All Blog
ร้านกินเส้น(เชียงใหม่) อาหาร(เส้น)ดี เด็กเสิร์ฟหล่อ!?
ชื่อร้าน : กินเส้น(สาขาหน้ามช.)+เรดแมงโก้
รายการอาหาร : อาหารเส้นทุกชนิด ไอศครีม
เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 11.00-22.00 น.
ที่ตั้งร้าน : ตรงข้ามเยื้องหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 48' 29.95" N 98° 57' 18.79" E


ขอเอารูปจากสองปีที่แล้วมาลงประกอบด้วยนะค่ะ ถ่ายไว้นานแล้ว แต่มาเล่นพันทิปได้ไม่นาน



เมื่อวานนี้ประจวบเหมาะได้ไปอุดหนุนร้านอาหารที่อยู่คู่วัยรุ่นเชียงใหม่มาสิบปีได้แล้ว อย่าง ร้านกินเส้น ค่ะ



ร้านกินเส้นเป็นร้านอาหารที่มี concept ชัดเจนว่า ขายแต่อาหารจำพวกเส้นเท่านั้น ไม่มีข้าวเลย ขายอาหารเส้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเส้นฝรั่งอย่างพาสต้า เส้นเล็กอย่างบะหมี่ เส้นใหญ่อย่างรัฐบาลเทพประทาน(เริ่มไปกันใหญ่แล้ว กลับมาๆๆ) เอาเป็นว่าขายอาหารเส้นทุกอย่างค่ะ และก็มีเมนูรองๆ เป็นของหวาน อย่างขนมปังปิ้ง กับ ไอติมภูเขาไฟ(เป็นน้ำแข็งไสก่อสูงๆ ราดด้วยเฮลบลูบอยส์สีแดง ทำให้ดูเหมือนภูเขาไฟ แต่ไม่ใช่เมนูโปรดของพลอย ก็เลยไม่มีภาพให้เห็นค่ะ)



ที่บอกว่าอยู่คู่กับวัยรุ่นเชียงใหม่(เมื่อหลายสิบปีจนถึงปัจจุบัน)เพราะร้านนี้ตั้งมาเกือบพร้อมๆ กับห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล กาดสวนแก้ว ซึ่งถือเป็นห้างใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมของวัยรุ่นตอนนั้นเลยทีเดียว ส่วนร้านกินเส้นนั้นเข้ามาแทนที่ร้านอาหารแฟรนไซต์ หมีสีน้ำตาล A&W ที่เลิกกิจการเฉพาะของสาขาเชียงใหม่ไป(มีเสียงเล่าลืออีกว่า เชียงใหม่เป็นเมืองปราบเซียน ร้านอาหารแพงที่ไหนจะมาเปิดสาขาเชียงใหม่ ต้องทำการตลาดให้ดีๆ ไม่งั้นจะเจ็งเอาง่ายๆ)



ปัจจุบันร้านกินเส้นก็ยังอยู่ที่นั่น ซึ่งเมื่อก่อน ถือเป็นร้านอาหารเก๋ไก๋น่ารัก (ถ้าภาษาเดี๋ยวนี้ก็ต้องบอกว่าร้านสุด HIP) ที่วัยรุ่นชอบไปกินอาหาร นัดมีทติ้ง นัดเดทกันที่นั่นเลยทีเดียว ประมาณว่าถ้าจะนัดไปกินอาหารอะไรให้ดูดีกัน ก็จะไปร้านกินเส้นเสมอๆ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่มักจะไปเหล่เด็กเสิร์ฟของร้านนี้!?



มูลเหตุมาจาก ในสมัยที่ข้าน้อยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้น ก็มักจะได้คุยได้ยินในวงเพื่อนผู้หญิงกันว่า ไปร้านกินเส้นเพราะไปเหล่หนุ่มพนักงานเสิร์ฟร้านนี่แล ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ร้านกินเส้นมีกลยุทธ์ในการเรียกลูกค้าวัยรุ่นสาว ด้วยการรับแต่พนักงานเสิร์ฟชายหรือสาวหล่อที่หน้าตาดีเท่านั้น ส่วนพนักงานหญิงจะให้รับออร์เดอร์ที่อยู่เคาน์เตอร์พอ ^ ^ เรียกว่าถ้าหนุ่มคนไหนอยากพิสูจน์ว่าตัวเองหล่อจริงหรือเปล่า ให้ลองไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟร้านนี้ดูค่ะ ถ้าทางร้านรับ แสดงว่า คุณหล่อจริง ^ ^



แต่พนักงานเสิร์ฟร้านนี้ก็ทำงานหนักเหมือนกันนะค่ะ ไม่ใช่ว่าหล่อแล้วจะสบายอย่างเดียวนะเออ (ทำงานหนักมาก ไม่กวักมือเรียกนิ ไม่มาเลย = = *ประชด เห็นเพื่อนหลายคนบอกว่า เสิร์ฟช้า และมีการเลือกปฏบัติกับลูกค้าสวยๆด้วย แต่พลอยยังไม่เจอขนาดนั้นนะ เจอแค่เสิร์ฟช้า ไม่กวักมือเรียกไม่มานี่แหละ = * =)



เมื่อร้านกินเส้นเปิดได้ครบรอบ 10 ปี (ราว 2-3 ปีที่แล้ว) ก็ได้มีการเปิดสาขาที่สอง บริเวณหน้าตรงข้ามทางเข้า มช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งเป็นร้านที่พลอยจะพามารีวิวในกระทู้นี้ค่ะ



ปล.อาจมีคำบรรยายในภาพประกอบบ้างนะค่ะ ตอนนั้นนึกสนุกเลยตัดต่อใส่คำบรรยายสักหน่อย



ที่นั่งจะมีสามโซนค่ะ คือ

- เอาท์ดอร์ (นั่งตอนเที่ยงจะร้อนโครตๆ)

- อินดอร์ชั้นล่าง

- อินดอร์ชั้นบน (ส่วนใหญ่จะเอาไว้จัดสำหรับลูกค้าที่นัดมามีทติ้งกลุ่มใหญ่ เพราะชั้นนี่ติดกระจกกันสียงเอาไว้ จะได้แยกลูกค้ากลุ่มใหญ่กับกลุ่มย่อยออกจากกัน)

* แต่พนักงานมักจะขอร้องให้เรานั่งที่อินดอร์ชั้นล่างให้เต็มก่อน ถ้าเต็มแล้วค่อยไล่ไปอินดอร์ชั้นบน กับ เอาท์ดอร์ ด้วยเหตุผลว่า...ลูกค้าจะได้เห็นพนักงานและเรียกบริการได้สะดวก (เหตุผลฤา? = = ")



ส่วนที่ว่าดนตรีเพราะ ก็เพราะมีการเปิดเพลงวัยสะรุ่นทั้งไทยและเทศคลอฟังกันไป (จริงๆ มันไม่ใช่ไฮไลท์เด่นอะไรหรอก หาคำมาเติมให้ชื่อกระทู้กันเด่นเท่านั้นเอง = = ")



การตกแต่งร้านเป็นโทนสีเหลือง-ขาว-ดำ ค่ะ ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีเคาน์เตอร์อยู่ข้างหน้า ทำให้พนักงานเสิร์ฟและลูกค้าเห็นหน้ากันได้



ชุดพนักงานเสิร์ฟเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงสีดำล้วนค่ะ ยิ่งได้เด็กเสิร์ฟหล่อด้วยแล้ว ยิ่งขับความหล่อเข้าไปใหญ่ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมนะค่ะ กลัวโดนฟ้อง ^ ^ "



ปล. บอกไว้ก่อนว่า พลอยไม่ได้เข้าร้านนี้เพราะเด็กเสิร์ฟหล่อเน้อ เลยวัยเด็กสาวกรี๊ดกร๊าดมาแล้ว ^ ^ "





จุดเด่นของร้านนี้อีกอย่างทั้งสองสาขาก็คือ จะมีการติดกระดานดำไว้ตามผนัง และเขียนข้อความทายนิสัยจากสิ่งของต่างๆ มาให้ลูกค้าได้อ่านกันเพลินๆ ค่ะ ข้อความอาจจะเปลี่ยนกันทีอาทิตย์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง ไม่แน่ใจนัก แต่ก็เป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าได้มีอะไรอ่านระหว่างรออาหารได้ดีนะแล เพราะคนไทยก็ชอบอ่านประเภททายนิสัยกันนัก





หน้าตาของปกเมนูอาหาร



ปล. ร้านกินเส้นเดี๋ยวนี้มีการจัดกิจกรรม จัดแข่งขันประกวดแข่งกินเส้นทั่วมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่เลยค่ะ ดูได้ในเว็บไซต์ของร้าน

//www.kincen.co.th





เรื่องรสชาติอาหารนั่น คงต้องแล้วแต่ลิ้นของแต่ละคนละค่ะ พลอยเป็นคนที่กินจืดง่าย เลยค่อนข้างเป็นคนไม่จุกจิกเรื่องรสชาติมาก รสชาติของอาหารที่ร้านนี้อยู่ในขั้น 'กินได้ ไม่เลวร้าย' อะไรมาก ฉะนั้นอย่าคาดหมายว่าพลอยรีวิวแล้วจะอร่อยเลิศนะ พลอยจะรีวิวพอเป็นกลางๆ นะค่ะ



ภาพภายในเมนู จัดองค์ประกอบได้เก๋ไก๋ ถูกใจวัยรุ่น



อย่างที่บอกตอนต้นค่ะ มีเมนูเส้นทุกอย่าง พาสต้าฝรั่ง ขนมจีน บะหมี่ ข้าวซอย ราดหน้า ทุกอย่างที่เป็นเส้นมีหมดค่ะ





แต่ถึงจะบอกว่าร้านนี้มีแต่เส้น...แต่ก็มีของกินเล่นที่ไม่ใช่เส้นเหมือนกันนะเออ



นั้นคือ แป้งชีสทอดจิ้มซอส ของโปรดของพลอยเลย เป็นเมนูน้องใหม่ที่ต้อนรับการเปิดสาขาที่สองค่ะ (แต่ไม่แน่ใจว่าสาขาที่หนึ่งจะมีหรือเปล่า ไม่ได้ไปกินนานแล้ว)



เพื่อนที่เคยเห็นภาพ บอกว่ามันเป็นแป้งพิตต้า (Pita) ซึ่งมีทั้งแบบอบและแบบทอด ถ้าเป็นแบบดั้งเดิม(อบ)เขาจะเอากินกับพวกเนื้อสัตว์บด โดยการใช้ปลายแหลมช้อนตักเนื้อแล้วกินพร้อมกับแป้งนั้นไปเลย



ส่วนแป้งแบบทอดนั้น ข้างในจะสอดไส้ชีส สมควรกินตอนทอดร้อนๆ อร่อยนะแล



ส่วนซอสที่เห็นให้จิ้มนั้น แบบสีแดงเข้มนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นซอสอะไรค่ะ (ขนาดมากินสองครั้งแล้วนะ = = ไอ่เราก็ประเภทกินอย่างเดียว ไม่เออไม่ถามอะไรเล้ย) รสชาติเหมือนมะเขือเทศบด (แต่ไม่ใช่ซอสมะเขือเทศ)

...ส่วนอีกอัน เป็นน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะชัดๆเลยค่ะ



ส่วนสับปะรดที่เอามาตกแต่ง เคยตั้งกระทู้ถามเพื่อนในก้นครัว บอกว่าเอาไว้ตกแต่งด้วย กินแก้เลี่ยนแป้งได้ด้วย ^ ^ "



ส่วนดอกไม้เปลือกมะเขือเทศกับผักกาดแก้ว...จะกินก็ได้ ไม่ว่ากันค่ะ ^ ^"





มาดูอาหารเส้นกัน มาคราวนี้มากับเพื่อนสามคนค่ะ



หมี่กรอบทะเล





เก๋ไก๋ก็ตรงมัดหมี่กรอบเป็นแพด้วยสาหร่ายนี่แหละค่ะ แต่เจ้าตัวคนกินบอกว่า ไอ่ตรงที่มัดปมนี่แหละ แข็งโป๊กเลย = = * เลยต้องตักปมนั้นกัดกินในปากเลย





ไวไวยำไก่



ที่บอกว่าเป็นไวไว เพราะเห็นเมนูเขาบอกว่าใช้บะหมี่ยี่ห้อไวไวนี่แหละ มาทำเมนู (สงสัยไปจับมือเป็นพันธมิตรกันแหยง = = ")



เห็นแล้วนึกถึงเมนูยำมาม่าเด็กหอเลยแฮะ





ส่วนของพลอยเป็น มักกะโรนีผัดหมู ค่ะ



รู้สึกตอนกินที่สาขาหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เขาใช้เส้นมักกะโรนียาวค่ะ ซึ่งพลอยชอบกินแบบเส้นนั้นมากกว่า...แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแบบหลอดสั้นซะงั้น สงสัยเพื่อความประหยัด = = * ทำให้พลอยต้องไปทำแบบเส้นยาวที่บ้านกินแทนซะงั้น T T



มีอีกเมนูหนึ่งที่เคยกินคือ มักกะโรนีผัดขี้เมาค่ะ จะขอเตือนไว้ว่า...ใครไม่ชอบกินเผ็ด อย่าสั่งเมนูนี่ เพราะมันเผ็ดมากๆ > < เคยกินแล้วน้ำหูน้ำตาไหลเลย





ส่วนเครื่องดื่มก็มีเมนูแบบทั่วๆไปค่ะ ทั้งน้ำผลไม้ น้ำอัดลม กาแฟ โกโก้ ในภาพนี่้เป็นโกโก้ปั่นค่ะ ทำสีเสียสวยเชียว ^ ^ อร่อยด้วย



ปล. ทางร้านมีบริการโค้กแบบเหยือกด้วยนะค่ะ แต่ต้องใช้ความสามารถระวังกันมากหน่อยล่ะ = = * เพราะเทที น้ำแข็งกระเด็นกระดอนเลย





อย่างที่บอกตอนแรกว่า ที่จริงเมนูไฮไลท์ของร้านนี่คือ ไอติมภูเขาไฟ(เป็นน้ำแข็งไสก่อสูงๆ ราดด้วยเฮลบลูบอยส์สีแดง ทำให้ดูเหมือนภูเขาไฟ แต่ไม่ใช่เมนูโปรดของพลอย ก็เลยไม่มีภาพให้เห็นค่ะ) เลยขอเอาเมนูขนมปังปิ้ง ไฮไลท์รองมาให้ชมกัน



เป็นขนมปังปิ้งแบ่งชิ้น ราดด้วยซอสช็อกโกแลต เนย หรือท็อปปิ้งอะไร ก็แล้วแต่จะสั่งค่ะ อันนี้ก็อร่อย ^ ^







...แต่ร้านกินเส้นสาขาสองนั้น ไม่ได้มีแต่ร้านกินเส้นอย่างเดียว เพราะฟากขวาของร้านนั้นมีร้านไอติม red mango มาเปิดใกล้ๆ กันด้วย ใช้ห้องแถวเดียวกัน (เป็นร้านสามห้องแถว) คาดว่าคงจับมือเป็นพันธมิตรกันอีกแล้ว ได้ประโยชน์สองต่อ เพราะลูกค้ากินของคาวเสร็จก็สั่งกินไอติมล้างปากจาก red mango มาด้วย แถมถ้าที่นั่งของกินเส้นเต็ม ก็กระจายมาทาง red mango ได้ราว 2 ที่นั่ง 3 โต๊ะ (หมายถึงที่นั่งแบบ 2 ที่ มี 3 โต๊ะ ไม่งงบ่?)



เรียกว่ายังดีกว่าเปิดคนละร้าน เพราะลูกค้าคงเข้าออกไม่สะดวก จับมือกันขายแล้วรุ่งนักแล ^ ^





ฟากนี่ก็ตกแต่งน่ารักสดใสเลย





ตุ๊กตาหมีที่ประดับของร้าน







ท็อปปิ้งหน้าต่างๆ







ที่เป็นครั้งแรกที่พลอยกินไอติมของ red mango (บ้านนอกมาก T^T) ก็เลยสั่งไอติมมาเลย ขนาดไซต์ L + ท็อปปิ้ง 4 อัน ราคา 199 บาท ค่ะ สั่งท็อปปิ้ง กล้วย, ปีโป้, กีวี, เจลาติน มา (แต่สายตาเผลอไปเห็นโกโกครั้นซ์ด้วย แต่สั่งไปครบแล้วเลยอด)



ตอนที่เห็นในภาพก็ยังคิดเลยว่า ไอติมขาวๆ นั้นต้องเป็นวิปปิ้งครีม หรือคล้ายไอติมแบบของเดลี่ควีนแหง



แต่พอชิมรสชาติไปแล้ว ถึงรู้ว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะมันมีรสหวานอย่างโยเกิร์ต เหมาะกับผู้อยากกินไอติมแต่กลัวอ้วน ^ ^







ส่งท้ายด้วยรูปขวดเกลือ-พริกไทยของร้านกินเส้น ทำเป็นรูปหมาพิตบูล ตัวขาว-ดำค่ะ ให้ทายว่าตัวไหนเกลือเป็นหนอน เอ๊ย เป็นเกลือ ตัวไหนเป็นพริกไทย ^ ^



ดูรายละเอียดของร้านได้ที่ลิงค์นี่นะค่ะ

//www.kincen.co.th/



ส่วนเด็กเสิร์ฟจะหล่อหรือไม่นั่น ทั่นต้องไปพิสูจน์ดูด้วยตาทั่นเอง (เรื่องความหล่อนี่ เป็นความชอบส่วนบุคคล อาจจะไม่โดนใจใครทุกคนก็ได้ แต่นี่เป็นการรีวิวมาจากเสียงของเพื่อนที่ไปกินค่ะ
ปล. แต่ถ้าอยากเห็นจริงๆ ไปดูภาพใน คห. 30 ในกระทู้นี่นะค่ะ //www.pantip.com/cafe/food/topic/D10187110/D10187110.html




จบแล้วค่า ^ ^





Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2554 12:00:03 น.
Counter : 4664 Pageviews.

10 comment
พาป๋าไปเลี้ยงวันพ่อ ที่ร้าน Salad Concept เชียงใหม่
ชื่อร้าน : Salad Concept
รายการอาหาร : สลัดผักสุขภาพ น้ำผักผลไม้ เค้กธัญพืช กาแฟ
เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 10.00-22.00 น.
ที่ตั้งร้าน : ติดถนนใหญ่ นิมมานเหมินทร์ หน้าซอย 13, เชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 47' 48.35" N 98° 57' 59.54" E


ความเดิมจากที่ไปพาป๋าไปกินข้าวนอกบ้านในโอกาส(ย้อนหลัง)วันพ่อค่ะ ถ้าไปกินในวันพ่อเลย คนจะแน่นเป็นพิเศษ เลยตกลงเลี้ยงย้อนหลังกัน โดยให้ลูกสาวสองคนเลี้ยงวันละมื้อ วันที่ 6 ธ.ค ป๋าเลือกร้าน ท่าจีนชมจันทร์ ร้านอาหารซีฟู้ด สั่งพอกินสามคนได้ หมดไปเกือบ 800 บาท มื้อนี้น้องสาวเป็นคนจ่าย



พอในวันที่ 7 ธ.ค เป็นคราวของข้าน้อยแล้ว คราวนี้ข้าน้อยไม่ได้ถามป๋าว่าอยากไปกินร้านไหน แต่เป็นคนเสนอเลือกเอง ตอนแรกว่าจะไปกินหมูย่างเกาหลี ที่ห้องอาหาร แดจังกึม หน้าเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว จะได้เลยไปเซอร์เวย์สักหน่อย เพราะเพื่อนสาวบอรีเควสว่าอยากนัดออกไปกินอาหารเกาหลีบ้าง แต่เธอไม่รู้ว่าที่ไหนดี เลยให้ข้าน้อยเซอร์เวย์



แต่ป๋าทำหน้าบูดบอกว่าไม่เอา...ไม่ใช่ว่าป๋าเคยไปกินค่ะ แต่ท่านส่ายหน้าไม่เอาพวกเนื้อ เพราะอาหารเกาหลีได้ชื่อว่าเนื้อประเภทสัตว์สี่ขาเยอะ พวกวัว พวกหมู ท่านว่าอายุอย่างท่านนั้น กินแล้วย่อยยาก ซึ่งก็ทำให้ข้าน้อยนึกได้ว่า คนเราเริ่มแก่ตัวนั้น จะกินเนื้อสัตว์หนักได้ยากขึ้นแล้ว จะกินได้อย่างเก่งก็ไก่ ปลา และก็ผัก...ซึ่งผักเป็นเมนูโปรดของป๋า (แต่ป๋าชอบกินผักนึ่ง ต้ม กลิ่นสุดทนจริงๆ = =)



แต่ใช่ว่าเจอโจทย์ยากนี่แล้วจะแพ้นะค่ะ เพราะทำให้ข้าน้อยนึกถึงร้าน 'ผัก' ดังในเชียงใหม่ร้านนึง ที่ได้ยินชื่อมาพอสมควร แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลย...คิดว่าที่นี่จะเป็นที่หมายค่ะ



ร้าน Salad Concept





ตอนแรกที่บอกป๋าว่าจะพาไปกินสลัด ป๋าก็โวยขึ้นมาอีกว่า "ตอนเย็นใครเขากินสลัดกัน?" คือความเข้าใจของป๋าคือ ตอนเย็นมันมื้อที่ควรกินหนัก เพราะมาจากการทำงานเหนื่อยในช่วงหลังเลิกงานแล้ว ก็ควรจะกินอะไรทดแทนพลังงานที่เสียไป



แต่ข้าน้อยก็โวยกลับ (ล้อเล่นค่ะ หว่านล้อมต่างหาก) ว่า มื้อเย็นนี่แหละ ควรจะกินเบาๆ เพราะหลังจากกินข้าวมื้อเย็นแล้ว มันเป็นเวลาพักผ่อน ใช้พลังงานน้อย ถ้ากินหนักตอนเย็นแล้วไม่ได้ออกกำลัง มันจะทำให้ท้องอืดและอ้วนง่ายกว่า...สุดท้ายป๋าก็ยอมค่ะ แต่ท่านก็ยังบ่นไม่หายว่า "มีร้านอาหารที่ไหนขายผักสลัดอย่างเดียว มันจะไปรอดเรอะ?" คือท่านไม่ยอมเชื่อว่า ร้านที่ขายอาหารอย่างเดียวจะกิจการดี ท่านดูมาอย่างร้านมังสวริรัต เจ ดูจะขายน้อยได้กว่าพวกร้านอาหารที่มีเนื้อ แต่นี่ขายผักสลัดอย่างเดียวจะไหวเรอะ?



หึหึ ป๋าไม่รู้อะไรเสียแล้ว เดี๋ยวคอยดูก็แล้วกัน



ร้านตั้งอยู่ติดถนนใหญ่นิมมานเหมินส์ค่ะ ตอนแรกข้าน้อยบอกป๋าว่าให้ขับรถอ้อมไปทางเส้นชลประทาน สนามกีฬาสมโภช 700 ปีดีกว่า (บ้านข้าน้อยอยู่แถวโรงบาลนครพิงค์) แต่ป๋าดื้อเงียบอ่ะ...ท่านเล่นเข้าไปแยกรินคำตรงไปเลย ท่านบอกว่าก็แยกนั้นมันอยู่แถวนิมมานฯ พอดี จะต้องไปอ้อมโลกทำไม?



...พอมารถติดแถวรินคำ นั้นแหละค่ะ ท่านก็ไม่เถียงข้าน้อยกลับอีกเลย เพราะตกเย็นบริเวณนั้นจะรถติดมหาบรรลัยมากเป็นเส้นทางที่ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะค่ะ เพราะรถติดตั้ง 2 ไฟแดงกว่าจะได้ไป แล้วเป็นสี่แยกอีก กว่าจะปล่อยไปได้แต่ละเส้น กินเวลาพอสมควรเลย...ที่ข้าน้อยบอกให้เลี่ยง ก็เพราะไม่อยากเจอแบบนี้แหละ (และโชคร้ายซ้อนเข้าไปอีกว่า วันอังคาร มีถนนคนเดินนิมมานฯ อีกเอ้า! แต่เขาจะปิดเฉพาะซอย ไม่ปิดถนนใหญ่แบบท่าแพหรือวัวลายค่ะ)



...แต่ป๋าก็ยังเป็นคุณพ่อจอมดื้อเงียบไม่หาย ท่านก็ทำโมโหแก้เก้อว่า ถ้าติดไฟแดงรอบที่สามอีก ท่านจะเลี้ยวไปกาดสวนแก้ว ไปหาอะไรกินที่นั่นแทน (ซึ่งข้าน้อยก็คิดเปลี่ยนแผนว่า ท่าจะต้องไปเลี้ยงซิสเลอร์แทน)



ก็ปรากฎว่าผ่านเข้าแถวนิมมานไปได้ค่ะ แต่ก็ยังติดอยู่เหมือนกัน พอป๋าบอกว่าร้านไหน ข้าน้อยบอกให้ขับช้าๆ ไปเรื่อยๆ ก่อน เดี๋ยวพลาด คือข้าน้อยจำได้ว่าร้านอยู่ตรงไหน เพราะสมัยเรียนป.โท คณะข้าน้อยอยู่แถวนิมมานฯ ต้องได้ผ่านเห็นประจำค่ะ แต่ร้านที่ติดถนนใหญ่ มันจะเหมือนๆ กันหมด ต้องค่อยๆ ขับช้าๆ หา ขืนขับเร็วอาจมีสิทธิ์เลยได้ แล้วกลับยากอีกค่ะ เพราะถนนเส้นนี้พอตกดึกแล้วติดมากมาย



แล้วเราก็เจอแล้วค่ะ อยู่หน้านิมมานฯ ซอย 13 พอดี เสียอย่างเดียวไม่มีที่จอดรถของร้าน (ปกติร้านอาหารในนิมมานฯ จะซื้อที่ว่างทำที่จอดรถเฉพาะไว้ให้ลูกค้า) เราเลยต้องไปจอดในซอยแถวหอพักตรงข้ามร้านหน่อย



พอเห็นคนในร้านแล้ว ป๋าถึงกับตะลึงเลยค่ะ เพราะไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี่





ป๋าก็ถามข้าน้อยว่า นี่ต้องมานั่งรอหรือเปล่าเนี่ย? ข้าน้อยก็ว่าเข้าไปดูข้างในดีกว่า อาจจะมีที่เสริมก็ได้ ตอนแรกก็เกือบจะไม่ได้ที่นั่งแล้วค่ะ เพราะคนแน่นร้านมาก เราก็เลือกได้มุมที่ตรงข้ามกับเคานเตอร์บาร์พอดี ฟังดนตรีเป็นเสียงเครื่องปั่นน้ำผลไม้ไป จนป๋าบ่น(อีกละ)ว่า ทำไมเขาไม่ไปปั่นในครัว มาปั่นตรงข้ามโต๊ะแขกทำไม หนวกหู



แต่ป๋าก็ไม่ได้หงุดหงิดจนออกจากร้านแต่อย่างใด คาดว่าคงขับรถมาเหนื่อย หมดแรงจะต่อว่าแล้ว เลยต้องทำใจฟังเสียงเครื่องปั่นไปค่ะ





ปล. บอกไว้ก่อนว่า ภาพพรีวิวนั้นมีน้อยกว่าครั้งที่ไปถ่ายร้านท่าจีนชมจันทร์นะค่ะ เพราะลูกค้าแน่น พนักงานก็เดินเสิร์ฟกันแทบจะชน ข้าน้อยก็เลยถ่ายมาได้แค่บางส่วนค่ะ (ขนาดหนังสือเมนูยังถ่ายไม่ได้เลยอ่ะ เพราะพนักงานเร่งจะเอาไปให้ลูกค้าอื่นอีก)



ร้าน salad concept เป็นร้านอาหารที่ขายผักสลัดเป็นเมนูหลักค่ะ เกิดจากสองสาวพี่น้องเจ้าของร้านที่ได้ดูแลคุณพ่อที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ด้วยผักชีวจิตจนหายขาดจากมะเร็ง ก็เลยเกิดไอเดียอยากทำร้านอาหารสุขภาพ แต่มีจุดขายว่าขายผักสลัดอย่างเดียวให้เป็นจุดเด่นไปเลย โดยผักที่เขาใช้จะเป็นผักสดที่ร้านปลูกเอง ไม่ได้สั่งซื้อมาจากที่อื่นค่ะ



ด้วยความสวยงามการตกแต่งของร้าน จุดขายของร้านที่ไม่มีร้านไหนในเชียงใหม่ทำ (อาจจะพอมีร้านสวนผัก แถวแอร์พอร์ตบ้าง แต่ไม่ได้เน้นการขายสลัดอย่างที่นี่) รวมถึงเจ้าของร้านที่น่ารักทั้งคู่ด้วย (เคยมีข่าวว่า พระเอกหนัง อนันดา มาอุดหนุนที่ร้านนี่ประจำจนมีกลอปซิสว่า แอบมาจีบเจ้าของร้าน ^ ^) รวมทั้งทำเลการตั้งร้านที่อยู่ในแหล่งกินเที่ยวสำคัญของนิมมานฯ ทำให้ร้านนี่เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นค่ะ



หลายคนอาจคิดว่า มากินผักสลัดก็คงจะชามเล็ก แต่จะให้ดูภาพของพนักงานที่ตักผักสลัดใส่ในชามเสียก่อน ว่าชาม 'มัน ใหญ่ มาก' ขนาดไหน





เหตุผลที่ชามผักสลัดร้านนี้ต้องใหญ่นั้น เพราะเจ้าของร้านอยากให้ลูกค้าที่มากินได้อิ่มผักจริงๆ โดยไม่ต้องกินเพิ่มอีก เพราะส่วนใหญ่เรามักทานผักสลัดในจานเล็กกัน ทำให้ทานไม่อิ่มและต้องกินของหนักเพิ่ม ก็เลยทำให้ชามใหญ่ๆ จนอิ่มกันไปข้างนึงเลยค่ะ



บรรยากาศภายในร้าน ร้านเปิดตั้งแต่ 10.00-22.00 น. ค่ะ เขาว่าแน่นตั้งแต่เที่ยงแล้ว ยิ่งตกดึกยิ่งแน่นกว่า





กลับมาที่ป๋า จากที่เคยบ่น พอท่านเห็นเมนูแล้ว ก็เหมือนเจอขุมทรัพย์ค่ะ เพราะเป็นผักสลัดที่ท่านชอบจริงๆ ตอนแรกท่านคาดว่าคงจะมีน้อย แต่เห็นเมนูแต่ละอย่างน่าสนใจ ท่านก็เลยเหมือนกับได้เจอร้านในฝันเลยล่ะ (ป๋าข้าน้อยเป็นคนชอบติเรื่องรสชาติมาก จึงมีร้านอาหารโปรดนอกบ้านน้อย)



ถึงแม้ว่าจะขายผักสลัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ผักอย่างเดียว เนื้อก็มีเสริมค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์เบาๆ เช่น ปลา กุ้ง ไก่ ส่วนสัตว์หนักก็มีนิดหน่อย เช่น วัว หมู แต่เป็นชิ้นเล็ก ไม่ใช่ทานในเชิงสเต็กมากนัก เพราะต้องการให้ผักเป็นจุดหลักของชาม (ย้ำว่าชาม ไม่ใช่จานนะ)



ของป๋า เป็นสลัดพลาสต้าแซลมอน เมนูเด่นประจำร้านค่ะ



หน้าตาอาจจะดูจัดไม่สวยสักหน่อย (เหมือนจัดแนวรีบๆ) ให้อภัยได้ว่าร้านคนแน่นจัด ถ้าพนักงานมัวประดิดประดอยอาหาร เดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี





ส่วนของข้าน้อย เป็นสลัดปลาดอลลี่ชุบแป้งทอดค่ะ เป็นเมนูแนะนำมาใหม่ของร้าน (เห็นหน้าตาการเรียงผักแล้วเชื่อแล้วว่า พนักงานรีบจริงๆ) ราคา 115 บาท



แต่กินเข้าไปแล้ว ผักกรอบหวานใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ ขนาดข้าน้อยเป็นคนไม่ชอบทานฟักทองสุดๆ แต่กินฟักทองที่นี่ถึงกับอร่อยเลย แถมมีซอสสลัดมันฝรั่งของโปรดอีก



นอกเหนือจากสั่งเมนูจานหลักได้แล้ว เรายังสามารถสั่งแยกเฉพาะได้เช่น เอาน้ำสลัดงาญี่ปุ่น หรือสั่งผักเพิ่มก็ได้ โดยเขียนเมนูในกระดาษที่ร้านจัดให้ประจำโต๊ะค่ะ





นอกจากเมนูสลัดแล้ว เขายังมีไฮไลต์เป็นน้ำผลไม้ ที่ไม่ใช่น้ำผลไม้ทั่วไป แต่เป็นน้ำข้าวสาลีปั่นค่ะ! ในเมนูเขาก็จะแนะนำว่า เอาผักผลไม้ชนิดใดมาเป็นส่วนผสม ดื่มแล้วได้คุณค่าอะไรบ้าง รักษาโรคอะไรบ้าง นี่ก็เป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งค่ะ



แก้วนี่ของป๋า เป็นน้ำข้าวสาลีปั่นแท้ 100% ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ น้ำผลไม้ที่นี่ไม่ใส่น้ำแข็งเยอะ หรือใช้แก้วทรงสูง ราคาแพงกว่าที่ร้านท่าจีนชมจันทร์ถึง 10 บาท (ทุกแก้ว 60 บาท) แต่ป๋าบอกว่าอร่อยกว่า แทบได้กากใยเยอะกว่าด้วย





ส่วนของข้าน้อย เป็นน้ำข้าวสาลีปั่นเหมือนกัน แต่เพิ่มผลไม้เข้าไปด้วยค่ะ สีเลยออกเข้มๆ กว่าของป๋าหน่อย อันนี้มีพิเศษว่า ช่วยรักษาโรคมะเร็งได้ด้วย









เครื่องดื่มพร้อมอาหาร กับโลโก้ของร้าน









นอกจากผักสลัดแล้ว ที่นี่เขายังมีกาแฟและเค้กธัญพืชเพื่อสุขภาพด้วยค่ะ ราคาเริ่มต้นที่ชิ้นละ 75 บาท (แพงกว่าร้านมองบลังค์ซอยข้างๆ ที่เริ่มต้นชิ้นละ 50 บาท แต่ดูปริมาณได้เยอะกว่า) นี่ถ้าไม่อิ่มสลัด คงได้สั่งมาล้างปากหน่อยล่ะ ^ ^





มื้อนี่หมดไป 300 กว่าบาทค่ะ (น้องสาวที่ไปร้านท่าจีนชมจันทร์ไม่ได้มาด้วยคราวนี้ เพราะติดธุระกลับบ้านดึก) ที่นอกเหนือกว่านั้นคือ สร้างความประทับใจกลายเป็นร้านโปรดของป๋าไปเลยทีเดียว ทำให้ท่านรู้สึกว่า ยังมีร้านที่ท่านได้กินผักอร่อยได้เต็มที่ขนาดนี้





ร้านนี้ให้คะแนนความอร่อย 5 ดาวค่ะ รวมถึงการจัดโต๊ะ สถานที่มีเพียงพอ ร้านสวยงาม จุดขายของร้านดี



เรื่องบริการนั้นพออะลุ่มอะล่วยได้ เพราะไปในช่วงเวลาเร่งด่วนจริงๆ คนเยอะ พนักงานเสิร์ฟเลยไม่มีเวลาจัดหน้าตาอาหารให้สวยงาม หรือแม้แต่ยิ้มให้แขกด้วย = = " อ้อ รวมถึงเสียงเครื่องปั่นน้ำด้วยนะค่ะ เสียงดังมาก ป๋าฝากบอกมา ให้คะแนนโดยรวม 4 ดาว



ก็เป็นอันหมดไดอารี่พาป๋าไปเลี้ยงวันพ่อแล้ว และครั้งหน้าจะไปร้านไหนอีก ข้าน้อยจะนำมาลงให้เน้อ




Create Date : 26 มกราคม 2554
Last Update : 26 มกราคม 2554 15:01:39 น.
Counter : 2091 Pageviews.

10 comment
มักกะโรนีผัดหมูสับเห็ดแชมปิญอง
ที่จริงเมนูนี้ทำกินเมื่อคราวเหลือเห็ดจากทำก๋วยเตี๋ยวแกงกระหรี่แล้ว แต่เพิ่งจะเอามาลง



คราวนี้เอาเห็ดที่เหลือ ดัดแปลงมาใส่มักกะโรนีผัดหมูสับด้วยเลย



เครื่องปรุง

-มักกะโรนีแบบยาว ยี่ห้อเบสท์ฟู้ด 1 ถุงเล็ก (ถ้าถุงใหญ่ให้แบ่งครึ่งนึง หรือจะเปลี่ยนไปใช้เส้นสปาเกตตี้ก็ได้)

- หมูสับ 200 กรัม

- เห็ดแชมปิญอง 15 หัว

- หัวหอมใหญ่หั่นซีก 1 หัว

- ไข่ไก่ 1 ฟอง

- กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ

- ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ

- ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ

- ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ

- เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ (ใช้ลวก, คลุกเคล้าเส้น)





1. มักกะโรนีที่ซื้อมานั่น ถ้าถุงเล็กจะบอกว่ากินได้ 1-2 ที่ ถุงใหญ่จะ 3-4 ที่...ทีนี้เพื่อความประหยัดที่จะกินได้เยอะๆ ข้าน้อยจะใช้แบบถุงเล็ก เอามาหัก 3 ท่อน ทั้งนี้เพราะเคยลวกเส้นยาวหมดแล้ว เวลากินลำบากเหลือหลาย = = " ครั้นพอหักครึ่งก็ยังยาวอยู่ ก็เลยหัก 3 ท่อนเลย ได้เส้นยาวกำลังพอดี ไม่ยาวมาก แถมพอหัก 3 แล้ว ยังทำให้กินเท่ากับปริมาณ 3-4 ที่ได้อีกด้วย ^ ^



ตั้งหม้อต้มน้ำ เมื่อเดือดให้ใส่มักกะโรนีที่หักท่อนลงไป ตามด้วยเกลือและน้ำมัน เพื่อไม่ให้เส้นติดกัน แล้วต้มไปเรื่อยๆ คอยคนให้เส้นอย่าติดกัน





2. เมื่อลวกได้เส้นอย่างในภาพแล้ว เนื้อแป้งนิ่มแล้ว ปิดไฟแล้วเอาน้ำร้อนออก...ปกติเราจะเทน้ำร้อนลงท่อหรือไม่ก็ไปเทตรงพื้นดินไปเลย ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ท่อน้ำโดนน้ำร้อนลวกและเสื่อม หรือถ้าโดนต้นไม้ก็อาจทำให้ตายได้



วิธีของข้าน้อยก็คือ หาหม้ออีกใบ รองใต้ก้นตะแกรงเอาไว้ จากนั้นก็เปิดน้ำเย็นจากก็อก ค่อยๆ เทน้ำร้อนจากหม้อลวกลงไปยังหม้อกรอง เส้นจะติดกับตะแกรงไว้ ส่วนน้ำร้อนจะไปรวมกับน้ำเย็นที่อยู่ใต้หม้อกรองไว้แล้ว เท่านี้จะทำให้กลายเป็นน้ำพออุ่นได้ ยกตะแกรงเส้นออกไปล้างแยกต่างหาก ส่วนน้ำอุ่นนั้นก็เอาไว้ให้เย็นสักพัก จะเททิ้งหรือลดน้ำต้นไม้ก็แล้วแต่



เมื่อเส้นล้างน้ำเย็นแล้ว ให้ลองเส้นแห้งน้ำแล้ว ค่อยใช้น้ำมันพืช 1 ช้อนชา เทให้ทั่วเส้น เพื่อว่าเวลาผัดเส้นจะได้ไม่ติดกระทะ





3. ระหว่างรอเส้นแห้ง ให้ตั้งกระทะ ผัดกระเทียมเจียวกับหมูรอไว้ก่อน ใส่ซอสปรุงรสผัดเข้าไป





4. นำหอมหัวใหญ่ที่หันเป็นซีกแล้ว ผัดรวมกัน พร้อมเห็ด หากอยากให้หอมอีก ใส่ซอสปรุงรสเข้าไปอีก





5. ผัดนัวเนียให้เข้ากัน





6.ตามด้วยซอสมะเขือเทศ





7.ตามติดด้วยซอสพริก (อันนี้เป็นสูตรน้องสาวข้าน้อยเอง บอกว่าถ้าใส่ซอสมะเขือเทศเพียวๆ มันจะหวานปนเลี่ยน ให้มีความเผ็ดของพริกลงไปหน่อย) ผัดให้เข้ากันไปได้สักพัก ให้ตอกไข่ใส่ลงไปผัดผสมกันอีกที





8.ใส่เส้นลงไปผัดตาม ใส่ซอสมะเขือเทศลงไปอีก (บางคนอาจจะแยกซอสแล้วไปราดกับเส้นอีกทีก็แล้วแต่) แล้วนัวเนียให้เข้ากัน







เสร็จแล้ว พร้อมเสิร์ฟ (จริงๆ เสิร์ฟกับผักสลัดด้วยจะดีมากๆ แต่วันนั้นกินผักสลัดหมดพอดี = =")





หน้าตามันดูไม่ค่อยดีหน่อย ขออำภัย





(ขออนุญาตไม่ใช้วิธีการกินตามแบบฝรั่ง) ใช้ส้อมจิ้มตักแต่ละเส้นจะได้กินพอดีคำ ไม่ยาวจนกินลำบาก ไม่ต้องม้วนให้เมื่อย



จบแล้วจ้า



Create Date : 25 มกราคม 2554
Last Update : 25 มกราคม 2554 14:37:06 น.
Counter : 1943 Pageviews.

5 comment
พาป๋าไปเลี้ยงวันพ่อ กินข้าวที่ร้าน ท่าจีนชมจันทร์ เชียงใหม่
ชื่อร้าน : ท่าจีนชมจันทร์
รายการอาหาร : อาหารทะเล
เวลาเปิดบริการ : 17.00-24.00 น.
ที่ตั้งร้าน : เข้าซอยวัดเจ็ดยอดด้านซ้ายมือ เข้าถนนโพธาราม จะเห็นท่าจีนชมจันทร์อยู่ทางด้านซ้ายมือ ใกล้กับโรงแรมท่าจีนบูติค, เชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 48' 33.61" N 98° 58' 13.41" E


อันเนื่องมาจากวันพ่อที่ผ่านมา สองพี่น้องจะพาป๋าไปทานข้าวนอกบ้านเปลี่ยนบรรยากาศ โดยจะเลี้ยงกันคนละวัน (ลาภปากป๋าเลยล่ะ) แต่ขอเลี้ยงกันย้อนหลังหลังวันพ่อแทน เพราะถ้าไปเลี้ยงในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คาดว่าคนแน่นแน่...วันที่ 6 นี่ น้องสาวข้าน้อยก็ถือโอกาสเป็นคนเลี้ยงป๋าก่อน เพราะวันอื่นๆ เธอจะกลับบ้านดึกมาก (ไปสอนพิเศษเด็กนะ ไม่ได้ไปเที่ยวผับ) พอวันที่เธอว่างเธอก็ขอเลี้ยงก่อนเลย ส่วนข้าน้อยจะไปเลี้ยงป๋าอีกทีในวันที่ 7



เราสามพ่อลูกนั่งรถไปร้านที่ป๋าหมายตาเอาไว้ เป็นร้านที่สองพี่น้องไม่เคยมากินเลยค่ะ อยู่ในซอยใกล้กับทางไปโรงแรมอมารี รินคำ...เป็นร้านอาหารทะเล ชื่อ ท่าจีนชมจันทร์



ตอนที่เราไปก็เริ่มจะเย็นแล้ว (แต่ภาพถ่ายตอนที่กินเสร็จนะ) คนไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ มีที่จอดรถเอาไว้เหลือหลาย มีน้องพนักงานสาวมายืนรอรับแขกอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะเชิญพวกเราเข้าไปในร้านค่ะ



ปล. ภาพถ่ายหมู่ครอบครัวไม่มีนะค่ะ พ่อกับน้องไม่ให้ถ่าย...พวกเขาอายอ่ะค่ะ









ภายในร้านมีที่นั่งเลือกให้ 4 ประเภทค่ะ ที่แรกก็จะเป็นนั่งในสวนป่า จัดสวนได้บรรยากาศดีมาก





มุมนี่มีดูทีวีได้ด้วยค่ะ (เห็นเปิดรายการฟุตบอล คงเป็นมุมโปรดช่วงฟุตบอลโลกแหง)





เลือกโต๊ะกันอยู่นานพอสมควร เพราะป๋าต้องการมุมปลีกวิเวกวังเวงหน่อย





ตรงมุมนี่มีออปชั่นพัดลมเป่า





ระหว่างปล่อยป๋ากับน้องสั่งอาหาร (สองคนนี่สั่งกันนานอ่ะ) ข้าน้อยก็เลยเดินเตร็ดเตร่ไปถ่ายรูปมุมต่างๆ ภายในร้านให้ชมค่ะ



มุมนี้เป็นมุมใต้หลังคาของร้าน อาจเอาไว้กรณีฝนลงได้ ที่นั่งค่อนข้างเยอะ





ตรงนี้เป็นมุมบาร์เบียร์ เหมาะกับคอทองแดงมากกว่า เพราะใกล้กับที่ปิ๊งอาหารด้วยค่ะ จะได้สั่งง่าย





ส่วนตรงข้ามมุมบาร์เบียร์ เป็นห้องอาหารติดแอร์ข้างในค่ะ...จะเลือกมุมไหนก็ได้ตามสะดวก





ป้ายบอกทางไปแต่ละที่ ดูเก๋ไก๋เชียว





แถวเก้าอี้นั่งรอค่ะ...อาจให้พนักงาน หรือแขกมารอ หรือให้แขกมาสูบบุหรี่ก็ได้ เป็นเก้าอี้แบบเก้าอี้นักเรียนเลย





ที่ตรงมุมห้องแอร์นั่น มีร้านมะนาวดอง ขนมย้อนอดีต ด้วย?





ที่แท้เป็นร้านขายขนมย้อนอดีตกันนี่เอง...ถ้าใครเคยเห็นเคยทาน คงเดาอายุกันได้นะ





อันนี้ป๋าข้าน้อยบอกว่า เคยทานตอนเป็นเด็กๆ ด้วย (โอ้ว ตั้ง 40 กว่าปียังมีให้เห็นอยู่)





ที่เห็นเป็นกระปุกด้านซ้ายมือ ยี่ห้อ อ้ายทุย นั้น เป็นกาแฟโบราณแบบผง ใส่กระป๋องนะค่ะ





กลับมาเรื่องอาหารกันต่อค่ะ ^ ^



ป้ายเมนูแนะนำประจำร้าน





กระดานดำเขียนแนะนำอาหาร(อีก)และรายชื่อแขกที่จองโต๊ะไว้ค่ะ





ปึ๊ก(กลับ)ไปสั่งอาหารต่อค่ะ



หน้าปกเมนู





เหตุที่เลือกร้านอาหารซีฟู้ด เพราะป๋าบอกว่า เพื่อนเคยพามากินแล้วติดใจ อีกทั้งป๋าก็กินเนื้อหนักๆ ประเภท วัว หมู ไม่ค่อยได้แล้ว ชอบกินประเภทเบาๆ อย่างซีฟู้ดมากกว่า (แต่ข้าน้อยแพ้กุ้งกับปูอ่ะ T^T ยังดีไม่แพ้หมด) ก็เลยมาเลือกร้านนี่ค่ะ



แต่พอเปิดเมนูดูราคาแล้ว...ป๋าถึงกับโพล่งเลยว่า "ทำไมราคาแพงจัง" (เพราะตอนเพื่อนพามากิน เพื่อนเลี้ยงค่ะ ไม่ได้เช็คบิลเช็คราคา พอใครเลี้ยง ป๋าสั่งแบบไม่ดูราคาเลย) พอคราวนี้ป๋าถึงกับสะดุ้งเลย เพราะราคาแพงสำหรับป๋ามาก ประกอบกับมื้อนี้น้องสาวเป็นคนเลี้ยงด้วย สามพ่อลูกก็เคยสั่งแค่พอกินเท่านั้น ไม่ได้สั่งอะไรเยอะมากมายค่ะ (แม้ข้าน้อยจะบอกว่า จะอาสาแชร์จ่ายให้) แต่เพราะตอนเย็น กินข้าวไม่ค่อยหนักมาก ก็เลยสั่งแบบพอเพียงค่ะ...ฉะนั้น รูปอาหารที่จะนำมารีวิวก็มีไม่มากนะค่ะ





แต่เมนูเขาก็แอบมีประโยชน์นะค่ะ อย่างหน้านี่แนะนำ กุยช่ายขาว บอกถึงคุณประโยชน์ที่นำมาประกอบอาหารทางร้านด้วย ถือเป็นไอเดียแนะนำอาหารสุขภาพ





ส่วนน้ำผลไม้ แก้วละ 50 บาททุกราคาค่ะ ไม่รู้เพราะว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพหรือเปล่า ก็เลยต้องราคาแพงตาม (คือคนซื้อยอมจ่ายแพงได้เพื่อได้ของสุภาพ เหมือนถือว่าของมีราคาสูง เป็นของดีมีคุณภาพนี่อ่ะ)





ได้น้ำมาก่อนค่ะ ข้าน้อยสั่งน้ำแครอทผสมมะนาว แก้วใหญ่ดีจริง ค่อยคุ้ม 50 บาทหน่อย (หรือไม่คุ้ม?)



ระดับความอร่อย





สั่งข้าวมาโถหนึ่ง ส่วนน้ำผลไม้ของป๋ากับน้อง...สองคนนี้ไม่ให้ถ่ายอ่ะเขาหิว เขาจะกิน (อะไรจะหิวปานนั้น)



ปูสดเตรียมบูชายัญ





แต่เราไม่ได้สั่งปูมาค่ะ (เห็นสายตาปูแล้วแอบใจอ่อน) ก็เลยสั่งมาแค่หอยแครงลวก



ระดับความอร่อย...ข้าน้อยคงบอกไม่ได้ เพราะไม่ชอบทานหอยแครงอยู่แล้วอ่ะอันนี้ป๋ากับน้องสั่งมากินกันเองสองคน แต่คงอร่อยมากแหละ เพราะแย่งกันกินเลยเชียว ^ ^





ปลาหมึกทอดกระเทียมค่ะ



ระดับความอร่อย



ปล. แอบสงสัยว่า ทำไมข้างๆ จานประดับสับปะรดหั่นแว่นมาด้วย เอาไว้กินแก้เลี่ยนหรือ?





ทอดมันปลากราย เมนูโปรดที่บ้านเราต้องสั่ง ปลากรายของเขาชิ้นใหญ่ เนื้อแน่น สะใจมาก



ระดับความอร่อย





ผัดผักกระเฉดค่ะ แน่นอนว่าความอร่อยบอกไม่ได้...เพราะไม่ใช่เมนูโปรดของข้าน้อย (แต่เมนูโปรดของป๋า) แต่ดูป๋าว่าจืดไป เลยต้องขอสั่งซีอิ๋วมาเพิ่ม (ซึ่งกว่าจะมาได้ก็นานจัง แค่ซีอิ๊วถ้วยเดียว ต้องสั่งสองรอบแนะ)



ข้อเสียของร้านคือ มุมสวนนั้น ยุงเยอะพอสมควรค่ะ ขนาดยากันยุงยังเอาไม่อยู่ค่ะ และก็การบริการของร้านช้าไปหน่อย (ส่วนราคาอาหารนั้นแพงหรือไม่ แล้วแต่แต่ละคนค่ะ แต่สำหรับป๋าข้าน้อยว่าแพงอ่ะค่ะ) ส่วนข้อดีคือความอร่อยของอาหาร และการนำเสนอเรื่องอาหารสุขภาพค่ะ



ระดับความอร่อยอาหาร

ระดับความสะอาด-สวยงามของร้าน

ระดับการให้บริการ

ระดับความน่าสนใจ(ร้าน-อาหาร)







Create Date : 20 มกราคม 2554
Last Update : 20 มกราคม 2554 9:33:46 น.
Counter : 9404 Pageviews.

14 comment
ก๋วยเตี๋ยวหมูสับแกงกระหรี่อินเดีย
อันนี้ก็เป็นเมนูสูตรจากคุณน้าคนเดิมที่สอนพลอยทำกับข้าว (แม่พลอยทำกับข้าวบ่เป็น ฮา ^ ^) อันนี้ไม่ใช่อาหารที่กินบ่อยๆ แต่ก็กินมานานแล้ว (แต่คงไม่ถึง 20 ปีหรอกนะ) เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูสับแกงกระหรี่อินเดีย ที่มีรสชาติเผ็ดหน่อย ไม่ใช่แกงกระหรี่แบบญี่ปุ่น ทำฉลองกินวันส่งท้ายปีเก่านี่เอง (แต่เพิ่งเอามาลง เพราะเพิ่งจะเคลียร์งานป๋าเสร็จ)



งวดนี้จะบอกว่าสอนมานานก็ไม่ได้ เพราะคราวนี้แม่ลองให้ทำเองดูบ้าง จะได้ไม่รบกวนคุณน้าอีก ก็เลยไปถามสูตร พร้อมขั้นตอนวิธีทำมา ดังนี้



สูตรสำหรับ 6 ที่

เวลาในการทำ 45 นาที



เครื่องปรุง

- เส้นราดหน้า 1 กิโลกรัม

- หมูสับ 400 กรัม

- เบบี้แครอทหั่น 300 กรัม (ในภาพมีบิ๊กแครอทเสริมด้วย เพราะเบบี้แครอทไม่พอค่ะ = = ")

- เห็ดแชมปิญองหั่นครึ่ง 15 ชิ้น (ถุงนึงมี 30 หัว ราคาถุงละ 40 บาท ซื้อจากฟาร์มเพาะเห็ดนี่ที่เชียงใหม่ ไม่ได้ซื้อแบบของนอกนำเข้าจ้า)

- แป้งข้าวโพดละลายน้ำ 2 ถ้วย

- ผงแกงกระหรี่ 4 ช้อนโต๊ะ

- ซุปก้อนสำเร็จ 1 ก้อน

- น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง

- กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ

- ซีอิ๋วดำ 1 ช้อนชา

- น้ำมันผัดหมู/เส้น อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ

- ซอสปรุงรส,ซีอิ๊ว,น้ำปลา,น้ำตาล อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ (ปรุงรสแล้วแต่คนชิม

- ผักสลัด ไว้กินกับแก้เลี่ยน



ในภาพดูมันน้อยๆ เอาไว้ถ่ายพองามค่ะ แต่ไม่ได้เอาปริมาณทั้งหมดมาถ่ายจริง





1. ตั้งกระทะ ในน้ำมัน ผัดหมูเข้ากับกระเทียมเจียว









2. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส แบบสำหรับผัดอาหาร ระหว่างนี้ใส่น้ำตั้งหม้อรอเดือด









3. เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้ว ใส่ซุปก้อน ตามด้วยหมูสับลงไปเลย









4. ใส่เห็ดกับแครอทที่หั่นแล้ว ตามลงไป









5. ใส่แป้งข้าวโพดละลายน้ำ พร้อมกับผงแกงกระหรี่ (อันนี้แล้วแต่ความชอบของใครว่า ชอบเผ็ดแค่ไหน จะใส่น้อยใส่มากก็นั้น ก็ชิมรสด้วย)









6. ระหว่างต้มแกงกระหรี่นั้น ก็เปลี่ยนมาผัดเส้นก๋วยเตี๋ยวรอ

ใช้น้ำมันผัดเพียงน้อยนิด แต่เอาราดให้ทั่วกระทะ ใส่ซีอิ๊วดำแล้วผัดให้ทั่ว









7. ที่ให้ใส่ซีอิ๊วดำทีน้อย เพราะเคยใส่เยอะมาก แบบกลัวไม่ดำทั่วถึง จนแม่กัดว่า ผัดเป็นจรกาลงสรงเลยเรอะ?









8. เมื่อผัดเส้นเสร็จพักรองไว้ หันไปเคี่ยวแกงต่อ ใส่เครื่องปรุงรสทั้งหมดลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นชิมรสดู



เคี่ยวจนให้แครอทเปื่อยกันไปข้างเลย งานนี้แล้วแต่ความแรงของเตาแต่ละบ้าน ถ้าไฟแรงจะสุกเร็ว ต้องหมั่นเคี่ยวบ่อยๆ ไม่งั้นหม้อไหม้









9. เมื่อเปื่อย เอ๊ย สุกได้ที่แล้ว ก็ใส่เส้นที่ผัดไว้ในจาน ค่อยๆ ราดด้วยน้ำแกง เสิร์ฟพร้อมผักสลัด ไว้กินแก้เลี่ยนจ้า มิใช่เอาไว้ประดับจานแต่อย่างใด



เหยาะพริกไทยเพิ่มความหอมเผ็ด (นี่ยังไม่เผ็ดพออีกเรอะ = =" เผอิญข้าน้อยติดพริกไทยอ่ะค่ะ)










Create Date : 19 มกราคม 2554
Last Update : 19 มกราคม 2554 17:01:04 น.
Counter : 1545 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

สาวเหนือเซาะกิ๋น
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวย ถึก และบึกบึน