาล่ะ ไหนๆ ก็มีโอกาสได้คุยกันพร้อมหน้าทุกคนแล้ว ตกลงพี่ชาญตั้งใจว่ายังไงกับคนที่ทำให้เชษฐ์เข้าโรงพยาบาลครับ?"

สีหน้าของคนถูกถามขรึมลงทันที ทว่าประกายในแววตาดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่นอนอยู่แล้ว ตาเชษฐ์เจ็บตัวถึงขนาดนี้ ยังไงไอ้คนที่ทำก็ต้องรับผิดชอบ"

"ผมเห็นด้วยกับพี่ชาญ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่รอพี่กับคุณมาศมาถึงเมืองไทยก่อนจะได้มั่นใจว่าเห็นตรงกัน ภัทร...รบกวนช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นอีกทีได้ไหม? เพราะฉันก็ได้ฟังมาจากนินนาทอีกทอดหนึ่ง ยังไงก็คงไม่ละเอียดเท่ากับถามเธอที่อยู่ในเหตุการณ์เอง"

ภัทรหน้าตื่นเมื่อคุณปรีชาหันมาถาม เขาชำเลืองมองคุณเชษฐ์ก็พบว่ากำลังทำสีหน้าที่อ่านไม่ออก แต่เมื่อเหลือบไปมองแพนก็เห็นพี่สาวพยักหน้าให้ คุณเพียงมาศเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาจึงดึงมือไปบีบเบาๆ

"เล่าให้พวกแม่ฟังหน่อยเถอะนะภัทร เราจะได้ไปปรึกษาทนายต่อได้ถูกต้องนะจ๊ะ"

น้ำเสียงและแววตาอ้อนวอนของหญิงสูงวัยมีน้ำหนักจนใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ดังนั้นต่อให้ไม่อยากนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้นมากเพียงใด ภัทรก็จำต้องรวบรวมสติและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังไปตามตรง



++------++



เมื่อพระจันทร์ทอแสงนวลบนกึ่งกลางม่านฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ความสงบเงียบก็กลับมาเยือนห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง หลังจากทุกคนกลับไปได้พักใหญ่เพราะหมดเวลาเข้าเยี่ยม ในห้องพักวีไอพีเวลานี้จึงเหลือเพียงคนเจ็บที่กำลังเอนหลังดูข่าวโทรทัศน์อยู่บนเตียง กับคนเฝ้าที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำเท่านั้น

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงวอร์มขายาว ภัทรก็ใช้ผ้าขนหนูซับผมที่เพิ่งสระและยังหมาดอยู่หน้ากระจก หลังจากวันอันแสนยาวนานจบลง ตอนนี้เขาก็ไม่นึกอยากทำอะไรนอกจากพักผ่อนเช่นกัน

"ภัทร..."

"อ๊ะ ครับ"

ชายหนุ่มรีบเดินออกจากห้องน้ำไปตามเสียงเรียก ถึงแม้เชษฐ์จะรู้สึกตัวแล้วและไม่ปรากฏอาการข้างเคียงที่น่าเป็นห่วงหลังจากส่งตรวจร่างกายอีกครั้งเมื่อตอนบ่าย แต่แพทย์ก็ยังขอให้นอนที่โรงพยาบาลต่ออีกสองคืนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอาการแทรกซ้อนจริงๆ

"ขอโทษที อาบน้ำเสร็จรึยัง?"

"เสร็จแล้วครับ พอดียังเช็ดผมไม่แห้งก็เลยใช้เวลานานไปหน่อย"

ภัทรเอ่ยพลางยกเหล็กกั้นขอบเตียงลงเพื่อจะได้ขึ้นไปนั่งข้างๆ คนเจ็บ เวลานี้นอกจากผ้าพันแผลบนศีรษะกับชุดคนไข้ของโรงพยาบาล คนที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ก็ไม่มีอาการใดที่น่าวิตกกังวลอีก และภัทรก็โล่งอกเหลือเกินที่เป็นเช่นนั้น

"อืม...ยังไม่แห้งจริงๆ ด้วย"

เชษฐ์ยกมือขึ้นลูบเรือนผมที่ยังชื้นเล็กน้อยของภัทรเบาๆ ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วต่อไปยังผิวแก้มที่เนียนลื่นหลังจากเพิ่งอาบน้ำ ภัทรหลับตาลงเมื่อปลายนิ้วนั้นค่อยเลื่อนขึ้นสัมผัสส่วนอื่นบนใบหน้า ไม่ว่าจะเปลือกตา จมูก หรือว่าหน้าผาก นัยน์ตาเรียวเปิดขึ้นช้าๆ เมื่อสุดท้ายปลายนิ้วนั้นหยุดนิ่งอยู่บนริมฝีปากของเขา และได้พบว่านัยน์ตาคมเข้มจับจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว

"...เมื่อตอนบ่ายขอโทษด้วยนะ ที่พ่อกับแม่ฉันถามถึงเรื่องนั้น"

ภัทรรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน จึงส่ายหน้าพลางจับมือข้างที่อ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากให้แนบแก้มตัวเองไว้

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าไม่ถูกซักต่างหากถึงจะแปลก อีกอย่างตอนนี้ผมพูดถึงเรื่องนั้นได้โดยไม่เป็นไรแล้วล่ะ คุณเชษฐ์ปลอดภัยแล้วนี่นา"

เขายิ้มน้อยๆ พลางหวนนึกไปถึงเมื่อตอนบ่ายที่คุณชาญกับคุณเพียงมาศขอให้เล่าเรื่องในคืนที่คุณเชษฐ์ถูกทำร้ายอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงแม้จะยังลมหายใจติดขัดเมื่อต้องคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ภัทรก็พบว่าเมื่อได้เริ่มเล่าแล้ว เขาก็ไม่อึดอัดมากเท่าที่หวั่นกลัวในตอนแรก

เชษฐ์มองรอยยิ้มบนมุมปากของภัทรโดยไม่ได้ยกมือออก ทว่านัยน์ตาคมเข้มขรึมลงเล็กน้อย "แล้วถ้าฉันถามแค่ความเห็นเธอล่ะ อยากให้เอาเรื่องกับหมอนั่นหรือเปล่า?"

"เอ๊ะ?"

ภัทรเลิกคิ้ว แต่เมื่อเห็นคนถามยังจ้องเขานิ่ง ชายหนุ่มก็หลุบตาลงนิดหนึ่ง

"...ถึงผมจะไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม...เขา...ถึงทำแบบนั้นในคืนนั้น แต่ใครทำอะไรไว้ก็สมควรได้รับผลที่ตามมาครับ"

ถึงแม้จะรู้ดีว่าคืนนั้นธราธรก็โดนเล่นงานปางตายเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณเชษฐ์โดนกระทำแล้ว ภัทรก็ไม่อาจทำตัวเป็นกลางแล้วนำทั้งสองเรื่องมาหักล้างกันได้ เพราะเขาย่อมจะลำเอียงเข้าข้างคนที่เขารักมากกว่าอยู่แล้ว

นี่ยังดีว่าคุณเชษฐ์ฟื้นและไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ...

แค่นึกถึงฝันร้ายเมื่อเช้าภัทรก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว เชษฐ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นไหล่ผอมสั่น แต่ยังไม่ทันถามว่าเป็นอะไร ภัทรก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาก่อน

"คุณเชษฐ์...คืนนี้ผมขอนอนข้างๆ เหมือนเมื่อกลางวันได้ไหมครับ?"

ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วแต่ไม่ได้ตอบในทันที และนั่นทำให้ภัทรรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมากับคำขอเหมือนเด็กๆ ของตัวเอง "คือ...ถ้าคุณเชษฐ์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ ผมนอนที่โซฟาข้างๆ นี่ก็ได้"

"เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่สะดวก จะรีบไปไหน?"

มือแข็งแรงรั้งศอกของคนที่กำลังจะลงจากเตียงได้ทัน เมื่อภัทรหันกลับไปเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนตัวใหญ่กว่าก็ให้เก้อเขินยิ่งขึ้นจนต้องหลบตา

"ถ้างั้น...ขอผมไปเช็ดผมให้เสร็จแล้วปิดไฟก่อน คุณเชษฐ์ดูข่าวไปก่อนก็ได้ครับ"

ร่างสูงใหญ่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือ ฝ่ายภัทรได้แต่รีบลุกหนีเข้าห้องน้ำแล้วจัดการธุระส่วนตัวต่อให้เสร็จ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังจากที่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองไปแล้ว และความวิตกกังวลถูกขจัดจากหัวใจ ตอนนี้เขายิ่งขัดเขินยามถูกหยอกเย้าจากคุณเชษฐ์มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

แต่ขณะเดียวกัน...มันก็เป็นความรู้สึกที่ทำให้ในอกอบอุ่นไม่น้อยเลย...

หลังจากเช็ดผมจนค่อนข้างแห้ง ภัทรก็ออกจากห้องน้ำมาปิดไฟในห้อง ทิ้งไว้เพียงแสงไฟสีส้มอ่อนเหนือประตูทางเข้า ฝ่ายเชษฐ์ก็ปิดโทรทัศน์แล้วขยับที่ให้ภัทรได้ขึ้นนอนข้างๆ เหมือนเมื่อกลางวัน หลังจากดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวทั้งคู่และต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่ ภัทรก็เงยหน้าขึ้นถามเชษฐ์อีกครั้ง

"ผมมาเบียดแบบนี้คุณเชษฐ์ไม่นอนลำบากจริงๆ นะครับ?"

ถึงแม้ตัวเองจะเป็นคนขอ กระนั้นเขาก็ยังเกรงใจ เพราะถึงอย่างไรความสบายตัวของคนเจ็บก็ควรจะมาก่อนความต้องการอันไร้เหตุผลของเขา ทว่าเชษฐ์เพียงยิ้มแล้วส่ายหน้า

"ไม่หรอก อีกอย่างถ้าไม่ทำแบบนี้เธอจะนอนไม่หลับสินะ"

ภัทรเลิกคิ้วด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ จริงอยู่ว่าคุณหมอยืนยันแล้วว่าคนเจ็บไม่มีอาการแทรกซ้อนที่น่าเป็นห่วง ทว่าภัทรก็มั่นใจว่าถ้าหากไม่ได้คอยอยู่ข้างๆ จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นและเสียงลมหายใจ เขาคงกระวนกระวายจนนอนไม่หลับต่อให้โซฟานุ่มสบายเพียงไรแน่ๆ

"ครับ..."

ภัทรตอบเสียงเบาพลางซุกเข้าหาไหล่หนามากขึ้น แต่ยังไม่ทันจะปิดเปลือกตาลงก็ถูกมือใหญ่เชยคางให้เงยขึ้น

"จะว่าไป เมื่อเช้านี้ฉันได้ยินอะไรบางอย่างตอนที่ฉันเพิ่งตื่นนะ"

ภัทรกะพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าตัวเองเอาแต่ร้องไห้ตอนที่คุณเชษฐ์ยังไม่ฟื้น พอเห็นแววตาแสดงความงุนงง ผู้สูงวัยกว่าจึงขยับหน้าเข้าใกล้มากขึ้นจนภัทรรู้สึกถึงลมหายใจที่ระบนปลายจมูก

"ฉันได้ยินใครบางคนพูดว่า 'ถ้าอยากได้ยินคำว่ารัก ผมจะพูดให้ฟังทุกวัน' ช่วยบอกหน่อยสิว่านั่นฉันฝันไปหรือว่ามีใครพูดแบบนั้นจริงๆ"

"นั่นมัน..."

ภัทรไม่อยากเชื่อว่าคุณเชษฐ์จะจำได้ทั้งที่ตอนนั้นเจ้าตัวยังไม่ฟื้นคืนสติเต็มร้อย เพราะเมื่อเช้าเขาเอาแต่ฟูมฟายจนพร่ำความในใจทุกอย่างออกมาโดยไม่ทันคิด จึงแทบลืมไปหมดแล้วว่าหลุดคำพูดอะไรไปบ้างด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มมองเข้าไปในแววตาคมเข้มที่กำลังสบประสาน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะผ่านเหตุการณ์ชวนขวัญผวามาด้วยกัน เขาคงนึกว่าคุณเชษฐ์แกล้งบาดเจ็บเพื่อลองใจไปแล้วแน่ๆ

"...คุณเชษฐ์อยากให้ผมพูดตอนนี้เหรอครับ?"

เขาถามทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากประวิงเวลาอีกสักหน่อย เผื่อว่าความรู้สึกร้อนวูบวาบบนผิวหน้าจะลดน้อยลงกว่านี้บ้าง นัยน์ตาของคนเจ็บจึงเป็นประกายขณะดึงปลายนิ้วของภัทรขึ้นไปแตะริมฝีปากตัวเอง

"อยากให้พูดทุกวันเลยล่ะ"

เรียวลิ้นอุ่นที่แลบออกมาเลียปลายนิ้วซึ่งตัดเล็บสั้นหมดจดเบาๆ ทำเอาภัทรสะดุ้งจนเกือบชักมือหนี แต่ก็รู้ว่าตัวเองจนแต้มแล้ว อีกอย่างเขาก็เป็นคนลั่นวาจาออกไปเอง หากกลับคำตอนนี้คงทำให้กลายเป็นคนโลเลไม่หนักแน่นแน่ๆ

แต่ว่า...มันอาจพูดง่ายกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะโดนคุณเชษฐ์จ้องเสียใกล้ด้วยแววตาวิบวับขนาดนี้กระมัง...

"เอ่อ...ผม..."

"หืมม์?"

ภัทรเม้มปากด้วยรู้ว่ากำลังโดนแกล้ง แต่จะไม่ให้เขินได้ยังไง ก็ตอนที่พูดเวลาคุณเชษฐ์ยังไม่รู้สึกตัวดีกับตอนที่ตั้งใจรอฟังซะขนาดนี้มันไม่เหมือนกันนี่นา

"อย่าแกล้งผมสิครับ"

ภัทรหน้าร้อนซู่เมื่อปลายนิ้วก้อยโดนคนที่จับมือไว้ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ แถมเจ้าตัวยังทำท่าจะทำแบบเดียวกันกับนิ้วอื่นอีก เชษฐ์จึงยิ้มก่อนจะปล่อยนิ้วนั้นให้เป็นอิสระจากริมฝีปาก

"ไม่ได้แกล้ง แต่เธอไม่พูดสักที ฉันก็ต้องฆ่าเวลาระหว่างรอสิ"

นี่เป็นคำพูดของคนเจ็บที่กำลังพักฟื้นจริงๆ เหรอเนี่ย!

ภัทรแทบอยากไปถามคุณหมอให้รู้แล้วรู้รอดว่าคนไข้ไม่ได้สมองกระทบกระเทือนจริงๆ หรือ เพราะนิสัยชอบแกล้งชอบแหย่ของอีกฝ่ายดูเหมือนจะหนักข้อยิ่งกว่าก่อนเข้าโรงพยาบาลเสียอีก แต่ตอนนี้จะลุกไปถามหมอก็คงไม่ได้ จึงทำได้เพียงข่มความอายก่อนที่จะโดนแกล้งหนักไปกว่านี้

"ผมรักคุณเชษฐ์ครับ"

ชายหนุ่มพูดรัวจนลิ้นพันกันเพราะคนฟังเล่นไม่ขบนิ้วอย่างเดียวแต่ดูดเบาๆ ด้วย สัมผัสอุ่นชื้นจากช่องปากที่ห่อหุ้มปลายนิ้วเอาไว้ปลุกเร้าปลายประสาทจนสมองแทบจะหยุดทำงานเสียดื้อๆ

"ไม่เอา พูดให้ชัดถ้อยชัดคำกว่านี้สิ"

น้ำเสียงหยอกเย้าทำให้ภัทรรู้สึกเหมือนผิวหน้ากำลังโดนไฟอังจนร้อนไม่หยุด พอพยายามจะดึงมือกลับก็ยิ่งโดนยึดไว้แน่นกว่าเดิม ชายหนุ่มเม้มปากขณะเหลือบตาขึ้น ทว่าเมื่อได้เห็นความคาดหวังที่ซ่อนอยู่หลังประกายตาซุกซน ความเข้าใจก็วาบขึ้นในอกทันที

ถ้าหากเขายังมัวแต่เขินอาย ไม่พูดตอนที่คุณเชษฐ์ยังอยู่ตรงหน้า ยังหายใจและมีเลือดเนื้อให้สัมผัสจับต้องได้เช่นนี้ จะมีเวลาไหนที่เหมาะสมให้เขาได้บอกความในใจอีกหรือ...

ภัทรเลื่อนมือข้างที่ไม่ได้ถูกจับไว้ขึ้นประคองใบหน้าของคนที่กำลังทอดกายเคียงข้าง นัยน์ตาที่กำลังมองเขาอยู่ฉายประกายลึกล้ำมากขึ้นจนภัทรถอนสายตาไม่ได้ และเขาก็พบว่าตนยินดีจะถูกแววตาเช่นนี้ดึงดูดไม่ว่าจะอีกนานเพียงใดก็ตาม

"ผม...รักคุณเชษฐ์ครับ รักมากที่สุด"

เสียงที่หลุดจากริมฝีปากแผ่วเบาทว่าหนักแน่น และคนฟังก็ไม่ได้เรียกร้องขอฟังซ้ำเมื่อภัทรเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากของเจ้าตัวก่อน มือใหญ่ที่เมื่อครู่ยึดมือของเขาไว้ได้เลื่อนลงไปโอบรอบเอวของภัทรแทน ร่างทั้งสองบดเบียดจนภัทรรับรู้ได้ถึงแรงเต้นของหัวใจผ่านแผ่นอกที่แนบชิด และเขาก็มั่นใจว่าหัวใจของตนก็กำลังเต้นแรงจนถ่ายทอดไปถึงร่างสูงใหญ่เช่นเดียวกัน

ริมฝีปากและปลายลิ้นฉ่ำที่เกี่ยวกระหวัดก่อให้เกิดเสียงแผ่วเบาชวนวาบหวามภายในห้องที่เงียบสงัด ท่ามกลางความมึนเมาจากไออุ่นและกลิ่นกายที่กำลังโอบล้อม ภัทรรู้สึกราวตัวเองกำลังตกลงไปในหล่มลึกที่ไม่มีวันจะปีนกลับขึ้นมาได้ แต่เขาก็ไม่หวาดกลัวเพราะรู้ดีว่าใครคนหนึ่งพร้อมจะจับจูงมือไปตลอดทางที่ทอดยาวไปจากหล่มนั้น

คุณเชษฐ์...คือคนที่มอบความมั่นใจนั้นให้แก่เขานั่นเอง...



++------++



เช้าวันต่อมา ภัทรรีบตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนที่นางพยาบาลจะมาตรวจวัดไข้ให้คนเจ็บ เขาลงไปตักบาตรที่ด้านข้างโรงพยาบาล จากนั้นก็ซื้อขนมและผลไม้ที่คุณเชษฐ์น่าจะทานได้กลับมาที่ห้อง แต่พอเปิดประตูเข้าไปก็รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นหายไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะว่าบนเตียงว่างเปล่า ไม่ต่างจากที่เขาฝันร้ายเมื่อวานเลยสักนิด

"คุณเชษฐ์!"

"อยู่นี่"

เสียงตอบที่ดังมาจากทางห้องน้ำทำให้ภัทรระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เขารีบวางถุงข้าวของที่ซื้อมาแล้วเดินตามไปในห้องน้ำ และพบว่าคนเจ็บกำลังยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก

"ถ้าจะลุก ทำไมไม่รอให้ผมกลับมาก่อนล่ะครับ"

รู้ว่าไม่ควรแสดงอารมณ์ แต่สีหน้าของภัทรคงบ่งบอกอะไรบางอย่างออกไป เชษฐ์จึงหันมามองแล้วหัวเราะน้อยๆ หลังจากล้างหน้าและซับน้ำด้วยผ้าขนหนูแล้ว

"ขอโทษที เอาแต่นั่งๆ นอนๆ บนเตียงมาหลายวันก็เลยอยากลุกเดินบ้าง ฉันไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาตอนไหนก็เลยไม่ได้รอ แล้วนี่กินข้าวเช้ามาหรือยัง?"

เชษฐ์ไม่ได้บอกเขาว่า 'อย่างอน' แต่ใช้วิธีง้อด้วยการขอโทษและถามถึงเรื่องอื่นแทน ภัทรจึงพยายามระงับอารมณ์เพราะรู้ดีว่าช่วงนี้ตนอ่อนไหวเกินไปแล้ว เขารับมือข้างที่ไม่ได้เสียบสายน้ำเกลือของเชษฐ์มากุมขณะเดินเคียงข้างช้าๆ กลับไปที่เตียง

"ยังครับ ผมซื้อมาจะได้นั่งกินเป็นเพื่อนคุณเชษฐ์บนห้องได้ เมื่อกี้เห็นแม่บ้านกำลังเข็นรถเข็นอาหารอยู่ อีกสักพักคงมาถึงห้องเรา"

"อืม"

ภัทรช่วยคลี่ผ้าห่มคลุมท่อนล่างให้หลังจากร่างสูงใหญ่ขึ้นนั่งบนเตียง เขาช่วยปรับหัวเตียงให้เอนขึ้นและเอาหมอนซ้อนเพื่อให้คนเจ็บได้นั่งพิงสบายๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกังวล

"เอ่อ...ผมทำให้คุณเชษฐ์รำคาญหรือเปล่าครับ?"

"หือ? ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ?"

สีหน้าของคนถามแสดงออกว่าแปลกใจกับคำถามของเขาจริงๆ ภัทรจึงหลุบตาลง

"คือ...ผมก็ไม่เคยเฝ้าคนเจ็บในโรงพยาบาลมาก่อน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรแค่ไหนถึงจะไม่มากเกินไป อย่างเมื่อกี้ผมก็ตกใจที่คุณเชษฐ์ไม่อยู่ที่เตียง ก็เลย...ลืมไปว่าคุณเชษฐ์อาจไม่ชอบที่ทำด้วยเหมือนเป็นคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ได้"

ที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องก็เพราะฝันร้ายเมื่อวานยังติดตา ภัทรเลยกลายเป็นคนตื่นตกใจง่ายไปโดยปริยาย ท่าทางหงอยๆ ของเขาทำให้เชษฐ์ต้องดึงมือข้างหนึ่งไปกุมแล้วก็บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

"ไม่เป็นไรหรอก ฉันดีใจเสียอีกที่เธอเป็นห่วง แค่ต้องเป็นคนที่พาฉันมาส่งโรงพยาบาล แล้วยังต้องมาเห็นฉันหลับไม่ตื่นอีกสามวันเต็มๆ ถ้าหากสลับที่กันแล้วฉันเป็นคนที่ต้องมาเฝ้าเธอ ตอนนี้ฉันอาจจะคลั่งไปแล้วก็ได้"

ภัทรเหลือบมองรอยยิ้มของคนพูดแล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ตอบ กระนั้นสัญชาตญาณก็บอกเขาว่าเหตุการณ์นั้นไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะถ้าหากเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นในคืนนั้นอีกสักกี่ครั้ง คุณเชษฐ์ก็คงจะเอาตัวเข้ามาป้องกันเขาไว้เพื่อไม่ให้เป็นอะไรอยู่ดี

ความเชื่อมั่นที่ถูกมอบให้กับคนตรงหน้าจนหมดใจ ทำให้ภัทรไม่สงสัยกับสมมติฐานนั้นเลยสักนิดเดียว

ไม่นานนักแม่บ้านก็นำอาหารเช้ามาส่งที่ห้อง ภัทรเลื่อนโต๊ะสำหรับทานอาหารมาให้คนเจ็บแล้วก็ช่วยจัดเรียงอาหารในถาดให้ ระหว่างที่ทั้งสองนั่งทานมื้อเช้ากันไปและดูข่าวในโทรทัศน์ไปพลางก็มีเสียงเคาะประตูสองครั้งก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก

ภัทรวางแก้วน้ำเต้าหู้ที่ยังดื่มไม่หมดลงและยืนขึ้นเพราะนึกว่าคงเป็นพ่อกับแม่ของคุณเชษฐ์ แต่ผิดคาดที่ผู้ซึ่งยืนอยู่หน้าประตูกลับเป็นหญิงสาวไม่คุ้นหน้าคนหนึ่ง แต่เมื่อตั้งใจมองดีๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“คุณ...?”

ถึงแม้จะเคยพบอย่างผิวเผินเพียงสองหรือสามครั้ง ภัทรก็มั่นใจว่าตนไม่มีทางจำผิด ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่แปลกใจเช่นกันที่เขาแสดงออกว่าคุ้นหน้าเธอทั้งที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนสักคำ

“สวัสดีค่ะ คุณภัทร คุณเชษฐ์ เขมมีเรื่องอยากคุยด้วยค่ะ”



++---tbc---++



A/N: เข็นตอนใหม่ออกมาได้ทันวันคริสต์มาสพอดี ขอถือโอกาสนี้อวยพรวันหยุดปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงให้ทุกคนไปพร้อมๆ กันเลยนะคะ ขอให้ประสบพบเจอแต่เรื่องดีๆ สมหวังทุกเรื่องที่ตั้งใจไว้ค่ะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะค้า




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2555    
Last Update : 24 ธันวาคม 2555 22:04:22 น.
Counter : 1349 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 19

แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 19.


นี่กี่โมงแล้วนะ...

ภัทรรู้สึกเหมือนตัวเองเผลอสัปหงกไป แต่ทันทีที่รู้ตัวก็รีบสะบัดหน้าแล้วยืดตัวตรง ที่ที่เขานั่งอยู่ยังคงเป็นเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยเช่นเดียวกับเมื่อหัวค่ำ นัยน์ตาเรียวเพ่งมองคนที่นอนหลับภายใต้แสงสลัวสีเหลืองส้มจากหน้าประตู เสียงหายใจสม่ำเสมอที่ได้ยินช่วยบรรเทาความกระวนกระวายให้ลดลง กระนั้นความจริงที่ว่าเชษฐ์ยังไม่ฟื้นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนในอกเว้าแหว่งราวกับโดนมีดกรีด

ประตูห้องที่ถูกเปิดแง้มวูบหนึ่งทำให้ภัทรต้องหยีตากับแสงไฟนีออนจากด้านนอก ก่อนที่นางพยาบาลสาวคุ้นหน้าจะเดินเข้ามาข้างเตียง เธอพยักหน้าทักทายเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภัทรยังไม่หลับ

ความอ่อนล้าทำให้ภัทรเพียงแต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ขณะอีกฝ่ายวัดความดันและอุณหภูมิให้คนไข้ พอเธอเก็บอุปกรณ์หลังทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็หันมาถามเขา

"คนไข้รู้สึกตัวบ้างหรือยังคะ?"

คำถามนั้นทำให้ภัทรเบนสายตาไปยังคนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเม้มปากเบาๆ และส่ายหน้า "ยังครับ"

"เหรอคะ เอ ถ้างั้นญาติไปนอนพักที่เตียงก่อนก็ได้นะคะ จะได้ไม่ปวดหลัง"

นางพยาบาลเอ่ยแนะนำอย่างใส่ใจ เพราะตลอดทั้งวันเธอเดินเข้ามาวัดไข้ให้คนป่วยไปหลายครั้งแล้ว และพบว่ามากี่ครั้งก็ยังเห็นภัทรนั่งอยู่ที่เดิม

"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก"

ภัทรปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มที่แฝงความอิดโรย ทว่านางพยาบาลก็ไม่ได้จู้จี้อีก เธอเพียงพยักหน้าและเดินออกจากห้องไป

ทิ้งให้ภายในห้องพักผู้ป่วยถูกคลี่คลุมด้วยความเงียบงันเช่นเดิม

ภัทรยกมือขึ้นขยี้ตาที่อ่อนล้าเต็มที ร่างกายเขาเรียกร้องการพักผ่อน แต่สมองกลับพยายามขัดขืน เขาไม่อยากเอนตัวลงนอนเพราะกลัวจะเผลอหลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงหากคุณเชษฐ์ตื่นขึ้นและต้องการความช่วยเหลือ จึงได้แต่พยายามฝืนร่างกายเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

ชายหนุ่มประคองมือใหญ่มากุมไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้างอีกครั้ง มีเพียงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาเท่านั้นที่จะทำให้วางใจได้ว่าคุณเชษฐ์ยังอยู่กับเขา และเพียงแต่รอเวลาที่ร่างกายหายอ่อนล้า ก็จะลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มและเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย เพียงแต่นี่ยังไม่ถึงเวลา

สิ่งที่ภัทรพอจะทำได้ในระหว่างนี้ จึงเป็นการรออย่างมีความหวังโดยไม่ท้อแท้ไปก่อนเท่านั้นเอง....


++------++


เสียง 'ตุ้บ' เบาๆ ทำให้ภัทรสะดุ้งตื่น เขากะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าครั้งนี้เผลอหลับไปจริงๆ ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นและใช้ข้อนิ้วพยายามนวดขมับเพื่อคลายอาการปวดมึนเนื่องจากการนอนไม่พอ นัยน์ตาเรียวค่อยปรือขึ้นช้าๆ ขณะมองไปทางหัวเตียงว่าคุณเชษฐ์รู้สึกตัวตื่นหรือยัง

ทว่าความว่างเปล่าที่เห็นก็ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น

"คุณเชษฐ์!?"

ภัทรตาสว่างทันควัน เขาลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วก็ต้องรีบคว้าขอบเตียงเอาไว้เพราะหน้ามืด ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกจนกระทั่งพื้นห้องหยุดหมุน จากนั้นก็รีบเดินหาทั่วห้องพักผู้ป่วย

"คุณเชษฐ์ อยู่ไหนครับ อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า?"

ร่างผอมเพรียวเดินไปเปิดประตูห้องน้ำก็ไม่พบใคร เขาจึงเปิดไฟทุกดวงในห้องเพื่อจะได้เห็นได้ถนัด ทว่าไม่ว่าจะเดินไปมุมใดก็ไม่เจอร่างสูงใหญ่อันคุ้นตาเลย

คุณเชษฐ์ไปไหน...

ความวิตกกังวลแผ่พุ่งจนภัทรแน่นหน้าอก เขารีบเปิดประตูออกไปนอกห้องพักผู้ป่วยทันที แสงสว่างจ้าที่ส่องผ่านระเบียงเข้ามาทำให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว

"ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเห็นผู้ป่วยห้อง 842 เดินออกมาหรือเปล่าครับ?"

นางพยาบาลที่ถูกถามหันไปมองเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กันที่วอร์ดแล้วก็ส่ายหน้า คำตอบที่ได้ทำให้ภัทรสูดหายใจแรง ในอกร้อนรนจนต้องรีบวิ่งออกจากบริเวณนั้นเพื่อไปตามหาคนที่หาย

คุณเชษฐ์อยู่ไหน อาการคุณเชษฐ์ยังไม่พร้อมจะออกมาเดินข้างนอกตอนนี้สักหน่อย...

ภัทรคิดขณะวิ่งลงบันไดจนเกือบชนคนไข้สูงอายุที่มีญาติพยุงขึ้นมา เขารีบก้มหัวขอโทษแล้ววิ่งลงจากอาคารต่อ ทุกคนที่เห็นเขาต่างก็หันมามองด้วยแววตาตำหนิเพราะในโรงพยาบาลห้ามวิ่งหรือส่งเสียงดัง ทว่าภัทรไม่สนใจเพราะตอนนี้ใจเขาจดจ่ออยู่แต่การมองหาร่างสูงใหญ่ที่มีผ้าพันศีรษะเท่านั้น

"คุณเชษฐ์....อยู่ไหนครับ..."

ภัทรหอบหายใจแรงเมื่อวิ่งไปแทบทั่วโรงพยาบาลก็ไม่เจอคนที่ตามหา เขาถามนางพยาบาลหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ไม่มีใครตอบได้ ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ซึมบนหน้าผากพลางเอามือหนึ่งกุมสีข้างเนื่องจากวิ่งไปมาจนจุก

ไม่เอานะ...ความรู้สึกแบบนี้...ไม่อยากสัมผัสความรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียคุณเชษฐ์ไปแบบนี้อีกแล้ว...

ภาพเหตุการณ์ในคืนอันโหดร้ายก่อนที่พวกเขาจะมาโรงพยาบาลย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ภัทรรู้สึกว่าเหงื่อเย็นๆ ไหลโซมกายมากขึ้นจนเสื้อแนบกับแผ่นหลัง แล้วก็ได้แต่สะบัดหน้าและลองย้อนไปตามทางที่คิดว่าตนยังไม่ได้ผ่านอีกครั้ง

ขอร้องล่ะ...คุณอยู่ไหน...

ภัทรรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเงาผู้ชายในชุดคนไข้กำลังเดินเลี้ยวเข้าไปในทางเชื่อมระหว่างอาคาร เขาจึงรีบออกวิ่งไปทางนั้นเพราะรู้สึกว่ารูปร่างของอีกฝ่ายคุ้นตาเหลือเกิน

ทางเดินในโรงพยาบาลวกวนกว่าที่คิด เมื่อภัทรคิดว่าจะตามทันและเห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นแวบๆ อีกฝ่ายกลับเดินเลี้ยวไปตามทางเดินแคบๆ ที่เมื่อเขาเดินตามไปก็คลาดกันอีก พอได้ยินเสียงฝีเท้าที่คิดว่าน่าจะใช่จากอีกด้าน ภัทรก็ข่มความเหนื่อยอ่อนและรีบวิ่งตามไปทางนั้นอีกครั้ง

ทว่าไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไหร่ เขากลับยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเขาวงกตของอาคารร้างที่ไร้ผู้คนเข้าไปทุกที ไม่มีหมอ นางพยาบาล หรือคนไข้เดินผ่านมาให้เห็นเลยสักคน

"คุณเชษฐ์...ขอร้องล่ะ ถ้าได้ยินเสียงผมก็กลับมาหาผมสิ จะทิ้งผมไปแบบนี้ไม่ได้นะ..."

ภัทรไม่อยากยอมแพ้ แต่ความเคว้งคว้างในอกก็ราวจะเป็นลางบอกเหตุว่าเขากำลังจะเสียคนที่รักที่สุดไป เพราะไม่ว่าพยายามจะไขว่คว้า วิ่งตามหาเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุดรอเลยสักนิด

ชายหนุ่มรู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างหนักจนไม่สามารถจะก้าวต่อได้อีกแม้เพียงก้าวเดียว เสียงฝีเท้าแผ่วๆ ที่ได้ยินอยู่ข้างหน้าเงียบหายไปแล้ว รอบตัวมีเพียงความเงียบงันราวกับทั้งตึกคืออาณาจักรที่ไร้สิ่งมีชีวิต

ไม่ว่าภัทรจะพยายามฝืนก้าวไปข้างหน้าสักเท่าไหร่ ทางเดินสีขาวอันเวิ้งว้างกลับยิ่งทอดยาวไม่สิ้นสุดเท่านั้น

คุณเชษฐ์...อย่าทิ้งผมไปแบบนี้...ผมไม่ยอม...

ความรู้สึกสิ้นหวังเอ่อล้นท่วมอกจนทำให้เขารู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ ภัทรกรีดร้องสุดเสียงด้วยความเศร้าโศกราวกับความมืดสีขาวได้กระชากหัวใจของเขาไปด้วย

"อ๊ะ!!"

ภัทรผวาตื่นจากความฝันอันน่ากลัวที่ราวจะสูบพลังชีวิตให้หมดไป ความหวาดหวั่นที่ตกค้างทำให้หัวไหล่สั่นสะท้าน อกกระเพื่อมแรงจนเหมือนหัวใจจะเต้นกระดอนออกมาข้างนอก ราวกับความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการวิ่งไล่ตามคุณเชษฐ์ในความฝันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ

ไม่เอา...ความฝันแบบนี้...เขาไม่ต้องการ...

น้ำตาเอ่อขึ้นบนขอบตาเมื่อภัทรเบนสายตาไปทางหัวเตียงและพบว่าคุณเชษฐ์ยังอยู่ แต่ว่าก็ยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกตัวเช่นเดิม ความเหนื่อยล้าทำให้เขาฟุบหน้าลงบนท่อนแขนที่ประสานกันบนขอบเตียง ความอ้างว้างอย่างรุนแรงไหลบ่าจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก

"ฮึก..."

ภัทรสะอื้นฮักจนแขนเสื้อเปียกไปด้วยน้ำตา ความเปล่าเปลี่ยวและเหนื่อยล้าถาโถมเข้ากระหน่ำจิตใจจนเหมือนกับว่าเขาสูญเสียหัวใจทั้งดวงไปแล้ว...สูญเสียคนที่สำคัญที่สุดจนไม่สามารถจะเรียกให้ฟื้นคืนกลับมาได้แล้วจริงๆ

ขอร้องล่ะ....ฟื้นขึ้นมาสิ...เขาต้องทำยังไง...ต้องใช้วิธีไหนคุณเชษฐ์ถึงจะรู้สึกตัวเสียที...

"ผมขอร้องล่ะ ฟื้นขึ้นมาเถอะ ต่อไปนี้ผมจะไม่ขัดใจอีกแล้วไม่ว่าคุณเชษฐ์จะขออะไร ถ้าอยากได้ยินคำว่ารักผมก็จะพูดให้ฟังทุกวัน จะไม่ดื้ออีกแล้วด้วย เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้น..."

...อย่าทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็นเพราะทำให้คนที่รักกลายเป็นแบบนี้อีกเลย...

ชายหนุ่มสะอื้นอย่างรุนแรงจนเกือบหายใจไม่ออก มือที่ยังเป็นแผลทั้งสองข้างกำผ้าปูเตียงแน่นจนแทบจะจิกเล็บลงในแผลที่เริ่มสมานตัว ทว่าความเจ็บนั้นเทียบไม่ได้แม้แต่น้อยกับความเจ็บร้าวในอกเพราะความรู้สึกเสียใจในยามนี้

สู้ให้เขาเป็นคนที่ถูกฟาดหัวจนบาดเจ็บ ยังดีกว่าต้องมานั่งดูคุณเชษฐ์เป็นแบบนี้เพราะปกป้องตัวเองไว้...


++------++


"...."

ปลายนิ้วใหญ่กระตุกโดยที่ภัทรไม่ทันสังเกต การหลั่งน้ำตาสะอึกสะอื้นทำให้เขารับรู้ได้แต่แรงสั่นจากร่างกายของตัวเอง จึงไม่ได้สังเกตเลยว่านัยน์ตาคมเข้มคู่หนึ่งค่อยๆ ปรือขึ้น และกำลังกลอกตามองไปรอบห้องอย่างเชื่องช้า

เสียงนกกระจอกดังแว่วมาจากด้านนอก แต่หน้าต่างที่ถูกรูดม่านหนาทึบทำให้ในห้องสลัวจนยากจะแยกแยะว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน นัยน์ตาที่เฉียบคมเสมอจึงต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะทำความเข้าใจว่าตนอยู่ที่ไหน หลายนาทีผ่านไปก่อนที่แววตาคู่นั้นจะเลื่อนมาหยุดลงบนร่างที่กำลังฟุบหน้าร้องไห้จนปิ่มจะขาดใจอยู่ข้างเตียง

ในชั่ววูบแรก ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วด้วยยังไม่เข้าใจว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นใคร ความอ่อนเพลียทำให้เชษฐ์รู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้แต่เพียงว่าก่อนที่จะไม่ได้สติ เขามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องใครบางคนให้พ้นจากอันตราย แม้แต่ช่วงที่ไม่รู้สึกตัวตลอดไม่กี่วันที่ผ่านมา ในฝันก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องที่ชวนให้เจ็บปวดหัวใจจนอยากจะเข้าไปปลอบ ทว่ากลับไขว่คว้าตัวเจ้าของเสียงไม่ได้ไม่ว่าจะยื่นมือไปหาสักเท่าไหร่

ใครนะ? ชื่ออะไร...ทำไมจู่ๆ เขาถึงนึกเรื่องสำคัญแบบนี้ไม่ออก...

"อือ..."

เสียงที่ดังมาจากหัวเตียงนั้นแผ่วและแหบพร่า ทว่าก็ส่งผลให้เสียงสะอื้นไห้ของภัทรสะดุดลงทันใด ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอันเหนียวหนึบขณะที่เงยหน้าขึ้นด้วยใจระทึก และพบว่าเชษฐ์กำลังหลับตาขมวดคิ้วพลางใช้มือกดหน้าผากเหมือนเจ็บปวด

"คุณเชษฐ์! เป็นอะไรครับ!? เจ็บแผลเหรอ?"

ภาพที่เห็นกระตุ้นความเป็นห่วงให้กลบทับความยินดีที่คนเจ็บรู้สึกตัว ภัทรละล้าละลังขณะพยายามยื้อมือใหญ่ด้วยกลัวว่าเจ้าตัวจะดึงผ้าพันแผลออก เขาเคยได้ยินคุณหมอเตือนไว้ก่อนแล้วว่าคนไข้ที่เพิ่งรู้สึกตัวมีแนวโน้มจะอาละวาดหรือกระชากสายน้ำเกลือได้ แต่ก็ไม่ได้เตรียมรับสถานการณ์เพราะมัวแต่พะวงเรื่องที่คุณเชษฐ์ยังไม่ฟื้นท่าเดียว

"อืม...!"

"คุณเชษฐ์! อย่าแกะผ้านะครับ! เดี๋ยวแผลเปิดนะ!"

แม้อาการของคนบนเตียงจะไม่อาจเรียกว่าเข้าขั้นอาละวาด แต่สีหน้าที่แสดงอาการเจ็บปวด หงุดหงิดและสับสนก็ทำให้ภัทรถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน นัยน์ตาที่จ้องมายังเขาดูไม่ต่างจากแววตาที่ใช้ยามจ้องคนแปลกหน้า และนั่นทำให้ชายหนุ่มหนาวเยือกไปถึงหัวใจ

หรือว่า...ไม่จริง...คุณเชษฐ์จำเขาไม่ได้งั้นหรือ...

'อาการข้างเคียงจากการบาดเจ็บทางสมองมีหลายรูปแบบครับ บางทีสมองอาจกระทบกระเทือนจนทำให้เป็นอัมพฤกษ์ บางเคสเจ้าตัวก็อาจนิสัยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน เคสที่ความจำเสื่อมก็มี แต่ระยะสั้นหรือยาวก็ต่างกันไปในแต่ละคน แต่ก็บอกยากว่าคนไข้จะมีอาการพวกนี้หรือไม่ตราบใดที่ยังไม่รู้สึกตัว'

นั่นเป็นคำอธิบายจากหมอตอนที่พี่สาวของเขาถามเมื่อวานนี้ แต่ภัทรพยายามไม่คิดถึงความเป็นไปได้เหล่านั้น เพราะเขาเพียงต้องการให้คุณเชษฐ์ฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว

"คุณเชษฐ์...จำผมไม่ได้เหรอครับ?"

ภัทรถามอย่างหวาดหวั่น แต่แววตาที่ขมวดคิ้วจ้องเขากลับมาก็แทนคำตอบโดยไม่ต้องออกเสียง

มือที่พยายามยื้อมือใหญ่ให้ห่างแผลบนศีรษะอ่อนแรงลงในทันที น้ำตาที่เหือดแห้งเพราะความตกใจเมื่อครู่ไหลเอ่อขึ้นบนขอบตาอีกครั้ง นัยน์ตาสองคู่ประสานกันแน่วนิ่ง ทว่าเรียวคิ้วของคนเจ็บยังคงขมวดมุ่นเช่นเดิม ไม่มีประกายที่บ่งบอกว่าคุ้นเคยกับใบหน้าหรือน้ำเสียงของเขาแม้สักกระผีกริ้น

ไม่จริง...

ภัทรพูดอะไรไม่ออกอีก ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งลงบนหน้าด้วยความปวดร้าว ทำไมกัน...เขาเคยทำบาปอะไรไว้หรือถึงต้องโดนลงโทษเช่นนี้ นี่เป็นเพราะเขาเป็นสาเหตุให้คุณเชษฐ์ต้องบาดเจ็บใช่ไหม

"ฮึก..."

ชายหนุ่มปล่อยมือใหญ่ทั้งสองข้างแล้วโน้มตัวลงกอดร่างท่อนบนของคนเจ็บเอาไว้ ความหนึบหน่วงในอกทำให้ภัทรรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบดขยี้หัวใจ ทั้งที่คิดถึง อยากได้ยินเสียง พร้อมแล้วที่จะมอบความรักและหัวใจทั้งดวงให้ แต่สิ่งที่ได้รับคือการถูกลืมเลือนเช่นนี้อย่างนั้นหรือ

"คุณเชษฐ์...คุณเชษฐ์...คุณเชษฐ์"

เสียงสั่นเครือที่ดังข้างหูทำให้อาการฮึดฮัดของร่างสูงใหญ่สงบลง ลมหายใจซึ่งหอบถี่เมื่อครู่ค่อยๆ ชะลอลงเป็นจังหวะปกติ เขารับรู้ได้ถึงน้ำตาที่หยดอยู่ข้างแก้ม เช่นเดียวกับความอบอุ่นจากร่างที่คร่อมทับซึ่งสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้น

ร้องไห้ทำไมกัน...แล้ว...นี่ผอมไปขนาดนี้เชียวหรือ...

ความคิดที่วาบขึ้นทำให้ความปวดแปลบแล่นจี๊ดขึ้นในหัว เชษฐ์หลับตาและยกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าผาก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเกือบจะนึกถึงอะไรบางอย่างออก แต่ก็ถูกความเจ็บยับยั้งเอาไว้จนนึกได้ไม่ตลอด แต่ที่แน่ๆ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เต็มใจจะลืมแม้แต่นิด

อะไรกันนะ...ความรู้สึกเหมือนจำเป็นต้องปกป้อง ปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องรีบกลับมาหาแบบนี้...

ไออุ่นจากร่างที่สั่นสะท้านเรียกความรู้สึกในจิตใต้สำนึกให้ปะทุขึ้น พร้อมๆ กับความสับสนและขัดใจที่นึกเรื่องสำคัญไม่ออก ในความฝันก่อนที่จะรู้สึกตัวตื่น เขาจำได้เลาๆ ว่าเห็นใบหน้าของใครคนหนึ่งอย่างรางเลือน ใบหน้านั้นก็นองด้วยน้ำตาเหมือนคนในอ้อมแขนคนนี้ แม้แต่เสียงที่เรียกชื่อก็ยังคุ้นเคย แต่ว่า...คนในฝันนั่นคือใครกัน...จะใช่คนเดียวกับคนที่อยู่ตรงนี้หรือเปล่า...

ชายหนุ่มพยายามระบายลมหายใจยาวเพื่อหยุดความคิดอันสับสน มือใหญ่ค่อยๆ ทาบลงบนแผ่นหลังของคนที่นอนคร่อมทับ ถึงแม้เขาจะเพิ่งรู้สึกตัวได้ไม่นาน กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงความผอมบางอันไม่คุ้นเคยจากสัมผัสใต้ฝ่ามือ สัมผัสนั้นบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เช่นเดียวกับปลุกความทรงจำบางส่วนจากการหลับใหล กลิ่นกายอ่อนจางที่ลอยมากระทบปลายจมูกกระตุ้นสัญชาตญาณให้คืนมาอย่างช้าๆ

...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโอบกอดร่างนี้ในวงแขน

"...อย่าร้องไห้"

เสียงนั้นหลุดจากริมฝีปากก่อนจะทันได้คิด มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าผากให้คนที่ร้องไห้จนใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและน้ำตา เมื่อนัยน์ตาเรียวเปิดขึ้นสบตากับเขา ประกายตัดพ้อในแววตาคู่นั้นก็ยังความปวดแปลบมาให้ราวกับแผลนั้นอยู่บนอกแทนที่จะเป็นศีรษะ

ความโหยหา อยากปลอบโยน ไม่อยากเห็นน้ำตาจากดวงหน้านี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเหมือนกัน...

ดุจริ้วหมอกที่ยังอ้อยอิ่งเหนือยอดหญ้าในยามเช้า เชษฐ์รู้สึกราวกำลังเข้าใกล้บางสิ่งที่เห็นเพียงรางเลือนเพราะถูกปุยหมอกบดบัง กระนั้นสิ่งที่ค้นหาก็อยู่ตรงหน้า รอให้เขายื่นมือไปคว้าจับดั่งแสงอาทิตย์ที่จะแผดเผาเมฆหมอกให้สลาย

"คุณเชษฐ์...?"

ภัทรส่งเสียงเครือเมื่อนัยน์ตาคมยังบ่งบอกว่าสับสนเมื่อเห็นเขา ทั้งๆ ที่อ้อมแขนอุ่นโอบรัดอยู่รอบตัวอย่างคุ้นเคยไม่ต่างจากเมื่อก่อน นัยน์ตาเรียวกะพริบถี่เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายนิ้วกรีดหยาดน้ำตาออกให้ทั้งที่ใบหน้ายังขมวดคิ้วมุ่น และแล้วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือข้างนั้นก็วางลงบนท้ายทอยแล้วโน้มคอให้ก้มลงหา

"อืม..."

เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นในห้องสลัวทันทีที่ริมฝีปากแตะต้องกัน ภัทรไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากตัวเองหรือพวกเขาทั้งคู่ รู้แต่ว่าโหยหาสัมผัสที่กำลังแนบประทับเหนือกลีบปากตัวเองในเวลานี้เหลือเกิน

ลมหายใจอุ่นเป่ารดเหนือริมฝีปากของกันและกันผะแผ่ว นิ้วมือใหญ่ที่ลูบไล้บนต้นคออย่างอ่อนโยนยิ่งปลุกความทรงจำของความอ่อนหวานที่เคยได้รับก่อนทั้งสองจะห่างกันไปเป็นเดือนให้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น

ฝ่ามือใหญ่อีกข้างค่อยๆ เลื่อนลงวางบนแผ่นหลังผอมบาง จากนั้นก็ลูบขึ้นลงอย่างเชื่องช้าราวกำลังสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งที่รู้จักดี ภัทรหลุดเสียงครางเมื่อกลีบปากล่างถูกขบเม้ม ส่วนผมที่ลงมาแนบหน้าผากกับแก้มเพราะน้ำตาก็ถูกเกลี่ยให้จนออกไปพ้นวงหน้า

ทั้งที่มอบสัมผัสอันอ่อนโยนถึงขนาดนี้ได้ แต่คุณเชษฐ์ก็ยังลืมเขาอยู่อีกงั้นหรือ...

ภัทรรู้สึกเหมือนถูกมอมเมาด้วยรสสัมผัสอันปลอบประโลมจนสับสนเสียเอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงทำแบบนี้ทั้งที่ยังจำเขาไม่ได้ ทว่าก็ไม่มีความต้องการจะปฏิเสธสิ่งที่กำลังได้รับในนาทีนี้แม้แต่น้อย

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเมื่อสัมผัสอันอ่อนหวานผละจากไปอย่างอ้อยอิ่งในที่สุด นัยน์ตาเรียวหลุบลงด้วยละอายใจที่ยังอยากได้รับความอ่อนโยนเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าอาจเผลอทำไปโดยไม่ตั้งใจเลยแท้ๆ

ความคิดเช่นนั้นทำให้ในอกปวดเกร็งขึ้นมาอีกจนแทบจะหลั่งน้ำตา ภัทรกำเสื้อของคนเจ็บแน่นโดยไม่รู้ตัว

ไหล่ผอมสั่นเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วใหญ่ยื่นมาจับคางเบาๆ ภัทรลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยอมเงยหน้าพร้อมกับขอบตาที่บวมช้ำ เขากลัวเหลือเกินว่าหากคราวนี้ต้องมองเข้าไปในแววตาของคนไม่รู้จักอีก เขาคงไม่อาจทนมองหน้าคุณเชษฐ์ต่อไปได้แน่ๆ

"ภัทร..."

แต่เสียงเรียกและแววตาอบอุ่นที่ทอดมองมาก็ทำให้หัวใจของภัทรแทบจะหยุดเต้น

"คุณเชษฐ์...จำผมได้แล้ว...?"

ราวกับเมฆหมอกรอบกายสลาย ความกดดันที่บีบคั้นในอกค่อยคลายตัวออกอย่างแช่มช้า ภัทรกะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อหู เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขายังรู้สึกเหมือนหัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงเพราะคุณเชษฐ์ฟื้นขึ้นมาแล้วจำเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้เพียงแค่ถูกเรียกชื่อ ในอกก็อาบล้นไปด้วยความสุขจนเหมือนจะยืนไม่อยู่

เชษฐ์พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะยกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าผาก เรียวคิ้วดกหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆ ภัทรจึงรีบดันตัวขึ้นและลุกไปหยิบขวดน้ำจากบนโต๊ะมาใส่หลอดให้

"ดื่มน้ำก่อนนะครับ"

ภัทรเอ่ยพลางประคองหลังอีกฝ่ายให้สูงขึ้น เชษฐ์จิบน้ำไปนิดหนึ่งก็เอนตัวลงแล้วมองเขาเหมือนเดิม ปลายนิ้วแข็งแรงยกขึ้นซับคราบน้ำตาที่ยังเหลือบนหางตาให้ ภัทรจึงถือโอกาสกุมมือข้างนั้นเอาไว้

"...ทำไมไม่ไปนอนที่เตียงล่ะ พยาบาลก็บอกไม่ใช่เหรอว่าเดี๋ยวจะปวดหลัง"

"คุณเชษฐ์...ได้ยินที่พยาบาลพูดกับผมด้วย?"

ภัทรถามอย่างประหลาดใจ เชษฐ์จึงส่ายหน้าช้าๆ แล้วหลับตาลงราวกำลังพยายามรวบรวมความทรงจำอันสับสน

"ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอก... หูเหมือนได้ยินเสียงคนรอบตัวแต่ก็ขาดๆ หายๆ ...ไม่รู้ว่ากำลังฝันหรือตื่นกันแน่ พอจะขยับตัวหรือลืมตาก็ทำไม่ได้ แต่ที่มั่นใจก็คือได้ยินเสียงคนร้องไห้... นั่นเสียงของเธอสินะ..."

อาจเพราะเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ น้ำเสียงของคนป่วยจึงยังอ่อนแรงและยังพูดได้เพียงช้าๆ แต่เมื่อถึงประโยคสุดท้าย ภัทรที่กำลังจ้องทุกอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอยู่ก็น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง

"ผมขอโทษ ผมกลัวไปหมด ผมกลัวว่าคุณเชษฐ์จะเป็นอะไรเพราะผม ผมกลัวว่าถ้าคุณเชษฐ์ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกผมจะเป็นยังไง ผมขอโทษที่ผมคิดอะไรเห็นแก่ตัวแบบนี้ แต่ว่า ... ผมไม่อยากให้คุณเชษฐ์ทิ้งผมไป ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว ฮึก..."

ภัทรรู้สึกราวได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มที่ซื่อตรงกับหัวใจของตัวเองอีกครั้ง เหมือนวันคืนที่ยังไม่รู้ประสาว่าความรักคืออะไร แต่ก็อยากทำความเข้าใจและได้สัมผัสสิ่งนั้นจนไม่อาจเก็บความในใจไว้คนเดียวอีก

"อย่าร้อง..."

ถึงแม้จะถูกห้ามก็ไม่เป็นผล เวลานี้ไม่มีภัทรกรที่ชอบสงวนท่าทีและปากหนักอีกแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะสูญเสียคนที่รักซึ่งนึกขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ยังทำให้ในอกหวิวโหวงทำให้ภัทรอ่อนไหวจนควบคุมตัวเองไม่ได้

"ผมรักคุณเชษฐ์ ผมรักคุณเชษฐ์ ผมรักคุณเชษฐ์"

เชษฐ์เลื่อนมือที่ลูบบนเรือนผมซึ่งยุ่งนิดๆ ลงและพยายามใช้ปลายนิ้วกรีดหยาดน้ำตาให้คนที่สะอึกสะอื้นจนพูดแทบไม่เป็นคำ กระนั้นก็รู้ดีว่าตอนนี้เขาได้รับหัวใจทั้งดวงของคนตรงหน้ามาครองอย่างไร้เงื่อนไขแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลา ต้องอดทนรอและถึงกับบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็คุ้มค่า

ภัทรไม่ใช่ของเหลืออย่างที่ธราธรเคยปรามาศไว้ หากแต่เป็นแก้วเจียระไนที่ถูกมองข้ามโดยคนที่ไม่รู้ค่าต่างหาก

"เด็กดี...หยุดร้องได้แล้ว...."

แม้ว่าร่างกายจะยังอ่อนเพลีย แต่ร่างสูงใหญ่ก็พยายามยกแขนทั้งสองข้างขึ้นดึงไหล่ภัทรเข้าหาตัว ร่างเพรียวกะพริบตาปริบด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ก็ยอมเอนตัวเข้าหาแต่โดยดี

"...ถอดรองเท้าออกสิ จะได้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน"

"เอ๋? แต่ว่า..."

อาการหอบจนตัวโยนเพราะแรงสะอื้นของภัทรลดลงแล้ว เพียงแต่บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาและน้ำมูก และเชษฐ์ก็แสดงสีหน้าสบายใจขึ้นที่เห็นเขาหยุดร้องไห้เสียที

"บอกให้ถอดรองเท้าแล้วขึ้นมานอนด้วยกันไง... ดูสิ ตาโหลไปหมดแล้ว... ฉันไม่ยอมให้คนที่มานอนเฝ้าไข้ให้ต้องเสียสุขภาพเพราะอดนอนหรอกนะ"

น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนทำให้ภัทรอบอุ่นในอกจนผิวหน้าก็พานอุ่นไปด้วย เขาพยักหน้าก่อนจะถอดรองเท้าแล้วขยับตัวขึ้นมาบนเตียงแต่โดยดี โชคดีว่าขนาดของเตียงคนไข้ที่โรงพยาบาลนี้ค่อนข้างใหญ่ กระนั้นคนเจ็บก็ยังอุตส่าห์ช่วยขยับที่เพื่อให้ภัทรนอนสบายขึ้น

ร่างผอมเพรียวตะแคงตัวแล้วซุกหน้าเข้ากับไหล่หนา มือข้างหนึ่งวางทาบบนแผ่นอกกว้างเพื่อรับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่ส่งผ่านมา ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวเมื่อได้สัมผัสไออุ่นที่ยืนยันว่าคุณเชษฐ์สบายดีและจะไม่ทิ้งเขาไปไหนในระยะใกล้ชิดเช่นนี้

"...นอนพักเถอะ เธอเหนื่อยมามากแล้วล่ะ"

ผู้สูงวัยกว่าใช้อุ้งนิ้วโป้งซับคราบชื้นที่ยังหลงเหลือบนหางตาให้ภัทร จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงบนหน้าผาก น้ำเสียงและสัมผัสอันนุ่มนวลนั้นราวกับมีฤทธิ์ขับกล่อมให้เขาอยากหลับไหล ทั้งที่เมื่ออึดใจก่อนไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิดเดียว

“คุณเชษฐ์เจ็บแผลหรือเปล่าครับ ที่โดน...ตอนนั้น...”

ภัทรไม่อาจเอ่ยคำออกมาให้เต็มประโยค เพราะเพียงแค่เอ่ยถึงก็ราวกับเรียกภาพในคืนนั้นให้กลับมาหลอกหลอน เชษฐ์จึงใช้มือลูบไหล่ที่สั่นขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายสงบลง

“มันยังชาๆ อยู่มากกว่า... ไม่ต้องคิดถึงมันอีกแล้ว... ตอนนี้ฉันฟื้นแล้วนี่ จริงมั้ย?”

แววตาสองคู่สบประสาน และแม้ภัทรจะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาอย่างไรก็ต้องพยายามกะพริบตาเพื่อบังคับหยาดน้ำให้ไหลกลับลงไป

“...ครับ”

จริงสิ ตอนนี้คุณเชษฐ์ฟื้นแล้ว คุณเชษฐ์ไม่เป็นอะไรแล้ว เขาก็ไม่ควรนึกถึงเรื่องในคืนนั้นแล้วเอามาพูดให้คนเจ็บอารมณ์ขุ่นถึงจะถูก

"คุณเชษฐ์...พอผมตื่นมาอีกครั้ง คุณเชษฐ์จะไม่หลับไปนานๆ อีกใช่ไหมครับ?"

แม้จะโล่งอกแล้วว่าชั่วขณะนี้คุณเชษฐ์ไม่เป็นอะไร กระนั้นความหวาดหวั่นที่สั่งสมมาตลอดสี่วันก็ทำให้ภัทรไม่อาจวางใจได้โดยง่าย

"ไม่หรอก...ฉันถึงให้เธอขึ้นมานอนด้วยเพื่อจะได้วางใจว่าฉันจะตื่นแน่ๆ ไง"

ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางยกมือขึ้นวางทับมือของภัทรที่ทาบอยู่บนหน้าอก ภัทรจึงเหลือบตาขึ้นมองคนข้างตัวอีกครั้ง และได้พบกับแววตาที่แม้จะยังอิดโรย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันหนักแน่นที่มีให้กับเขา น้ำหนักของความเชื่อมั่นทำให้ภัทรค่อยๆ พยักหน้าก่อนจะซุกตัวเข้าหาไหล่อีกฝ่ายมากขึ้น จากนั้นเปลือกตาอันหนักอึ้งก็หรี่ปรือและค่อยปิดสนิทลงในเวลาไม่นาน

เสียงหายใจสม่ำเสมอและชีพจรที่ได้สัมผัส เช่นเดียวกับความอบอุ่นจากฝ่ามือที่กุมทับมือของเขาอยู่ทำให้ภัทรพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ความรู้สึกตัวเบาเพราะได้ปลดแอกจากความวิตกกังวลทำให้มุมปากได้รูปยกขึ้นน้อยๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลซึมจากหางตาลงตกต้องบนหมอนโดยไม่รู้ตัว

ความรู้สึกของฟ้าที่ปลอดโปร่งหลังพายุฝนลูกใหญ่พัดผ่าน...เป็นแบบนี้นี่เอง



++---tbc---++



A/N: ตอนนี้คงทำให้หลายๆ คนที่เอาใจช่วยน้องภัทรกับคุณเชษฐ์หายใจหายคอโล่งกันขึ้นเนอะ? ใครอ่านแล้วลงคอมเม้นต์ให้ชื่นใจหน่อยนะคะ >.<




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2555    
Last Update : 16 ธันวาคม 2555 23:47:50 น.
Counter : 2861 Pageviews.  

แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก 18

แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 18.


เลือด...เลือดแดงฉานเต็มไปหมด...

นั่นคือภาพที่ติดตาภัทร ตอนที่เขากรีดร้องชื่อคุณเชษฐ์และถลาเข้าไปหา

เลือดอุ่นๆ ไหลออกจากแผลที่โดนกระถางต้นไม้ใบใหญ่ฟาด จนแม้แต่ภัทรที่ไม่ใช่คนกลัวเลือดยังหน้าถอดสี เขารีบประคองศีรษะอีกฝ่ายหนุนตักแล้วใช้สองมือกดซับโลหิตสีแดงสดจนผ้าก๊อซเปียกชุ่ม แยกไม่ออกอีกต่อไประหว่างเลือดจากแผลบนมือกับเลือดจากศีรษะคุณเชษฐ์ที่ไหลไม่ยอมหยุด

"เฮ้ย!! มีคนทะเลาะกัน!!!"

ดูเหมือนเสียงกระทบกระทั่งและเสียงร้องของเขาจะเรียกความสนใจจากผู้คนที่นั่งกินข้าวในร้านแถวนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วย เมื่อพวกเขาพากันออกมาดูและพบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเข้ามาช่วยกันดึงธราธรออกไป ขณะเดียวกันก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลกับรถตำรวจอย่างรวดเร็ว

ภัทรแทบไม่รู้สึกตัวว่าป๋วยและนินนาทลงมาจากชั้นบนและวิ่งเข้ามาหาพวกเขาตอนไหน แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือรุ่นพี่กับเจ้านายของตัวเอง ตอนที่ป๋วยเข้ามาเขย่าไหล่และถามอย่างร้อนรนว่า “เธอบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” เขาทำได้เพียงเหลือบมองร่างที่หมดสติอยู่บนตัก และเพิ่งสังเกตได้ถึงเลือดสดๆ ที่อาบบนกางเกงและเสื้อของตัวเอง แต่สิ่งที่ภัทรซึ่งกำลังตกใจพูดออกมาได้มีเพียงแค่

“...ไม่ใช่เลือดผม ...เลือดคุณเชษฐ์...ช่วยคุณเชษฐ์ด้วย คุณเชษฐ์...คุณเชษฐ์!!”

หลังจากนั้นภัทรก็ตัดขาดการรับรู้จากทุกสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเสียงเอะอะโวยวาย เสียงหวอของรถตำรวจและรถพยาบาล สองตาและความคิดของเขาจดจ่ออยู่แต่กับร่างสูงใหญ่ในอ้อมแขนเท่านั้น เขาไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่าถูกพาขึ้นรถพยาบาลได้อย่างไร เอ่ยอะไรกับตำรวจที่ตามมาสอบปากคำไปบ้างโดยมีป๋วยกับนินนาทคอยอยู่ข้างๆ และตอนนี้เขามานั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลได้อย่างไร

เลือดที่อาบผ้าก๊อซบนมือทั้งสองแห้งไปแล้ว แต่สีแดงสดก็ยังติดตาราวกับนั่นเป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ในตอนนี้

"ภัทร...ภัทร...."

เสียงของผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู แต่สมองของภัทรไม่ยอมตีความคำพูดที่ลอยผ่าน ตอนนี้เขาไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ในอกกลวงเปล่า ทำได้เพียงนั่งมองมือตัวเองเหมือนตัวไร้ประโยชน์ตัวหนึ่งเท่านั้น

เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ควรจะป้องกันได้ใช่ไหม...ถ้าหากเขาเล่าเรื่องของธราธรให้คุณเชษฐ์ฟังตั้งแต่ตอนที่ได้กลับมาเจอกันครั้งแรก บางทีเรื่องทั้งหมดนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น คุณเชษฐ์ก็จะไม่ต้องเอาตัวเข้ามาปกป้องเขาจนบาดเจ็บสาหัสแบบนี้หรือเปล่า...

“คุณนิน ทำยังไงดี ป๋วยถามอะไรภัทรก็ไม่ยอมตอบเลยค่ะ”

หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นและหันมาถามคนที่ยืนข้างๆ ใบหน้าสวยคมมีแต่ความกระวนกระวายใจ เมื่อตอนหัวค่ำที่นินนาทบอกเธอว่าคุณเชษฐ์โทรมาแจ้งว่าเพิ่งบินถึงกรุงเทพฯ และกำลังเดินทางมาบริษัท เธอนึกโล่งใจแล้วว่าคงไม่ต้องเป็นห่วงรุ่นน้องอีกแล้ว ไม่นึกเลยว่าเมื่อเธอกับนินนาทลงลิฟต์มาเพื่อจะกลับบ้าน กลับได้พบกับภาพชวนขวัญหนีดีฝ่อที่ภัทรกำลังประคองคุณเชษฐ์นอนบนตักพลางกรีดร้องเหมือนคนไม่ได้สติ และธราธรซึ่งหน้าตาบวมปูดมีเลือดอาบกำลังถูกยามกับผู้คนแถวนั้นช่วยกันพยุงตัวไว้

ตำรวจที่มาสอบปากคำกลับไปแล้ว และโชคดีเหลือเกินที่ญาติของธราธรมารับเจ้าตัวไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลอื่น ไม่เช่นนั้นเธอเชื่อว่าต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกแน่ แต่ตอนนี้อาการของคนที่เอาแต่นั่งมองมือตัวเองและไม่หือไม่อือกับคำพูดของเธอนี่สิที่น่าห่วงยิ่งกว่า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ ผมขอให้ฝ่ายบุคคลโทรหาญาติของภัทรให้แล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมาถึง”

นินนาทเอ่ยเสียงเนิบๆ เช่นเคย ถึงแม้ดูภายนอกแล้วหนุ่มใหญ่วัยกลางคนจะยังรักษาท่าทีสงบเยือกเย็นได้ ทว่ารอยย่นระหว่างคิ้วก็บ่งชัดว่าเป็นห่วงทั้งเพื่อนร่วมงานและลูกน้องไม่น้อยไปกว่ากัน

“น้าภัทรขา!”

เสียงแหลมเล็กดังมาจากทางเดินอันวังเวงในโรงพยาบาล เรียกให้ทั้งป๋วยและนินนาทหันไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นเด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงบานสีขาววิ่งเข้ามาหาภัทร ด้านหลังมีหญิงสาวที่คงจะเป็นแม่เดินตามมาติดๆ ด้วยใบหน้าเป็นกังวล

“สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากที่โทรมาแจ้งนะคะ ฉันเป็นพี่สาวของภัทรค่ะ”

หลังจากทักทายป๋วยและนินนาทแล้ว แพนก็เบนสายตากลับมาหาน้องชายที่ยังทำท่าเหม่อลอย คราบเลือดแห้งกรังเกาะแน่นอยู่บนเสื้อผ้าและเนื้อตัว ดูแล้วราวกับคนที่บาดเจ็บคือเจ้าตัวเสียเอง ทว่าสิ่งที่ชวนให้น่าหดหู่ยิ่งกว่ากลับเป็นแววตาที่เหม่อมองพื้นอย่างไร้จุดหมาย

“ภัทร นี่พี่เองนะ ภัทรไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย?”

หญิงสาวคุกเข่าลงเพื่อให้แววตาของน้องชายที่กำลังทอดต่ำได้มองตัวเอง แต่เมื่อเห็นสองมือซึ่งมีผ้าก๊อซพันอยู่และชุ่มไปด้วยเลือด เรียวคิ้วโก่งก็มุ่นขึ้นขณะที่หันหน้าไปทางป๋วยและนินนาทอย่างขอความกระจ่าง

“มือเขาโดนเศษกระเบื้องบาดตั้งแต่เมื่อวานค่ะ แต่ป๋วยก็ไม่แน่ใจว่านอกจากเลือดคุณเชษฐ์แล้วมีเลือดของภัทรเองด้วยหรือเปล่า นี่พยายามบอกให้ไปทำแผลก็ไม่ยอมไป เอาแต่พูดว่าจะรอคุณเชษฐ์ออกจากห้องผ่าตัดก่อน”

คำอธิบายนั้นทำให้หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ เธอหันกลับมาหาภัทรอีกครั้งพลางบีบไหล่แน่นขึ้นและเขย่าเบาๆ ชายหนุ่มจึงค่อยผงกศีรษะขึ้นและกะพริบตามองเธอเหมือนเพิ่งรู้ตัว

“...พี่...แพน?”

“จ้ะ พี่เอง ภัทร....ภัทรไปทำแผลเถอะนะ พี่เข้าใจว่าภัทรเป็นห่วงคุณเชษฐ์ แต่ถ้าคุณเชษฐ์ออกมาแล้วรู้ว่าภัทรไม่ดูแลตัวเอง คุณเชษฐ์จะโกรธเอานะ”

น้ำเสียงปลอบประโลมค่อยๆ ส่งคลื่นความอบอุ่นเข้าสู่หัวใจอันหนาวเยือกของภัทร ความกดดันเคร่งเครียดที่ราวถูกกักไว้ในอุโมงค์มืดเพิ่งได้พบหนทางระบายออก น้ำตาหยดนึ่งไหลลงจากหางตา ก่อนที่เสียงสั่นเครือจะหลุดจากริมฝีปาก

“ภัทร....ถ้าหากภัทรหันไปเห็นธรเร็วกว่านั้นก็คงดี...คุณเชษฐ์คงไม่ต้องเอาตัวมาบังไว้ คงไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะภัทรแบบนี้ พี่แพน...ภัทรจะทำยังไงดี”

เขาไม่รู้ตัวอีกแล้วว่ากำลังพูดอะไรบ้าง แต่ภาพวินาทีที่เชษฐ์ถูกกระถางฟาดหัวเพราะปกป้องเขายังติดตา จนตอนนี้ก็ยังสลัดภาพอันน่าขนลุกขนพองนั้นจากความทรงจำไม่ได้

“เลือดคุณเชษฐ์ไหลออกมาเต็มไปหมด ภัทรช่วยกดเท่าไหร่ก็ไม่หยุดไหล เรียกเท่าไหร่คุณเชษฐ์ก็ไม่ตอบสักคำ ถ้าหาก...ถ้าหากคุณเชษฐ์เป็นอะไรไป...แล้วภัทรจะทำยังไง...”

ป๋วยยกมือปิดปากแล้วหันไปซบหน้ากับบ่านินนาทด้วยความสะเทือนใจ มายูมิเห็นน้าชายร้องไห้ก็เริ่มตาแดงตาม ส่วนแพนได้แต่ดึงน้องชายเข้ามากอดแล้วลูบหลังแรงๆ

“โธ่ภัทร... อย่าเพิ่งคิดอะไรในแง่ร้ายอย่างนั้นสิ คุณเชษฐ์ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก แต่ตอนนี้ภัทรไปทำแผลก่อนเถอะนะ พอกลับมาคุณเชษฐ์อาจจะผ่าตัดเสร็จแล้วก็ได้”

หญิงสาวทำท่าจะพยุงน้องชายให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ภัทรส่ายหน้าและพยายามขืนตัวไว้

“ไม่เอา ภัทรไม่ไป ภัทรจะอยู่รอจนกว่าจะรู้ว่าคุณเชษฐ์ไม่เป็นอะไร”

น้ำเสียงนั้นรวดร้าวจนใครที่ได้ฟังก็ต้องปวดแปลบในอกตาม ผู้ใหญ่ทั้งสามได้แต่มองตากันอย่างไม่รู้จะช่วยปลอบอย่างไร แต่แล้วเสียงเล็กๆ สั่นเครือก็ดังแทรกขึ้นจนทุกคนต้องหันไปมอง

“น้าภัทรขา ...ฮึก...ไปทำแผลเถอะนะคะ น้าเชษฐ์ไม่เป็นไรหรอก...ก็...น้าเชษฐ์เคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับมิมินี่นา....ฮึก...น้าภัทรไปทำแผลเถอะนะคะ ...มิมิขอร้อง...”

เสียงสะอื้นฮักจากร่างเล็กกลับกลายเป็นสิ่งที่กะเทาะความดื้อรั้นของภัทรได้มากที่สุด ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นน้ำตาก่อนจะดึงหลานสาวมากอดแน่น กระนั้นหยาดน้ำใสก็ยังคงตกต้องหัวไหล่ของแม่หนูในชุดกระโปรงขาวที่ไม่ต่างจากนางฟ้าผู้มอบความหวังในยามนี้

จริงสิ...ที่ผ่านมาคุณเชษฐ์รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ทุกครั้ง...แล้วครั้งนี้จะยอมผิดสัญญาได้อย่างไรกัน...

อึดใจใหญ่กว่าภัทรจะสูดน้ำมูกแรงๆ และคลายแขนที่กอดร่างเล็กเอาไว้ เขาผงกศีรษะขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วลูบผมที่มัดเป็นแกะสองข้างอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มทั้งน้ำตาทำให้แม่หนูยิ่งร้องไห้และโผเข้ากอดคอเขาแน่น

“...จริงด้วยเนอะ น้าเชษฐ์เคยสัญญากับหนูไว้แล้ว... น้าเชษฐ์ไม่มีทางผิดสัญญาหรอก…”

แพนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อภัทรยอมตามเธอไปทำแผลในที่สุด โดยที่ป๋วยกับนินนาทอาสาเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดให้ ผลปรากฏว่าแผลบนมือของภัทรฉีกออกกว่าเดิมมาก และครั้งนี้แพทย์ที่ทำแผลให้กำชับว่าห้ามใช้งานมือหนักเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแผลจะยิ่งระบมกว่าเดิมหรือติดเชื้อได้

ตอนที่ภัทรกลับไปห้องผ่าตัดอีกครั้ง ป๋วยผล็อยหลับพิงไหล่ของนินนาทโดยมีเสื้อแจ็คเก็ตของอีกฝ่ายคลุมอยู่ เมื่อรู้ว่าเขากลับมาก็รู้สึกตัวตื่น แต่พอภัทรขอให้กลับบ้านไปนอนพัก รุ่นพี่สาวก็ยืนยันหนักแน่น

"จะกลับตอนนี้ได้ยังไง อุตส่าห์มาอยู่รอด้วยตั้งแต่ต้น ถ้ายังไม่วางใจว่าคุณเชษฐ์ปลอดภัยพี่ก็ไม่กลับหรอก ใช่ไหมคะคุณนิน?"

ฝ่ายผู้สูงวัยกว่าเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ และพยักหน้า ภัทรจึงได้แต่ต้องรับน้ำใจเอาไว้ด้วยความตื้นตัน เพราะถ้าลำพังเขาเองเพียงคนเดียวตอนที่พาเชษฐ์มาโรงพยาบาล คงไม่มีสติและเรี่ยวแรงพอจะพูดคุยกับตำรวจแน่ๆ แถมโทรศัพท์มือถือยังแบตเตอรี่หมดไปแล้วจนไม่รู้จะติดต่อใครอย่างไรอีก

ยังไม่ทันที่ภัทรจะนั่งลงบนเก้าอี้ ประตูของห้องผ่าตัดก็เปิดออก ทุกคนที่รออยู่จึงรีบเข้าไปหาคุณหมอที่เพิ่งเดินออกมาทันที

"จัดการเลือดคั่งในเยื่อหุ้มสมองผู้ป่วยออกเรียบร้อยแล้วครับ ระหว่างนี้คงต้องให้ดูอาการในไอซียูอย่างน้อยสองวัน จากนั้นคงย้ายไปห้องพักผู้ป่วยปกติได้"

นายแพทย์วัยกลางคนท่าทางใจดีกล่าวโดยไม่รอให้ถูกถาม ฝ่ายภัทรหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้น เขาก้าวเข้าไปหาคุณหมอแล้วถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อขอความมั่นใจ

อย่างน้อย...ขอให้เขาได้ยินคำยืนยันจากปากของคุณหมอสักคำก็ยังดี...

"....นี่หมายความว่า คุณเชษฐ์ปลอดภัยแล้วใช่ไหมครับ?"

"ใช่ครับ แต่คนไข้อ่อนเพลียมาก ต้องให้นอนพักผ่อนเยอะๆ หลังจากนี้ค่อยติดตามอาการกันอีกที"

คำตอบนั้นดุจดั่งคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นท่ามกลางทะเลทรายอันมืดมน ภัทรรู้สึกราวกับหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่งได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ความรู้สึกเบาหวิวที่ได้ถูกปลดปล่อยจากความตึงเครียดทำให้ชายหนุ่มเข่าอ่อนยวบลงไปนั่งกับพื้นท่ามกลางความตกใจของคนรอบตัว ทว่าตอนนี้ไม่มีอะไรที่หน่วงเหนี่ยวในอกอีกแล้ว เขาแทบอยากหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาเสียด้วยซ้ำ

ในที่สุดคุณเชษฐ์ก็ปลอดภัยแล้ว...คุณเชษฐ์ของเขาไม่เป็นอะไรแล้ว...บุญรักษาแล้วจริงๆ...



++------++



คืนนั้นหลังเข้าไปเยี่ยมคนเจ็บซึ่งยังไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาสั้นๆ แพนก็พาภัทรกลับไปนอนที่บ้านโดยนินนาทอนุมัติให้ลาพักร้อนได้ล่วงหน้า เพราะรู้ดีว่าภัทรจะต้องขอมานอนเฝ้าเชษฐ์ที่โรงพยาบาลหลังออกจากห้องไอซียูอย่างแน่นอน

วันถัดมาซึ่งเป็นวันที่เชษฐ์นอนห้องไอซียูวันแรก ภัทรรีบมาโรงพยาบาลตั้งแต่เวลาที่เปิดให้ญาติเข้าเยี่ยม ถึงแม้คนบนเตียงยังไม่แสดงสัญญาณว่ารู้สึกตัวให้เห็นนับตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัด แต่เพียงได้รับรู้ว่าหัวใจของอีกฝ่ายยังเต้น คลื่นสมองยังปกติ เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายและอุณหภูมิที่ถ่ายทอดออกมายังอบอุ่น เท่านั้นภัทรก็สบายใจแล้ว

ป๋วยกับนินนาทใช้เวลาช่วงพักเที่ยงแวะมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ส่วนภัทรนั้นแม้ว่าจะอยากอยู่เฝ้าคนป่วยใจแทบขาดเพียงไร แต่ก็ต้องยอมตัดใจกลับไปนอนที่บ้านของพี่สาว เพราะว่าช่วงที่คนป่วยพักฟื้นในไอซียูนั้นจะไม่สามารถเข้าเยี่ยมเกินเวลาที่กำหนดได้ และแพนเองก็ห้ามไม่ให้ภัทรกลับไปนอนคอนโดคนเดียวระหว่างนี้เพราะเกรงจะเกิดอะไรขึ้นอีก

วันที่สองซึ่งเชษฐ์นอนไอซียู ภัทรรีบมาถึงตั้งแต่ก่อนเวลาเข้าเยี่ยมเช่นเคยเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอยู่เฝ้าให้นานที่สุด ทว่าเมื่อเข้าไปในห้องและพบว่าคนที่ตั้งใจมาหายังคงนอนนิ่ง เขาก็เริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมา

"เอ่อ...ขอโทษนะครับ"

"คะ?"

นางพยาบาลสาวร่างเล็กหันมาหาเมื่อถูกเรียก ภัทรชำเลืองมองร่างที่ยังนอนนิ่งบนเตียงอีกครั้งโดยไม่มีท่าทีตอบสนองต่อการที่เขาบีบมือ จากนั้นก็หันมาถามด้วยความไม่สบายใจ

"ไม่ทราบว่าคุณเชษฐ์...ได้รู้สึกตัวบ้างหรือเปล่าครับ ช่วงที่ไม่มีใครมาเยี่ยม?"

ภัทรได้แต่หวังว่าอาจเป็นเพราะเจ้าตัวตื่นมานอกเวลาเยี่ยมก็เป็นได้ และบังเอิญว่าช่วงที่ให้เข้าเยี่ยมนั้นตรงกับจังหวะที่นอนพักผ่อน เขาถึงไม่ได้เห็นปฏิกิริยารับรู้ใดๆ จากเจ้าของนัยน์ตาอ่อนโยนสักที

แต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้ภัทรแทบจะเข่าอ่อน

"ตั้งแต่หลังผ่าตัดก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ แต่ค่าต่างๆ เท่าที่มอนิเตอร์ก็ปกตินะคะ บางทีอาจยังอ่อนเพลียอยู่ เดี๋ยวย้ายไปห้องพักผู้ป่วยอาจจะดีขึ้นก็ได้ค่ะ"

พยาบาลสาวกล่าวตบท้ายอย่างให้กำลังใจก่อนจะหันไปทำงานต่อ ฝ่ายภัทรได้แต่พยายามระงับก้อนแข็งที่แล่นขึ้นจุกในคอ เขาหันกลับไปมองคนที่กำลังนอนหลับสนิทอีกครั้ง เมื่อถูกถอดเครื่องช่วยหายใจ ท่าทางของคุณเชษฐ์ก็เหมือนคนนอนหลับธรรมดาๆ ที่ดูเหมือนพร้อมจะตื่นเมื่อไรก็ได้ ทว่าศีรษะที่ถูกโกนผมและมีผ้าพันแผลพันไว้ก็เป็นหลักฐานอันชัดเจนว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ต้องมาอยู่ที่นี่

ชายหนุ่มรู้สึกแสบร้อนในโพรงจมูกขึ้นมา แต่ก็พยายามบอกตัวเองให้คิดในแง่ดีเอาไว้ เพราะการที่ผ่านพ้นขีดอันตรายมาได้ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าคุณเชษฐ์มีพลังชีวิตเข้มแข็งแค่ไหน ตราบใดที่คุณหมอไม่แจ้งข่าวร้ายให้เป็นกังวล เขาก็ควรจะเชื่อมั่นว่าอาการของอีกฝ่ายจะต้องดีขึ้นจึงจะถูก

"คุณเชษฐ์...รู้สึกตัวไวๆ นะครับ"

ภัทรเอ่ยเสียงแผ่วขณะลูบหลังมือใหญ่อย่างแผ่วเบา สองตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าคร้ามคมด้วยหวังว่าจะได้เห็นเปลือกตาที่ปิดสนิทนั้นค่อยๆ กะพริบไหวและปรือขึ้น ขณะทอดสายตามองไรเคราสีเขียวอ่อนซึ่งเริ่มขึ้นให้เห็นตามสันกรามบนใบหน้าได้รูป ภัทรก็คิดว่าถ้าจะให้ตนมองใบหน้านี้ไปตลอดชีวิต...เขาก็ทำได้

"หืม? ภัทรใช่ไหม?"

เสียงเรียกชื่อทำให้ภัทรละสายตาจากคนที่ยังหลับไหลและเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง แต่เมื่อได้เห็นว่าชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่ใส่เสื้อสูททับเสื้อคอโปโลตรงหน้าคือใคร เขาก็ได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

"คุณปรีชา?"



++------++



สายลมอ่อนเบาพัดดอกชมพูพันธ์ทิพย์ให้หลุดร่วงจากต้นลงมาหยุดนิ่งบนสนามหญ้าในโรงพยาบาล มองไปทางไหนก็เห็นดอกสีชมพูอ่อนเกลื่อนบนพื้นหญ้าสีเขียวราวกับพรมกำมะหยี่ ภาพที่เห็นควรทำให้รู้สึกรื่นรมย์กับบรรยากาศ ทว่าภัทรซึ่งเดินเคียงข้างท่านประธานออกมาจากห้องไอซียูหลังหมดเวลาเยี่ยมได้แต่ทอดสายตาลงต่ำ

ใช่ว่าเขาไม่เคยพูดคุยกับท่านประธานมาก่อน เพราะมีบ้างที่ในการประชุมรวมหรือเวลาบริษัทจัดงาน คุณปรีชาก็จะถามไถ่พนักงานแต่ละคนอย่างไม่ถือตัวว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทว่าความรู้สึกผิดในใจทำให้เขาค่อนข้างประหม่าเมื่อถูกชวนให้ออกมาเดินเล่นหลังหมดเวลาเยี่ยมด้วยกัน

ท่านประธานเป็นญาติห่างๆ ของคุณเชษฐ์ เขายังจำบทสนทนาของป๋วยกับนินนาทที่บังเอิญไปได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนได้อย่างแม่นยำ และเพราะมัวแต่กังวลว่าจะถูกต่อว่าหรือไม่เรื่องที่ทำให้คุณเชษฐ์บาดเจ็บ ภัทรจึงสะดุ้งเมื่อได้ยินคนข้างตัวเอ่ยขึ้น

“ดูท่าทางเขาเหมือนแค่นอนหลับเฉยๆ นะ เห็นว่าพรุ่งนี้ก็จะย้ายไปห้องพิเศษแล้วใช่ไหม?”

“เอ่อ...ครับ”

คำถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยระหว่างทั้งคู่ย่างก้าวไปช้าๆ บนทางที่ปูด้วยอิฐทำให้ภัทรได้แต่รับคำสั้นๆ ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าเหลือบมองว่าคนข้างกายกำลังทำสีหน้าแบบไหน เนื่องจากไม่เคยต้องทำงานด้วยโดยตรง เขาจึงแค่เคยได้ฟังมาว่าท่านประธานเป็นคนใจดี แต่ก็เข้มงวดและเอาจริงเอาจังในเวลางาน ลักษณะคล้ายๆ กับคุณเชษฐ์ เพียงแต่ไม่ค่อยต้องมาคลุกคลีกับพนักงานมากเท่า

“นินนาทเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วล่ะ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนเราจะทำร้ายกันแบบนี้ได้”

เสียงถอนหายใจท้ายประโยคเรียกความทรงจำของค่ำคืนอันโหดร้ายให้หวนกลับมา ความปวดแปลบที่วูบขึ้นในอกทำให้ภัทรได้แต่ตอบรับเสียงเบา

“...ครับ”

ชายหนุ่มหยุดเดินเมื่อคนข้างๆ หยุดฝีเท้า จากนั้นก็ค่อยผินหน้าไปมอง ถึงแม้ท่านประธานจะอายุหกสิบกว่าแล้ว ทว่าร่างกายก็ยังคงสูงใหญ่และผึ่งผาย ดูแล้วชวนให้เคารพและเกรงขามสมกับตำแหน่งนายใหญ่ของบริษัท

“เธออาจยังไม่รู้ ความจริงแล้วเชษฐ์เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของฉัน พ่อของเขามีศักดิ์เป็นอาแต่ก็อายุมากกว่าฉันไม่เท่าไหร่ ตอนที่เชษฐ์กับพี่ชายของเขายังเด็ก ครอบครัวเราก็ไปมาหาสู่กันประจำ"

ภัทรพยักหน้า เขาเคยได้ยินเรื่องครอบครัวของเชษฐ์คร่าวๆ มาบ้างจากเจ้าตัว แต่ไม่เคยรู้เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นญาติกับท่านประธานเลยจริงๆ

"ตอนนี้พ่อกับแม่เขาติดเรื่องธุรกิจที่ต่างประเทศก็เลยยังไม่สะดวกมาเยี่ยมในวันสองวันนี้ แต่ก็รู้อาการของเชษฐ์เท่าที่ควรจะรู้แล้วเพราะฉันโทรไปบอก แต่ว่า...เราก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวเขาจะฟื้นก่อนพ่อกับแม่มาหาหรือเปล่า”

ภัทรหน้าเผือดสีลงขณะสบตากับท่านประธานที่กำลังมองเขาอย่างพินิจ และบนใบหน้าของผู้สูงวัยก็มีประกายของความเห็นอกเห็นใจฉายชัด

“อายุอย่างฉันผ่านอะไรมามาก ดังนั้นนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นคนป่วยเพราะอาการบาดเจ็บทางสมอง แต่ไม่ใช่ทุกรายที่ฟื้นแล้วกลับมาเป็นปกติ บางรายก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยทั้งที่การผ่าตัดเรียบร้อยดี ถึงฉันจะไม่อยากให้เรื่องนั้นเกิดกับคนที่เอ็นดูเหมือนเป็นลูกเป็นหลานก็ตาม แต่เธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”

น้ำเสียงที่ถ่ายทอดมานั้นไม่ได้ประชดประชัน ไม่แม้แต่จะฟื้นฝอยว่าเขาคือต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทว่าภัทรก็รู้ว่าที่คุณปรีชาเอ่ยเช่นนี้เพื่อเตือนให้เขาทำใจในกรณีที่เลวร้ายที่สุด

แต่ว่า...ไม่...เขาไม่ต้องการจะมองในแง่ร้ายแบบนั้น...คุณเชษฐ์เป็นคนเข้มแข็ง ที่ผ่านมาก็เป็นที่พึ่งพิงในยามที่เขาอ่อนแอมาตลอด คนที่ทะนงในตัวเอง แต่ก็อบอุ่นและขี้เล่นยามที่อยู่กับเขาสองคนได้ถึงขนาดนั้น ไม่มีทางจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปได้

“…ผมเข้าใจครับ รู้ดีด้วยว่าสาเหตุที่ทำให้คุณเชษฐ์ต้องเจอเรื่องแบบนี้ก็คือตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคุณเชษฐ์จะไม่เป็นอะไร หรือต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ...ผมก็จะไม่ทิ้งคุณเชษฐ์ไปไหนเด็ดขาด”

ถึงแม้จะพยายามปั้นเสียงให้ฟังแล้วมั่นใจ ทว่าภัทรก็ไม่อาจห้ามน้ำเสียงท้ายประโยคไม่ให้สั่นเครือ ความหวั่นไหวกับอนาคตที่ไม่มีทางล่วงรู้ฉุดรั้งกำลังใจให้ร่วงต่ำแม้จะพยายามเตือนตัวเองให้เข้มแข็ง

ชายหนุ่มกะพริบตาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ ท่านประธานก็ก้าวเข้ามาหาและรั้งตัวเขาเข้าไปกอด หยดน้ำที่ซึมลงบนไหล่เสื้อสูทสีเข้มเป็นวงทำให้ภัทรรู้สึกตัวว่าน้ำตากำลังไหล

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะขู่เธอ ฉันเพียงแต่อยากบอกให้ทำใจเผื่อไว้เท่านั้น ฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องแค่นี้จะทำอะไรเชษฐ์ได้ ขอโทษด้วยที่ทำให้กังวล”

ฝ่ามือใหญ่บนหลังและน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ทำนบน้ำตาของภัทรหลั่งไหลออกมามากขึ้น อ้อมกอดอันอบอุ่นทำให้เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นเด็กชายที่กำลังถูกผู้เป็นพ่อปลอบโยน และเขาก็ไม่ได้รับความอบอุ่นเช่นนี้จากบุพการีที่เสียไปมานานหลายปีมากแล้ว

ฝ่ามือที่พันผ้าพันแผลทั้งสองข้างสั่นระริกด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำต่อคนที่ยังนอนนิ่งบนเตียงผู้ป่วย

“คุณเชษฐ์จะต้องไม่เป็นไรครับ คุณเชษฐ์ต้องหายดีแน่ ผมจะไม่ยอมให้คุณเชษฐ์เป็นอะไรแน่นอน”

ภัทรเอ่ยเสียงแหบเครือ เขาปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาโดยไม่สนใจจะเก็บกลั้นไว้อีก ช่วงบ่าสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นจนคุณปรีชาต้องลูบแผ่นหลังเขาอย่างปลอบประโลม ราวกำลังพยายามให้กำลังใจลูกหลานคนหนึ่งที่เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก

“ฉันรู้แล้ว เด็กดี นิ่งซะ เชษฐ์เขาต้องไม่เป็นอะไรแน่”



++------++



เมื่อเข้าสู่วันที่สาม ทางโรงพยาบาลก็ได้ย้ายเชษฐ์ไปพักห้องพักพิเศษตามที่คุณปรีชาเป็นคนจัดการ นอกจากนี้ท่านประธานยังได้ให้สิทธิ์พิเศษแก่ภัทรในการลางานเพื่อมาเฝ้าคนป่วยโดยได้รับเงินเดือนเต็มจำนวน และออกปากรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลให้อีกด้วย

ช่วงสายแพนขับรถมาส่งภัทรที่โรงพยาบาลพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบค่อนข้างใหญ่ โดยก่อนจะมาโรงพยาบาลนั้นภัทรได้แวะไปที่บ้านของเชษฐ์ก่อนเพื่อนำของใช้บางอย่างของเจ้าตัวมาเตรียมไว้ เขากอดป้าแย้ม แม่บ้านสูงวัยที่ได้แต่ร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความเป็นห่วงคุณเชษฐ์ และให้คำสัญญาว่าจะรีบโทรบอกทันทีที่คนป่วยฟื้น แต่ขอร้องว่ายังไม่ให้ไปเยี่ยมระหว่างนี้เพราะกลัวคนแก่จะตกใจจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

วันนี้โรงเรียนอนุบาลของมายูมิหยุดพอดี เด็กหญิงจึงตามแม่กับน้าชายมาที่โรงพยาบาลด้วย พอได้เห็นห้องพักวีไอพีที่กว้างขวางและโอ่โถงราวกับห้องในโรงแรม แม่หนูน้อยก็ทำตาโต

“โอ้โห แม่ขา ใหญ่กว่าห้องรับแขกที่บ้านอีก”

“จุ๊ๆ เบาๆ สิลูก น้าเชษฐ์นอนพักผ่อนอยู่นะจ๊ะ”

แพนเอ่ยเตือนลูกสาวที่เพิ่งรู้ตัวและรีบยกสองมือปิดปาก สายตาของทั้งคู่หันไปทางภัทรที่วางกระเป๋าไว้มุมหนึ่งของห้องแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยพลางทอดสายตามองคนที่ยังหลับสนิท ราวจะไม่ยอมให้อากัปกิริยาใดๆ หลุดรอดสายตาหากอีกฝ่ายรู้สึกตัว

ร่างเล็กที่วันนี้ใส่ชุดกระโปรงลายดอกสดใส มัดผมแกะสูงสองข้างรีบสาวเท้าเล็กๆ เข้าไปยืนเกาะขอบเตียง สองตากลมโตจับจ้องน้าชายคนใหม่ที่เหมาเอาว่าเป็นญาติอีกคนไปเรียบร้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองภัทร

“น้าเชษฐ์จะตื่นเมื่อไหร่คะน้าภัทร?”

แพนฟังคำถามแล้วก็มองน้องชายอย่างเป็นกังวล ไม่แปลกที่เด็กเล็กๆ จะอยากรู้อยากเห็นจนเผลอถามอะไรที่สะเทือนใจคนฟังโดยไม่คิด ทว่าภัทรเพียงแต่ยิ้มและลูบผมหลานสาวเบาๆ

“น้าภัทรก็ไม่รู้ค่ะ แต่คุณหมอบอกว่าน้าเชษฐ์ไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะงั้นเร็วๆ นี้ก็น่าจะตื่นแล้วล่ะ”

ใช่...ตอนนี้เขาได้แต่ต้องให้กำลังใจตัวเองเช่นนี้เท่านั้น ในเมื่อไม่มีใครสามารถให้คำตอบอันแน่นอน สิ่งเดียวที่ภัทรจะยึดเหนี่ยวได้...ก็มีแต่ความไว้ใจในพลังฟื้นฟูตัวเองของคนที่นอนอยู่ตรงหน้า

แพนช่วยภัทรเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าและจัดเก็บเข้าในตู้ จากนั้นก็โทรสั่งอาหารกลางวันมาทานด้วยกัน เธออยู่เป็นเพื่อนน้องชายจนฟ้าเริ่มมืดก็เตรียมพามายูมิกลับ

"เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ พี่จะแวะมาหาใหม่นะ"

"ขอบคุณมากพี่แพน แต่ถ้ามีธุระก็ไม่เป็นไรนะ ภัทรเฝ้าคุณเชษฐ์คนเดียวได้"

ชายหนุ่มยิ้มอ่อนๆ ขณะเดินไปส่งพี่สาวกับหลานที่หน้าห้องผู้ป่วย แพนเหลือบมองคนที่ยังนอนนิ่งบนเตียงแล้วก็เบนสายตามายังน้องชายอีกครั้ง

ปกติภัทรก็เป็นผู้ชายที่รูปร่างค่อนข้างสะโอดสะองอยู่แล้ว แต่ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา น้องชายของเธอดูซูบไปมากเพราะน้ำหนักที่ลดไปหลายกิโล ถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามทำสีหน้าสดชื่นให้ทุกคนเห็นตั้งแต่เชษฐ์ออกจากห้องผ่าตัดเป็นต้นมา แต่เธอก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกกกอดความกังวลไว้ในอกแค่ไหน

ถ้าหากปล่อยให้เก็บความเศร้าหมองและหวาดกลัวเช่นนี้ต่อไป คนที่จะหัวใจแตกสลายในที่สุดหากคุณเชษฐ์ไม่ฟื้นขึ้นมาก็จะเป็นภัทรเอง

"งั้นเดี๋ยวพี่จะโทรบอกก็แล้วกัน แต่ภัทรก็ต้องกินข้าวกับนอนพักด้วยรู้มั้ย ไม่งั้นถ้าป่วยตามไปอีกคนจะแย่ ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดนะ"

"ครับ"

หญิงสาวมองหน้าน้องชายอีกครั้ง ก่อนจะค่อยยกมือขึ้นบีบไหล่เบาๆ

"ภัทร พี่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยใช่มั้ยว่าจริงๆ แล้วพี่เข้ากับแม่ของโทรุไม่ค่อยได้"

ภัทรกะพริบตาปริบที่จู่ๆ พี่สาวก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลาเช่นนี้ ส่วนมายูมิแหงนหน้ามองแม่อย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมาย

"มันมีหลายเหตุผลที่ทำให้เราคุยกันยาวๆ ไม่ได้สักทีทั้งที่ไม่มีอุปสรรคเรื่องภาษา แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยพูดกับพ่อของโทรุแล้วพี่ไปแอบได้ยินเข้า แล้วคำพูดนั้นก็ยังติดหัวพี่มาจนถึงทุกวันนี้"

ชายหนุ่มสบตากับพี่สาวที่จ้องตัวเองเขม็ง สัมผัสได้ว่าสิ่งที่กำลังจะหลุดจากริมฝีปากอีกฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ

"เขาพูดว่า 'ถ้าคนสองคนอยากใช้ชีวิตด้วยกัน ต่อให้มีภูเขามาขวาง เดี๋ยวเขาก็หาทางปลูกบ้านอยู่ด้วยกันบนเขาจนได้' พี่เชื่อว่าตอนนี้คุณเชษฐ์ก็ต้องกำลังพยายามปีนขึ้นเขาลูกนั้นอยู่แน่ๆ ภัทรเองก็ห้ามถอดใจเด็ดขาดนะ"

แพนเอ่ยก่อนจะเข้ามาสวมกอดเขาเอาไว้ คำพูดนั้นกระทบจิตใจของภัทรจนเขารู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล แต่ก็พยายามกะพริบตาเพื่อกลั้นหยดน้ำไว้

"ขอบคุณมากพี่แพน ภัทรจะไม่ลืมคำพูดประโยคนี้เด็ดขาดเลย"

ชายหนุ่มยิ้มให้เมื่อพี่สาวคลายวงแขนออกช้าๆ จากนั้นก็ย่อตัวลงกอดหลานสาวที่เข้ามาหอมแก้มเขาให้กำลังใจบ้าง หลังจากมองส่งทั้งคู่เดินออกจากห้องพักคนไข้ไปจนพ้นหัวมุมอาคาร เขาจึงค่อยปิดประตูและเดินกลับเข้าไปในห้อง

เนื่องจากห้องพักพิเศษแห่งนี้มีขนาดกว้างขวางมาก แม้แต่ส่วนสำหรับนอนพักผ่อนของญาติก็ยังถูกจัดไว้เป็นสัดส่วน แต่ภัทรกลับเดินผ่านห้องพักแล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย เขาไม่อยากอยู่ห่างเชษฐ์ในเวลาที่ยังไม่รู้สึกตัว เช่นเดียวกับที่อยากเป็นคนแรกที่เจ้าตัวจะได้เห็นยามนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นเปิดขึ้น

ปลายนิ้วที่โผล่พ้นผ้าพันแผลยื่นออกไปลูบไรเคราเขียวจางที่ชัดขึ้นกว่าเมื่อวาน เมื่อลูบไปก็พบกับสัมผัสสากๆ แข็งๆ ชวนจั๊กจี้ ปกติเชษฐ์จะโกนหนวดจนเกลี้ยงก่อนไปทำงานทุกวัน เขาจึงยังไม่เคยเห็นใบหน้ายามเจ้าตัวมีเครามาก่อน และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งๆ ที่ต้องโกนผมและมีผ้าพันศีรษะ กระนั้นความดูดีและสง่าผ่าเผยของอีกฝ่ายก็ไม่ถูกชุดผ้าฝ้ายของโรงพยาบาลดับรัศมีลงเลยสักนิด

เมื่อตอนบ่ายนั้นมีช่วงหนึ่งที่เขาอยู่เฝ้าคนเดียวเพราะแพนพามายูมิไปเดินเล่นข้างนอก และเขาก็เพิ่งได้รับรู้อารมณ์หึงหวงยามที่นางพยาบาลเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำความสะอาดร่างกายให้เชษฐ์โดยที่ตนเองเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้เป็นครั้งแรก ความรู้สึกนั้นตอกย้ำให้เขาตระหนักมากขึ้นว่าคนตรงหน้ามีอิทธิพลต่อจิตใจของเขามากเพียงไร

ตอนนี้ไม่มีใครสำคัญสำหรับเขาเท่ากับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

"คุณเชษฐ์ ...ได้ยินผมมั้ยครับ? ได้ยินเสียงภัทรบ้างมั้ย?"

ร่างผอมเพรียวใช้มือข้างที่แผลเริ่มสมานกันบีบมือใหญ่เบาๆ ขณะที่ปลายนิ้วอีกข้างลูบไปบนเรียวคิ้วดกหนา น้ำเสียงอ่อนโยนถามไถ่เหมือนชวนคุยเรื่องไม่สำคัญ ทว่าทุกพยางค์อัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเรียกอีกฝ่ายให้ฟื้นจากการหลับไหล จริงอยู่ว่าร่างกายเขาอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนไม่พอแถมยังทานอาหารไม่ค่อยลง แต่สมองกลับตื่นตัวและคอยเฝ้าจับสังเกตคนบนเตียงอยู่ตลอด

"เมื่อตอนกลางวันพี่แพนกับมิมิมาอยู่เฝ้าคุณเชษฐ์เป็นเพื่อนผมด้วยนะ ท่าทางหลานผมจะชอบคุณเชษฐ์น่าดูเลย วันนี้ก็เอาหนังสือท่องเที่ยวมากางแล้วถามผมใหญ่ว่าถ้าคุณเชษฐ์หายแล้วจะชวนไปเที่ยวที่ไหนดี"

ภัทรยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น หยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลกลิ้งลงมาตามผิวแก้มโดยที่ไม่สนใจจะเช็ด เขาใช้มือทั้งสองข้างค่อยๆ กุมมือของเชษฐ์และประคองขึ้นมาแนบแก้มตัวเองอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาที่จับจ้องใบหน้าคมคายพร่ามัวขึ้นทุกขณะเพราะหยาดน้ำตา กระนั้นก็ยังคงปล่อยให้น้ำอุ่นใสหยดแล้วหยดเล่าหลั่งลงขณะที่ริมฝีปากยกยิ้ม

"คุณเชษฐ์จำได้หรือเปล่า? อีกไม่กี่วันก็จะวันเกิดผมแล้วนะครับ"

ความจริงแล้วเขาไม่เคยพูดเรื่องวันเกิดของตัวเองสักครั้ง นับตั้งแต่เลิกกับธราธร ภัทรก็ไม่ได้คาดหวังอีกว่าจะต้องได้รับของขวัญจากใคร แต่เพราะนี่คือคุณเชษฐ์ คนที่ละเอียดลออและใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเคยหาข้อมูลวันเกิดของเขาเก็บไว้แน่ๆ

หยาดน้ำในตาไหลลงหยดแล้วหยดเล่าจนตกต้องบนเสื้อที่ใส่ และภัทรก็แทบจะทนพูดประโยคถัดไปออกมาโดยพยายามไม่ให้เสียงแหบเครือไม่ไหว

"...ดังนั้น...ขอร้องล่ะ ตื่นขึ้นมาก่อนจะถึงวันเกิดผมเถอะนะครับ..."

น้ำเสียงที่หลุดจากริมฝีปากนั้นแผ่วโหย ทว่าสิ่งที่ภัทรได้รับตอบแทนคำขอ ยังคงเป็นความเงียบงันที่ราวจะบดทับหัวใจคนได้ยินให้แตกเป็นเสี่ยงๆ



++---tbc---++



A/N: สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ ต้องขอบคุณน้องนิ (SiNa) และน้องเสือ (Panthera) มากๆ สำหรับข้อมูลด้านการแพทย์ แต่ถ้าหากใครอ่านตรงไหนแล้วรู้สึกแหม่งๆ เราก็ขอน้อมรับความบกพร่องไว้คนเดียวค่ะ ขอบคุณมากๆ สำหรับคอมเม้นต์ของตอนที่แล้ว และหวังว่าจะได้คอมเม้นต์อันอบอุ่นเช่นเคยจากตอนนี้นะคะ




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2555    
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 12:51:03 น.
Counter : 1257 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.