แนะนำสำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++ตอนที่ 23. (ครึ่งหลัง)เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้นตอนตีสาม เชษฐ์ก็รู้สึกตัวตื่นและหันไปกดปุ่มปิดเพื่อไม่ให้เสียงดังรบกวนคนที่ยังหลับ แต่แล้วก็เลิกคิ้วเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้างตัว"นอนต่อก็ได้นะ ฉันไปส่งพ่อกับแม่เสร็จก็กลับมาแล้ว"เชษฐ์หันไปบอกเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของร่างเพรียวที่ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ความสลัวรางทำให้ต่างคนต่างเห็นหน้ากันไม่ชัด กระนั้นแสงจันทร์นวลที่ส่องเข้ามาทางด้านหลังของภัทรก็ทำให้เขาเห็นอีกฝ่ายส่ายศีรษะ"ผมจะไปเป็นเพื่อนครับ" น้ำเสียงนั้นแหบแห้งเล็กน้อยอย่างคนที่เพิ่งตื่น เชษฐ์จึงยิ้มออกมา โดยหาได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วภัทรเพิ่งจะข่มตาหลับลงเมื่อตอนตีสองเท่านั้นเอง "เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้มีเพื่อนคุยตอนขากลับ"มือใหญ่ยกขึ้นสางเรือนผมของคนตรงหน้า ทว่าเนื่องจากความอับแสงในห้อง เขาจึงไม่สามารถเห็นแววตารวดร้าวของคนที่กำลังรับความอ่อนโยนจากฝ่ามือตนได้ทั้งสองใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแต่งตัวแบบง่ายๆ เพื่อจะไปสนามบิน เมื่อลงบันไดมาชั้นล่างก็พบว่าคุณชาญกับคุณเพียงมาศนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว จึงช่วยผู้สูงวัยทั้งสองยกกระเป๋าไปที่รถโดยเชษฐ์กับภัทรนั่งด้านหน้า ส่วนคุณชาญกับคุณเพียงมาศนั่งคู่กันที่เบาะหลัง"ขอโทษด้วยนะจ๊ะภัทร เลยทำให้ต้องตื่นมาส่งแต่เช้ามืดไปด้วย"คุณเพียงมาศเอ่ยเป็นเชิงชวนสนทนา ภัทรจึงเอี้ยวคอไปยิ้มอ่อนๆ ให้ "ไม่เป็นไรครับ""ไว้วันหลังมีโอกาสก็ไปเยี่ยมกันที่โน่นได้นะจ๊ะ แค่บอกมาก่อนว่าจะมากันเมื่อไหร่ แม่จะได้พาเที่ยว"ประโยคชักชวนนั้นหาได้มีความหมายแอบแฝงลึกซึ้ง ทว่าภัทรรู้สึกราวกับโดนค้อนที่มองไม่เห็นตอกย้ำลงมาในใจว่าเชษฐ์มีโอกาสจะเลือกไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งถ้าหากเจ้าตัวตัดสินใจเช่นนั้นจริง การไปเยี่ยมในที่นี้ก็คงหมายถึงเขาคนเดียวที่ต้องเดินทางไปหาอีกฝ่าย"...ขอบคุณครับ"ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วก่อนจะดึงสายตากลับมาด้านหน้า แววตาหม่นหมองเหลือบแลลงบนตักของตัวเอง ตอนนี้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนไม่แม้แต่อยากจะเปล่งเสียงออกจากปาก สิ่งที่ไปแอบได้ยินเข้าเมื่อคืนก่อนยังสลักฝังแน่นในหัวจนเกินไปนิสัยแกเหมาะจะแสดงฝีมือในองค์กรใหญ่เพื่อเลื่อนสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สำนักงานที่เมืองไทยมันเล็กไปสำหรับแกนะเชษฐ์ พ่ออยากให้แกคิดถึงความมั่นคงในอนาคตมากกว่าพอใจแค่กับอะไรใกล้ตัว "คุณปรีชาก็เคยสอนผมตั้งแต่เริ่มทำงานแล้วว่าเราไม่ควรทิ้งทุกโอกาสที่ก้าวเข้ามาหาหรือมีคนหยิบยื่นให้ เรื่องไปสำนักงานใหญ่ผมจะเก็บไปคิดดู"ถ้าหากเมื่อคืนเขาไม่ถูกความอยากรู้อยากเห็นรบกวนจิตใจจนไปแอบฟังบทสนทนาของพ่อลูก เขาก็คงไม่ต้องมารับรู้ข้อมูลเหล่านี้ แล้วก็คงยังมีความสุขจากการละเมอเพ้อพกไปว่าหลังจากนี้คุณเชษฐ์คงไม่ต้องอยู่ห่างจากเขาอีกแล้ว...ใช่ไหมถึงแม้ภัทรจะไม่ใช่คนคุยเก่งหรือชอบเรียกร้องความสนใจ แต่เชษฐ์ก็รับรู้ได้ถึงความเงียบผิดปกติของคนข้างตัว ความสลัวของท้องถนนและการต้องคอยมองเส้นทางทำให้ไม่สามารถแบ่งความสนใจมาพิจารณาคนข้างตัวเต็มๆ ตาได้ แต่กริยาอาการที่เอาแต่ทอดสายตาลงต่ำก็ยังปรากฏให้เขาเห็นทางหางตาอยู่นั่นเองยังง่วงอยู่หรือเปล่า? จะนอนต่อก็ได้นะเชษฐ์เอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยของภัทรเบาๆ คำถามนั้นทำให้เขารู้สึกตัวว่าคงเผลอแสดงอาการเซื่องซึมออกมาชัดเจนเกินไป จึงส่ายหน้าแล้วหันไปฝืนยิ้มให้คนถามไม่ง่วงหรอกครับ เดี๋ยวกลับไปถึงบ้านผมค่อยนอนก็ได้ภัทรอาจเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง... 'เคย' เก็บความรู้สึกเก่งก่อนจะมาคบกับเขา แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามแสร้งทำท่าทางตรงข้ามกับความในใจเพียงใดก็ไม่หลุดพ้นการสังเกตของเชษฐ์ไปได้ คนที่กำลังขับรถจึงเหลียวมาสบตากับคนที่ยิ้มให้แวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองด้านหน้าร่างสูงใหญ่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดต่อจากนั้น เขาเพียงแต่ยื่นมือมากุมมือของภัทรเอาไว้โดยไม่สนใจว่าบิดามารดาที่นั่งอยู่ด้านหลังจะมองมาเห็นในรถมีเพียงเสียงดนตรีจากแผ่นซีดีที่เปิดคลอบรรยากาศ นอกจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยสุ้มเสียงใดเพื่อชวนใครคุยอีก แม้แต่ภัทรก็ไม่ท้วงติงคนข้างตัวหรือชักมือหนี จะผิดอะไรถ้าเขาอยากซึมซับความอบอุ่นในช่วงเวลานี้ไว้ ในเมื่อไม่รู้ว่าจะมีโอกาสรื่นรมย์กับสิ่งเหล่านี้ได้อีกนานแค่ไหนหากคุณเชษฐ์ตัดสินใจไปต่างประเทศจริงๆในที่สุดทั้งสี่ก็มาถึงสนามบิน เมื่อจอดรถแล้วเชษฐ์กับภัทรก็ช่วยกันลากกระเป๋าเดินทางของผู้สูงวัยไปยังอาคารผู้โดยสารขาออก หลังจากต่อแถวเช็คอินเพื่อโหลดสัมภาระและได้เลขที่นั่งกันเรียบร้อย คุณชาญกับคุณเพียงมาศก็เดินมาบอกลาเชษฐ์กับภัทรที่ยังยืนรอส่งอยู่ด้านหน้า"ถ้างั้นเดี๋ยวพ่อกับแม่ไปก่อนล่ะนะ เช้าๆ อย่างนี้คิว ต.ม. คงจะยาว ถ้าไม่รีบเดี๋ยวแม่เขาไม่มีเวลาเดินดูดิวตี้ฟรี" พูดจบคุณชาญก็โดนภรรยาตีแขนพร้อมกับค้อนให้อีกที"อย่าลืมที่แม่บอกนะจ๊ะ ถ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมกันบ้าง เชษฐ์เองก็อย่าเพิ่งรีบหักโหมกลับไปทำงานนะลูก คุณปรีชาอุตส่าห์ให้พักได้ทั้งเดือนก็ต้องพักผ่อนเยอะๆ รู้มั้ย แม่ไม่อยากใจหายใจคว่ำแบบคราวนี้อีกแล้วนะ"คุณเพียงมาศหันมาเอ่ยกับบุตรชายคนเล็กหลังจากรั้งร่างสูงใหญ่เข้าไปกอด ความเป็นห่วงเป็นใยถูกแสดงออกมาอย่างแจ่มชัดทั้งในน้ำเสียงและแววตา นับตั้งแต่วันที่ได้เจอกันที่โรงพยาบาล ไม่มีใครหันมากล่าวโทษภัทรแม้แต่หนึ่งคำเกี่ยวกับการบาดเจ็บของคนที่ยืนอยู่ข้างเขาในยามนี้ กระนั้นภัทรก็ยังอดสะท้อนในอกไม่ได้ว่าต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายเช่นนี้ก็คือตัวเขาเอง"ครับแม่ ไว้ผมจะหาเวลาไปเยี่ยม""ภัทรก็มาด้วยกันนะจ๊ะ"ท้ายประโยคคุณเพียงมาศหันมาหาภัทรและบีบมือเบาๆ เขาจึงพยายามปั้นยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจแล้วพยักหน้ารับ"ครับ""เดินทางปลอดภัยนะครับ ถ้าหากถึงที่โน่นแล้วโทรมาบอกผมด้วย"เชษฐ์เอ่ยหลังจากทั้งเขาและภัทรยกมือไหว้ลาผู้สูงวัยทั้งสอง จากนั้นก็ลดมือหนึ่งลงกุมมือคนข้างตัวเอาไว้จนเจ้าของนัยน์ตาเรียวเหลือบขึ้นมองด้วยแววตาไม่ค่อยเข้าใจ ทว่าคุณชาญกลับรับรู้ความตั้งใจเบื้องหลังการแสดงออกเล็กน้อยเพียงเท่านั้นได้ทันที ชายสูงวัยจึงเพียงยกมือตบบ่าบุตรชายแล้วเอ่ยทิ้งท้ายอย่างกำกวม"เรื่องที่คุยกันเมื่อคืนนี้ ถ้าคิดได้แล้วว่าจะเอายังไงก็บอกพ่อด้วยแล้วกันนะ"คุณเพียงมาศเลิกคิ้วด้วยไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่าเมื่อคืนสามีกับลูกชายพูดคุยกันเรื่องอะไร แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้เมื่ออีกฝ่ายหันมาโอบเอวแล้วพาเดินไปยังด้านในอาคารผู้โดยสารด้วยกัน หลังจากยืนนิ่งมองทั้งคู่เดินหายไปจนลับสายตา เชษฐ์ก็หันกลับมาถามภัทรที่ยืนเงียบอยู่ข้างตัว"หิวมั้ย? หรือว่าอยากกลับบ้านมากกว่า?""กลับบ้านกันดีกว่าครับ"ภัทรยิ้มตอบโดยแทบไม่ต้องคิด อาจเพราะต้องฝืนปั้นยิ้มหลายครั้งในเช้าวันนี้ คราวนี้เขาจึงรู้สึกว่ามุมปากของตนไม่แข็งจนฝืดฝืนนักยามยกยิ้มให้อีกฝ่าย เชษฐ์จึงพยักหน้าก่อนจะออกเดินโดยไม่ปล่อยมือที่กุมมือเขาเอาไว้"เอ่อ...""หืม?"ร่างสูงใหญ่เหลียวกลับมามองเมื่อภัทรยังไม่ยอมก้าวจากจุดที่ยืนอยู่ นัยน์ตาคมเหลือบลงตามสายตาของภัทรที่กำลังมองหน้าเขาสลับกับมือของทั้งคู่เหมือนจะเตือนกลายๆ ว่าลืมไปหรือไม่ว่าอยู่ข้างนอก ทว่าเชษฐ์กลับยิ้มจนเห็นประกายซุกซนในแววตาผ่านเลนส์แว่น"ไม่อยากกลับบ้านแล้วหรือไง? ฉันจะได้พาเดินเล่นในนี้ก่อน"คำพูดและท่าทางที่บ่งบอกว่าไม่แยแสสักนิดหากคนอื่นมองมาทำให้ภัทรไม่คิดจะโต้แย้งอีก เขาเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ ขณะปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือเพื่อเดินกลับไปที่รถ น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่สนใจสักนิดว่าจะมีสายตาของใครจับจ้องมาหรือไม่ กระนั้นก็ยังจงใจทิ้งระยะจากคนข้างหน้าไว้ก้าวหนึ่งเพื่อให้ตัวเองเดินเยื้องไปข้างหลัง เพราะเขารู้สึกว่าตนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเดินเคียงข้างอีกฝ่ายในยามนี้ได้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะที่เขาได้แต่มองแผ่นหลังของคุณเชษฐ์ แต่ว่า...แม้แต่โอกาสที่จะได้มองและสัมผัสกันในระยะใกล้แบบนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ยืนยาวเอาเสียเลย ถ้าหากถึงเวลาที่ต้องกลับไปอยู่คนเดียวจริงๆ เขาจะทนรับความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวตามลำพังไหวหรือเปล่า...ระยะทางกลับไปสู่อาคารจอดรถยาวเพียงไม่เกินสองร้อยเมตร แต่ภัทรกลับรู้สึกว่าเท้าแต่ละข้างหนักราวกับมีตุ้มถ่วงจนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ช้าเหลือใจ กว่าจะไปถึงรถและเชษฐ์ขับออกมาจากบริเวณสนามบิน ริ้วสีแสดจางของพระอาทิตย์ยามเช้าก็เริ่มผลุบขึ้นให้เห็นรางๆ บนขอบฟ้าแล้ว"นอนพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วฉันจะปลุก"เชษฐ์เอ่ยเมื่อเห็นคนข้างตัวเริ่มออกอาการสะโหลสะเหลมากขึ้น ภัทรซึ่งเพิ่งถูกความเหน็ดเหนื่อยรุมเร้าเพราะได้หลับไปเพียงชั่วโมงเดียวจึงพยักหน้าแต่โดยดี เชษฐ์จึงขับรถเบี่ยงเข้าข้างทางแล้วเอื้อมมือมาช่วยกดปรับเก้าอี้ของเขาให้เอนลง จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กที่พับสอดไว้หลังเบาะมาคลี่ออกคลุมบนร่างให้ภัทรกระพริบตาเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบผมให้เขาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสองคู่สบประสานกันท่ามกลางความสลัวของยามเช้ามืด ก่อนที่เชษฐ์จะกระซิบเสียงเบาราวเกรงว่าน้ำหนักเสียงที่ดังเกินไปจะรบกวนการพักผ่อนของเขา"วันนี้อยากไปไหนบ้างหรือเปล่า? หลังตื่นนอนแล้วฉันจะได้พาไป ต้องมาอุดอู้อยู่ที่โรงพยาบาลทั้งอาทิตย์เธอคงเบื่อ"การแสดงความใส่ใจอันแสนจะอ่อนโยนนั้นทำให้ภัทรน้ำตารื้น เขาอยากจะตอบตรงกับความในใจเหลือเกินว่าไม่ใช่เลย การคอยเฝ้าดูแลอีกฝ่ายแค่นั้นยังชดเชยกับทุกสิ่งที่คุณเชษฐ์เคยทำให้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ทำได้มากที่สุดเพียงฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าเพื่อเก็บด้านที่อ่อนไหวจนตัวเองยังหงุดหงิดเอาไว้เพียงลำพัง"ผมไม่อยากไปไหนหรอกครับ แค่ได้อยู่กับคุณเชษฐ์ก็พอแล้ว"คำตอบนั้นทำให้คนฟังยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เชษฐ์แนบริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนทีหนึ่งก่อนจะดึงสายเข็มขัดนิรภัยของเขามาคาดให้ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้จนถึงคาง"งั้นก็หลับพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวถึงเมื่อไหร่แล้วฉันจะปลุก"ภัทรพยักหน้าแล้วหลับตาลง หลังจากเชษฐ์ออกรถได้ไม่นานเขาก็หรี่ตาขึ้นอีกครั้งแล้วลอบมองอีกฝ่ายจากด้านข้าง ใจอยากเหลือเกินที่จะยื่นมือออกไปลูบไล้เสี้ยวหน้าคร้ามเข้มและกุมมือใหญ่เอาไว้เพื่อขับไล่ไอหนาวที่เกาะกุมจิตใจ แต่ในไม่ช้าก็พ่ายแพ้ให้แก่ความเหน็ดเหนื่อยที่แผ่ซ่านไปตามกล้ามเนื้อทั่วร่างจนไม่อาจทนฝืน ในที่สุดนัยน์ตาเรียวก็ต้องยอมปิดลงอย่างจำใจ และปล่อยตัวเองให้หลับไหลในห้วงนิทรารมณ์อย่างแท้จริง++---TBC---++A/N: เป็นครึ่งหลังที่ต่อจากครึ่งแรก (เอ่อ...มันก็ต้องอย่างนั้นสิ) เนื้อหาของตอนนี้อาจไม่ค่อยมีอะไรให้ลุ้นหรือตื่นเต้นมากนะคะ แต่ก็แอบแฝงรายละเอียดสำคัญที่จะโยงไปยังตอนต่อไป ที่คนเขียนก็ลุ้นมากว่าจะเป็นตอนจบของเรื่องหรือไม่อยู่เหมือนกัน ตอนที่แล้วทิ้งปมชงมาม่าไว้จนคนอ่านตัดพ้อกันหลายคน ตอนนี้คงจะไม่มากเท่าตอนก่อนแล้วเนาะ? แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้าด้วยค่า
อ่านไปเริ่มปวดใจหน่วงๆตามน้องภัทรไปด้วย
เราว่า..เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่นายเอกเศร้าซึมที่สุดแล้ว อ่านแล้วก็เครียดตามน้องภัทรไปด้วย ตอนที่แฮปปี้ดูน้อยนิดมากกก
ถ้าเทียบกับเป้-วิว เรื่องนั้นนี้มีความสุขกันตลอดเวลา ฮ่าๆๆ
ว่าแต่.... ตอนหน้าจบเหรอคะ!!!!!
กรี๊ดๆๆ รอรวมรวมเล่ม และตอนพิเศษค่ะ
(คาดหวังตอนพิเศษ เพราะมันน่าจะแฮปปี้กันบ้างซิ!!)