Group Blog All Blog
|
เมื่อสาวเหนือมาทำบะหมี่ไก่อบซอสลาวา
เมื่อวันอาทิตย์ทำหมูกะทะกินกันทั้งบ้าน แต่ว่าบะหมี่หยกที่ผัดไว้เหลือค่ะ แถมอกไก่ที่พ่อซื้อมายังไม่ทำกินสักที กลัวจะหมดอายุ...และที่บ้านเราก็ทำกิจการน้ำผึ้งด้วย เลยไปค้นเมนูที่เราสแกนเอาไว้สำหรับอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำผึ้งจากหลายๆนิตยสารแม่บ้านเมื่อหลายปีก่อน...เจอเมนูนี่ก็เลยโป๊ะเช๊ะ เข้ากับสถานการณ์และองค์ประกอบเลย ก็ตกลงเอาเมนูนี่ค่ะ บะหมี่ไก่อบซอสลาวา (4 คน) สูตรทำซอสลาวา ขั้นแรกเราเอาแครอทไปนึ่งในหม้อนึ่งก่อนเลยค่ะ เพราะใช้เวลาอยู่กว่ามันจะนิ่ม (แต่ในสูตรใช้ลวก แต่เราขี้เกียจทำ เลยนึ่งเอาดีกว่า) จะใช้ผักอื่นก็ได้นะค่ะ ใช้เวลาเท่าไหร่ก็คงต้องดูจนกว่ามันจะนิ่มแหละค่ะ อนึ่ง เคยอ่านในนิตยสาร เค้าว่าแครอทจะกินสดๆไม่ได้ ต้องนำไปผ่านการปรุงอาหารสักอย่าง เช่น ลวก นึ่ง เพราะในแครอทมีสารบางอย่างที่กินสดๆแล้วจะเป็นพิษต่อร่างกายค่ะ แล้วเราก็มาทำซอสหมักเนื้อกันก่อนค่ะ เอาซอสมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม กระเทียมสับ หอมหัวใหญ่สับ พริกไทย น้ำผึ้ง มาโฮะ(ในภาษาเหนือ คือ เอามาผสม เช่น แกงโฮะ)กันให้หมด แล้วก็เนื้อไก่หั่นเนื้อพอดีคำมาหมักค่ะ ใช้เวลาหมักแค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง เมื่อครบกำหนดหมักเนื้อ เราก็มาทำซอสลาวากันเลยค่ะ ตั้งหม้อเปิดไฟ แล้วก็เทเนื้อที่หมักซอสลงไปให้หมด จากนั้นใส่น้ำเปล่าลงเคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนไก่นุ่มและน้ำงวด ส่วนขั้นตอนบะหมี่ ก็สลัดแป้งที่โรยในตัวบะหมี่ให้หมด นำไปลวกในน้ำร้อนจัด จากนั้นก็ตักล้างในน้ำเย็น แล้วก็นำขึ้นมาสะเด็ดน้ำให้แห้ง นำไปผัดกับกระเทียมเจียวค่ะ จากนั้นก็นำแครอทลวกและบะหมี่มาจัดวางในจาน แล้วตักน้ำซอสราด โรยโป๊ะด้วยกระเทียมเจียวแทนผักชีโรยหน้า (จะเก็ทมุกนี่ไหมนิ ฮา) จัด Display เรียบร้อย (พยายาม)ไม่ให้เสียชื่อ Display เก่าเซ็นทรัล 555 ซูมภาพชัดๆค่ะ รสชาติของซอสจะออกหวานนำ เผ็ดนิด น่าจะเหมาะสำหรับคนชอบหวาน หรือเป็นเมนูของเด็กๆก็ได้นะค่ะ น้ำซอสนี่นำไปราดกับสเต็กหรือข้าวราดก็ได้ค่ะ ถ้าใครไม่ชอบหวาน ก็ใส่พริกให้เยอะหน่อยก็ได้ค่ะ แล้วสูตรนี่นำไปปรับกับเนื้ออย่างอื่นได้อีก ลองทำดูนะค่ะ เมื่อสาวเหนือไปกินบะหมี่ที่เย็นตาโฟดารา เชียงใหม่
ชื่อร้าน : เย็นตาโฟดารา
รายการอาหาร : เย็นตาโฟ บะหมี่ ข้าวต้ม ข้าวหมูแดง ลูกชิ้น ขนมถ้วย เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 9.00 - 18.00 น. ที่ตั้งร้าน : อยู่ตรงทางสามแพร่งสุสานสันกู่เหล็ก ฝั่งสะพานนวรัฐ, เชียงใหม่ Thailand พิกัด GPS : 18° 48' 8.05" N 99° 0' 42.53" E กลับมาถิ่นเหนือบ้านเฮาแล้วเจ้า ภายในร้านผนังกว้างโอโถ่ ส่วนเมนูมีติดหน้าผนัง ไม่มีแผ่นเมนูตรงโต๊ะนะค่ะ ต้องไปดูที่ฝาผนังเน้อ เมนูบนผนังค่ะ ป้ายรับรองการันตีคุณภาพ ที่โต๊ะมีจานใส่ขนมถ้วย มีบริการทุกโต๊ะ คู่ละ 10 บาท ถาดนึงมี 5 คู่ (50 บาท) มองเผินๆ เหมือนฝาเปล่าๆ (เล่นสีซะกลมกลืนเหมือนฝาเลย) อร่อยดีค่ะ แล้วพ่อก็สั่งบะหมี่เย็นตาโฟมาค่ะ ส่วนของเราเป็นบะหมี่แห้งเกี๊ยวหมูโรยเนื้อปู(ตอนแรกนึกว่าเนื้อปลา เผลอกินเข้าไปถึงกับหน้ามืดเลย เพราะเราแพ้ปูกับกุ้งอ่ะค่ะ T^T) กินกับชามะนาวเย็นเจี๊ยบ รสชาติโดยรวมก็อร่อยดีค่ะ แต่รู้สึกน้ำมันเยิ้มไปนิดอ่ะ แล้วป๋าก็สั่งชามที่สอง คือ ราดหน้าผัดขี้เมา (ส่วนเรากำลังหน้ามืดกับปู เลยไม่ได้สั่งชามที่สองค่ะ) ร้านนี่โดยรวม ราคา บรรยากาศ ความอร่อยก็โอเคค่ะ ร้านเปิดทุกวัน 9.00 - 18.00 น. ถ้าหาร้านไม่เจอ ให้ลองถามหาสุสานสันกู่เหล็ก เพราะร้านตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง ซึ่งมีสนามบอลตั้งอยู่ด้วยค่ะ เมื่อสาวเหนือส่งท้ายไปกิ๋นมื้อหรูที่ Tokiya สาขา siam discovery
ชื่อร้าน : Tokiya สาขา siam discovery
รายการอาหาร : สเต็กคอร์ส 8 อย่าง เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 10.00 - 21.00 น. ที่ตั้งร้าน : siam discovery อยู่ชั้น 2 ตรงทางขึ้นบันไดเลื่อนพอดี, กรุงเทพมหานคร ปทุมวัน Thailand พิกัด GPS : 13° 44' 44.37 แล้วก็มาถึงร้านส่งท้ายทัวร์กินรอบบางกอก ก่อนกลับเชียงใหม่ด้วยน้ำหนักหลายกิโลที่ตามกลับไปด้วยค่ะ (ฮา) ร้านนี่รุ่นพี่เป็นแม่งานเลี้ยงในอีกวันค่ะ ^ ^ แต่เธอจะเลี้ยงมื้อค่ำ และเธอแนะนำว่ามื้อกลางวันให้กินน้อยๆหน่อย (หรือไม่กินเลยได้ยิ่งดี) เพราะเธอบอกว่ามื้อนี่จะเยอะมาก!!! ได้ยินแบบนี้แล้วเราชักหวั่นใจว่า...รุ่นพี่จะพาเราไปเลี้ยงอะไรนิ = =" มันจะเยอะถึงขนาดต้องให้อดข้าวกลางวันเลยหรือ? ...เวลาสองทุ่มก็มาพบรุ่นพี่ตามนัดหมายหลังจากเลิกงาน เราก็เดินตามเป็นลูกเจี๊ยบไปยังชั้น 2 ของ siam discovery มายังร้านหรูสีม่วงสไตล์หรูแนวโมเดิร์น ...ร้าน Tokiya
บอกตรงๆว่า เราไม่รู้จักร้านนี่เลยค่ะ แม้ว่าจะเป็นร้านที่คุณตัน บริหารก็ตาม เพราะที่เชียงใหม่นั้นไม่มีร้านของคุณตันมาเปิดสาขา ก็เลยไม่สนใจว่าเป็นร้านของคุณตันจะมีชื่ออะไรบ้าง (แล้วรู้สึกว่าเปิดเยอะมากจนจำชื่อไม่ไหว = =") ที่รู้ว่าเป็นร้านคุณตัน เพราะมีหุ่นรูปคุณตันตั้งอยู่หน้าร้าน เลยรู้นะค่ะ ^ ^" แต่ถ้าให้มาร้านนี่คนเดียวคงไม่กล้ามาแน่ค่ะ เพราะร้านตกแต่งสไตล์หรูจนน่ากลัวว่าไฮโซล้านนาอย่างอิฉันไม่กล้าเข้า ^ ^" (เห็นชั้นวางไวน์ก็รู้แล้วว่าอาหารราคาแพงแน่) เมนูของร้านนั้น เราถ่ายไม่ทันค่ะ เพราะรุ่นพี่บอกให้รีบๆเลือก เพราะมีให้กิน 8 อย่าง! พนักงานเขาจะได้เตรียมทำให้เสร็จเร็วๆ เราฟังแล้วเกือบหงายหลัง! ตอนแรกนึกว่าจะกินทีเดียว 8 อย่างเลยฤา? ปรากฎว่าได้รับการอธิบายจากรุ่นพี่ค่ะว่า...ร้าน Tokiya นี่เป็นร้านอาหารสไตล์ ฟิวชั่น สเต็ก คอร์ส คือจะมีการเสิร์ฟอาหารมาให้กินทีละอย่าง เหมือนเมนคอร์ส เมื่อหมดเมนูนี่ ก็จะเสิร์ฟเมนูต่อไป เหมือนเป็นการกินอาหารแบบมีพิธีรีตองคล้ายกับผู้ดีอังกฤษหรือฝรั่งเศส (โต๊ะจีนนี่ก็น่าจะนับเป็นเมนคอร์สเหมือนกันนะค่ะ เหมือนคือมาทีละอย่าง แต่ต่างกันที่กับอาหารมาในจานรวม ไม่ได้แยก) แต่ที่เราเคยอ่านเจอในนิยายรักประโลมโลกยุควิคตอเรียน เห็นมีกินแค่ 3 อย่างนิ คือออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อย อาหารหลัก ของหวาน อาจจะมีดื่มไวน์ตบท้ายก่อนนอน...แต่นี่มีถึง 8 อย่างดังในภาพเลยอ่ะ! อะไรมันจะเยอะขนาดนี่เนี่ย! แล้วนู๋จะกิ๋นไหวก่อนิ T T แต่ยังไงก็ต้องกินค่ะ เพราะ concept ของการมาทัวร์กินบางกอกคือ "กินอะไรที่เชียงใหม่ไม่มี" และถือว่าได้เป็นการลองกินเป็นครั้งแรกด้วย ยังดีกว่าไปกินเมนคอร์ทแท้ๆที่ราคาแพงหูตูบสุดๆล่ะกัน! ก่อนที่จะสั่งเมนูนั้น รุ่นพี่เสนอขึ้นมาแบบไม่บังคับว่า (มากินกัน 4 คน) ว่าน่าจะลองสั่งเมนูแบบไม่ซ้ำกันสักคนดีไหม (หมายถึงว่าหนึ่งเมนู จะมีให้เลือกหลายอย่างค่ะ เช่น ประเภทเครื่องดื่ม อาจมีหลายรส) ทั้งนี้เผื่อว่าจะได้เฉลี่ยกินกันในหมู่เพื่อน ได้ลองหลายๆเมนู ดีกว่าสั่งของใครของมันแล้วซ้ำกัน เราก็ตกลงเอาตามข้อเสนอของรุ่นพี่ค่ะ...และในฐานะที่เป็นคนต่างถิ่นและเป็นรุ่นน้องที่สุดในกลุ่ม เราก็เลยมักจะสั่งทีหลัง เพื่อรอฟังว่ารุ่นพี่สั่งเมนูอะไรไป แล้วเมนูไหนยังไม่ได้สั่ง เราก็จะเอาเมนูนั้นค่ะ รุ่นพี่บอกว่า อาหารที่ร้านนี่จะเสิร์ฟในสไตล์การจัดวางเหมือนการทำงานศิลปะหน่อย...ก็คงเหมือนการจัดวางอาหารแบบฝรั่งเศสอ่ะนะ ที่อาหารน้อยๆหน่อย แต่มีการจัดวางได้องค์ประกอบศิลป์...อะไรประมาณนี่แหละค่ะ แล้วจานแรกก็มา ออร์เดิร์ฟแบบสวยแบบอาร์ตตัวแม่เลยค่ะ...เห็ดย่างซอสโรยผงพริก 7 อย่าง เห็นตอนแรกนึกว่าเขาเสิร์ฟไก่หมักซอส CP ที่เห็นตาม 7-11 มาหรือเปล่านิ (ก็รูปร่างมันเหมือนนิ) แต่พอได้ลองกินถึงได้รู้ว่าเป็น เห็ดย่างซอสโรยผงพริก 7 อย่าง รสชาติโอเคเลย เผ็ดกำลังพอดี ส่วนเห็ดก็กึ่งนุ่มกึ่งเหนียว ไม่เหนียวมากขนาดเป็นยางมิชลิน แบบเคี้ยวไม่เข้าอ่ะค่ะ กินเห็ดเรียกน้ำย่อยแล้ว ก็มาต่อด้วยสลัดเบาๆกันค่ะ ของเราเป็นสลัดผักค่ะ ขอบอกว่าผักสด กรอบ ยิ่งกินกับน้ำสลัดครีมแล้วยิ่งอร่อยมากๆเลยค่ะ >U< ทำเอาคนที่ไม่ชอบกินผักอย่างเรา กินจนเพลินเลยอ่ะ ส่วนของเพื่อนเป็น มะเขือเทศสลัดยัดไส้เมนไทโก
ของเพื่อนอีกคนเป็น แตงกะแอปเปิ้ลคลุกน้ำสลัดโร ส่วนของรุ่นพี่เป็นสลัดเป็ดย่างค่ะ แม้จะน้อยชิ้นไปหน่อย แต่น้ำสลัดนั้นอร่อย ยิ่งราดบนเนื้อเป็ดที่นุ่มปากด้วยแล้วยิ่งอร่อยเลยค่ะ ต่อมาเป็นซุปค่ะ เริ่มที่ของเรา เป็นครีมซุปมิโสะใส่ไข่ตุ๋น โรยด้วยเม็ดสนและสาหร่าย...ซุปนี่หอมมัน ได้กลิ่นแล้วรู้สึกชอบเลยค่ะ เม็ดสนก็กรุบกรับ อร่อยมากๆ ส่วนของเพื่อนสองคนสั่งซุปเนื้อตุ๋น กลิ่นหอมฉุยคล้ายแกงพะโล้หน่อยๆค่ะ เนื้อที่ตุ๋นก็ตุ๋นจนเนื้อละลายในปากเลย รสซุปกลมกล่อม อร่อยใช้ได้ค่ะ เห็นมีแต่ของอร่อย...แต่ที่สุดแล้วเราก็เจอของไม่ถูกลิ้นเพื่อนเข้าจนได้...นั้นคือ ล็อปเตอร์ซุป...เห็นสีสวยแบบนี้ แต่เพื่อนบอกว่าทานแล้วไม่ใช่เลย ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นล็อปเตอร์เลย...ส่วนมันจะไม่อร่อยขนาดไหน เราบอกไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้ชิม...เพราะว่านู๋แพ้กุ้งง่ะ T T ถ้าเรากินกุ้งเข้าไป จะรู้สึกคันแสบภายในคอหอยจนไม่อยากกินอะไรต่อเลย...ดังนั้นขอไม่ลองของค่ะ ต่อไปเป็นเมนูข้าวค่ะ อันนี่มีให้เลือกแค่สองอย่างเท่านั้น ของเราคือ ข้าวอบหร่ายกับปลาโอแห้ง หอยลาย และปูอัด ซึ่งเขาจะเอาข้าวใส่ในหม้อแล้วไปอบอีกทีหนึ่งค่ะ ได้กลิ่นหอมและรสชาติที่อร่อยมากๆ ^U^ แถมทำถ้วยเป็นทรงเอียงแบบให้ปากหม้อเอียงเข้าหาผู้รับประทาน 45 องศา แนวดีค่ะ ส่วนของเพื่อนเป็นข้าวทอดญี่ปุ่นทรงเครื่อง กรอบนอกนุ่มใน อร่อยมากๆเลย กินของหนักไปกันเยอะแล้ว ก็ถึงคราวเครื่องดื่มค่ะ อันนี้ทุกคนได้ดื่มหมด คือ มัลเบอร์รี่ เวเนก้า จูซส์ เป็นน้ำมัลเบอร์รี่ที่นำไปแช่เย็นจนเกิดเกล็ดน้ำแข็ง รสชาติหวานๆฝาดๆโอเชค่ะ เย็นเจี๊ยบชื่นใจ พนักงานบอกว่าดื่มน้ำนี่จะช่วยย่อยอาหารที่กินไปก่อนหน้านี่ให้รู้สึกท้องเบาขึ้นหน่อย ก่อนที่จะเจอชุดสเต็กชุดใหญ่ พระเอกของงาน! แล้วก็มาถึงสเต็กซะที...ปกติเราชอบกินสเต็กหมูนะค่ะ แต่รู้สึกว่าทานของก่อนหน้านี่ไปแล้วอิ่มแล้วแฮะ = =" ก็เลยคิดว่า สั่งสเต็กปลาดอลลี่กับไก่แทนค่ะ รู้สึกมันจะย่อยง่ายและเบากว่าเนื้อหรือหมูนะ...แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ สเต็กไก่กรอบย่างอร่อย แต่เนื้อปลาดูจะเลอะนิด...ส่วนน้ำจิ้มนั้น ก็โอเชอยู่นะค่ะ แต่อร่อยน้อยกว่าน้ำจิ้มน้ำงาสลัดเป็ดอ่ะ ส่วนของเพื่อนสั่งสเต็กเนื้อค่ะ...และรู้สึกขอบคุณตัวเองว่า เราไม่ชอบทานเนื้อ เพราะเจอศัพท์ที่พนักงานถามว่า ต้องการเนื้อแบบ แร มีเดียม เบิร์น ฯลฯ คือเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกระดับการย่างสเต็กเนื้อ มึนไปหมดว่าแบบไหนย่างยังไงจะถูกปากเรา...ขอกินสเต็กไก่ ปลา หมูแบบย่างเสร็จสรรพแล้วดีกว่า = =" ของรุ่นพี่เป็น สเต็กเนื้อโรยกระเทียมเจียว กินสเต็กไปก็ต้องมีเครื่องดื่มแก้วใหญ่สีสันสดใสดื่มกลั้วคอค่ะ นี่เป็นโซดาที่ผสมกับแยมผลไม้ เลยออกมาได้สีสันสดใสสามสีแบบนี่เอง อร่อยซาบซ่าทุกแก้วเลย มาถึงของหวานตบท้ายเสียที (พิมพ์เหมือนไปแข่งกินแหลกงั้นล่ะ ^ ^") เอาแบบที่ไม่ค่อยประทับใจก่อนดีไหมค่ะ...อันแรกคือ พานาคอตต้านมสด ที่เห็นด้านบนซ้ายของภาพค่ะ...คือเรารู้สึกว่ามันจืดสนิทศิษย์ส่ายหน้ายังไม่รู้ มันไม่ใช่จืดแบบอร่อยอ่ะค่ะ = =" เป็นอันว่าพานาคอตต้านี่ไม่ผ่านสำหรับเราค่ะ แต่ไอศครีมที่เห็นเป็นเมนูเด่นของภาพนี่อร่อยดีค่ะ รู้สึกสีม่วงๆ จะเป็นรสอัญชัน ได้รสเปรี้ยวๆหน่อย ตรงที่เป็นโค้งนั้นทำจากไวท์ช็อกโกแลตแผ่นมาตัดประทับไอศกรีม ฐานด้านล่างเหมือนจะเป็นคุกกี้ที่คล้ายฐานคุกกี้ที่ใส่ในพายบลูเบอร์รี่แช่เย็นค่ะ ส่วนของเพื่อนเราคือ เผือกบดตักเป็นลูกใส่ลงไปใน มื้อนี่ทั้งหมดนับเป็นหัวคนละ 499 บาท...ถ้าถามว่าคุ้มไหม ก็คิดว่าคุ้มกับการได้ลองกินมื้ออาหารที่เป็นขั้นเป็นตอนครั้งแรกในชีวิตค่ะ...ร้านอาหารที่นี่ไม่แนะให้มากินคนเดียวค่ะ อย่างน้อยพาเพื่อนมาสักคน เวลากินจะได้ไม่เหงาค่ะ ^U^ ก็จบการรีวิวร้านอาหารที่บางกอกแต่เพียงเท่านี้ค่ะ สาวเหนือขอปึ้กบ้านกลับไปตามหารีวิวร้านอาหารในเชียงใหม่ต่อ และถ้ามีโอกาสมาบางกอกอีก จะไปรีวิวร้านอาหารที่ยังพันทิปยังไม่เคยไปชวนชิม มาลงให้ชมอีกนะค่ะ สวัสดีเจ้า ^U^ เมื่อสาวเหนือไปกิ๋นอาหารไทยที่ร้านบ้านหญิง สาขา Ternimal เซาเอ็ด(21)
ชื่อร้าน : บ่้านหญิง cafe & Meal สาขา Ternimal 21
รายการอาหาร : อาหารไทย ข้าวไข่ข้น สลัดปวยเล้งและคอหมูย่างคลุกน้ำสลัดงารสเผ็ด อัลมอนด์ลาเต้ เวลาเปิดบริการ : 10.00 - 21.00 น. ที่ตั้งร้าน : ลงที่ BTS อโศก หรือ MRTสุขุมวิท ชั้น 4 Ternimal 21 ร้านอยู่ข้างซ้ายของบันไดเลื่อน, กรุงเทพมหานคร วัฒนา Thailand พิกัด GPS : 13° 44' 13.57" N 100° 33' 37.88" E ร้านนี่เราเลือกเองจากการที่ไปเที่ยวรวมรุ่นเพื่อนที่ห้าง Ternimal เซาเอ็ด(ภาษาเหนือเรียก 21 ว่า เซาเอ็ด) ค่ะ ตอนแรกเพื่อนก็คิดไม่ออกว่าจะไปกินร้านไหนดี บอกแม่งานอย่างเราว่ากินอะไรก็ได้ (ให้คนต่างถิ่นเลือกเนี่ยนะฟร่ะ ไม่ช่วยเพื่อนเลยนะพวกเอ็ง = =*) ลองไปเดินเซอร์เวอร์ดูร้านแล้ว...ทุกร้านแทบจะมีที่เชียงใหม่หมดแย้ว! อยากกินร้านอะไรที่เชียงใหม่ไม่มีบ้างเซ่! สุดท้ายก็ต้องเปิดคัมภีร์ตำราที่ซื้อมา นั้นคือ...รถไฟฟ้าพาอร่อย BTS & MRT ที่ซื้อมาเพื่อการมาบางกอกโดยเฉพาะเลยค่ะ แต่สายตาเราเหมือนคนพิสูจน์อักษรค่ะ แบบว่าอ่านรอบเดียวรู้หมดว่าร้านนี่อยู่เขตไหน (ถ้าจำข้อสอบได้แบบนี้ก็ดีซิเนี่ย T^T) เลยไปเจอว่า...มีร้านหนึ่งแม้สาขาแม่จะอยู่แถวสยาม แต่มีสาขาอยู่ในห้างนี่ด้วย! นั้นคือร้านบ้านหญิงค่ะ! (ที่เหลือเชื่อกว่านั้นอีกคือ เพื่อนๆชาวบางกอก ไม่เคยมีใครเข้าร้านนี่เลยวุ๊ย!) ร้านตกแต่งด้วยลายไม้ที่ทำให้ดูสว่างไสวและอบอุ่นค่ะ ดูแล้วเป็นมิตรเป็นกันเองดี แต่ที่นั่งบริเวณหน้าร้านนั้นถูกจับจองไปเกือบหมด และส่วนใหญ่เป็นชุดโต๊ะแบบนั่ง 4 คนค่ะ...แต่พวกเรามากัน 7 คน เลยต้องเดินเข้าไปส่วนในสุด ซึ่งก็เจอกับโต๊ะใหญ่มากๆ ขนาดนั่งได้ 12 คนเลย เห็นแล้วคิดว่าเป็นโต๊ะยุคอัศวินอาเธอร์หรือเปล่านิ...ตอนแรกเห็นมีป้ายปักเอาไว้ว่าจองค่ะ แต่พนักงานบอกอย่างน่ารักว่า ลูกค้าย้ายโต๊ะไปแล้ว เพราะโต๊ะมันใหญ่มาก (ฮา) พวกเราก็เลยได้โต๊ะนี่มาแบบฟลุคๆ ^U^ โต๊ะใหญ่นี่มีแค่โต๊ะเดียวค่ะ เดินเข้าไปในร้านจะเจอเลย ส่วนโต๊ะแบบนั่งสองคนจะมีที่ติดผนังด้านซ้ายของร้านประมาณ 4 ชุด ติดเคานเตอร์บาร์ประมาณ 2 ชุด ติดกับกระจกใสที่เห็นวิวตึกสูงประมาณ 2 ชุด แล้วก็มีเคานเตอร์บาร์เดี่ยวสำหรับนั่งกินคนเดียว ติดอยู่มุมด้านซ้ายค่ะ คิดว่าเป็นจุดที่สวยด้วยนะ เพราะได้นั่งชมวิวไปพลาง ภาพในร้านถ่ายได้แค่นี่อ่ะค่ะ ถ่ายภาพรวมของร้านออกมาไม่ค่อยสวย T T แล้วพนักงานก็นำเมนูมาให้เราดู หน้าปกเมนูเป็นแผ่นหนังสีดำอ่อน สกรีนโลโก้ร้านค่ะ ดูน่ารักดี...แต่มันมีข้อเสียว่า เมนูอาหารกับเครื่องดื่มดันแยกกัน แต่ดันใช้ปกเดียวกันอีก = =" เวลาเปิดหาดูแล้วแทบมึนว่า อันไหนเมนูอาหาร อันไหนเครื่องดื่ม อยากให้ทำแยกกันมากกว่างิ อารัมภบทแนะนำของร้าน แล้วเราก็สั่งเมนูให้เสร็จสรรพ...เมนูแรกเลยคือ กะหล่ำปลีวุ้นเส้นไก่ฉีก (140 บาท) เมนูนี่เหมือนย้อนอดีตวัยเด็กค่ะ ^U^ แบบว่าตอนสมัยอนุบาลแล้วได้กินบ่อย ชอบซดน้ำผัดของมัน เค็มๆอร่อยดี เพื่อนสั่งเครื่องดื่มมาก่อน อันนี้คือ น้ำส้มคั้นปั่นสด (80 บาท) ตามมาด้วย มัชชะลาเต้เย็น (120 บาท) กลับมาที่เมนูหลักอีกครั้ง หมูผัดหน่าเลี้ยบพริกขี้หนู (160 บาท) เผ็ดๆเค็มๆอร่อยดีค่ะ ^U^ กุ้งคั่วพริกขี้หนูสวน (160 บาท)...อันนี้ข้าเจ้ากิ๋นบ่ได้งิ T^T แพ้กุ้ง (เมนูนี่เพื่อนสั่ง) ส่วนเมนูนี่เป็นเมนูแนะนำในหนังสือค่ะ เราสั่งเอง อยากลองของว่าอร่อยอย่างที่โม้ เอ๊ย เขียนไหม สลัดปวยเล้งและคอหมูย่างคลุกน้ำสลัดงารสเผ็ด (165 บาท) รสชาติเผ็ดๆเค็มๆ อร่อยดีค่ะ แต่ปวยเล้งใหญ่ไปหน่อยแฮะ กินทีจะคับปาก แต่โดยรวมโอเคเลยค่ะ ^U^ b เมนูต่อไปเป็นเมนูเด่นของร้านเลยค่ะ นั้นก็คือ ข้าวไข่ข้น (50 บาท) ที่เด่นก็คือเราสามารถเลือกวัตถุดิบที่จะใส่ในไส้ไข่ที่ว่า (อย่างละ 15 บาท) ของเราเลือก หมูกรอบ กับ เห็ดค่ะ...พอได้เห็นหน้าตามันแล้ว ถึงได้รู้ว่า มันเหมือนไข่เจียวที่ยังไม่สุกเต็มที่ เหมือนจะผสมความเป็นไข่คนหน่อยๆ แล้วโป๊ะลงบนหน้าข้าว (ตอนแรกมองหาข้าวว่ามันอยู่ไหน ปรากฎว่ามันถูกไข่ทับจนมิดนั้นเอง ^ ^") เราเป็นคนชอบทานไข่มากค่ะ ยิ่งเห็นเมนูนี่แล้วยิ่งน่ารักเลย รสชาติก็อร่อยด้วย เพื่อนอีกคนก็สั่งข้าวไข่ข้นเหมือนกัน แต่ใส่แฮมค่ะ (แล้วสั่งมาก็กินไม่หมดอีก เพราะมันใหญ่มาก เธอเลยขอร้อง(แกมบังคับ)ให้เพื่อนๆช่วยกันเจี๊ยะหน่อย น่ารักมาก ^ ^*) เมนูนี่เหมาะมากินข้าวคนเดียวได้เหมือนกันนะค่ะ แล้วเครื่องดื่มของเราก็มาแล้วค่ะ อัลมอนด์ลาเต้ (125 บาท) (เมนูนี่แนะในหนังสือ)...แต่รู้สึกรสชาติมันจืดไปนิดอ่ะค่ะ สงสัยมากินงวดหน้าต้องขอเติมน้ำตาลหน่อยแระ เมนูนี่เราไม่ได้สั่ง แต่รักเพื่อนที่สั่งมากๆเลย แบบว่ารู้ใจว่าเราชอบ หอยลายผัดพริกเหลือง(160 บาท) คือเราชอบผัดเผ็ดหอยลายมากๆค่ะ ยิ่งเจ้าไหนทำเผ็ดๆแล้วยิ่งชอบใหญ่...อร่อยมากๆ แถมไม่เจอหอยแบบมีดินแถมมาในฝาหอย(ถ้าร้านข้าวแกงที่ชอบผัดแบบลวกๆจะเจอบ่อย = =") ชอบเมนูนี่สุดๆเลยค่ะ ^U^b โรตีแกงเขียวหวานไก่(100 บาท) แป้งกรอบอร่อยมาก กรอบชนิดร่วงกราวเหมือนกินครัวซองค์เลยค่ะ เห็ดออริจิผัดเนื้อสับ (185 บาท) อันนี้ก็อร่อยค่ะ เค้าผัดเนื้อจนรู้สึกกึ่งนิ่มกึ่งกรอบเลยล่ะ ดูเหมือนร้านนี่อาหารอร่อยทุกชนิดจนมีความสุขกับการกิน...แต่เราก็เจออาหารที่ไม่ถูกลิ้นกับเราเสียแล้ว...นั้นคือ ต้มข่าไก่ (120 บาท) ที่จริงต้มข่าไก่เป็นเมนูสุดโปรดของเรานะค่ะ แต่รสที่เราชอบนั้นต้องมีรสแบบหวานกะทิหน่อยๆ...แต่ของที่นี่ เปรี้ยวสุดๆเลยง่ะ T*T...เมนูนี่เราว่านานาจิตตังนะค่ะ อาจจะเป็นรสที่ชอบของใครที่ชอบเปรี้ยวก็ได้ แต่สำหรับเรา...ไม่ผ่านค่ะ เมนูนี่ไม่ได้ไปต่อ แล้วก็จัดการล้างปากด้วยเยลลี่เงาะ (50 บาท) อันนี้ก็หวานเย็นอร่อยสุดๆค่ะ มีเงาะให้กินในถ้วยตั้ง 4 ลูกแน่ะ ยอดบิลที่ไปถล่มทลายกัน (ร้านนี่รับแต่เงินสดค่ะ ไม่รับบัตร ก็สงสัยว่าทำไมทางร้านไม่รับบัตร เพราะราคาอาหารก็แพงพอสมควร ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือเฉพาะสาขานี่ ถ้าใครจะไปกินร้านนี่ คงต้องไปกดเงินสดเตรียมเอาไว้กันเหนียวด้วยนะค่ะ (ลืมถามเหตุผลเหมือนกัน เพราะมัวแต่เม้าส์มอยกับเพื่อน) โดยรวมของร้านนี่ถือว่าดีมากเลยค่ะ อาหารอร่อย บริการเป็นกันเอง อบอุ่นประทับใจดีค่ะ สมกับที่หนังสือพากินโม้ เอ๊ย เขียนไว้ เป็นหนึ่งในร้านที่ประทับใจสุดๆค่ะ ทำให้รู้ว่า ร้านอาหารอร่อยแล้วบริการดีก็มีอยู่ในโลก ^U^b ครั้งหน้าจะเป็นร้านสุดท้ายที่สาวเหนือจะอยู่แอ่วบางกอกแล้วค่ะ ติดตามวันพรุ่งนี่ว่าจะเป็นร้านอะไร เมื่อสาวเหนือไปกิ๋นเข้าแกงกระหรี่ที่ SUKIYA สาขา Asiatique The River Front
ชื่อร้าน : SUKIYA สาขา Asiatique The River Front
รายการอาหาร : ข้าวหน้าเนื้อ ข้าวแกงกระหรี่หมู ข้าวไก่เทอริยากิ เวลาเปิดบริการ : 17.00 - 24.00 น. ที่ตั้งร้าน : เข้าทางย่านประตูเจริญกรุง(โครงการที่ติดถนนหลัก) ร้านตั้งอยู่ด้านหน้า ทางซ้ายมือสุดของโครงการ, กรุงเทพมหานคร บางคอแหลม Thailand พิกัด GPS : 13° 42' 15.15" N 100° 30' 14.37" E มาอัพเดตกันต่อค่ะ หลังจากระบบอัปโหลดรูปใน Bloggang กลับมาสภาพดีแย้ว ร้านคราวนี้มีภาพเยอะหน่อยค่ะ เพราะเป็นมื้อหนัก ไม่ใช่มื้อของหวานกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยอย่างกระทู้ที่ผ่านๆมา >U< ร้านนี่เป็นมื้อเย็นหลังจากที่ไปเที่ยว Asiatique The River Front ค่ะ...ตอนแรกคือรอเพื่อนมาให้ครบแก้งส์ ก็เลยเดินแอ่วช้อปปิ้งทั่วโครงการก่อน แล้วค่อยหาข้าวกิน.. แต่เมื่อได้ไปเดินหาร้านกิน ถึงได้รู้ซึ้งแล้วว่า...ถ้าจะหาข้าวกินในโครงการนี่ ต้องกินตั้งแต่เข้ามาจะดีกว่าค่ะ เพราะตอน 2 ทุ่มที่ไปหาข้าวกินนั้น ร้านเต็มหมด!!! (ยกเว้นร้านอาหารที่ติดกับท่าเรือ ราคาเทพจนไม่กล้าเข้า T^T) ตอนแรกเราคิดว่าจะไม่กินร้านแรกในกระทู้...แต่เดินหาร้านอาหารทั่วโครงการก็แล้ว แม้เพื่อนจะชวนว่าให้ต่อคิวดีกว่า...แต่เนื่องในวันหยุด และเห็นลูกค้าที่กินนั้น อยู่ในอารมณ์ชิลล์ๆ คงจะไม่มีคิวให้พวกเราง่ายๆ แหง T^T สุดท้ายก็ต้องเดินไปกลับไปตายรังที่ร้านเดิม ซึ่งอยู่บริเวณหน้าโครงการที่ติดกับฝั่งถนน เข้าทางด้านประตูเจริญกรุง เพราะเห็นว่า ร้านนี่คิวน่าจะน้อย (ผิดหลักการว่า ร้านที่ติดถนนใหญ่ด้านหน้านั้น จะต้องคนแน่น) นั้นคือร้าน SUKIYA สุคิยะ นั้นแล รุ่นพี่ในแก้งส์ทำหน้าเพลียว่า "กินร้านนี่อีกแล้วหรือ" ฟังน้ำเสียงเหนื่อยๆของรุ่นพี่แล้วคาดว่า รุ่นพี่มากินบ่อยแล้ว...แต่ท้ายสุดก็จำใจต้องร้านนี่แหละค่ะ เพราะเพื่อนเข้าไปถามว่า มีคิวเท่าไหร่...ปรากฎว่ามีคิวเดียวค่ะ นั้นคือกลุ่มเราจะเป็นคิวที่ 2 นั้นเอง >U<...ถึงไม่ชอบยังไงก็ต้องเอาแล้วล่ะค่ะ แล้วอีกอย่าง...ก็คนต่างถิ่นอย่างนู๋ยังไม่เคยกินร้านนี่เลยอ่ะ รอไม่นานถึง 5 นาที เราก็ได้คิวแล้วค่ะ...แม้ว่าภายในร้านจะตกแต่งได้สว่างไสว แต่พื้นที่ร้านแคบพอสมควร >0< ประมาณด้วยสายตานั้นถ้ารวมโต๊ะแบบ 4 คนนั่งจะได้ราว 6 ชุด กับนั่งแบบสองคนแค่ 2 ชุดเท่านั้นเอง (ก็ยังแปลกใจว่าเป็นร้านที่คิวน้อยจังแฮะ) แล้วเมนูก็มาค่ะ เมนูนั้นมีเข้าล้วนๆ (ภาษาเหนือแปลว่า ข้าว แต่หมู่เฮาฮ้องว่า เข้า) มี เข้าหน้าเนื้อ เข้าแกงกระหรี่หมู เข้าหน้าไก่เทริยากิ...ที่แปลกตาสำหรับชาวเหนืออย่างเราคือ เพิ่งรู้ว่ามีการสั่งขนาดของเข้าได้ ตั้งแต่ชามประหยัด(ก็เล็กสุด) จนถึงขนาดใหญ่ เพราะยังไม่เคยเจอร้านอาหารญี่ปุ่นในเชียงใหม่มีร้านที่สั่งขนาดของจานอาหารได้ เมนูปกตินั้นเราไม่สน เราสนแต่เมนูแนะนำ เมนูโปรโมชั่น เท่านั้น >U< แล้วเราก็เห็นแผ่นเมนูเดี่ยวที่บอกเมนูแนะนำคือ...ข้าวหน้าเนื้อราดเห็ดผัดพริกกระเทียม เราก็เลยสั่งไปเลยค่ะ...ปลากรอบว่า...บ๋อยสาวมองหน้ามึนๆ บึ้งๆ ตอบเราเสียงแข็งๆว่า "เห็ดหมด" (ไม่มีหางเสียงด้วยนะ) ...ทุกคนฟังแบบนี้ ก็คงเข้าใจใช่ไหมค่ะว่า...เมนูข้าวราดเห็ดนั้นหมด คือ ไม่มีแล้ว ...แต่เรากำลังอึ้งกับสีหน้าการบริการของบ๋อย เลยไปเข้าใจว่า...มันเป็นข้าวหน้าเห็ดหมด ไม่มีเนื้อเลยแบบในเมนูที่โฆษณา ป้าด! หนึ่งประโยค แต่สื่อออกไปสองความหมาย = =" เราก็อึ้งๆ งงๆ ไปหน่อย ปล่อยให้เพื่อนสั่งไปก่อน...จนกระทั่งมาถึงคิวเรา...เราก็ยังเข้าใจตามความเข้าใจเรา...ก็ยังมึนๆสั่งไปว่า "ถ้าไม่มีเนื้อ พี่ขอเปลี่ยนเป็นหมูก็ได้" (อิ)บ๋อยหน้าบึ้งเหมือนเดิม คราวนี้ตอบกลับมาด้วยเสียงแข็ง ประหนึ่งว่าเราเหมือนเด็กอนุบาลที่ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจ "เห็ดหมด (ถ้ามันด่าลูกค้าได้ มันคงตอบแถมคำว่า 'โว๊ย' มาให้ด้วยแหง" จนเพื่อนต้องบอกเราว่า "เขาหมายถึงว่าเมนูนี่หมด ไม่มีแล้วนะ" นั้นแหละ เราถึงได้หน้าแตกเพล้งเลย = =" เราก็เลยเปลี่ยนไปสั่งแบบอื่นแทนค่ะ ...แม้จะสั่งเมนูไปครบแล้ว แต่เราเริ่มน้อยด์กับการบริการของร้านแล้ว เพราะแม้จะเข้าใจว่าคิวมันเยอะเต็มร้าน แต่บ๋อยเหมือนมีเสียงกรรโชกถามลูกค้ายังไงไม่รู้ ประมาณว่า "รีบๆสั่ง รีบๆแด็ก แล้วรีบๆออกจากร้านไปเสียที" ไม่รอดูลูกค้าเลยว่าเขาจะสั่งหมดหรือยัง ลูกค้าบางคนก็ต้องการเวลาตัดสินใจนะโว๊ย นอกจากหน้าตาจะไม่รับแขกแล้ว บ๋อยยังลืมออร์เดอร์ด้วยค่ะ อย่างมาส่งเมนูข้าวก่อนเสิร์ฟน้ำดื่ม จนรอข้าวมาครบโต๊ะแล้ว เครื่องดื่มยังไม่มาเลยค่ะ = =* ต้องให้จิกเรียกอีก...ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหน้าร้านถึงติดป้ายประกาศว่า รับสมัครพนักงานเพิ่ม (แต่ร้านก็แคบชนิดว่า ลูกค้ากับพนักงานจะเดินชนกันแล้ว) เรียกว่ามาตรฐานร้านนี่ เราให้คะแนนแค่ 1 ค่ะ ควรปรับปรุง (ถ้าแย่มากเราให้ 0 ไปแล้ว) เพราะยังไม่ถูกหักคะแนน เพราะมีบ๋อยสาวอ้วนๆ คนหนึ่ง แม้จะไม่ยิ้มแย้ม (เพราะลูกค้าเต็มร้านคงไม่มีเวลายิ้ม) แต่เธอก็พูดจาฟังแล้วนุ่มหูดี อาจจะหลงๆลืมๆออร์เดอร์ไปบ้าง แต่ก็เห็นเธอวิ่งส่งออร์เดอร์เป็นประวิง ดีกว่าอิบ๋อยหุ่นดี แต่หน้าบึ้งยิ่งกว่าหมาบลูด็อกเสียอีก = =* เหลือบไปเห็นปุ่มกดแล้ว...ชักไม่อยากกด เพราะนี่ขนาดบริการใกล้ๆ จนแทบจะชนกันแล้วยังไม่ประทับใจเลย...นี่ถ้าไปกดโหมดเรียก อิบ๋อยบึ้งจะองค์ลงอะไรกับตรูหรือเปล่านิ หมดโหมดดราม่า มาดูเมนูที่ได้กันมาดีกว่าค่ะ เาสั่งเมนูแบบขนาดประหยัดไป...เพราะขนาดจานประหยัดนั้น...จานใหญ่มากเลยอ่ะ 0o0 ยังไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าสั่งขนาดใหญ่มันจะเป็นกะลามังขนาดไหน! เข้าหน้าไก่เกะของเพื่อน เข้าหน้าแกงกระหรี่เนื้อของเพื่อน เป็นชุดเซท มีไก่เกะพร้อมซุปและชาเขียวค่ะ เข้าหน้าเนื้อของรุ่นพี่ค่ะ แล้วท้ายสุดของเรา เข้าแกงกระหรี่เพิ่มไข่ลวกค่ะ >U<
ได้กินความอร่อยของข้าวแกงกระหรี่แล้ว ทำให้ลืมความนอยส์ที่มีต่อบริการไปเลย (แล้วก็ลันล้าที่ได้ไปกินไอติม GELATE ด้วย ขากลับก็เลยกลับอย่างสุขใจ ไม่เอาเรื่องบริการที่ร้านมาคิดให้หมดอารมณ์) อาหารอร่อยดีค่ะ แต่การบริการควรปรับปรุง...อันนี้ก็แล้วแต่นานาจิตตังค่ะ เพราะเราเคยทำโพลโหวตในห้องครัวว่า "ระหว่างร้านอาหารที่รสชาติปานกลางแต่บริการดีเลิศ กับร้านอาหารรสชาติขั้นเทพ แต่บริการแย่มาก จะเลือกอะไร" เราก็ขึ้นว่าหลายคนคงจะโหวตข้อแรก...แต่ปรากฎว่า ข้อสองกลับได้รับการโหวตมากที่สุด...โดยมีเหตุผลจากอมยิ้มทั่นนึงว่า "เราไปเพื่อกินอาหารอร่อย ไม่ได้ไปเพื่อกินการบริการ...ร้านอาหารธรรมดานั้นมีเยอะ แต่ร้านที่อร่อยนั้นหายาก เพราะฉะนั้นบริการจะดีหรือไม่เป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือ เราไปกิน ถ้าไม่ชอบบริการ ซื้อกลับบ้านไปกินก็ได้" อ่ะน่ะค่ะ ก็นานาจิตตังค่ะ ส่วนอันนี้บิลราคาที่ไปถล่มกัน ติดตามตอนต่อไป ว่าสาวเหนือจะไปร้านไหนต่อนะค่ะ ^ ^ เพราะการแอ่วในกรุงเทพของเรานั้นยังอีกนาน ^0^ |
สาวเหนือเซาะกิ๋น
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] สวย ถึก และบึกบึน Link |